อิซเวสติยา TRTU

ปัญหาเฉพาะเรื่อง

และลักษณะนิสัยทางจิต (A.Ya. Antsupova และ A.I. Shipilova)

ผลการศึกษาเชิงประจักษ์ของเราเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ในครอบครัว, การเน้นย้ำถึงธรรมชาติและความเสี่ยงของพฤติกรรมฆ่าตัวตายในวัยรุ่นระบุว่าวัยรุ่นที่มีความเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงนั้นเหนือกว่าวัยรุ่นคนอื่น ๆ ในแง่ของพฤติกรรมสุดโต่ง พวกเขาโดดเด่นด้วยความสามารถในการปรับตัวที่บกพร่องเมื่อเทียบกับผู้อื่น ความยากลำบากในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพของ สภาพแวดล้อมทางสังคม นอกจากนี้ยังพบความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะและลักษณะพฤติกรรมที่ศึกษากับความพร้อมสำหรับพฤติกรรมการทำลายตนเอง ความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายในระดับสูงในกรณีส่วนใหญ่พบได้ในวัยรุ่นที่มีการเน้นย้ำถึงลักษณะนิสัยที่ "สูงส่งและตื่นตัวได้" ร่วมกับรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลแบบเผด็จการหรือเชิงรุก ดังนั้น ผลการศึกษาพิสูจน์ว่าวัยรุ่นที่เน้นเสียงซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลบกพร่อง มีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมฆ่าตัวตาย ซึ่งจะทำให้สามารถพัฒนาและนำไปใช้ได้ แนวทางที่แตกต่างในการช่วยให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมฆ่าตัวตาย ขณะเดียวกัน การศึกษาเชิงประจักษ์ขนาดเล็กนี้อาจเป็นหนึ่งในความพยายามครั้งแรกในการศึกษาปัจจัยของพฤติกรรมฆ่าตัวตายอย่างครอบคลุม และในระยะยาวเพื่อรวมพลังของตัวแทนของศาสตร์ต่างๆ ในการศึกษา ของปรากฏการณ์อันน่าสลดใจในชีวิตของเรา

ซินเชนโก้ อี.วี.

การเปิดเผยตนเองและสุขภาพจิตส่วนบุคคล

การเปิดเผยตนเองส่วนบุคคลที่เราเข้าใจเป็นกระบวนการที่หลากหลายของการแสดงบุคลิกภาพในการสื่อสาร เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ของบุคคลในสังคม ในระบบของความสัมพันธ์ทางสังคมและความสัมพันธ์ การเปิดเผยตนเองเกี่ยวข้องกับการสื่อสารตามหัวข้อของข้อมูลส่วนบุคคลที่มีระดับความใกล้ชิดที่แตกต่างกันไปยังผู้รับหนึ่งรายหรือมากกว่า ด้วยความช่วยเหลือ บุคคลนั้นสามารถเข้ากับบริบททางสังคมบางอย่างได้ เชื่อมโยงความคิดของเขากับความคิดของคนรอบข้าง นอกจากความจำเป็นในเรื่องตัวเองแล้ว การเปิดเผยตนเองก็มีความสำคัญสำหรับผู้อื่นเช่นกัน ตามที่อี. ฮอฟฟ์แมนกล่าว มันช่วยให้ผู้รับกำหนดสถานการณ์ของการสื่อสาร ทำให้สามารถเข้าใจความคาดหวังของตนเองและความคาดหวังของคู่ครองได้ อ้างอิงจากส V. Derlig การไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยสามารถนำไปสู่การแยกตัวออกจากสังคมได้ โดยทั่วไป การเปิดเผยตนเองเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและจิตวิทยาที่ซับซ้อน ซึ่งมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการสื่อสารแต่ละหัวข้อ

จากมุมมองที่มีนัยสำคัญสำหรับผู้สื่อสาร การเปิดเผยบุคลิกภาพในการสื่อสารด้วยตนเองจะทำหน้าที่สำคัญหลายประการ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเสริมสร้างสุขภาพจิตของอาสาสมัคร นอกจากการประสานกันภายในแล้ว สุขภาพจิตยังได้รับการประกันด้วยการประสานสัมพันธ์กับโลกภายนอก นั่นคือเหตุผลที่การเปิดเผยตนเองมีส่วนสำคัญในการบำรุงรักษา การเปิดเผย "ฉัน" ของตนต่อบุคคลอื่นมีความสำคัญต่อบุคคล S. Jurard เรียกสิ่งนี้ว่าเงื่อนไขและสัญญาณของการดำรงอยู่ของบุคลิกภาพที่เต็มเปี่ยม ในความเห็นของเขา คนที่มีสุขภาพดีมักจะมุ่งมั่นที่จะได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่จากบุคคลสำคัญอย่างน้อยหนึ่งคน การปกปิดตัวเอง เช่น การปกปิดข้อมูลส่วนตัวจากคู่ครอง บ่งบอกถึงความทุกข์ อ้างอิงจากส H. Kaplan ทัศนคติที่แปลกแยกต่อโลกนั้นอยู่ภายใต้สภาวะทางประสาทและจิตสังคมของแต่ละบุคคล จากคำกล่าวของอี. ฟรอมม์ ความพึงพอใจของความต้องการการเชื่อมต่อของมนุษย์ ในการรวมตัวกับมนุษย์อีกคนหนึ่งไม่ใช่

หมวดที่ 3 จิตวิทยาสุขภาพและความปลอดภัยของมนุษย์

จำเป็นต้องรักษาสุขภาพจิต

มีการศึกษาต่างประเทศจำนวนมากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการเปิดเผยตนเองกับสุขภาพจิต ความสัมพันธ์นี้กลายเป็นความคลุมเครือและความคิดเห็นของผู้เขียนก็แตกแยก หลายคนพบว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างปรากฏการณ์เหล่านี้ อื่นๆ - แง่ลบ นักวิจัยบางคนสรุปว่าไม่มีความเชื่อมโยงดังกล่าว P. Cosby อธิบาย ระดับต่ำความสัมพันธ์ระหว่างตัวบ่งชี้การเปิดเผยตนเองกับสุขภาพจิตโดยการพึ่งพาอาศัยกันตามเส้นโค้ง เขาตั้งสมมติฐานว่าคนที่มีสุขภาพจิตดีเปิดกว้าง แต่เฉพาะกับคนวงแคบเท่านั้น ส่วนที่เหลือ - ปานกลาง และผู้ที่มีสุขภาพจิตไม่ดีก็มีลักษณะที่เปิดกว้างต่อทุกคนไม่ว่าจะสูงหรือต่ำ สมมติฐานนี้ได้รับการยืนยันในภายหลังโดย A. Chaika และ V. Derliga สิ่งที่น่าสนใจในแง่นี้คือผลการศึกษาของ H. Kaplan ซึ่งเผยให้เห็นสุขภาพจิตในเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย เมื่อพิจารณาถึงอิทธิพลของปัจจัยทางเพศต่อการเปิดเผยตนเอง สิ่งเหล่านี้อาจเป็นหลักฐานทางอ้อมของการมีอยู่ของความเชื่อมโยงระหว่างการเปิดเผยตนเองกับสุขภาพจิตของบุคคล เนื่องจากนักวิจัยหลายคนเห็นด้วยว่าผู้หญิงมีลักษณะเฉพาะมากกว่า เปิดเผยตัวเองมากกว่าผู้ชาย Page, M. Randi, et al. ยังสนับสนุนความสัมพันธ์นี้ซึ่งบ่งชี้ว่าสุขภาพจิตในวัยเด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกโดดเดี่ยวและโดดเดี่ยว

การเปิดเผยตนเองมักมีผลในการระบาย ข้อมูลส่วนบุคคลที่แสดงออกมาดัง ๆ ดูเหมือนจะแปลกไปจากเรื่องซึ่งมาพร้อมกับประสบการณ์ที่โล่งใจ ดังที่นักวิจัยจากต่างประเทศได้พิสูจน์แล้วว่า การเปิดเผยตนเองทางอ้อมไม่เพียงแต่โดยตรง แต่ยังส่งผลกระทบในทางบวกต่อสุขภาพของมนุษย์อีกด้วย ในระยะหลัง ความเสี่ยงของผลกระทบเชิงลบจะลดลงอย่างมาก ซึ่งทำให้ผู้สื่อสารเป็นที่ต้องการมากกว่า เราถือว่าการเก็บบันทึกประจำวันเป็นวิธีหนึ่งในการเปิดเผยตนเองโดยอาศัยสื่อกลาง ในกรณีนี้ เรื่องของการเปิดเผยตัวตน ตัวเขาเอง ทำหน้าที่เป็นผู้รับ ตามที่นักวิจัยชาวอเมริกัน P. Pennybaker และ K. Hoover การเขียนไดอารี่ช่วยเพิ่มความผาสุกและเพิ่มความต้านทานต่อโรค

ในการศึกษาในประเทศ ได้รับข้อมูลที่ยืนยันทางอ้อมถึงความเชื่อมโยงระหว่างการเปิดเผยตนเองของบุคคลกับสุขภาพจิตของเธอ ดังนั้น N.D. Semyonova พบว่าผู้ที่ทุกข์ทรมานจากโรคหอบหืดหลังจากชั้นเรียนแก้ไขทางจิตมุ่งเป้าไปที่การฟื้นฟูการเชื่อมต่อทางอารมณ์กับโลกมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกในด้านการสื่อสารและเป็นผลให้สุขภาพจิตดีขึ้น ประสบการณ์การทำงานนี้ยืนยันวิทยานิพนธ์ของ Jurard ว่าการปราบปรามความจำเป็นในการเปิดเผยตนเองไม่เพียง แต่ก่อให้เกิดปัญหาทางจิตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโรคทางจิตอีกด้วย แอล.ไอ. Antsyferova ตั้งข้อสังเกตว่าทัศนคติที่แปลกแยกต่อโลกเป็นพื้นฐานของสภาวะทางประสาทและโรคทางจิตเวชของแต่ละบุคคล ที.พี. Skripkin บ่งชี้ว่าความไม่เพียงพอในการสำแดงความไว้วางใจนั้นสัมพันธ์กับสภาวะทางประสาทและเป็นตัวบ่งชี้การเบี่ยงเบนของสุขภาพจิตของแต่ละบุคคล

ดังนั้นการวิจัยทางจิตวิทยาที่มีอยู่จึงบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างการเปิดเผยตนเองกับสุขภาพจิตของแต่ละบุคคล ปัญหานี้ต้องการการศึกษาเชิงปฏิบัติเพิ่มเติมและความเข้าใจเชิงทฤษฎี

480 ถู | 150 UAH | $7.5 ", เมาส์ออฟ, FGCOLOR, "#FFFFCC",BGCOLOR, "#393939");" onMouseOut="return nd();"> วิทยานิพนธ์ - 480 rubles, shipping 10 นาทีตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์และวันหยุดนักขัตฤกษ์

240 ถู | 75 UAH | $3.75 ", MOUSEOFF, FGCOLOR, "#FFFFCC",BGCOLOR, "#393939");" onMouseOut="return nd();"> บทคัดย่อ - 240 rubles ส่ง 1-3 ชั่วโมงจาก 10-19 (เวลามอสโก) ยกเว้นวันอาทิตย์

Zinchenko Elena Valerievna การเปิดเผยตนเองและเงื่อนไขโดยปัจจัยทางสังคมจิตวิทยาและส่วนบุคคล: Dis. ...แคน. โรคจิต วิทยาศาสตร์: 19.00.05: Rostov n/D, 2000 256 p. RSL OD, 61:01-19/116-6

บทนำ

บทที่ 1 การเปิดเผยตนเองของบุคลิกภาพเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและจิตวิทยา 14

1.1. การวิเคราะห์เชิงทฤษฎีของแนวคิดเกี่ยวกับการเปิดเผยตนเองในด้านจิตวิทยาต่างประเทศและในประเทศ 14

1.2. ปรากฏการณ์การเปิดเผยตนเองจากมุมมองของแนวทางทางสังคมและจิตวิทยาต่างๆ 26

1.3. ประเภทของการเปิดเผยตนเองของบุคลิกภาพในการสื่อสาร 40

1.4. พารามิเตอร์และวิธีการเปิดเผยตนเองสำหรับการวินิจฉัย 52

1.5. หน้าที่และผลที่ตามมาของการเปิดเผยโดยเรื่องของ

โลกภายในรอบตัว 59

บทที่ 2 ปัจจัยที่กำหนดคุณสมบัติของการเปิดเผยบุคลิกภาพในการสื่อสาร 73

2.1. ปัจจัยทางสังคมและจิตวิทยาของการเปิดเผยตนเอง 74

2.2. ลักษณะทางสังคมและประชากรของผู้สื่อสารเป็นปัจจัยในการเปิดเผยตนเอง 80

2.3. อิทธิพลของลักษณะทางจิตวิทยาของเรื่องต่อการเปิดเผยตนเองของเขา 90

2.4. รูปแบบความรู้ความเข้าใจเป็นตัวกำหนดบุคลิกภาพการเปิดเผยตนเอง 96

บทที่ 3 การศึกษาเชิงประจักษ์เกี่ยวกับการเปิดเผยตนเองและการปรับสภาพโดยปัจจัยทางสังคมจิตวิทยาและส่วนบุคคล 104

3.1. วัตถุประสงค์ งาน วัตถุ วิธีการ และการจัดการทดลอง 104

3.2. สำรวจลักษณะของการเปิดเผยตนเองและความสัมพันธ์

3.3. อิทธิพลของบทบาททางสังคมของผู้รับและธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่อลักษณะของการเปิดเผยตนเองในวัยรุ่น

3.4. การกำหนดพารามิเตอร์ของการเปิดเผยตนเองตามเพศของผู้สื่อสาร134

3.5. ศึกษาอิทธิพลของรูปแบบการรับรู้ของผู้สื่อสารที่มีต่อการเปิดเผยตนเอง 140

บทสรุป

วรรณกรรม 155

แอปพลิเคชั่น

บทนำสู่การทำงาน

ในทศวรรษที่ผ่านมา ความสนใจเพิ่มขึ้นในส่วนของจิตวิทยาสังคม เช่น จิตวิทยาสังคมของบุคลิกภาพ ความจำเพาะของจิตวิทยาสังคมเมื่อมองที่บุคคลนั้นอยู่ที่การพิจารณาว่าเป็นหัวข้อที่มีปฏิสัมพันธ์และการสื่อสาร (V.N. Myasishchev, 1970, 1974, 1995; M.I. Bobneva, E.V. Shorokhova, 1979; A.A. Bodalev, 1995 ; G.M. Andreeva, 1980, 1998; L.A. Petrovskaya, 1989, ฯลฯ ) หนึ่งในแนวโน้มของจิตวิทยาสังคมสมัยใหม่คือการปรับทิศทางใหม่จากการศึกษาปรากฏการณ์การรับรู้ของบุคคลอื่นไปจนถึงการศึกษาว่าบุคคลนั้นแสดงออกอย่างไรในการสื่อสารกับผู้อื่น

หัวข้อของการเป็นตัวแทนส่วนบุคคลของบุคคลในการสื่อสารซึ่งสอดคล้องกับปรากฏการณ์ของการเปิดเผยตนเองและการนำเสนอตนเองได้รับการพิจารณาค่อนข้างพัฒนาในด้านจิตวิทยาต่างประเทศ (S. Jourard, 1958; P. Lasakow, 1958; P. Cozby, 1979; V. Derlega, 1984; J. Berg , 1986). ในด้านจิตวิทยาสังคมในประเทศนั้น ยังไม่ได้กำหนดสถานที่อย่างสมบูรณ์ แม้แต่จากข้อเท็จจริงที่ว่าแนวคิดของการเปิดเผยตนเองนั้นไม่มีอยู่ในพจนานุกรมทางจิตวิทยาในประเทศส่วนใหญ่ ยกเว้นพจนานุกรมจิตอายุรเวท ซึ่งให้คำจำกัดความเกี่ยวกับ ลักษณะเฉพาะของกระบวนการจิตอายุรเวท (B.D. Karvasarsky, 1998; V. L. Minutko, 1999)

การศึกษาแยกที่ส่งผลกระทบต่อประเด็นที่กำลังพิจารณาปรากฏในจิตวิทยารัสเซียเมื่อไม่นานมานี้ (T.P. Skripkina, 1984; N.V. Amyaga, 1988; I.P. Shkuratova, 1998) ดังนั้นจึงยังไม่มีการพัฒนาตำแหน่งที่ชัดเจนเกี่ยวกับคำจำกัดความของการเปิดเผยตนเอง วิธีการ เครื่องมือสำหรับการศึกษาปรากฏการณ์ทางจิตวิทยานี้ยังไม่ได้รับการพัฒนา ยังไม่ได้อธิบายลักษณะและประเภทหลักของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเท็จจริงที่ว่าในตัวอย่างรัสเซียนั้นไม่ได้ศึกษาปัจจัยทางสังคมจิตวิทยาและส่วนบุคคลของการเปิดเผยตนเองในทางปฏิบัติ ตัวอย่างเช่นในจิตวิทยาสังคมในประเทศไม่มีผลงานที่เชื้อชาติ

อิทธิพลของรูปแบบการรับรู้ของผู้สื่อสารทัศนคติของเขาต่อผู้รับในกระบวนการเปิดเผยตนเองจะได้รับการพิจารณา แม้ว่าการพึ่งพาการเปิดเผยตนเองในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะถูกเน้นโดยตรงหรือโดยอ้อมโดยผู้เขียนหลายคน (V.A. Losenkov, 1974; L.Ya. Gozman, 1987; N.V. Amyaga, 1989; I.S. Kon, 1989) และข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการสำแดง ของรูปแบบความรู้ความเข้าใจในด้านการสื่อสาร (Y. Witkin, D. Goodenough, 1977; I.P. Shkuratova, 1994; A.L. Yuzhaninova, 1998; T.G. Antipina, 1998, ฯลฯ ) ให้เหตุผลที่จะถือว่าเกี่ยวข้องกับการเปิดเผยตนเอง

ความสำคัญและความเกี่ยวข้องของการพัฒนาปัญหาการเปิดเผยตนเองในด้านจิตวิทยาสังคมในประเทศนั้นชัดเจนด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรก องค์ประกอบเชิงปริมาณและคุณภาพของการเปิดเผยตนเองเป็นที่น่าสนใจในฐานะองค์ประกอบสำคัญของพฤติกรรมของบุคคลในด้านการสื่อสาร แต่ละครั้งในประวัติศาสตร์และแต่ละสังคมมีลักษณะพิเศษของวัฒนธรรมการเปิดเผยตนเอง สังคมสมัยใหม่ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งคือความไม่มั่นคงทางสังคม นำพาบุคคลไปสู่วิกฤตด้านอัตลักษณ์ ตลอดจนความไม่ไว้วางใจในระดับโลกต่อรัฐบาล การดำเนินคดีทางกฎหมาย และสื่อ ในเรื่องนี้ นักจิตวิทยาได้หันมาสนใจหัวข้อต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น การรับรู้ทางสังคม ความหมาย ความไว้วางใจ การเปิดเผยตัวตน ฯลฯ (GM Andreeva, 1998; K.A. Abulkhanova, 1999; D.A. Leontiev, 1997; T.P. Skripkina, 1998; N.V. Amyaga, 1998) สถานการณ์ปัจจุบันเป็นเครื่องยืนยันถึงความไม่สามารถของคนส่วนใหญ่ในการผสมผสานความไว้วางใจและความหวาดระแวงได้อย่างเหมาะสม การขาดทักษะการเปิดเผยตนเองที่เพียงพอ กระบวนการดังกล่าวช่วยให้เข้าใจปัญหาได้ดีขึ้น การชี้แจงความไม่แน่นอน และในแง่นี้ การช่วยเหลือแต่ละคน แต่ละคนตอบคำถาม "ฉันเป็นใคร"

ลักษณะเมือง คอมพิวเตอร์ การพัฒนาและการดำเนินการของสังคมสมัยใหม่ วิธีการทางเทคนิคการสื่อสารมวลชนยังเปลี่ยนขอบเขตของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลซึ่งสะท้อนให้เห็นในลักษณะของ

การเปิดเผยตนเอง มีการสังเกตการเพิ่มขึ้นของด้านปริมาณของการติดต่อพร้อมกับความลึกลดลงพร้อมกัน (M. Heidemets, 1979; Ya.A. Davidovich, 1981; E.V. Sokolov, 1982), ภาวะแทรกซ้อนของเงื่อนไข การสื่อสารเช่นเดียวกับการเพิ่มสัดส่วนของการไกล่เกลี่ยในพฤติกรรมการสื่อสารของเรื่อง (Yu.M. Zaborodin, A.N. Kharitonov, 1985; V.A. Apollonov, 1981; i E.G. Slutsky, 1981) เพิ่มความแปลกแยก ผู้ชายสมัยใหม่ทำให้เขาต้องสื่อสารกับคู่หูที่ไม่คุ้นเคยหรือในจินตนาการตลอดจนกับคอมพิวเตอร์ ด้วยเหตุนี้ จิตวิทยาจึงต้องเผชิญกับงานใหม่ๆ ที่นำไปใช้ได้จริง: ศึกษาการแสดงตัวของบุคลิกภาพในสังคมข้อมูลเสมือน เน้นย้ำถึงลักษณะของบุคลิกภาพในอุดมคติของคอมพิวเตอร์ที่สามารถทดแทนได้ การสื่อสารของมนุษย์และอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง การลดลงของพื้นที่ส่วนตัว การสะสมของอารมณ์เชิงลบ การเติบโตของความตึงเครียดทางจิตใจก็มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของการเปิดเผยตนเองของแต่ละบุคคล

ประการที่สอง เป็นที่ทราบกันดีว่าการเปิดเผยตนเองรองรับกระบวนการทางจิตวินิจฉัยและจิตบำบัดส่วนใหญ่ (A.S. Slutsky, V.N. Tsapkin, 1985; K. Rudestam, 1993; B.D. Karvasarsky, 1998; V.L. Minutko, 1999; V.T.Kondrashenko, D.I. Donskoy I.A. , 2542). มันทำหน้าที่เป็นช่องทางที่นักจิตอายุรเวชได้รับข้อมูลที่เขาต้องการสร้างและรักษาการติดต่อกับผู้ป่วย และนักจิตวิทยา - นักวิจัย - กับหัวเรื่อง (J. Berg, V. Derlega, 1986; L.B. Filonov, 1979) การศึกษากระบวนการเปิดเผยตนเองสามารถช่วยปรับปรุงทั้งขั้นตอนทางจิตวินิจฉัยและจิตอายุรเวชเพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูลทางสังคมและจิตวิทยาที่ได้รับในลักษณะนี้อย่างมีนัยสำคัญ

ประการที่สาม เป็นที่ทราบกันดีว่าการเปิดเผยตนเองทำหน้าที่สำคัญหลายประการสำหรับแต่ละคน ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น การเติบโตส่วนบุคคลมีส่วนช่วยในการพัฒนาความตระหนักในตนเอง ดังนั้นการศึกษา

ความรู้เกี่ยวกับการเปิดเผยตนเองจะนำไปสู่การศึกษากลไกของการเติบโตส่วนบุคคล

ประการที่สี่ การศึกษาปรากฏการณ์การเปิดเผยตนเองเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำความเข้าใจและเข้าใจสาระสำคัญของหมวดหมู่ทางจิตวิทยาอื่นๆ อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เช่น ความไว้วางใจ การแสดงออก การสื่อสารส่วนตัว, การสื่อสารแบบเสวนา.

จากที่กล่าวมาข้างต้น เราสามารถสรุปได้ว่าขณะนี้มีความจำเป็นต้องพัฒนาคำจำกัดความทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนของการเปิดเผยตนเอง ชี้แจงตำแหน่งของหมวดหมู่ทางจิตวิทยานี้ในทฤษฎีทางสังคมและจิตวิทยาในประเทศ และศึกษาการเปิดเผยตนเองอย่างครอบคลุมในรูปแบบที่ซับซ้อน ปรากฏการณ์ทางสังคมและจิตวิทยาอันเนื่องมาจาก ทั้งกลุ่มปัจจัยในกลุ่มตัวอย่างรัสเซีย

วัตถุประสงค์ของการศึกษา: เพื่อศึกษาการเปิดเผยตนเองและเงื่อนไขโดยปัจจัยทางสังคมจิตวิทยาและส่วนบุคคล

หัวข้อการศึกษา: ปริมาณ ความลึก เนื้อหา ความแตกต่างและการเลือก การเปิดเผยตนเอง - บุคลิกภาพและปัจจัยกำหนดทางสังคม-จิตวิทยาและส่วนบุคคล ( บทบาททางสังคมหุ้นส่วน ธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เพศ และรูปแบบการรับรู้ของผู้สื่อสาร)

สมมติฐานการวิจัย:

1. ปริมาณการเปิดเผยตนเองในเรื่องนั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบทบาททางสังคมของคู่ครองและลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลระหว่างผู้สื่อสารและผู้รับ

2. รูปแบบความรู้ความเข้าใจกำหนดการเปิดเผยตนเองในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

การสื่อสารในลักษณะที่ความซับซ้อนของความรู้ความเข้าใจส่งผลในเชิงบวกต่อความแตกต่างและการเลือกและการพึ่งพาภาคสนาม - ความเป็นอิสระของภาคสนามเป็นตัวกำหนดปริมาณและเนื้อหา

3. การเปิดเผยตนเองของเด็กหญิงและเด็กชายแตกต่างกันในด้านปริมาณ ความลึก และ

วัตถุประสงค์ของการศึกษาระบุไว้ในงานดังต่อไปนี้:

1. เพื่อดำเนินการวิเคราะห์เชิงทฤษฎีเกี่ยวกับแนวคิดของการเปิดเผยตนเองว่าเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและจิตวิทยา

2. เลือกเกณฑ์การจำแนกประเภทและอธิบายประเภทหลักของการเปิดเผยตนเอง

3. พัฒนาชุดวิธีการวินิจฉัยบุคคลและ

ลักษณะกลุ่มของการเปิดเผยตนเองในการสื่อสารระหว่างบุคคล

4. เพื่อวิเคราะห์ลักษณะต่าง ๆ ของการเปิดเผยตนเองและจากความสัมพันธ์ในตัวอย่างวัยรุ่น

5. เพื่อสร้างอิทธิพลของสังคม "บทบาทของผู้รับต่อลักษณะของการเปิดเผยตนเองของเรื่อง

6. สำรวจปริมาณการเปิดเผยตนเองขึ้นอยู่กับลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลระหว่างผู้สื่อสารและผู้รับ

7. เพื่อดำเนินการวิเคราะห์เชิงประจักษ์เกี่ยวกับอิทธิพลของปัจจัยทางเพศต่อปริมาณ ความลึก เนื้อหา ความแตกต่าง และการเลือกเปิดเผยตนเอง

8. เพื่อศึกษาการสำแดงความซับซ้อนทางปัญญา - ความเรียบง่ายในลักษณะของการเปิดเผยตนเองส่วนบุคคล

9. ตรวจสอบอิทธิพลของความเป็นอิสระด้านฟิลด์พึ่งพาอาศัยกับลักษณะของการเปิดเผยตนเอง

พื้นหลังระเบียบวิธีและทฤษฎีของการศึกษา:

หลักการของการกำหนดขึ้นเป็นการพึ่งพาปรากฏการณ์ทางจิตเป็นประจำกับปัจจัยที่สร้างพวกเขา (S.L. Rubinshtein, A.V. Petrovsky, M.G. Yaroshev

ท้องฟ้า) แนวคิดของความสัมพันธ์ V.N. Myasishchev แนวคิดของการเปิดเผยตนเองในฐานะตัวแทนส่วนบุคคลของบุคคลในการสื่อสาร (S. Jourard, P. Lasakow, P. Cozby, V. Derlega, J. Berg) แนวคิดของการสื่อสารเป็นหัวเรื่อง ปฏิสัมพันธ์ (A.A. Bodalev, G. M. Andreeva, L.A. Petrovskaya, A.U. Kharash. S.L. Branchenko) แนวคิดของการกำหนดการสื่อสารโดยลักษณะทางสังคมและจิตวิทยาของแต่ละบุคคล (K.A. Abulkhanova-Slavskaya A.A. Bodalev, L.I. Antsyferova ) แนวคิดของการสื่อสารเป็นกระบวนการไตรภาคีรวมถึงแง่มุมด้านการรับรู้การสื่อสารและการโต้ตอบ (G.M. Andreeva) แนวคิดของการแสดงออกถึงตัวตนภายนอกของโลกแห่งจิตของเรื่อง (V.A. Labunskaya) ความคิดของ ​​บุคลิกภาพในฐานะการศึกษาภายในตัวบุคคลระหว่างบุคคลและเมตาดาต้า (A.V. Petrovsky, V.A. Petrovsky) ตำแหน่งในรูปแบบองค์ความรู้เป็นความแตกต่างที่มั่นคงในองค์กรและการประมวลผลของประสบการณ์ที่ได้รับ (M.A. Kholodnaya, I.P. Shkuratova, A.L. Yuzhaninova ) ทฤษฎีการสร้างบุคลิกภาพ (G. Kelly) แนวคิดของนักจิตวิทยา ดิฟเฟอเรนติเอชัน (N. วิทกิน)

ตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่กำหนดโดยเรา ใช้วิธีการและเทคนิคต่อไปนี้: 1) เพื่อวินิจฉัยลักษณะของการเปิดเผยตนเอง - แบบสอบถาม S. Jurard รุ่นที่แก้ไขซึ่งพัฒนาโดยเรา แบบสอบถาม "มาตราส่วนด้วยตนเอง การเปิดเผยข้อมูล" และวิธีการ "จดหมายถึงเพื่อนที่ไม่คุ้นเคย"; 2) เพื่อกำหนดความเป็นอิสระของฟิลด์การพึ่งพาอาศัยกัน - การทดสอบ "Gottschald Figures"; 3) เพื่อระบุระดับของความซับซ้อนทางปัญญา - การทดสอบเพลงของ J. Kelly

วิธีต่อไปนี้ใช้สำหรับการประมวลผลข้อมูล: ความถี่ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์และปัจจัย การวิเคราะห์เนื้อหา วิธีเปรียบเทียบกลุ่มสุดขั้ว วิธีสถิติพรรณนา (รวม)

ผลลัพธ์ที่ได้นั้นเชื่อถือได้ด้วยขั้นตอนการวินิจฉัยที่หลากหลาย ขนาดตัวอย่างที่ใหญ่ และการใช้สถิติทางคณิตศาสตร์หลายวิธี การเรียนใช้คอมพิวเตอร์

การวิเคราะห์ข้อมูลกรัม "STATGRAPHICS"

วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือนักเรียนอายุ 18-25 ปี รวมทั้งเด็กหญิง 153 คน และเด็กชาย 33 คน

ในระยะแรก มีผู้เข้าร่วมการศึกษา 186 คน ในจำนวนนี้เป็นนักศึกษาของ Russian State University (นักภาษาศาสตร์ 69 คน นักข่าว 43 คน นักจิตวิทยา 34 คน) และนักศึกษาของ Azov Medical College - 40 คน หัวข้อของการศึกษาในขั้นนี้คือพารามิเตอร์ของการเปิดเผยตนเองและการพึ่งพาปัจจัยทางสังคมและจิตวิทยา

ในขั้นตอนที่สอง กลุ่มตัวอย่างในการแก้ปัญหาอิทธิพลของปัจจัยส่วนบุคคลต่อการเปิดเผยตนเองประกอบด้วยนักศึกษา 85 คนจากคณะอักษรศาสตร์ของ Russian State University โดย 64 คนเป็นเด็กหญิงและ 21 คนเป็นเด็กชาย

ความแปลกใหม่ทางวิทยาศาสตร์ของการวิจัย

1) เป็นครั้งแรกที่มีความพยายามในการวิเคราะห์แนวทางในการทำความเข้าใจการเปิดเผยตนเองที่มีอยู่ในจิตวิทยาในประเทศและต่างประเทศและเพื่อกำหนดตำแหน่งของปรากฏการณ์นี้ในระบบหมวดหมู่ทางสังคมและจิตวิทยา

2) มีการเสนอการจำแนกประเภทการเปิดเผยตนเองตามเกณฑ์ต่างๆ และดำเนินการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ปัจจัยทางสังคม-จิตวิทยาและปัจจัยส่วนบุคคลที่กำหนดการเปิดเผยตนเองนั้นถูกแยกออกมาและอธิบาย; พิจารณาพารามิเตอร์ของการเปิดเผยตนเองและวิธีการวินิจฉัย

3) วิธี S. Jurard เวอร์ชันแก้ไขภาษารัสเซียได้รับการทดสอบ ความเป็นไปได้ของการวินิจฉัยพารามิเตอร์การเปิดเผยตนเองตามแบบสอบถามมาตราส่วนการเปิดเผยตนเองและวิธีจดหมายถึงเพื่อนที่ไม่คุ้นเคยได้รับการศึกษา

4) เป็นครั้งแรกที่มีการรวบรวมเนื้อหาเชิงประจักษ์เกี่ยวกับลักษณะของการเปิดเผยตนเองของเยาวชนรัสเซีย อิทธิพลของบทบาททางสังคมของผู้รับที่มีต่อปริมาณ เนื้อหา ความลึก และความแตกต่าง

การเปิดเผยตนเอง เช่นเดียวกับอิทธิพลของลักษณะต่าง ๆ ของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ("ระยะทาง", "ตำแหน่ง", "ความสามารถ", "ระดับความคุ้นเคย) / ต่อปริมาณการเปิดเผยตนเอง

5) เป็นครั้งแรกที่ข้อมูลเกี่ยวกับอิทธิพลของพารามิเตอร์รูปแบบการรับรู้เช่นการพึ่งพาภาคสนาม - ความเป็นอิสระของฟิลด์และความซับซ้อนของความรู้ความเข้าใจ - ความเรียบง่ายในคุณสมบัติของการเปิดเผยตนเองได้รับและอธิบาย

ความสำคัญทางทฤษฎีและการปฏิบัติของงาน

การวิเคราะห์เชิงทฤษฎีดำเนินการขยายและขยายแนวคิดของการเปิดเผยตนเองว่าเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและจิตวิทยา บทความนี้จะชี้แจงคำจำกัดความของการเปิดเผยตนเอง อธิบายประเภทและคุณลักษณะหลัก ได้มีการพัฒนาชุดวิธีการวินิจฉัยการเปิดเผยตนเองในการสื่อสารระหว่างบุคคล

ระบุความแตกต่างในลักษณะของการเปิดเผยตนเองขึ้นอยู่กับเพศ รูปแบบความรู้ความเข้าใจของผู้สื่อสาร บทบาททางสังคมของผู้รับและธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทำให้สามารถสร้างแนวคิดที่สมบูรณ์และแตกต่างยิ่งขึ้นเกี่ยวกับคุณสมบัติของการเปิดเผยตนเองในวัยรุ่น

ข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพารามิเตอร์ของการเปิดเผยตนเองและความเป็นอิสระภาคสนาม - ความซับซ้อนของความรู้ความเข้าใจ - ความเรียบง่ายเป็นพยานถึงบทบาทที่สำคัญของลักษณะความรู้ความเข้าใจ - โวหารของบุคคลในการเปิดเผยตนเอง

ผลการศึกษาสามารถนำมาใช้ในการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาในงานจิตอายุรเวชและจิตเวชประเภทต่างๆ กับคนหนุ่มสาวตลอดจนการป้องกันโรคจิตเภทในการพัฒนาส่วนบุคคล จากข้อมูลที่ได้รับสามารถพัฒนาได้ โปรแกรมพิเศษการฝึกอบรมทางสังคมและจิตวิทยาที่มุ่งสอนทักษะการเปิดเผยตนเองอย่างเพียงพอ

ปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีการและข้อมูลที่ได้จาก

ใช้เมื่ออ่านหลักสูตร "จิตวิทยาทั่วไปและสังคม" สำหรับนักศึกษาคณะปรัชญาและปรัชญาของ Russian State University เมื่ออ่านหลักสูตร "การวินิจฉัยลักษณะเฉพาะของการสื่อสาร" และเมื่อดำเนินการประชุมเชิงปฏิบัติการเฉพาะสำหรับนักเรียนเต็มรูปแบบ - แผนกเวลาและนอกเวลาของคณะจิตวิทยาของ Russian State University; เช่นเดียวกับในการทำงานของนักจิตวิทยาที่ปรึกษาของสาขาภูมิภาค Rostov สังคมรัสเซียของสภากาชาดภายใต้โครงการ "ความช่วยเหลือจาก RRCS แก่ผู้พลัดถิ่นภายในจากเชชเนียในอาณาเขตของสหพันธรัฐรัสเซียนอกเขตขัดแย้ง"

บทบัญญัติสำหรับการป้องกัน:

1) การเปิดเผยตนเองในฐานะปรากฏการณ์ทางสังคมและจิตวิทยาที่ซับซ้อนคือการสื่อสารโดยตรงหรือโดยอ้อมโดยสมัครใจโดยส่วนใหญ่โดยเป็นเรื่องของข้อมูลส่วนบุคคลในระดับต่าง ๆ ของความใกล้ชิดกับผู้รับอย่างน้อยหนึ่งราย

2) ปริมาณ ความลึก เนื้อหา และความแตกต่างของการเปิดเผยตนเองส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยบทบาททางสังคมของผู้รับที่เกี่ยวข้องกับผู้สื่อสารและธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความใกล้ชิดและแง่บวกของความสัมพันธ์มีผลดีต่อการเปิดเผยตนเอง

3) ปริมาณ ความลึก และเนื้อหาของการเปิดเผยตนเองขึ้นอยู่กับเพศของผู้สื่อสาร ผู้หญิงมักจะบอกคนอื่นเกี่ยวกับตัวเองมากกว่าเด็กผู้ชาย ในเวลาเดียวกัน พวกเขารายงานความรู้สึกและประสบการณ์ ในขณะที่ชายหนุ่ม - เกี่ยวกับความคิดเห็นและทัศนคติของพวกเขา

4) ความซับซ้อนของความรู้ความเข้าใจนั้นแสดงออกด้วยความแตกต่างและความสามารถในการเลือกสรรสูง ความลึกที่ตื้นของทางตรงและการเปิดเผยตนเองทางอ้อมจำนวนมาก ความเป็นอิสระของฟิลด์การพึ่งพาอาศัยกันไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ ปริมาณโดยรวมการเปิดเผยตนเองในการสื่อสารโดยตรง แต่สะท้อนให้เห็นในเนื้อหาของการเปิดเผยตนเองที่เป็นสื่อกลาง

การอนุมัติงานและการดำเนินการตามผลงาน

เอกสารของการวิจัยวิทยานิพนธ์ถูกนำเสนอในเซสชั่นสัปดาห์วิทยาศาสตร์ของ Russian State University (1998) ที่การประชุม II All-Russian Conference ของ RPO "Methods of Psychology" (Rostov-on-Don, 1997) ในการประชุมภาควิชาจิตวิทยาสังคมและจิตวิทยาบุคลิกภาพของ Russian State University (1995-1999)

โครงสร้างวิทยานิพนธ์

ผลงานประกอบด้วย บทนำ สามบท บทสรุป รายชื่ออ้างอิง รวม 300 แหล่ง โดย 19 เรื่อง ภาษาอังกฤษและแอพพลิเคชั่น เนื้อหาหลักมี 154 หน้า ประกอบด้วย 7 รูป 39 ตาราง รวม 5 รูป และ 33 ตารางในภาคผนวก

การวิเคราะห์เชิงทฤษฎีของแนวคิดเกี่ยวกับการเปิดเผยตนเองในด้านจิตวิทยาต่างประเทศและในประเทศ

คำว่า "การเปิดเผยตนเอง" (การเปิดเผยตนเอง) ถูกนำมาใช้ในด้านจิตวิทยาโดยนักวิจัยชาวอเมริกันเรื่องการปฐมนิเทศอย่างเห็นอกเห็นใจ S. Jurard ซึ่งให้คำจำกัดความว่าเป็น "กระบวนการสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับตนเองกับผู้อื่น" /297, p.91/ . คำจำกัดความนี้ซึ่งให้ไว้เมื่อกว่าสี่สิบปีที่แล้วทำหน้าที่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับนักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้แม้ในปัจจุบัน แม้ว่าผู้เขียนบางคนจะชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องอย่างถูกต้อง เช่น ลักษณะเชิงพรรณนา ข้อจำกัดบางประการ ความผิวเผิน ฯลฯ (P. Cozby, 1979; N.V. Amyaga, 1991). กำลังพยายามแก้ไขสถานะที่เป็นอยู่โดยเสนอเพิ่มเติม คำจำกัดความเฉพาะการเปิดเผยตนเอง ในขณะเดียวกัน นักจิตวิทยาบางคนให้ความสำคัญกับการรักษาความลับของข้อมูลที่ส่ง ตัวอย่างเช่น ดี. ไมเยอร์ส เชื่อว่าแก่นแท้ของกระบวนการที่กำลังพิจารณาคือ "การเปิดเผยประสบการณ์และความคิดในสุดแก่บุคคลอื่น" /141, p.679/ ที.พี. Skripkina ให้คำจำกัดความที่ค่อนข้างสอดคล้องกับข้างต้น โดยเพิ่มหลักการของความสมัครใจเป็นเกณฑ์ เธอเข้าใจการเปิดเผยตนเองว่าเป็น "ความจริงของการเปิดเผยข้อมูลความลับเกี่ยวกับโลกภายในของตนเองโดยสมัครใจแก่บุคคลอื่น" /216, p.88/ ผู้เขียนมุ่งเน้นไปที่ความลึกและความสนิทสนมอย่างมีนัยสำคัญในความเห็นของเราปรากฏการณ์ที่อยู่ระหว่างการพิจารณา

หากปฏิบัติตามความเข้าใจของ S. Jurard ในเรื่องการเปิดเผยตนเอง ระดับของการเปิดเผยจะแตกต่างกันไปตั้งแต่การรายงานข้อมูลประชากรเกี่ยวกับตนเองไปจนถึงการเปิดเผยข้อมูลอย่างเต็มรูปแบบ/296/ เราพบมุมมองที่คล้ายกันในแนวทางการบำบัดทางจิต /147, 185, 219/ เช่น. Slutsky และ V.N. ตัวอย่างเช่น Tsapkin กำหนดการเปิดเผยตนเองว่า "พฤติกรรมของผู้ป่วยเช่นนี้เมื่ออยู่ในบรรยากาศที่ไว้วางใจของกลุ่มเขาเสี่ยงที่จะเป็นตัวของตัวเองโดยละทิ้งแบบแผนการป้องกันที่ไม่เพียงพอ ... อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้หมายความว่าเขาต้อง เปิดเผยความลับบางอย่างของเขา" / 219, p. 236 /. ดังนั้น ในกระบวนการเปิดเผยตัวตน ผู้รับเรื่องจะสื่อถึงผู้รับ ไม่เพียงแต่ความรู้สึกที่ใกล้ชิดที่สุดเท่านั้น แต่ยังแสดงการตัดสินด้วยว่า ประเด็นต่างๆ, สูตร ทัศนคติของตัวเองต่อวัตถุและปรากฏการณ์ต่างๆ เป็นต้น เป็น. ในความเห็นของเรา Kohn ครอบคลุมประเด็นเหล่านี้ทั้งหมด โดยพิจารณาว่าการเปิดเผยตนเองเป็น "การค้นพบตนเองอย่างมีสติและโดยสมัครใจ สภาวะส่วนตัว ความลับ และเจตนา" /110, p.72/ อย่างไรก็ตาม คำจำกัดความดังกล่าวยังอ้างอิงถึงความสมัครใจของการเปิดเผยตนเองด้วย ในเรื่องนี้ เราจะสรุปจุดยืนของเราในประเด็นนี้ ขึ้นอยู่กับความจริงที่ว่าคนสมัยใหม่มักเกี่ยวข้องกับการบังคับสื่อสารในที่ทำงาน ในสภาพแวดล้อมในเมือง ในชีวิตครอบครัว /65, 93/.. ช่วงเวลาที่จำเป็นของการสื่อสารดังกล่าวคือการเปิดเผยตนเอง ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เกิดขึ้นโดยสมัครใจเสมอไป แต่สามารถดำเนินการได้ภายใต้เงื่อนไขบังคับ จากสิ่งนี้ คำจำกัดความข้างต้นของการเปิดเผยตนเองโดยส่วนใหญ่ไม่ครอบคลุมความกว้างทั้งหมดของกระบวนการ ความหลากหลายของแง่มุมและลักษณะที่ปรากฏ

เอ็น.วี. Amyaga เข้าใจปรากฏการณ์ของการเปิดเผยตนเองจากมุมมองของแนวคิดของการสื่อสารแบบโต้ตอบในฐานะ "การปรากฎของบทสนทนาในฐานะเงื่อนไข หลักฐาน และบทสนทนา ในทางกลับกัน เป็นเงื่อนไขและตาม ลักษณะภายในการเปิดเผยตนเอง" /8, p.4/ หากการสื่อสารของมนุษย์อย่างแท้จริงถือเป็นการแสดงบทสนทนา /93/ คำจำกัดความดังกล่าวก็ค่อนข้างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่เฉพาะเจาะจงทั้งหมด

ในคำจำกัดความที่มีอยู่ทั้งหมดของปรากฏการณ์ที่อยู่ระหว่างการพิจารณา เฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่าในระหว่างการเปิดเผยตนเอง บุคคลจะถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลโดยเฉพาะไปยังอีกข้อมูลหนึ่งเท่านั้น นั่นคือ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยตรงหรือโดยอ้อมกับบุคลิกภาพของเขา จะไม่ถูกตั้งคำถาม ที่นี่ดูเหมือนว่าเราถูกต้องที่จะหันไปใช้มุมมองของนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน W. James ที่เข้าใจบุคลิกภาพเป็น ยอดรวมทุกสิ่งที่บุคคลสามารถเรียกได้ว่าเป็นของเขาเอง ไม่เพียงแต่คุณสมบัติทางร่างกายและจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลงานของแรงงานและสภาพแวดล้อมทางสังคม บ้าน ทุน ฯลฯ /74/. และในแง่นี้ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแง่มุมใด ๆ เหล่านี้ การสำแดงและความสัมพันธ์ของพวกเขา กลายเป็นเรื่องส่วนตัว และด้วยเหตุนี้ จึงสามารถเป็นสาระสำคัญของการเปิดเผยตนเองได้

สำหรับการพิจารณาปรากฏการณ์ของการเปิดเผยตนเองอย่างลึกซึ้งและละเอียด ช่วงเวลาที่จำเป็นคือการเปรียบเทียบแนวคิดนี้กับหมวดหมู่ทางจิตวิทยาอื่นๆ ที่มีความหมายคล้ายกันซึ่งมีตำแหน่งที่แข็งแกร่งในด้านวิทยาศาสตร์จิตวิทยาในประเทศและต่างประเทศ ประการแรก แนวคิดของการเปิดเผยตนเองมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับแนวคิดของการนำเสนอตนเอง ซึ่งมีต้นกำเนิดและกำลังได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับการปฏิสัมพันธ์ การนำเสนอตนเองหรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การนำเสนอตนเอง การนำเสนอตนเอง การจัดการความประทับใจ ถูกกำหนดไว้ในจิตวิทยาต่างประเทศว่า "การกระทำของการแสดงออกและพฤติกรรมที่มุ่งสร้างความประทับใจที่ดี ความประทับใจที่สอดคล้องกับอุดมคติของใครบางคน" / 141 , p.679/. เหล่านี้เป็นกลวิธีและกลวิธีต่างๆ ที่บุคคลใช้เพื่อสร้างความประทับใจให้ผู้อื่น "/7, 223/ I /78/ แยกแยะระหว่าง "การสร้างตนเอง สู่บรรทัดฐานที่มีอยู่ในสังคม) กลยุทธ์การนำเสนอตนเอง /156/.

ในทางจิตวิทยา มีความพยายามหลายครั้งที่จะแยกแนวคิดเรื่องการเปิดเผยตนเองและการนำเสนอตนเองออกจากกัน บางครั้งความแตกต่างระหว่างกันจะลดลงเหลือสูงสุดและแนวคิดหนึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอีกแนวคิดหนึ่ง V. Derliga และ J. Grzelak เชื่อว่าการนำเสนอตนเองคือ ชนิดพิเศษการเปิดเผยตนเองด้วยการเลือกข้อมูลส่วนบุคคลอย่างระมัดระวังมากขึ้น /286/. B. Schlenker เชื่อว่าควรใช้คำว่า "การนำเสนอตนเอง" เมื่อวัตถุกระทำเพื่อสร้างความประทับใจที่ต้องการ และเป้าหมายนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับเขา และใช้คำว่า "การเปิดเผยตนเอง" เมื่อเป้าหมายนี้ไม่สำคัญนัก สำหรับบุคคลธรรมดา / ibid. /. เอ็น.วี. Amyaga เปรียบเทียบปรากฏการณ์ทั้งสองนี้ในแง่ของเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของข้อมูลที่ส่ง ตามเกณฑ์แรก การนำเสนอตนเองกว้างกว่าการเปิดเผยตนเอง เนื่องจากไม่ได้จำกัดเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับเรื่องเท่านั้น ไม่ว่าใครจะพูดถึงอะไร เขามักจะสร้างความประทับใจให้กับคนรอบข้างและนำเสนอตัวเอง ตามเกณฑ์ของความหลากหลายของเป้าหมาย การเปิดเผยตนเองเป็นแนวคิดที่กว้างกว่า เนื่องจากเป้าหมายอาจมีความหลากหลายมาก นอกจากนี้ N.V. Amyaga ตั้งข้อสังเกตว่าการเปิดเผยตนเองและการนำเสนอตนเองของบุคลิกภาพมีความสัมพันธ์กันตามหลักการของความสัมพันธ์เชิงเส้นเชิงลบ: ยิ่งแสดงการนำเสนอตนเองมากขึ้น การเปิดเผยตนเองน้อยลง และในทางกลับกัน 111 การเลือกหัวข้อระหว่าง การเปิดเผยตนเองและการนำเสนอตนเองมักดำเนินการโดยคำนึงถึงผู้รับซึ่งเป็นคู่สนทนา

ปรากฏการณ์การเปิดเผยตนเองจากมุมมองของแนวทางทางสังคมและจิตวิทยาต่างๆ

การเปิดเผยตนเองส่วนบุคคลเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ของบุคคลในสังคม ในระบบของความสัมพันธ์ทางสังคม ความไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยตัวเองสามารถนำไปสู่การแยกตัวออกจากสังคม /286/. ด้วยความช่วยเหลือของการเปิดเผยตนเองบุคคลเช่นเดียวกับบริบททางสังคมบางอย่างเปรียบเทียบความคิดของเขากับคนอื่น ๆ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมนอกเหนือจากความจำเป็นในหัวข้อตัวเองการเปิดเผยตนเองคือ ที่สำคัญสำหรับคนรอบข้างด้วย ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลช่วยให้พวกเขากำหนดสถานการณ์และทำให้สามารถเข้าใจล่วงหน้าว่าคู่ครองจะคาดหวังอะไรจากพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาคาดหวังได้จากเขา (E. Goffman, 1984) การเปิดเผยตนเองทำหน้าที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและจิตวิทยาที่แยกจากกันซึ่งต้องมีการศึกษาอย่างจริงจังและละเอียดถี่ถ้วน ปรากฏการณ์นี้และผลกระทบของมันถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในด้านจิตบำบัดมาเป็นเวลานาน แต่ตำแหน่งของมันในทฤษฎีทางสังคมและจิตวิทยาในประเทศยังไม่ได้รับการพิจารณาอย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ในทางจิตวิทยาสังคม มีหลายประเภทที่สามารถระบุลักษณะการเปิดเผยตนเองได้ ซึ่งรวมถึงการสื่อสาร การแสดงออก ผลกระทบ บทสนทนา และอื่นๆ ในการเชื่อมต่อกับสิ่งที่กล่าวมา ขั้นตอนต่อไปของการศึกษาของเราคือการพิจารณาการเปิดเผยตนเองผ่านปริซึมของแนวคิดเหล่านี้

การเปิดเผยตนเองเป็นกระบวนการของการสื่อสาร การศึกษาการสื่อสารระหว่างบุคคลเป็นหนึ่งในปัญหาทางจิตพื้นฐาน การสื่อสารส่งผลต่อการก่อตัวของลักษณะต่าง ๆ ของรัฐและลักษณะบุคลิกภาพ อยู่ในการสื่อสารที่บุคลิกภาพถูกสร้างขึ้นและแสดงออก ที่ การพิจารณาอย่างละเอียดการเปิดเผยตนเองเป็นกระบวนการในเชิงลบ คุณสามารถเห็นสามด้านที่จีเอ็มเน้นย้ำ Andreeva ในการสื่อสาร: การสื่อสาร (การแลกเปลี่ยนข้อมูล) การโต้ตอบ (การแลกเปลี่ยนการกระทำ) และการรับรู้ (การรับรู้ซึ่งกันและกันโดยพันธมิตร) /11/ จากแนวคิดนี้ ปรากฎว่าในคำจำกัดความของการเปิดเผยตนเองว่าเป็นกระบวนการของการสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับตนเองกับผู้อื่น เอส. จูราร์ด ส่งผลกระทบต่อด้านการสื่อสารของการเปิดเผยตนเองเท่านั้น ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าสำคัญมาก แต่ไม่ใช่ด้านเดียว หนึ่ง.

เนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลตนเองจำเป็นต้องยึดตามการรับรู้ของพันธมิตรซึ่งกันและกัน การสะท้อนถึงคุณสมบัติและคุณสมบัติต่างๆ จึงรวมถึงองค์ประกอบการรับรู้ทางสังคมด้วย ดังนั้น เพื่อที่จะเปิดใจให้กับบุคคลอื่น จำเป็นต้องสร้างภาพลักษณ์ของเขาและมองว่าคู่นั้นเป็นคนที่เปิดใจได้ ในทางกลับกัน ผู้รับการเปิดเผยข้อมูลตนเองจะต้องรับรู้ว่าบุคคลนั้นเป็นคนที่สามารถรับฟังได้ ในกระบวนการเปิดเผยตนเอง ผู้รับการทดลองจะอ่านคำตอบของผู้รับอย่างต่อเนื่อง และภาพที่ได้จะทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมการเปิดเผยตนเองเพิ่มเติม ซึ่งนำไปสู่การพับหรือขยาย การเปลี่ยนทิศทาง ฯลฯ "ความล้มเหลว" ในการรับรู้ซึ่งกันและกันโดยพันธมิตรมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อลักษณะของการเปิดเผยตนเอง: ความลึก ความกว้าง ฯลฯ ประเด็นการรับรู้ทางสังคมยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างเพียงพอในปัญหาการเปิดเผยตนเองแม้ว่า ความสนใจบางส่วนจ่ายให้กับอิทธิพลของลักษณะของผู้รับในการเปิดเผยตนเองในวรรณคดี

หลังจากสร้างภาพลักษณ์ของกันและกันแล้ว คู่ค้าจะย้ายไปด้านการสื่อสารของการเปิดเผยตนเอง ซึ่งประกอบด้วยการส่งข้อความโดยตรงหรือโดยอ้อมไปยังคู่ค้าหนึ่งรายหรือมากกว่า เป็นด้านนี้ที่ผู้เขียนหลายคนให้ความสนใจมากที่สุดโดยจำกัดกระบวนการทั้งหมดของการเปิดเผยตนเองในการสื่อสาร

ในระหว่างการเปิดเผยตนเองไม่เพียง แต่การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกิดขึ้น - การรับรู้ร่วมกัน แต่ยังรวมถึงการแลกเปลี่ยนการกระทำด้วยซึ่งมีอิทธิพลร่วมกันของอาสาสมัครซึ่งบ่งบอกถึงแง่มุมของการโต้ตอบ เกี่ยวกับตัวเองเขาสร้างผลกระทบอย่างมากต่อผู้อื่นโดยบังคับให้พวกเขาตอบสนองต่อพฤติกรรมของพวกเขา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้าร่วมในกระบวนการเปิดเผยตนเองอาจจบลงด้วยการตัดสินใจร่วมกัน ซึ่งสร้างเพิ่มเติม ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดหรือในทางกลับกัน ความแตกต่างอย่างสมบูรณ์ในตำแหน่ง เราสามารถพูดคุยเกี่ยวกับความสำเร็จหรือประสิทธิผลของการมีปฏิสัมพันธ์ของคู่ค้าอันเป็นผลมาจากการเปิดเผยตนเอง หากอาสาสมัครรู้สึกว่าการแสดงตนเป็นไปตามความคาดหวัง การโต้ตอบนั้นถือว่าประสบความสำเร็จ/286/ ความสำคัญของการเปิดเผยตนเองด้านโต้ตอบนั้นถูกระบุโดยข้อมูลของ V.A. Goryanina ซึ่งหนึ่งในสาเหตุของรูปแบบการปฏิสัมพันธ์ที่ไม่ก่อผล - ความโน้มเอียงอย่างต่อเนื่องของบุคคลต่อการติดต่อที่ไม่ก่อผลในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การปิดกั้นความสำเร็จของผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของกิจกรรมร่วมกัน - คือความไม่ไว้วางใจของผู้คนและโลกโดยรวม ซึ่งแสดงออกมาเหนือสิ่งอื่นใดในการแยกออกจากผู้อื่นและในความพยายามที่จะซ่อนความรู้สึกและประสบการณ์ที่แท้จริงของพวกเขา /61, 62/ ดังนั้น ความโดดเดี่ยวในพื้นที่ของตนเอง ความแปลกแยกจากผู้อื่นจึงเป็นลักษณะเฉพาะของบุคคลที่มีแนวโน้มจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ไม่ก่อผล ในทางตรงกันข้าม การเปิดกว้างนำพาบุคคลไปสู่การตระหนักถึงศักยภาพของเขาอย่างมีประสิทธิผล เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ดี

ดังที่เราได้กล่าวไว้ข้างต้น จุดสำคัญในการเปิดเผยตนเองคือ บุคคลหนึ่งมีอิทธิพลต่ออีกคนหนึ่ง ซึ่งท้ายที่สุดสามารถเปลี่ยนตำแหน่งและพฤติกรรมด้านคุณค่า-ความหมายและพฤติกรรมของคนหลังได้ ในขณะเดียวกันบุคลิกภาพของเรื่องการเปิดเผยตนเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เพื่อยืนยันวิทยานิพนธ์นี้ ให้เรากลับไปที่ทฤษฎีบุคลิกภาพของ A.V. เปตรอฟสกี

ความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดของ "บุคลิกภาพ" และ "บุคคล" เขาระบุการศึกษาบุคลิกภาพที่เป็นไปได้สามชั้น ซึ่งในความสามัคคีของพวกเขาช่วยให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนนี้ได้ดีขึ้น: ภายในบุคคล ระหว่างบุคคล และบุคคลเมตา /171, 172 /.

ลักษณะของเมตาปัจเจกนั้นเชื่อมโยงโดยตรงกับปัญหาอิทธิพลอันเป็นผลมาจากการเปิดเผยตนเอง ซึ่งประกอบด้วยความจริงที่ว่าบุคลิกภาพ "ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในอุดมคติของบุคคลในบุคคลอื่น ความเป็นอื่นของเขาในตัวพวกเขา /171, น.230/. เมื่อพิจารณาบุคลิกภาพจากมุมมองของแง่มุมนี้ จุดเน้นของความสนใจจะถูกโอนไปยังผลกระทบที่บุคคลได้รับผ่านการสื่อสารกับบุคคลอื่นไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ในเวลาเดียวกันควรแสวงหาลักษณะที่สำคัญที่สุดของแต่ละบุคคลในฐานะบุคคลไม่เพียง แต่ในตัวเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนอื่นด้วย อ้างอิงจาก A.V. ในกรณีนี้ Petrovsky การวิเคราะห์ของผู้วิจัยสามารถเสนอได้สองแผน: การเป็นตัวแทนในอุดมคติของบุคคลอื่นในบุคลิกภาพที่กำหนดรวมถึงการเป็นตัวแทนของบุคคลนี้ในฐานะ "คนอื่น" ที่สำคัญในบุคลิกภาพของผู้อื่น

ปัจจัยทางสังคมและจิตวิทยาของการเปิดเผยตนเอง

มันเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของผู้รับอย่างน้อยหนึ่งราย ดังนั้นจึงเป็นกระบวนการทางสังคมและจิตวิทยา

ในวรรณคดีมีข้อบ่งชี้ว่าสัญชาติและเพศของผู้รับมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการสื่อสารระหว่างบุคคล ตัวอย่างเช่น ปัจจัยทางชาติพันธุ์ควบคุมช่วงของวิธีการโต้ตอบและปฏิกิริยาที่ยอมรับได้ต่อพฤติกรรมของพันธมิตรในส่วนของผู้เข้าร่วมการวิจัยที่เข้าสู่ปฏิสัมพันธ์ดังกล่าว/128/ สัญชาติของผู้รับส่วนใหญ่กำหนดความคาดหวังของเรื่องในแง่ของการแสดงออกของลักษณะนิสัยบางอย่างและวิธีการสื่อสารในส่วนของคู่ค้า /12/

งานวิจัยส่วนใหญ่เกี่ยวกับเพศของ "เป้าหมาย" ของการเปิดเผยตนเองเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาคุณลักษณะของมิตรภาพชายและหญิง อันแรกถือว่ามีวัตถุประสงค์มากกว่า แข็งแกร่งและคงทน อย่างที่สองคืออารมณ์ที่ลึกซึ้ง แต่มีเสถียรภาพน้อยกว่า ได้รับการยืนยันจากการทดลองแล้วว่าในความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างผู้หญิงมีระดับของความไว้วางใจและความใกล้ชิดมากกว่าในความสัมพันธ์ที่คล้ายคลึงกันระหว่างผู้ชาย /56, 135/ ความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างผู้แทนหญิงถือว่ามีค่าจิตบำบัดมากกว่าความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างผู้ชาย /273/. K. Dinelia และ M. Allen บันทึกความแตกต่างทางเพศในการเปิดเผยตนเองแก่คู่รักเพศเดียวกันและเพศตรงข้าม การเปิดเผยตนเองสูงสุดเปิดเผยในการเปิดเผยตนเองของผู้หญิงที่มีผู้หญิงคนหนึ่ง /285/ ในการสนทนาระหว่างผู้หญิงสองคน ตามกลุ่มนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน มีกิจกรรมของคำตอบที่แก้ไขความเข้าใจร่วมกันมากกว่า เมื่อเทียบกับการสนทนาระหว่างชายสองคนหรือผู้ชายกับผู้หญิง /138/ การมีอยู่ของความแตกต่างในการเปิดเผยตนเองโดยขึ้นอยู่กับเพศของผู้รับนั้นก็ได้รับการยืนยันจากนักจิตวิทยาคนอื่นๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น มีการเปิดเผยว่าวัยรุ่นของทั้งสองเพศมักเลือกเพื่อนเพศเดียวกันเพื่อสนทนาอย่างตรงไปตรงมา /271/ ในวัยรุ่น สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป และความสัมพันธ์ระหว่างเด็กชายและเด็กหญิงกลายเป็นความไว้วางใจมากกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากับเพื่อนเพศเดียวกัน /149/ ในอนาคต คนหนุ่มสาวตั้งใจที่จะสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับเพศตรงข้ามที่ไว้วางใจได้มากขึ้น และพวกเขาเห็นเพื่อนสนิทที่สุดในตัวของคู่สมรสในอนาคต /187/

ปัจจัยสำคัญเท่าเทียมกันที่มีอิทธิพลต่อความรุนแรงและเนื้อหาของการเปิดเผยตนเองคือคุณลักษณะของพันธมิตร เช่น ระดับเครือญาติ บทบาททางสังคม สถานะ เมื่อพูดถึงตัวคุณเอง หลายคนสามารถทำหน้าที่เป็นผู้รับได้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ญาติ แพทย์ และอื่นๆ เอส. จูราร์ด เปิดเผยว่าคนหนุ่มสาวที่ยังไม่แต่งงานเปิดใจกับแม่มากกว่าพ่อ เพื่อนหรือแฟนสาว และคนที่แต่งงานแล้ว - ต่อภรรยา/297/ การศึกษาการเปิดเผยตนเองของวัยรุ่นญี่ปุ่นโดยใช้แบบสอบถามพบว่าเด็กผู้หญิงมักจะแก้ปัญหาชีวิตที่สำคัญที่สุดกับแม่ เด็กผู้ชาย - กับพ่อของพวกเขา สำหรับการสื่อสารกับเพื่อน ๆ เด็กผู้ชายจะพูดคุยกับเด็กผู้หญิงในประเด็นที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสเมื่อพูดคุยกับคู่อื่น ๆ และเด็กผู้หญิงจะไม่สร้างความแตกต่างในหัวข้อเมื่อเปิดเผย "ฉัน" ต่อคนรอบข้าง /271/ การวิจัยวงสังคมของคนหนุ่มสาว D. Pulakos แสดงให้เห็นว่าพวกเขารู้สึกใกล้ชิดกับเพื่อนมากกว่าญาติ ความสัมพันธ์อันอบอุ่นระหว่างคนหนุ่มสาวกับเพื่อนๆ เกิดขึ้น และพวกเขามักจะพูดคุยกันถึงปัญหาต่างๆ ด้วยกัน กับญาติๆ วงสนทนาปัญหาจะแคบลงอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกแตกต่างมากขึ้น /186/ ตัวอย่างเช่น บทบาทสำคัญที่แสดงโดยระดับเครือญาติของบิดาหรือมารดา นักจิตวิทยาชาวอังกฤษได้ทดลองทดลองแล้วว่าหลานสาวที่เป็นนักเรียนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางอารมณ์กับคุณยายมากกว่าคุณยาย /240/

X. Weinberg ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่าบางครั้งการสร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจได้กับนักจิตวิเคราะห์ในบางครั้งง่ายกว่ากับเพื่อน ในเวลาเดียวกัน "ต่างจากมิตรภาพที่ทุกอย่างสร้างขึ้นจากการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันภายในกรอบของความสัมพันธ์เชิงวิเคราะห์การแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันนั้น จำกัด แต่ในขณะเดียวกันผู้ป่วยสามารถเปิดเผยสิ่งที่เขาไม่ยอมรับกับนักวิเคราะห์ต่อนักวิเคราะห์ของเขา เพื่อนหรือตัวเขาเอง" /41/. กระบวนการเปิดเผยตนเองยังได้รับอิทธิพลจากลักษณะสถานะของคู่ค้า เช่น ความสัมพันธ์ในระบบ "เจ้านาย - ผู้ใต้บังคับบัญชา" ทำให้เกิดข้อจำกัดที่สำคัญในการเปิดเผยตนเองของทั้งคู่

ลักษณะทางสังคมและจิตวิทยาของผู้รับได้รับการศึกษาอย่างดีภายใต้กรอบของปัญหาทางจิตวิทยาในการสื่อสาร วีเอ Labunskaya ระบุ 5 ปัจจัยที่กำหนดลักษณะ "ฟิลด์" ทั่วไปที่สุดของการสื่อสารที่ยากลำบาก: ลักษณะการพูดที่แสดงออก การรับรู้ทางสังคม ประเภทของความสัมพันธ์ รูปแบบของที่อยู่และเงื่อนไขการสื่อสาร /126/ ในความเห็นของเรา ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีอยู่ในการเปิดเผยตนเองเช่นกัน ลองพิจารณาตามลำดับจากมุมมองของการมีส่วนร่วมในกระบวนการนี้

ปัจจัยการแสดงออก-คำพูดของการเปิดเผยตัวเองรวมถึงลักษณะของคำพูดของผู้รับ ระดับของการติดต่อสื่อสารของลักษณะทางวาจาและอวัจนภาษาในการสื่อสารของเขา เช่นเดียวกับความสนใจของพันธมิตรที่แสดงออกมาภายนอกในการเปิดเผยตนเองในเรื่องที่ทำหน้าที่เป็น ผู้สื่อสาร ตามที่ V.A. Losenkov มันสำคัญมากที่เพื่อนจะต้อง "พร้อมฟังด้วยความสนใจ" /135/

ปัจจัยการรับรู้ทางสังคมรวมถึงความสามารถของผู้รับในการประเมินความรู้สึกและอารมณ์ของเรื่องของการเปิดเผยตนเอง แบบแผนทางสังคมและทัศนคติของเขา ประเภทของความสัมพันธ์รวมถึงความสามารถของคู่ครองในการเอาใจใส่เป็นการตอบสนองทางอารมณ์ต่อความรู้สึกของบุคคลอื่นในรูปแบบของความเห็นอกเห็นใจและการเอาใจใส่ /38, 122, 241/.

รูปแบบของที่อยู่เกี่ยวข้องกับความสามารถของพันธมิตรในการปฏิบัติตามบรรทัดฐานของการสื่อสาร การแสดงความเห็นอกเห็นใจ การรักษาการสนทนา เพื่อตอบแทนความตรงไปตรงมา ความสามารถในการฟังและแบ่งปันความรู้สึกของบุคคลอื่น A.I. Tashcheva เรียกลักษณะสำคัญของผู้รับซึ่งช่วยจัดการเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพของเขาเอง /225/ โดยแสดงการมีส่วนร่วมของเขา พันธมิตรช่วยให้ผู้สื่อสารลดความตึงเครียดภายใน

เงื่อนไขการเปิดเผยตนเองรวมถึงความถี่ในการสื่อสารกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ การสื่อสารที่บ่อยเกินไปตาม N. Pokrovsky สูญเสียข้อ จำกัด และความลึกตามธรรมชาติของมัน /182/ การสื่อสารที่หายากก็มีด้านลบเช่นกัน ทำให้ยากต่อการย้ายไปสู่ระดับที่ใกล้ชิดและเป็นส่วนตัวอย่างรวดเร็ว

สำหรับการเปิดเผยตนเอง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและลักษณะของพวกเขามีบทบาทสำคัญ: ระดับความคุ้นเคย ชอบและไม่ชอบ ระดับของความใกล้ชิดทางอารมณ์ตลอดจนประสบการณ์ของความสัมพันธ์กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อ. Zhuravlev และคนอื่น ๆ ทราบถึงความสำคัญของประสบการณ์ของการสื่อสารก่อนการทดลองในสถานการณ์ของการศึกษาเชิงทดลองเกี่ยวกับประเภทของทัศนคติของแต่ละบุคคลต่อสิ่งแวดล้อม การมีอยู่ของประสบการณ์ดังกล่าวเป็นตัวกำหนดการประเมินตนเองในระดับสูงในแง่ของทัศนคติที่ไว้วางใจและพึ่งพาอาศัยกัน และการไม่มีประสบการณ์ดังกล่าวจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความไม่ไว้วางใจและทัศนคติของบุคคลที่มีต่อผู้อื่นลดลง /81/ ตามทฤษฎีของ I. Altman และ D. Taylor เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลระหว่างบุคคลพัฒนาขึ้น การเปิดเผยตนเองของพวกเขาจะลึกซึ้งยิ่งขึ้น ความกว้างและระยะเวลาเพิ่มขึ้น จากผลงานของ V.A. Labunskaya และ T.A. Shkurko ซึ่งให้คำอธิบายที่สมบูรณ์ของเกณฑ์ในการจำแนกประเภทของความสัมพันธ์ในการสื่อสาร /127, 225/ สันนิษฐานได้ว่าการเปิดเผยตนเองได้รับอิทธิพลมากที่สุดจาก ลักษณะดังต่อไปนี้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล: เครื่องหมาย (ความจุ), ระดับความใกล้ชิดหรือระยะห่างระหว่างคู่ค้า, ระดับความคุ้นเคยและตำแหน่งของผู้รับ

สำรวจลักษณะของการเปิดเผยตนเองและความสัมพันธ์

ตามงานเชิงประจักษ์ครั้งแรกซึ่งประกอบด้วยการศึกษาลักษณะของการเปิดเผยตนเองของอาสาสมัครและความสัมพันธ์ของพวกเขาเราได้วิเคราะห์การเปิดเผยตนเองทุกประเภทโดยใช้วิธีการของ S. Jurard สำหรับนักเรียน 186 ที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษที่แตกต่างกันที่เข้าร่วมในการศึกษา . ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับ ได้ใช้วิธีการประมวลผลทางสถิติของข้อมูลทางสังคมและจิตวิทยา (แพ็คเกจ STATGRAPHICS) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าเฉลี่ยตัวอย่างถูกคำนวณสำหรับแต่ละกลุ่มวิชาทั้งสี่กลุ่ม ส่งผลให้พบว่าค่าเฉลี่ยของปริมาณการเปิดเผยข้อมูลตนเองทั้งหมดตามวิธี ส. จูราร์ด เท่ากับ 298.6 คะแนน ในขณะเดียวกัน ช่วงความแตกต่างส่วนบุคคลค่อนข้างกว้าง ค่าต่ำสุดคือ 106 และค่าสูงสุดคือ 584 คะแนน ซึ่งบ่งชี้ถึงความแปรปรวนสูงของตัวแปรที่กำลังศึกษา ซึ่งเป็นผลมาจากการพิจารณาปัจจัยหลายประการ ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลได้รับการจัดอันดับตามระดับการเป็นตัวแทนในการเปิดเผยตนเองของอาสาสมัคร (ดูภาคผนวก Yu)

จำนวนการเปิดเผยตนเองของแพทย์ นักจิตวิทยา นักข่าว และนักภาษาศาสตร์เกือบเท่ากัน (314.7; 300.6; 304.3; 284.7 คะแนน ตามลำดับ) ดังนั้นนักศึกษาสาขาวิชาพิเศษที่ศึกษาโดยรวมจึงไม่แตกต่างกันในแง่ของปริมาณการเปิดเผยตนเอง

ดังที่เห็นได้จากรูป กลุ่มแรกประกอบด้วยหมวดหมู่ที่ผู้ตอบแบบสอบถามเปิดเผยมากที่สุด (คะแนนรวมกลุ่มเฉลี่ยของการเปิดเผยตนเองในหมวดนี้สูงกว่า 44) ระดับสูงสุดที่นี่เต็มไปด้วยความสนใจและงานอดิเรก สำหรับหมวดนี้ ตัวบ่งชี้การเปิดเผยตนเองสูงที่สุดในกลุ่มที่ทำการศึกษาทั้งหมด นอกจากนี้ เกือบจะอยู่ในระดับเดียวกันโดยมีความแตกต่างเล็กน้อยในประเด็น มีข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาตลอดจนความคิดเห็นและทัศนคติ หมวดหมู่เหล่านี้ครองตำแหน่งที่สองและสามทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มตัวอย่าง การเปิดเผยตนเองสูงในหัวข้อ "การศึกษา" เกิดจากการที่กิจกรรมการเรียนรู้เป็นผู้นำสำหรับนักเรียน

โปรดทราบว่าหมวดหมู่ที่รวมอยู่ในบล็อกแรกใช้กับการสื่อสารของมนุษย์ในวงกว้าง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาไม่ส่งผลกระทบต่อแง่มุมที่ใกล้ชิดของบุคลิกภาพ ความเสี่ยงของตัวแบบในระหว่างการส่งมีน้อย ในหัวข้อเหล่านี้ คุณสามารถพูดคุยกับทุกคนได้อย่างอิสระ ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย เห็นอกเห็นใจและไม่เห็นอกเห็นใจ สิ่งนี้ทำให้นักเรียนสามารถเปิดใจกับพวกเขาได้ในระดับสูงสุด ช่วงที่สองประกอบด้วยหมวดหมู่ "ความสัมพันธ์" "บุคลิกภาพ" และ "ปัญหา" เมื่อปริมาณการเปิดเผยตนเองลดลง ตามที่พวกเขากล่าว บุคคลนั้นจะไม่เปิดเผยต่อทุกคนอีกต่อไป แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเปิดเผยต่อคนใกล้ชิดที่เขาไว้วางใจ ข้อมูลที่ให้ไว้ในตาราง 6 (ดูภาคผนวก 11) ระบุว่าแพทย์พูดถึงปัญหาของพวกเขามากกว่านักภาษาศาสตร์ (สำหรับกลุ่มอื่น ความแตกต่างนั้นไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ) ผู้รับการเปิดเผยตนเองสำหรับผู้ป่วยที่พูดถึงอาการป่วยของเขา เมื่อมีประสบการณ์ในการรับข้อมูลเชิงลบ พวกเขาไม่กลัวที่จะให้ข้อมูลประเภทนี้เกี่ยวกับบุคลิกภาพของพวกเขาอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม สำหรับนักปรัชญาแล้ว ประสบการณ์ดังกล่าวไม่ธรรมดา

"การเงิน" และ "เนื้อหา" กลายเป็นหัวข้อที่ "ปิด" มากที่สุดที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มที่สาม คะแนนการเปิดเผยตนเองโดยเฉลี่ยสำหรับหมวดหมู่เหล่านี้ต่ำกว่า 36.7 อาจเป็นไปได้ว่าปัจจัยกำหนดทางวัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในกลุ่มตัวอย่างรัสเซีย เป็นเวลานานในสังคมโซเวียตความปรารถนาที่จะมีความเป็นอยู่ที่ดีทางวัตถุถูกระงับอย่างเข้มงวด ข้อห้ามในการอภิปรายเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ ทั้งหมดนี้มีส่วนทำให้หัวข้อข้างต้นยึดตำแหน่งสุดท้ายอย่างแน่นหนาในลำดับชั้นของหัวข้อการเปิดเผยตนเอง

หมวดการเปิดเผยตนเองทั้งสามกลุ่มที่เราได้ทดลองแยกออกมาและจัดอันดับของหมวดหมู่ที่ได้รับโดยการจัดอันดับขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลที่ส่งไปใกล้เคียงกับผลลัพธ์ของ S. Jurard และ P. Lazakov ซึ่งระบุว่า "การเปิดเผยตนเองสูง " รวมถึงรสนิยมและความสนใจ ความคิดเห็นและการทำงาน และ "การเปิดเผยตนเองในระดับต่ำ" - หัวข้อการเงิน ร่างกาย และบุคลิกภาพ /297/ ความบังเอิญนี้ช่างน่าทึ่งยิ่งกว่าเพราะการวิจัยเกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ และในเวลาที่ต่างกัน (Jurard ดำเนินการวิจัยของเขาในยุค 60) ดังนั้นจึงสามารถสันนิษฐานได้ว่าอัตราส่วนของปริมาณการเปิดเผยตนเองตามหมวดหมู่เป็นความหมายดั้งเดิมสำหรับทั้งสองวัฒนธรรมแม้ว่าการเปิดเผยตนเองของชาวอเมริกันจะถูกกำหนดโดยบรรทัดฐานทางสังคมที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการเปิดเผยตนเองของชาวรัสเซีย ( ตัวอย่างเช่น ในสังคมอเมริกัน ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะพูดถึงขนาดของรายได้ คำถามทั้งหมดในหัวข้อนี้ถือว่าไม่เหมาะสม)

เลือก N.V. หมวดหมู่ย่อยของ Amyaga 3 ของหัวข้อการเปิดเผยตนเอง: หัวข้อของการสื่อสารผิวเผิน, หัวข้อของระดับความสนิทสนมโดยเฉลี่ยหรือไม่แน่นอน, หัวข้อที่ใกล้ชิดอย่างลึกซึ้ง และตำแหน่งในระดับการเปิดเผยตนเองของนักเรียนมัธยมปลาย 111 มีความสัมพันธ์อย่างเต็มที่กับทั้งสาม กลุ่มของหมวดหมู่การเปิดเผยตนเองที่เราได้รับ สามารถพูดได้เช่นเดียวกันเกี่ยวกับการจำแนกหัวข้อการสื่อสารที่เป็นความลับซึ่งดำเนินการโดย T.P. สคริปกินา ตามที่เธอกล่าว หัวข้อระดับสูงของความใกล้ชิดรวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแผน, ความฝัน, เป้าหมายของชีวิตและวิธีการบรรลุผล ลักษณะเฉพาะของความสัมพันธ์ในครอบครัว หัวข้อระดับความสนิทสนมโดยเฉลี่ย - ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานในการศึกษากับเพศตรงข้ามการประเมินบุคลิกภาพ หัวข้อของความสนิทสนมต่ำส่งผลกระทบต่อกิจกรรมยามว่างและปัจจุบัน กิจกรรมการเรียนรู้/215/. นอกจากนี้ ยังได้ข้อมูลที่คล้ายกับของเราในการศึกษาการเปิดเผยตนเองที่ดำเนินการควบคู่กันโดย N.V. Shemyakina กับคนงาน ทรงกลมทางสังคมตอนอายุ 25-45 /260/ และ M.V. Borodina - เกี่ยวกับนักศึกษาคณะจิตวิทยาและกฎหมาย /35/.

เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของแบบสอบถาม Jurard เวอร์ชันที่ใช้ ได้ทำการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ (ตามสเปียร์แมน) ซึ่งเป็นผลมาจากการเชื่อมต่อเครือข่ายทั้งหมดภายในวิธีการของ S. Jurard (ดูภาคผนวก 12) ดังนั้น ตัวบ่งชี้การเปิดเผยตนเองสำหรับทุกหมวดจึงมีความเกี่ยวข้องกันและกับปริมาณการเปิดเผยตนเองทั้งหมดที่มีนัยสำคัญในระดับสูง สิ่งนี้บ่งชี้ถึงความสอดคล้องภายในของรายการทดสอบ

ความสัมพันธ์ระหว่างความแตกต่างและการคัดเลือกของการเปิดเผยตนเองก็มีนัยสำคัญเช่นกัน (r=0.76, P 0.01) (ดูภาคผนวก 13) กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากบุคคลแยกแยะหัวข้อเรื่องการเปิดเผยตนเองได้ดี เขาก็แยกคู่สนทนาของตนอย่างชัดเจน โดยคำนึงถึงคุณลักษณะของพวกเขา และในทางกลับกันด้วย

เราไม่พบความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างตัวบ่งชี้การเลือกและความแตกต่างกับตัวบ่งชี้ปริมาณการเปิดเผยตนเองในหมวดหมู่ส่วนใหญ่ ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือหมวดหมู่ของ "ปัญหา" จากข้อมูลที่ได้รับ โดยมีความแตกต่างน้อยในการเปิดเผยตนเอง นักเรียนพูดถึงความล้มเหลวเป็นอย่างมาก เปิดเผยแง่มุมเชิงลบของบุคลิกภาพได้อย่างง่ายดาย (r = 0.23, Р 0.05) ดังนั้น ความแตกต่างที่ต่ำของการเปิดเผยตนเองจึงแสดงออกมาในความปรารถนาที่จะสื่อสารปัญหาของตนกับผู้มาก่อน

ปัจจุบันปรากฏการณ์ของการปรับตัวกลายเป็นปัญหาสำคัญประการหนึ่งในทฤษฎีและการปฏิบัติของวิทยาศาสตร์ทางจิตวิทยา ตอนนี้แทบไม่มีข้อสงสัยใดๆ ว่าปัญหาระดับโลกเช่นการสร้างความมั่นใจในศักยภาพของบุคคลแม้จะมีผลกระทบจากการเกิดโรคที่เพิ่มขึ้นของสิ่งแวดล้อม, การทำนายจังหวะของการพัฒนาจิตใจของเขา, การรักษาลักษณะทางจิตวิญญาณและศีลธรรมของเขา, สร้างความสัมพันธ์ใหม่ในสังคม, สามารถแก้ไขได้ โดยไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับกลไกการปรับตัว การวิเคราะห์แนวทางเชิงทฤษฎีและระเบียบวิธีในสาขาวิทยาศาสตร์ต่างๆ ทำให้สามารถแยกแยะความหมายทั่วไปของการปรับตัวได้หลายประการ: การปรับตัวเป็นกิจกรรมชีวิตในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงของการดำรงอยู่ การปรับตัวโดยการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง การปรับตัวตามความสำเร็จของความยั่งยืนใน สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ตรรกะของการพัฒนาสังคมและวิทยาศาสตร์ทางจิตวิทยาทำให้นักจิตวิทยาต้องศึกษาการปรับตัวเพื่อค้นหาวิธีการเปิดเผยตนเองที่เธอต้องการโดยบุคคล ในกรณีนี้เน้นที่ความปรารถนาของแต่ละบุคคลที่จะได้รับ กลยุทธ์ส่วนบุคคลปฏิสัมพันธ์กับความเป็นจริงโดยรอบที่เกิดขึ้นใหม่ตามโลกทัศน์ของตนเองด้วยวิสัยทัศน์ของตนเองว่าเกิดอะไรขึ้นและตัวเองอยู่ในนั้น

วิธีการดังกล่าวมีพื้นฐานอยู่บนการพิจารณาบุคลิกภาพเป็นเรื่องของการปรับตัว ซึ่งดูมีความสำคัญสำหรับการสรุปตามทฤษฎีและการแก้ปัญหาเชิงปฏิบัติ ในกรณีนี้ การปรับตัวเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นกลไกของการเปิดเผยตัวตนของบุคลิกภาพ ซึ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงของการเปลี่ยนแปลงภายนอกเป็นเงื่อนไขภายในเพื่อสร้างวิธีการใหม่ในการโต้ตอบกับความเป็นจริงและกับตัวเอง ซึ่งจำเป็นต่อการรักษาความสมบูรณ์ของตนเอง

ภาพเหมือนทางจิตวิทยาของบุคลิกภาพที่ปรับตัวได้ถูกกำหนดโดย: ลักษณะเฉพาะของการเข้าใจสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง การสะท้อนตนเองในภาพลักษณ์ใหม่ของสิ่งแวดล้อม การควบคุมตนเองของศักยภาพในการปรับตัวที่จำเป็นในการเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์ด้วย สิ่งแวดล้อมและตัวคุณเอง; การเปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม การวางแนวอัตตาที่เด่นชัดอันเป็นผลมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการเปิดเผยตนเองซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของ "ฉัน" แหล่งที่มาของการเปิดเผยตนเองเกี่ยวกับบุคลิกภาพประการหนึ่งอยู่ที่การตระหนักรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม การเกิดขึ้นของภาพบุคคลของสิ่งที่เกิดขึ้นหมายความว่าสิ่งแวดล้อมหยุดไม่แยแสต่อบุคคล บุคคลที่ตอบสนองต่ออิทธิพลภายนอกโดยอัตโนมัติจะกลายเป็นคนสะท้อน ประการแรก การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นที่ส่งผลต่อความต้องการของเขา ภาพใหม่ของสิ่งแวดล้อมนำไปสู่การเลือกพฤติกรรมและทัศนคติต่อตนเอง ในช่วงเริ่มต้นของการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่มีสภาพการดำรงอยู่ที่ผิดปกติ มีบทบาทพิเศษโดยการสะท้อนการเปลี่ยนแปลงใน "ฉัน" ของตัวเอง การตระหนักรู้ในตัวเองบ่งบอกถึงคุณสมบัติของการประมวลผลภายในของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายนอก กระบวนการนี้ถูกกำหนดโดยความหมายของการดำรงอยู่ของตนเอง ความสำคัญสำหรับปัจเจก มีการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของสิ่งแวดล้อมให้เป็นภาพของ "ฉัน" การวางแนวอัตตาของบุคลิกภาพที่ปรับตัวได้สะท้อนถึงความสำคัญของคุณค่าชีวิตของตนเอง บทบาทของการปฐมนิเทศอัตตาจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องปรับให้เข้ากับภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของ "ฉัน"

ส่วนใหญ่เนื่องจากการปฐมนิเทศอัตตา จึงเป็นไปได้ที่จะควบคุมบทบาทใหม่ บรรลุคุณค่าในตนเอง และปฏิสัมพันธ์ที่จำเป็นกับสิ่งแวดล้อมและกับตัวเอง หน้าที่หนึ่งของอัตตาที่เป็นศูนย์กลางของระบบจิตสำนึกคือการสร้างมาตรฐานในการกำหนดความสมบูรณ์และความเป็นปัจเจกบุคคลของมนุษย์ ถือได้ว่าในสภาพใหม่ของการดำรงอยู่ ตัวตนของตัวเองกลายเป็นจุดอ้างอิงหลักสำหรับแต่ละคนสำหรับการสร้างโปรแกรมที่จำเป็นสำหรับพฤติกรรมการปรับตัวและการก่อตัวของระบบความสัมพันธ์ส่วนตัวที่สำคัญกับโลก การสะท้อนกระตุ้นกลไกของการควบคุมตนเองส่วนบุคคล ความหมายหลักของกฎข้อบังคับส่วนบุคคลคือการจัดเตรียมเงื่อนไขภายในสำหรับการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุนี้บุคลิกภาพจึงรวมเอาศักยภาพในการปรับตัวที่มีอยู่และความเป็นไปได้ทั้งหมดที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อม มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ บุคลิกภาพจะรวมอยู่ในการควบคุมศักยภาพในการปรับตัวในเงื่อนไขของการคุกคามที่สำคัญอย่างแท้จริง นอกจากนี้ บุคลิกภาพยังชี้นำกิจกรรมเพื่อเอาชนะการพึ่งพาอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ความเป็นอิสระที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณสมบัติส่วนบุคคลนั้นสังเกตได้เมื่อการรักษาตนเองและการเปิดเผยตนเองขึ้นอยู่กับองค์กรทางจิตฟิสิกส์เป็นหลัก การเปลี่ยนแปลงศักยภาพในการปรับตัวทางจิตให้เป็นรูปแบบที่ซับซ้อนและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นของการบูรณาการทางจิตวิทยา แสดงให้เห็นถึงการกระจายสำเนียงของการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์กับความเป็นจริงโดยรอบและกับตัวเองนั้นขึ้นอยู่กับกิจกรรมของการควบคุมส่วนบุคคล

ในเรื่องนี้ ตระหนักถึงหน้าที่ของการสร้างที่มีอยู่ในการปรับตัว ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงแบบปรับตัวจะลดลงเป็นการเปลี่ยนแปลงในภาพลักษณ์ของ "ฉัน" และประเภทของบุคลิกภาพที่ปรับตัวเข้ากับการก่อตัวของกลุ่มอาการการปรับตัวส่วนบุคคล การเสริมมุมมองดั้งเดิมเกี่ยวกับการปรับตัวด้วยแนวคิดเชิงหัวเรื่องช่วยให้เราสรุปเป้าหมายหลักของการปรับตัวในวิธีที่ต่างออกไปได้หรือไม่ รับรองความสมบูรณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งหมายความว่าบุคลิกภาพที่ปรับตัวได้สามารถรักษาความสามัคคีภายในที่ต้องการและควบคุมกิจกรรมของตนเอง ซึ่งช่วยให้ทำหน้าที่เป็นตัวกำหนดภายในของการมีปฏิสัมพันธ์กับความเป็นจริงรอบข้างแบบไดนามิก ความสมบูรณ์ของปัจเจกบุคคล ระยะแรกการมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพความเป็นอยู่ที่ผิดปกตินั้นเกิดจากการกระตุ้นกระบวนการบูรณาการของอาการทางจิตอาการทางจิตและกลไกของการควบคุมส่วนบุคคล บทบาทสำคัญในการรับรองความสมบูรณ์ของบุคลิกภาพนั้นเป็นกระบวนการทางจิตที่ไม่ได้สติ รวมอยู่ในโครงสร้างของกลุ่มอาการการปรับตัวส่วนบุคคลโดยไม่คำนึงถึง ป้ายวัตถุประสงค์และคำอธิบายอัตนัยของเงื่อนไขของการดำรงอยู่ สิ่งนี้ทำให้เราสามารถพิจารณาว่าจิตไร้สำนึกเป็นองค์ประกอบบังคับของการตอบสนองแบบปรับตัวของแต่ละบุคคล ในเวลาเดียวกัน ข้อสันนิษฐานที่เกิดขึ้นซึ่งต้องมีการตรวจสอบการทดลองพิเศษว่าความบังเอิญของเนื้อหาของอารมณ์ที่ไม่ได้สติและความทะเยอทะยานที่ไม่ได้สติและความคิดที่มีสติหมายถึงความเป็นผู้ใหญ่ในการปรับตัวของแต่ละบุคคล

ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประสบการณ์ที่ลึกซึ้งและได้รับการแก้ไขโดยประสบการณ์ทางสังคมของปัจเจกบุคคล ทำให้เกิดความกลมกลืนของทัศนคติของเธอต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและบทบาทของเธอในนั้น สิ่งนี้จะเพิ่มกิจกรรมการกำกับดูแลของแต่ละบุคคลและทำให้บุคคลปรับตัวได้มากขึ้น ความคลาดเคลื่อนระหว่างเนื้อหาของอารมณ์และแรงจูงใจที่หมดสติและมีสติสัมปชัญญะผลักดันให้บุคคลค้นหาทั้งสิ่งที่พึงปรารถนาทางสังคมและไม่ถูกลงโทษโดยวิธีทางสังคมเพื่อชดเชยความขัดแย้งในการปรับตัว การพิจารณาบุคลิกภาพเป็นเรื่องของการปรับตัว ด้านหนึ่ง เสริมวิสัยทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ของการปรับตัว? เปิดมิติใหม่ของจิตวิทยาบุคลิกภาพ เพื่อให้เข้าใจจิตวิทยาของคนสมัยใหม่ สิ่งสำคัญคือ โครงสร้างบุคลิกภาพรวมคุณสมบัติทางจิตวิทยาตัวแปรและค่าคงที่ ความเป็นพลาสติกของลักษณะบุคลิกภาพทางจิตวิทยา? การได้มาซึ่งการปรับตัวที่สำคัญซึ่งจำเป็นต่อการรักษาความสามารถในการดำรงชีวิตในโลกภายนอกที่มีพลวัต อะไรคือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับการปรับเปลี่ยนคุณสมบัติทางจิตวิทยาของบุคคลคือ: สำหรับการเปลี่ยนช่วงของอาการและโครงสร้างของพวกเขา? ให้การเปลี่ยนแปลงทางสังคมระดับโลกในสังคมของเรา ปฏิสัมพันธ์ระยะสั้นกับสภาพความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนแปลงสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างในลักษณะบุคลิกภาพ ในเวลาเดียวกัน ทรัพย์สินส่วนบุคคลสามารถแสดงให้เห็นถึงความเฉื่อยของการรวมเข้าไว้ในกระบวนการปรับตัว เห็นได้ชัดว่ามีการสร้างสำรองเพิ่มเติมของการปรับตัวซึ่งการเปิดใช้งานนั้นเป็นไปได้เมื่อ ระบบปฏิบัติการไม่สามารถรับรองความสมบูรณ์ของบุคคลได้

ค่าคงที่คือศักยภาพในการรักษาเอกลักษณ์ของตนเอง ค่าคงที่ช่วยให้บุคคลสามารถรักษาประสบการณ์การปรับตัวของตนเองได้ ดังนั้นการปรับตัวในสภาพการปฏิรูประบบสังคมจึงไม่กระทบต่อความมั่นคงทางอารมณ์และความอ่อนไหวต่อสิ่งใหม่ ตลอดจนคุณสมบัติที่รับรองการจัดระเบียบตนเอง เป็นเวลานานคุณสมบัติที่เน้นความสำคัญของตัว "ฉัน" ของตัวเองยังคงมีเสถียรภาพ ความคงเส้นคงวายังคงปรากฏให้เห็นในคุณสมบัติของการควบคุมตนเอง ความอยากอาหาร ความเสี่ยง วิธีการใช้ทักษะการสื่อสาร และความมั่นคงทางอารมณ์ การบูรณาการลักษณะบุคลิกภาพที่สะท้อนถึงความสามารถในการจัดระเบียบตนเอง มุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนกลุ่ม วุฒิภาวะทางอารมณ์ และการมองโลกในแง่ดีในชีวิต แม้จะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการศึกษาปรากฏการณ์การปรับตัว แต่สาขาวิชาวิทยาศาสตร์อิสระที่จัดระบบความรู้เกี่ยวกับรูปแบบทางจิตวิทยาของการปรับตัวของมนุษย์ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และเผยให้เห็นขอบเขตของการประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัตินั้นเพิ่งเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเพราะขั้นตอนการจัดหมวดหมู่หลักที่ยืดเยื้อของการวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่มีอยู่ ในขณะเดียวกัน ข้อมูลที่สะสมมีศักยภาพค่อนข้างมากสำหรับการวิจัยเชิงทฤษฎีและการพัฒนาเชิงประจักษ์

และการเปิดเผยตนเองในการสื่อสาร

บทบาทของการเปิดเผยตนเองในการสื่อสารระหว่างบุคคล

ฉันรู้จักตัวเองดีแค่ไหน? คนอื่นรู้จักฉันดีแค่ไหน? เข้าใจฉันง่ายไหม ฉันสบายใจที่จะบอกคนอื่นว่าฉันมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อเหตุการณ์ ฉันรู้สึกอย่างไร ฉันคิดอย่างไร นี่เป็นคำถามที่สำคัญ เพื่อให้ฉันชอบคุณ เริ่มต้นความสัมพันธ์กับคุณ เป็นเพื่อนกับคุณ ฉันต้องรู้ว่าคุณเป็นใคร เพื่อให้ฉันรู้จักคุณ คุณต้องรู้จักตัวเอง เพื่อให้คุณเปิดใจกับฉันได้อย่างอิสระ คุณต้องยอมรับและชื่นชมตัวเอง

“การพลัดพรากจากตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไม่เพียงนำไปสู่การหยุดการพัฒนาบุคลิกภาพ แต่ยังเปลี่ยนความสัมพันธ์กับผู้คนเป็นเรื่องตลก ... คนที่แปลกแยกจากตัวตนของเขาที่ไม่เปิดเผยตัวเองอย่างเต็มที่และตามความจริงไม่สามารถรักใครได้อีก บุคคลและไม่สามารถรักได้โดยพวกเขา สำหรับรักแท้ ความรู้เรื่องวัตถุแห่งความรักเป็นสิ่งจำเป็น ... จะรักคนที่ไม่รู้จักได้อย่างไร? อีกคนจะรักฉันได้อย่างไร ถ้าเขาไม่รู้จักฉัน ... สำหรับความสัมพันธ์ที่สนิทสนมอย่างแท้จริงระหว่างคนสองคนจำเป็นต้องมีการเปิดเผยตัวตนของฉันต่อกันอย่างซื่อสัตย์และสมบูรณ์” (S. Jourard, 1964)

หากไม่มีการเปิดเผยตนเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ใกล้ชิดกับบุคคลอื่น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนพัฒนาขึ้นเมื่อพวกเขาเปิดกว้างและเปิดเผยตัวต่อกันมากขึ้น หากคุณไม่สามารถเปิดเผยตัวเองได้ คุณก็ไม่สามารถใกล้ชิดกับคนอื่นได้ และคนอื่น ๆ ก็ไม่เห็นคุณค่าในคุณสมบัติของคุณ เพื่อจะได้ใกล้ชิดกับคนอื่น คุณต้องรู้จักเขา และเขาต้องรู้จักคุณ คนสองคนที่แบ่งปันความรู้สึกที่มีต่อสถานการณ์และต่างใกล้ชิดกันมากขึ้น คนสองคนที่เงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังคงเป็นคนแปลกหน้า จะรักเธอ ลงมือ ต้องรู้ว่าฉันเป็นใคร

การเปิดเผยตนเองสามารถกำหนดได้ว่าเป็นการเปิดเผยความรู้สึกของคุณเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตลอดจนการสื่อสารเกี่ยวกับอดีตที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกของคุณเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน. ทัศนคติของผู้คนต่อเหตุการณ์ไม่ได้มากเท่ากับความรู้สึก การเปิดใจรับอีกวิธีหนึ่งคือการแบ่งปันกับคนอื่นว่าคุณรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับคำพูดที่พวกเขาพูด การกระทำ หรือเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น การเปิดเผยตัวเองไม่ได้หมายความว่าเปิดเผยด้านที่สนิทสนมของคุณ ชีวิตที่ผ่านมา. การสารภาพผิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับอดีตของคุณสามารถสร้างความรู้สึกใกล้ชิดชั่วคราวได้ แต่ความสัมพันธ์นั้นสร้างขึ้นจากรายงานการกระทำของคุณในปัจจุบันหรือโอกาสนั้นในปัจจุบันหรือสัมพันธ์กับสิ่งที่บุคคลอื่นพูดหรือทำ คนเริ่มรู้จักและเข้าใจคุณไม่ใช่เพราะเขาได้รับข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตในอดีตของคุณ แต่เมื่อเขาเข้าใจว่าคุณทำอะไรในปัจจุบัน ข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตในอดีตจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อช่วยให้เข้าใจว่าเหตุใดคุณจึงทำตัวเป็นคุณในตอนนี้

แนวคิดของการเปิดเผยตนเองมีรากฐานมาจากจิตวิทยาของการปฐมนิเทศอย่างเห็นอกเห็นใจและเกี่ยวข้องกับชื่อของตัวแทนที่รู้จักกันดีเช่น K. Rogers A. Maslow และ S. Jurard ที่สุด การวิเคราะห์ที่สมบูรณ์การศึกษาการเปิดเผยตนเองในด้านจิตวิทยาต่างประเทศทำโดย N.V. เอมีก้า (1992). จากการศึกษาการเปิดเผยตนเองพบว่าประเด็นหลักของการวิจัย (N.V. Amyaga, 1992, p. 39):

1) คำจำกัดความของแนวคิด

2) หน้าที่ ผลของการเปิดเผยตนเองสำหรับผู้สื่อสาร ผู้รับ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

3) ปัจจัยภายในและภายนอกของการเปิดเผยตนเอง

4) การเปิดเผยตนเองและบริบท การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

5) การเปิดเผยตนเองในกลุ่ม ประเภทต่างๆ;

6) การศึกษาทดลองการเปิดเผยตนเอง: พารามิเตอร์ วิธีการวิจัย

การเปิดเผยตนเองส่วนบุคคลเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ของบุคคลในสังคม ในระบบของความสัมพันธ์ทางสังคม ดังที่พี. เคลวินตั้งข้อสังเกต การไม่เปิดเผยตัวตนอาจนำไปสู่การแยกตัวออกจากสังคมได้ ด้วยความช่วยเหลือจากการเปิดเผยตนเอง บุคคลจะเข้ากับบริบททางสังคมบางอย่างได้ เชื่อมโยงแนวคิดของเขากับแนวคิดของผู้อื่นเพื่อแก้ไขเพิ่มเติม การเปิดเผยบุคลิกภาพด้วยตนเองตาม E. Hoffman (1984) ก็มีความสำคัญสำหรับผู้อื่นเช่นกัน เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลช่วยให้พวกเขาระบุสถานการณ์ ทำให้สามารถเข้าใจล่วงหน้าว่าคู่จะคาดหวังอะไรจากพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ คาดหวังจากเขา การเปิดเผยตนเองทำหน้าที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและจิตวิทยาที่แยกจากกันซึ่งต้องมีการศึกษาอย่างจริงจังและละเอียดถี่ถ้วน

เมื่อเร็ว ๆ นี้นักจิตวิทยาในประเทศและต่างประเทศได้พยายามเอาชนะคำอธิบายและความผิวเผินในคำจำกัดความของแนวคิดเรื่อง "การเปิดเผยตนเอง" ให้เราให้คำจำกัดความที่มีอยู่บางส่วน D. Myers เชื่อว่าแก่นแท้ของการเปิดเผยตนเองคือ "การเปิดเผยประสบการณ์และความคิดในสุดแก่บุคคลอื่น" เอ็น.วี. Amyaga (1989) เข้าใจปรากฏการณ์ของการเปิดเผยตนเองจากมุมมองของแนวคิดของการสื่อสารแบบโต้ตอบเป็น "การปรากฎของการเจรจาในฐานะเงื่อนไขข้อกำหนดเบื้องต้นและการเจรจาในทางกลับกันเป็นเงื่อนไขและเป็นลักษณะภายใน การเปิดเผยตนเอง” ที.พี. Skripkina (1999) เข้าใจการเปิดเผยตนเองว่าเป็น "ความจริงของการเปิดเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับโลกภายในของตนเองโดยสมัครใจแก่บุคคลอื่น" อี.วี. Zinchenko (1999) เชื่อว่าการเปิดเผยตนเองควรถือเป็นหนึ่งในรูปแบบการสื่อสาร นอกจากนี้ ผู้เขียนชี้ให้เห็นถึงสามด้านในนั้น ซึ่งแตกต่างจาก G.M. Andreeva (1997) ในการสื่อสาร: การสื่อสาร (การแลกเปลี่ยนข้อมูล) การโต้ตอบ (การแลกเปลี่ยนการกระทำ) และการรับรู้ (การรับรู้ซึ่งกันและกันโดยพันธมิตร) จากแนวคิดนี้ ปรากฎว่าในคำจำกัดความของการเปิดเผยตนเอง เอส. จูราร์ด ส่งผลกระทบต่อด้านการสื่อสารของกระบวนการเท่านั้น ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไม่ใช่เพียงฝ่ายเดียว

เนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลตนเองจำเป็นต้องสร้างขึ้นจากการรับรู้ของพันธมิตรซึ่งกันและกัน ซึ่งสะท้อนถึงคุณสมบัติและคุณสมบัติต่างๆ จึงรวมถึงองค์ประกอบการรับรู้ทางสังคมด้วย ดังนั้น เพื่อที่จะเปิดใจให้กับบุคคลอื่น จำเป็นต้องสร้างภาพลักษณ์ของเขาและมองว่าคู่นั้นเป็นคนที่คุณสามารถเปิดใจได้ ในทางกลับกัน ผู้รับการเปิดเผยข้อมูลตนเองจะต้องรับรู้ว่าบุคคลนั้นเป็นคนที่สามารถรับฟังได้ ในกระบวนการเปิดเผยตนเอง ผู้รับการทดลองจะอ่านคำตอบของผู้รับอย่างต่อเนื่อง และภาพที่ได้จะทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมการเปิดเผยตนเองเพิ่มเติม มีส่วนทำให้เกิดการพับหรือขยายตัว การเปลี่ยนทิศทาง ฯลฯ “ความล้มเหลว” ใด ๆ ในการรับรู้ซึ่งกันและกันโดยพันธมิตรมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อลักษณะของการเปิดเผยตนเอง: ความลึก ความกว้าง ฯลฯ

ประเด็นสำคัญคือ ในระหว่างการเปิดเผยตนเอง ไม่เพียงแต่การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกิดขึ้น แต่ยังรวมถึงผลกระทบของบุคคลหนึ่งต่ออีกคนหนึ่งด้วย ซึ่งท้ายที่สุดสามารถเปลี่ยนตำแหน่งและพฤติกรรมของค่าความหมายและพฤติกรรมของคนหลังได้ ในทำนองเดียวกันมีการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของหัวข้อการเปิดเผยตนเอง (ตาม N.V. Amyaga) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้าร่วมในกระบวนการเปิดเผยตนเองอาจจบลงด้วยการตัดสินใจร่วมกัน (หาทางออกจากสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น ฯลฯ ) เราสามารถพูดคุยเกี่ยวกับความสำเร็จหรือประสิทธิผลของการมีปฏิสัมพันธ์อันเป็นผลมาจากการเปิดเผยตนเอง หากผู้คนรู้สึกว่าวิธีที่พวกเขานำเสนอตัวเองนั้นได้รับการตอบรับเชิงบวกจากผู้อื่น การโต้ตอบนั้นถือว่าประสบความสำเร็จ เมื่อผู้คนรู้สึกว่าคนอื่นเห็นพวกเขาเหมือนที่พวกเขาเห็นตัวเอง การโต้ตอบนั้นจะถูกมองว่าเป็นการเห็นด้วย ความสำคัญของการเปิดเผยตนเองด้านโต้ตอบนั้นถูกระบุโดยข้อมูลของ V.A. Goryanina (1996) ซึ่งหนึ่งในสาเหตุของรูปแบบปฏิสัมพันธ์ที่ไม่ก่อผล - ความโน้มเอียงอย่างต่อเนื่องของบุคคลต่อการติดต่อที่ไม่ก่อผลในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลการปิดกั้นความสำเร็จของผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของกิจกรรมร่วมกัน - คือความไม่ไว้วางใจในผู้คนและในโลก โดยรวมซึ่งแสดงออกเหนือสิ่งอื่นใดในการแยกออกจากสภาพแวดล้อมและพยายามซ่อนความรู้สึกและประสบการณ์ที่แท้จริงจากพวกเขา ดังนั้น ความโดดเดี่ยวในพื้นที่ของตนเอง ความแปลกแยกจากผู้อื่นจึงเป็นลักษณะเฉพาะของบุคคลที่มีแนวโน้มจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ไม่ก่อผล ในทางตรงกันข้าม การเปิดกว้างนำพาบุคคลไปสู่การตระหนักถึงศักยภาพของเขาอย่างมีประสิทธิผล เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ดี ดังนั้นการสื่อสารใด ๆ ของข้อมูลส่วนบุคคลที่ใกล้ชิดเกี่ยวกับตัวเองมีผลกระทบอย่างมากต่อผู้รับเนื่องจากมันบังคับให้เขาตอบสนองต่อข้อมูลนี้ในทางใดทางหนึ่ง: เพื่อให้การสนับสนุนทางจิตวิทยา ความช่วยเหลือทางสังคม จิตวิทยา กฎหมาย การแพทย์ หรืออื่นๆ: ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา ฯลฯ

ดังนั้น ปรากฏการณ์ของการเปิดเผยตนเองรวมถึงองค์ประกอบทั้งสามของการสื่อสาร แต่ใน แยกงานให้ความสนใจมากขึ้นกับหนึ่งในนั้นเท่านั้น นอกจากนี้ ควรสังเกตว่าการเปิดเผยตนเองอาจต้องใช้เวลา แบบต่างๆขึ้นอยู่กับระดับของการไกล่เกลี่ย ระดับของการบังคับ ธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ฯลฯ

ประเภทของการสื่อสารมีหลายประเภท บนพื้นฐานของการจำแนกประเภทของการเปิดเผยตนเองได้ ดังนั้น การแบ่งส่วนการสื่อสารโดยตรง (ทันที) และโดยอ้อม (ไกล่เกลี่ย) จึงกลายเป็นเรื่องคลาสสิกไปแล้ว (A.A. Bodalev, 1995) การสื่อสารผ่านสื่อกลางเป็นสิ่งที่ดำเนินการบนพื้นฐานของอุปกรณ์ต่างๆ (ส่วนใหญ่มักเป็นเทคนิค) - "ผู้ไกล่เกลี่ย" บทบาทของการสื่อสารดังกล่าวใน สังคมสมัยใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ด้วยการถือกำเนิดของการเขียน วิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ บุคคลเริ่มใช้อุปกรณ์เหล่านี้ทั้งหมดในการส่งข้อมูล รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคล ไปยังบุคคลอื่น และขนาดของการสื่อสารดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากการปรับปรุงทางเทคนิค หมายความว่าให้พวกเขา ดังนั้น ตามเกณฑ์ของประเภทของการติดต่อระหว่างเรื่องของการเปิดเผยตนเองกับผู้รับ เราสามารถแยกการเปิดเผยตนเองโดยตรงและโดยอ้อมได้ การเปิดเผยตนเองโดยตรงเกิดขึ้นในระหว่างการติดต่อกับ "สด" จริงกับคู่สนทนา เป็นรูปแบบการเปิดเผยตนเองที่ได้รับการศึกษาตามหลักจิตวิทยาต่างประเทศ

การแบ่งแยกการเปิดเผยตนเองโดยอาศัยสื่อกลางนั้นเกิดจากการที่วิธีการทางเทคนิคค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในทุกด้านของชีวิตของบุคคลตั้งแต่กิจกรรมการผลิตไปจนถึงแง่มุมที่ลึกที่สุดในชีวิตส่วนตัวของเขา สื่อมวลชนเริ่มมีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ของโลกโซเชียล (G.M. Andreeva) แต่การเปิดเผยตนเองทางอ้อมไม่เพียงดำเนินการผ่านอุปกรณ์ทางเทคนิคต่างๆ เท่านั้น แต่ยังดำเนินการผ่านจดหมาย ประกาศ ร้อยแก้วเกี่ยวกับอัตชีวประวัติ ฯลฯ สำหรับการจองบางรายการ รายการบันทึกประจำวันสามารถนำมาประกอบกับการเปิดเผยตนเองโดยอาศัยสื่อกลาง J. Rainwater แนะนำให้พิจารณาไดอารี่ว่าเป็น "สถานที่" ที่บุคคลสามารถจัดการกับปัญหาที่มีอยู่ ตระหนักถึงความรู้สึกและอารมณ์ของเขา เข้าใจประสบการณ์ และหาทางออกที่ดีที่สุด โดยปกติ รายการไดอารี่ไม่ได้มีไว้สำหรับให้ผู้อื่นอ่าน แม้ว่าสถานการณ์นี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ภายใต้เงื่อนไขบางประการ

ในกรณีของการติดต่อทางอ้อม บุคคลจริงสามารถทำหน้าที่เป็นผู้รับซึ่งขณะนี้อยู่ไกลจากเรื่อง คู่จินตภาพ; เรื่องของการเปิดเผยตัวเอง; หรือกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามบางกลุ่ม ดังนั้น การเปิดเผยตนเองโดยอาศัยสื่อกลางในข้อความโฆษณาทางหนังสือพิมพ์จึงเน้นไปที่การหาพันธมิตรที่มีศักยภาพซึ่งหัวข้อนี้ยังไม่คุ้นเคย

I.P. Shkuratova

แรงจูงใจในการเปิดเผยตนเองในการสื่อสารระหว่างบุคคล

การศึกษาการเปิดเผยบุคลิกภาพในการสื่อสารด้วยตนเองในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาในด้านจิตวิทยาต่างประเทศ ส่งผลให้เกิดทิศทางทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นอิสระ ซึ่งตั้งอยู่บนพรมแดนระหว่างจิตวิทยาสังคมและจิตวิทยาบุคลิกภาพ ฐานข้อมูลของ American Psychological Association เป็นเวลาห้าปีระหว่างปี 1989 ถึง 1995 ประกอบด้วยเอกสาร 255 ฉบับและบทความ 583 ฉบับที่กล่าวถึงปัญหาหลากหลายแง่มุมนี้ในแง่มุมต่างๆ จิตวิทยา เหมือนกับอาจไม่มีวิทยาศาสตร์อื่นใด มีคุณสมบัติที่น่าทึ่งในการทำให้สามารถตีความซ้ำได้หลายครั้ง วัสดุเชิงประจักษ์เก่าผ่านปริซึมของแนวคิดที่สร้างขึ้นใหม่ ในเวลาเดียวกัน แนวคิดใหม่นี้ไม่ได้ยกเลิกการตีความแบบเก่าเลย แต่เพียงทำให้สามารถมองเข้าไปในผลึกเวทมนตร์ซึ่งเป็นบุคลิกได้ผ่านแง่มุมใหม่เท่านั้น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับแนวคิดของการเปิดเผยตนเอง ไม่มีเขา เป็นเวลานานจัดการโดยไม่ต้องแยกเป็นหัวข้อย่อย อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนการเน้นจากการรับรู้ของมนุษย์เป็นการแปลโดยมนุษย์ ซึ่งสัมพันธ์กับจิตวิญญาณของปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดการปัญหานี้อย่างจริงจังและละเอียด

ความสำคัญเชิงทฤษฎีและเชิงปฏิบัติที่ยอดเยี่ยมและความเชื่อมโยงระหว่างกันกับปัญหาอื่นๆ อีกหลายประการของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลปรากฏชัดในทันที การวิเคราะห์บทคัดย่อของบทความที่มีอยู่ในฐานข้อมูลสมาคมจิตวิทยาอเมริกันแสดงให้เห็นว่าการวิจัยการเปิดเผยตนเองด้านใดมีความสำคัญสำหรับนักจิตวิทยาในประเทศต่างๆ ในแง่ของจำนวนงาน ปัญหาการเปิดเผยตนเองของบุคคลที่เบี่ยงเบนจากบรรทัดฐานทางกายภาพหรือทางสังคม กล่าวคือ คนที่ต้องซ่อนลักษณะเฉพาะของตนจากผู้อื่น มาก่อนในจำนวนงาน ซึ่งรวมถึงผู้ป่วยโรคเอดส์ เลสเบี้ยน รักร่วมเพศ ผู้ติดยา เหยื่อความรุนแรงทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานจำนวนมากที่อุทิศให้กับการศึกษาความสัมพันธ์ของผู้ที่มีรสนิยมทางเพศที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม อันดับที่สองคือการศึกษาของวัยรุ่นซึ่งการเปิดเผยตนเองยังทำให้เกิดปัญหาเนื่องจากลักษณะอายุของพวกเขา อันดับที่สามถูกครอบครองโดยสิ่งตีพิมพ์ที่กล่าวถึงอิทธิพลของการเปิดเผยตนเองของผู้ป่วยและนักจิตอายุรเวทในกระบวนการทางจิตบำบัด ยิ่งไปกว่านั้น หากทุกคนมองว่าการเปิดเผยตนเองของผู้ป่วยเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับความสำเร็จ ก็ไม่มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในหมู่ผู้แทนจากสาขาต่างๆ ของจิตบำบัดเกี่ยวกับการเปิดเผยตนเองของนักจิตอายุรเวท งานที่เหลือทุ่มเทให้กับการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกและภายในตัวต่างๆ ที่มีส่วนหรือขัดขวางการเปิดเผยตนเอง และความแตกต่างข้ามวัฒนธรรม นอกจากการเปิดเผยตนเองแล้ว การนำเสนอตนเองยังได้รับการศึกษาอย่างแข็งขัน ซึ่งเข้าใจว่าเป็นความปรารถนาที่จะสร้างความประทับใจให้ผู้อื่น

การวิเคราะห์ทิศทางของงานเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนให้ความสำคัญกับการศึกษาปรากฏการณ์ของการเปิดเผยตนเองมากกว่าการศึกษาด้านแรงบันดาลใจและความหมาย ในเวลาเดียวกัน เป็นที่ชัดเจนว่าความก้าวหน้าต่อไปในการทำความเข้าใจธรรมชาติของปรากฏการณ์นี้กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โดยไม่อ้างอิงถึงแรงจูงใจในการเปิดเผยตนเอง เนื่องจากเนื้อหาของการเปิดเผยตนเองสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยสิ้นเชิงทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและแรงจูงใจของการมีปฏิสัมพันธ์ คนเดียวและคนเดียวกัน น่าเสียดายที่ในสิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่ผู้เขียนไม่ได้ศึกษากระบวนการเปิดเผยตัวเองมากนัก แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผลลัพธ์ของคำตอบของแบบสอบถาม Jurard กับตัวบ่งชี้การทดสอบบุคลิกภาพอื่น ๆ หรือลักษณะของสถานการณ์ที่ใช้การวัด สถานที่. วิธีการดังกล่าวไม่เพียงแต่ไม่เพียงพอ แต่ยังไม่ถูกต้องอีกด้วย เนื่องจากนักวิจัยดำเนินการกับตัวบ่งชี้การเปิดเผยตนเองในขั้นสุดท้าย ซึ่งหัวข้อความใกล้ชิดที่แตกต่างกันเช่น "อาหารจานโปรดของฉัน" และ "ความกลัวและความวิตกกังวลของฉัน" ก็มีส่วนอย่างเท่าเทียมกัน

ความแตกต่างระหว่างการเปิดเผยตนเองและการนำเสนอตนเองที่นำเสนอในวรรณคดีต่างประเทศนั้นไม่ได้ดูเหมือนกับฉันที่จะสะท้อนถึงความแตกต่างที่สำคัญของพวกเขา D. Myers นิยามการนำเสนอตนเองว่า "การแสดงตัวตนและพฤติกรรมที่มุ่งสร้างความประทับใจหรือความประทับใจที่สอดคล้องกับอุดมคติของใครบางคน" อันที่จริง การนำเสนอตนเองสามารถมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายที่ตรงกันข้าม กล่าวคือ การสร้างความประทับใจที่ไม่เอื้ออำนวย เพียงพอที่จะระลึกถึงพฤติกรรมของขอทานมืออาชีพซึ่งแสดงโดย L. Akhedzhakova ในภาพยนตร์เรื่อง "Promised Heaven" เธอสามารถแสดงตัวว่าเป็นเหยื่อของการกดขี่ของสตาลินหรือเป็นเหยื่อของเปเรสทรอยก้าทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทิศทางทางสังคมของผู้สัญจรไปมา บางครั้งการเปิดเผยตนเองนั้นตรงกันข้ามกับการนำเสนอตนเองตามเกณฑ์ความจริงและความลึกของภาพที่สร้างขึ้น N.V. Amyaga เชื่อว่า "การเปิดเผยตนเองแบบผิวเผินและตื้นมักเกี่ยวข้องกับการนำเสนอตนเองที่เด่นชัด และสามารถอธิบายได้ว่าเป็นการนำเสนอตนเองมากกว่า" การเปิดเผยตนเองแบบตื้นสามารถสังเกตได้ในสถานการณ์ของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามปกติระหว่างวิทยากร ซึ่งไม่มีการไล่ตามเป้าหมายอื่นเลย สำหรับฉันแล้วดูเหมือนว่าความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการแสดงออกถึงตัวตนทั้งสองรูปแบบนั้นอยู่ที่เป้าหมายที่บุคคลแสวงหาในกรณีใดกรณีหนึ่ง หากบุคคลต้องการความช่วยเหลือด้านจิตใจ ก็มีแนวโน้มว่าเขาจะมีความจริงใจมากที่สุด แม้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ คนๆ หนึ่งพยายามพูดถึงตัวเองในลักษณะที่ภาพลักษณ์ของเขามีลักษณะที่เป็นบวกมากกว่า หากเป้าหมายของการสื่อสารคือการได้รับความเห็นอกเห็นใจจากคู่สนทนาหรือรับวัสดุหรือความช่วยเหลือทางธุรกิจอื่น ๆ จากเขา หัวข้อจะนำเสนอตัวเองในรูปแบบที่เขาสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากมุมมองของเขา ในขณะเดียวกันก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องให้ข้อมูลที่เป็นเท็จเกี่ยวกับตัวเอง แต่ก็เพียงพอที่จะเน้นย้ำถึงการมีอยู่ของคุณสมบัติที่เกี่ยวข้อง แม้ว่าเราจะพูดถึงเป้าหมายในที่นี้ แต่ก็ต้องคำนึงว่าบ่อยครั้งที่เป้าหมายเหล่านี้ทำได้ไม่ดีหรือไม่รับรู้เลยจากการเปิดเผยตนเอง ดังนั้นจึงถูกต้องกว่าที่จะพูดถึงแรงจูงใจ บุคคลอาจหรือไม่อาจทราบถึงแรงจูงใจที่กระตุ้นให้เขาเล่าเกี่ยวกับตนเองให้คนอื่นฟัง งานนี้อุทิศให้กับการศึกษาคำถามเกี่ยวกับขอบเขตที่ผู้คนสามารถตระหนักถึงแรงจูงใจเหล่านี้ได้ไม่ว่าจะมีความเชื่อมโยงระหว่างแรงจูงใจที่เขาเรียกร้องกับเนื้อหาการเปิดเผยตนเองกับคู่สนทนาที่แตกต่างกันหรือไม่

วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการเปิดเผยตนเองในการสื่อสารระหว่างบุคคล ซึ่งกำหนดไว้ในงานดังต่อไปนี้ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดเผยตนเองกับแรงจูงใจในการสื่อสารกับบุคคลจากสิ่งแวดล้อมใกล้เคียง 2) เพื่อวิเคราะห์แรงจูงใจในการเปิดเผยตนเองในการสื่อสารกับ ผู้คนที่หลากหลาย; 3) เพื่อสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจและเนื้อหาการเปิดเผยตนเองในการสื่อสาร

เพื่อแก้ปัญหาแรกภายใต้การนำของฉัน A.G. Bovina เรียนการบินซึ่งมีสตรี 19 คน และชาย 9 คน อายุระหว่าง 21-67 ปี ทำงานที่โรงงาน พวกเขาถูกขอให้กรอกแบบฟอร์มสำหรับการทดสอบการวินิจฉัยแรงจูงใจระหว่างบุคคล (IMO) และการทดสอบการวินิจฉัยการเปิดเผยตนเอง ในการทดสอบ MMO ที่ฉันพัฒนาขึ้นโดยอิงจากการทดสอบเพลงของ J. Kelly ผู้ถูกขอให้ทำรายชื่อบุคคลที่สร้างสภาพแวดล้อมที่แท้จริงของเขาในครอบครัว ที่ทำงาน และในแวดวงที่เป็นมิตร จากนั้นจึงประเมินว่า แรงจูงใจในการสื่อสารที่แตกต่างกันเป็นลักษณะของปฏิสัมพันธ์ของเขากับแต่ละคนจากบุคคลดังกล่าว จากข้อมูลที่ได้รับ เป็นไปได้ที่จะกำหนดระดับของการแสดงออกของแรงจูงใจแต่ละหมวดหมู่ เช่นเดียวกับขนาดของแรงจูงใจในการสื่อสารเรื่องกับแต่ละบุคคลที่ระบุโดยเขา การทดสอบเพื่อวินิจฉัยการเปิดเผยตนเองได้รับการพัฒนาโดยอาศัยการทดสอบการเปิดเผยตนเองโดย S. Jurard ในระหว่างการดำเนินการ ผู้เข้าร่วมต้องประเมินว่าเขาเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับบุคลิกลักษณะต่างๆ ของเขาในแง่มุมต่างๆ อย่างละเอียดและตรงไปตรงมาอย่างไรกับคนกลุ่มเดิมที่เขาได้บันทึกไว้ในวิธีการก่อนหน้านี้ การทดสอบทำให้สามารถระบุจำนวนการเปิดเผยตนเองของแต่ละหัวข้อในหัวข้อบางประเภทได้ (ความสนใจ ความคิดเห็น การงาน บุคลิกภาพ ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ร่างกายและการเงิน) ตลอดจนการสื่อสารกับคนรู้จักเฉพาะแต่ละราย

เพื่อระบุความสัมพันธ์ระหว่างระดับการแสดงออกของกลุ่มแรงจูงใจในการสื่อสารแต่ละกลุ่มและการเปิดเผยตนเองในหัวข้อเหล่านี้ ได้ทำการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลที่ได้รับ เขาแสดงให้เห็นว่าไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างตัวบ่งชี้ทั้งหมดของการเปิดเผยตนเองและแรงจูงใจในการสื่อสาร และการมีอยู่ของความเชื่อมโยงระหว่างตัวบ่งชี้เฉพาะจำนวนมากพอสมควร สิ่งนี้บ่งชี้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดถึงการเปิดเผยตนเองมากขึ้นของคนเหล่านั้นที่รักการสื่อสารและมุ่งมั่นเพื่อการสื่อสาร การเปิดเผยตนเองใช้เพียงบางส่วนในโครงสร้างการสื่อสาร ดังนั้นจึงค่อนข้างเป็นไปได้ที่จะรวมความต้องการอย่างมากในการสื่อสารเข้ากับความปรารถนาที่จำกัดสำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง แต่ละคนมีสัดส่วนของตัวเองระหว่างการฟังและการบรรยาย เช่นเดียวกับการบรรยายเกี่ยวกับตัวเองและหัวข้อที่เป็นนามธรรม

การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการสื่อสารกับหัวข้อการเปิดเผยตนเองมีภาพดังนี้ ปรากฎว่าแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวมากขึ้น (ได้รับความช่วยเหลือและการสนับสนุนใด ๆ ) ถูกนำเสนอในโครงสร้างของแรงจูงใจในการสื่อสารยิ่งส่วนแบ่งของการเปิดเผยตนเองเกี่ยวกับงานมากขึ้น (r = 0.48 P

ฉันยังสนใจในคำถามว่ามีการติดต่อกันระหว่างแรงจูงใจในการสื่อสารกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับจำนวนการเปิดเผยตนเองในที่อยู่ของเขาหรือไม่ สำหรับสิ่งนี้ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนการประมวลผลข้อมูลต่อไปนี้ แต่ละเรื่องถูกระบุสามคนจากรายชื่อคนรู้จักของเขาซึ่งสัมพันธ์กับผู้ที่เขามีแรงจูงใจสูงสุดในการสื่อสารรวมถึงสามคนที่เขาตรงไปตรงมามาก มีการดำเนินการขั้นตอนที่คล้ายคลึงกันกับบุคคลเหล่านั้นที่มีแรงจูงใจในการสื่อสารน้อยที่สุดและมีการเปิดเผยตนเองน้อยที่สุด จากนั้น สำหรับแต่ละวิชา ระดับของข้อตกลงระหว่างชุดข้อมูลเหล่านี้จะถูกคำนวณ ปรากฎว่าค่าสูงสุดสำหรับแรงจูงใจในการสื่อสารและการเปิดเผยตนเองนั้นใกล้เคียงกันใน 62 กรณีจากการแข่งขันที่เป็นไปได้ 84 รายการและขั้นต่ำใน 55 กรณีจาก 84 รายการที่เป็นไปได้ ในเวลาเดียวกัน มีการสังเกตการแข่งขัน 65 นัดใน 13 วิชา 43 แมตช์ใน 11 คนและ 12 แมตช์ใน 4 คนเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้เชื่อว่ามีแนวโน้มที่จะเปิดเผยตนเองมากขึ้นกับบุคคลเหล่านั้นที่มีการสื่อสารที่หลากหลาย

การวิจัยเพิ่มเติมของฉันทำให้ฉันได้ข้อสรุปว่าการเปิดเผยตนเองจำนวนมากและแรงจูงใจในการสื่อสารที่เข้มข้นนั้นเป็นหลักฐานของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและลึกซึ้งทางอารมณ์อย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้แสดงออกในการสื่อสารกับคนที่รักและมีค่ามากที่สุด (แม่ คนที่คุณรัก , เพื่อนรักหรืออย่างอื่น) อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าความเป็นจริงของการเป็นแม่เป็นหลักประกันทัศนคติที่มีต่อเธอที่มีต่อลูกๆ

การทดลองชุดต่อไปซึ่งดำเนินการภายใต้การนำของฉันโดย E.P. Panchenko มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจงแรงจูงใจในการเปิดเผยตนเองในกระบวนการสื่อสารระหว่างบุคคล โดยมีนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะอักษรศาสตร์ จำนวน 30 คน และนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะจิตวิทยา จำนวน 25 คน เข้าร่วม มีการพัฒนาวิธีการสองวิธีในการวินิจฉัยแรงจูงใจในการเปิดเผยตนเอง หนึ่งในนั้นคือแบบสอบถามที่มุ่งเป้าไปที่การชี้แจงเป้าหมายและแรงจูงใจของการเปิดเผยตนเอง เทคนิคที่สองคือการปรับเปลี่ยนการทดสอบ MMO ที่อธิบายข้างต้น ในระหว่างการดำเนินการ อาสาสมัครถูกขอให้เขียนรายชื่อบุคคลที่ประกอบขึ้นเป็นสภาพแวดล้อมในครอบครัว ที่มหาวิทยาลัย และในแวดวงเพื่อนก่อน แล้วจึงประเมินขอบเขตแรงจูงใจต่างๆ ที่กระตุ้นให้เขาบอกคนเหล่านี้ เกี่ยวกับตัวเขาเอง เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานของอาสาสมัคร แบบทดสอบมีรายการแรงจูงใจที่เป็นไปได้มากมายสำหรับการเปิดเผยตนเอง ซึ่งเขาสามารถเลือกสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นลักษณะเด่นที่สุดสำหรับตัวเขาเองได้ เมื่อประมวลผลข้อมูล ขนาดของแรงจูงใจในการเปิดเผยตนเองจะได้รับการวิเคราะห์ทั้งสำหรับแรงจูงใจส่วนบุคคลและโดยสัมพันธ์กับพันธมิตรต่างๆ นอกจากนี้ กลุ่มนักศึกษาวิชาภาษาศาสตร์ยังได้กรอกแบบสอบถาม S. Jurard ฉบับแก้ไข เพื่อวินิจฉัยระดับเสียงและทิศทางของการเปิดเผยตนเองตามที่กล่าวไว้ข้างต้น

คำถามต่อไปของแบบสอบถามมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาว่าแรงจูงใจในการเปิดเผยตนเองของอาสาสมัครนั้นเปลี่ยนไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับประเภทของข้อมูลที่พวกเขาให้เกี่ยวกับตนเอง และสิ่งที่พวกเขาคาดหวังจากคู่สนทนา คำถามถูกจัดทำขึ้นดังนี้: "คุณคาดหวังอะไรจากคู่สนทนาเมื่อคุณบอกเขา: a) เกี่ยวกับสุขภาพของคุณ b) เกี่ยวกับการเงินของคุณ c) เกี่ยวกับปัญหาส่วนตัวของคุณ d) เกี่ยวกับความสำเร็จของคุณ e) เกี่ยวกับความล้มเหลวของคุณ ฉ) เกี่ยวกับความสนใจและความเชื่อของพวกเขา?" การวิเคราะห์คำตอบพบว่านักเรียนหญิงจากกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มประเมินพฤติกรรมของผู้รับต่างกัน เมื่อพูดถึงสุขภาพของพวกเขา นักปรัชญา 60% คาดหวังความเห็นอกเห็นใจ นักจิตวิทยาส่วนใหญ่ (56%) กล่าวว่าพวกเขาไม่พูดถึงเรื่องนี้ และมีเพียง 24% เท่านั้นที่คาดหวังความเห็นอกเห็นใจ นอกจากนี้ นักปรัชญากำลังรอคำแนะนำ (26%) หรือไม่คาดหวังอะไรเลย (13%) และนักจิตวิทยาแห่งความเข้าใจ (20%)

รายงานปัญหาทางการเงินของพวกเขา 53.3% ของนักปรัชญาไม่คาดหวังอะไรจากคู่สนทนา, ความช่วยเหลือ 30%, ความเห็นอกเห็นใจ 16.6%, นักจิตวิทยา 52% คาดหวังความช่วยเหลือ, คำแนะนำ 24%, ความเห็นอกเห็นใจ 12% และอีก 12% ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย

เมื่อพูดถึงปัญหาส่วนตัวของพวกเขา คนส่วนใหญ่หวังว่าจะเข้าใจจากคู่สนทนา (66.6% ของนักปรัชญาและ 52% ของนักจิตวิทยา) คำแนะนำ (20% ของนักปรัชญาและ 12% ของนักจิตวิทยา) นอกจากนี้ นักจิตวิทยายังพึ่งพาความช่วยเหลือ (36%) และนักปรัชญาสนับสนุน (13.3%) อาสาสมัครส่วนใหญ่หวังว่าจะมีความสุขในการตอบสนองต่อเรื่องราวเกี่ยวกับความสำเร็จของพวกเขา (72% ของนักจิตวิทยาและ 53.3% ของนักปรัชญา) หรือเพื่อชมเชย (28% ของนักจิตวิทยาและ 26.7% ของนักปรัชญา) นักปรัชญาคิดว่าพวกเขาสามารถทำให้เกิดความอิจฉาในคู่สนทนา (20%) เมื่อรายงานความล้มเหลว นักปรัชญาพึ่งพาความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น (60%) และนักจิตวิทยาในการขอคำแนะนำ (68%) นักภาษาศาสตร์คนอื่นกำลังรอการสนับสนุนและนักจิตวิทยาก็มีส่วนร่วม เมื่อพูดถึงความสนใจและความเชื่อของพวกเขา อันดับแรกทุกคนให้ความสำคัญกับความสนใจของผู้ฟัง (64%) จากนั้นจึงพิจารณาข้อมูลการตอบสนอง (26% ของนักปรัชญาและ 20% ของนักจิตวิทยา) และสุดท้ายคือการสนับสนุน (10% ของ นักปรัชญาและนักจิตวิทยา 16%)

การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับบ่งชี้ว่าเนื้อหาของข้อมูลที่รายงานสอดคล้องกับปฏิกิริยาที่คาดหวังของผู้รับในมุมมองของอาสาสมัคร สิ่งนี้สามารถใช้เป็นหลักฐานทางอ้อมว่า พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของข้อมูลที่ให้เกี่ยวกับตนเองอย่างมีสติและอาจรวมถึงรูปแบบ (ความลึก รายละเอียดของการนำเสนอ การนำเสนอทางอารมณ์ ฯลฯ) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของการโน้มน้าวพันธมิตร ในกรณีส่วนใหญ่ เด็กผู้หญิงพูดถึงตัวเองเพื่อรับความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ: อารมณ์ คุณธรรม ข้อมูลหรือธุรกิจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเพราะอายุของพวกเขา จากข้อมูลที่ฉันได้รับในการศึกษาอื่น คนหนุ่มสาวมีลักษณะเด่นของแรงจูงใจในการสื่อสารที่มีอัตตาเป็นศูนย์กลาง ซึ่งประกอบด้วยความปรารถนาที่จะได้รับความช่วยเหลือที่หลากหลายจากผู้อื่น ในขณะที่สำหรับคนวัยกลางคน ในความปรารถนาที่จะให้ความช่วยเหลือหรือความสมดุลของพวกเขา

ข้อมูลที่ได้รับโดยใช้การทดสอบ MMO เวอร์ชันดัดแปลงทำให้สามารถระบุความแตกต่างในแรงจูงใจในการเปิดเผยตนเองของอาสาสมัครในกระบวนการสื่อสารกับบุคคลต่างๆ เมื่อทำการทดสอบนี้ ผู้เข้าร่วมต้องตั้งชื่อแรงจูงใจหลักที่กระตุ้นให้เขาเล่าเกี่ยวกับตัวเองให้แต่ละคนฟังจากรายชื่อคนรู้จัก ทำให้สามารถวิเคราะห์ได้ทั้งกลุ่ม ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษาคณะอักษรศาสตร์ จำนวน 30 คน ซึ่งแรงจูงใจที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการเปิดเผยตนเองกับผู้รับที่แตกต่างกัน

ตารางที่ 1

แรงจูงใจหลักของการเปิดเผยตนเองในการสื่อสารกับผู้คนต่าง ๆ

แรงจูงใจ/คู่สนทนา แม่ พ่อ แฟน เพื่อน นักจิตวิทยา ครูคู่หู

พูดออกไป เอาวิญญาณออกไป 7 6 1 1

หลีกเลี่ยงความรู้สึกเหงา 1 1 2

ฉันกังวลเกี่ยวกับปัญหาของฉัน 3 1 1 5

รับความช่วยเหลือที่คุณต้องการ 3 5 2 1 5 5

รับคำแนะนำ 3 4 4 10 4

ชอบคนนี้ 13 3 2

นำเสนอตัวเองในที่แสงหนึ่ง 1 1 4

ให้เหตุผลในสายตาคนนี้ 5

โม้เกี่ยวกับความสำเร็จ 1 1

สร้างตัวเองในสายตาคนนี้ 1 1 1 1

ได้รับการยืนยันความถูกต้องของการกระทำ 5 3 6

ค้นหาปฏิกิริยาต่อข้อมูลของฉัน 1 2 1 1

เพื่อตอบคำถาม 3 3 2 8 4

ยอมแล้ว 4 2 2 1

เติมช่องว่างในการสนทนา 2 2

เจ้าชู้ 3 6

สร้างความบันเทิงให้คู่สนทนา 1 3 4 1

ให้การสนับสนุนทางศีลธรรม 3 1 1

ขอความตรงไปตรงมา 1 2 4

ตอบสนองต่อความตรงไปตรงมา 1 1

ค้นหาความสัมพันธ์ 3 2

ดังที่เห็นได้จากตารางที่ 1 แรงจูงใจในการเปิดเผยตนเองของเด็กผู้หญิงมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนกับผู้คนที่แตกต่างกัน การสื่อสารกับมารดานั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ นอกจากนี้ พวกเขาคาดหวังการประเมินพฤติกรรม คำแนะนำและความช่วยเหลือจากเธอ เป็นลักษณะเฉพาะที่การสื่อสารกับเพื่อนสนิทที่สุดเป็นโครงสร้างที่ใกล้ชิดในการสื่อสารกับแม่ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็บอกแฟนเกี่ยวกับตัวเองเพื่อให้คำแนะนำ เด็กผู้หญิงบอกพ่อเกี่ยวกับตัวเองด้วยความเต็มใจน้อยลงมาก โดยสี่คนสังเกตว่าพวกเขาบอกพ่อเกี่ยวกับตัวเองเพราะ "เป็นเรื่องปกติ" และอีกสามคน "ตอบคำถาม" สิ่งนี้เป็นพยานถึงการขาดความไว้วางใจระหว่างพวกเขากับบรรพบุรุษของพวกเขา ความสัมพันธ์. โดยทั่วไป พวกเขาคาดหวังความช่วยเหลือหรือคำแนะนำจากเขา ความช่วยเหลือเป็นสิ่งที่คาดหวังจากผู้ใหญ่มากที่สุด: พ่อแม่ นักจิตวิทยา และครู แม้ว่าพวกเธอจะไม่เคยมีประสบการณ์ในการสื่อสารกับนักจิตวิทยา-ที่ปรึกษาตัวจริง แต่ก็เข้าใจหน้าที่ของเขาอย่างถูกต้องและคาดหวังให้เขาแก้ปัญหา ความช่วยเหลือและคำแนะนำเพื่อตอบสนองต่อความตรงไปตรงมาของพวกเขา โดยธรรมชาติแล้ว เด็กผู้หญิงเกือบครึ่งสังเกตว่าความปรารถนาที่จะทำให้เขาพอใจเป็นแรงจูงใจหลักในการเปิดเผยตนเองในการสื่อสารกับแฟนหนุ่ม ในการสื่อสารกับเขา เช่นเดียวกับเพื่อนนักเดินทางคนหนึ่ง ซึ่งสาว ๆ จินตนาการว่าเป็นเพื่อนที่มีศักยภาพ โดยสังเกตอายุของเขาที่ใกล้เคียงกับตัวของพวกเขาเอง การเปิดเผยตัวเองค่อนข้างทำหน้าที่เป็นหน้าที่ของการนำเสนอตนเอง พวกเขาพร้อมที่จะเจ้าชู้กับพวกเขา สร้างความบันเทิงให้กับพวกเขา แม้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามบางคนแสดงความยับยั้งชั่งใจกับคนแปลกหน้า ดังนั้นแปดคนจึงพร้อมที่จะพูดคุยเกี่ยวกับตัวเองเพื่อตอบคำถามเท่านั้น ความสนใจถูกดึงดูดไปยังความจริงที่ว่ากับคนใกล้ชิดแทบไม่มีแรงจูงใจในการควบคุมความประทับใจในตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องปกติมากที่สุดสำหรับการสื่อสารกับผู้ที่ยังคงต้องได้รับความเห็นอกเห็นใจ: ชายหนุ่มที่คุ้นเคย เพื่อนนักเดินทาง ครู ความสัมพันธ์กับครูเป็นสิ่งที่พิเศษมาก พวกเขาคาดหวังความช่วยเหลือคำแนะนำการยืนยันความถูกต้องของการกระทำจากเขาพวกเขาพยายามสร้างความประทับใจให้เขาพวกเขาเพียงต้องการพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าเขา แต่ไม่มีความพยายามในการเปิดเผยตนเองทางอารมณ์ นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามบางคนต้องการรักษาระยะห่างทางจิตใจระหว่างครูกับตนเอง และพูดคุยเกี่ยวกับตนเองเมื่อจำเป็นเท่านั้น: ​​เพื่อตอบคำถามหรือเพื่อหยุดชั่วคราว

ข้อมูลเหล่านี้บ่งชี้ว่าเด็กผู้หญิงเข้าใจแรงจูงใจของการเปิดเผยตนเองกับผู้คนที่แตกต่างกันอย่างเพียงพอ และอาจทราบวิธีเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่รายงานเกี่ยวกับตนเองในชีวิตโดยขึ้นอยู่กับเป้าหมายและเป้าหมายที่ข้อมูลนี้จะกล่าวถึง ข้อสรุปอีกประการหนึ่งคือ เป็นไปได้ที่จะศึกษารูปแบบต่างๆ เหล่านี้โดยสังเกตจากประสบการณ์ และสร้างรูปแบบตามพื้นฐานของพวกมัน ประเภทต่างๆการเปิดเผยตนเอง: เป็นความลับ ขอความช่วยเหลือ โม้ สนุกสนาน ฯลฯ ในความคิดของฉัน คุณลักษณะของการเปิดเผยตนเองเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความเป็นตัวของเรื่องมากกว่าตัวบ่งชี้โดยรวมของปริมาณ

งานต่อไปของงานนี้คือการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจและแก่นของการเปิดเผยตนเอง การศึกษานำร่องโดยใช้แบบสอบถามซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นำเสนอข้างต้น ให้เหตุผลในการสันนิษฐานว่ามีรูปแบบกลุ่มทั่วไประหว่างการนำเสนอหัวข้อบางหัวข้อกับแรงจูงใจที่ส่งเสริมเรื่องนี้ สมมติฐานนี้ได้รับการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาวิชาภาษาศาสตร์จำนวน 30 คน ระดับของการนำเสนอหัวข้อต่างๆ ในโครงสร้างของการเปิดเผยตนเองถูกกำหนดโดยใช้การทดสอบ Jurard และแรงจูงใจในการเปิดเผยตนเองถูกกำหนดโดยการทดสอบ MMO เวอร์ชันดัดแปลงที่อธิบายข้างต้น ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลของทั้งสองวิธีเผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญ

ประการแรก ความสนใจถูกดึงดูดไปยังข้อเท็จจริงของค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ที่สูงมากระหว่างตัวบ่งชี้รวมของแรงจูงใจในการเปิดเผยตนเองกับการเปิดเผยตนเองทุกประเภท ซึ่งหมายความว่าการเปิดเผยตนเองในหัวข้อใด ๆ นั้นมีหลากหลาย กลุ่มแรงจูงใจเดียวที่เชื่อมโยงกับหัวข้อทั้งหมดของการเปิดเผยตนเองคือกลุ่มแรงจูงใจทางอารมณ์ ทั้งหมด บทวิเคราะห์ก่อนหน้าแรงจูงใจในการเปิดเผยตนเองของเด็กผู้หญิงแสดงให้เห็นว่าสำหรับพวกเขาแรงจูงใจเหล่านี้เป็นผู้นำ ในบรรดาหัวข้อของการเปิดเผยตนเอง พบว่ามีการเชื่อมโยงกับแรงจูงใจจำนวนมากที่สุดสำหรับหมวดหมู่ "ความสัมพันธ์กับผู้อื่น" หมวดหมู่นี้เป็นศูนย์กลางในโครงสร้างของการเปิดเผยตนเอง หมวดหมู่อื่นๆ เกือบทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับหมวดหมู่นี้ ซึ่งบ่งบอกถึงความยอดเยี่ยม แรงดึงดูดเฉพาะในเรื่องราวของสาว ๆ เกี่ยวกับตัวเอง จากข้อมูลที่ได้รับ เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าแรงจูงใจหลักของการเปิดเผยตนเองในความสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นแรงจูงใจทางอารมณ์ (r=0.56 P

การสรุปข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ได้รับ เราสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้

ประการแรก มีความเชื่อมโยงกันอย่างไม่ต้องสงสัยระหว่างแรงจูงใจในการสื่อสารกับจำนวนการเปิดเผยตนเองในระหว่างนั้น ข้อมูลระบุว่าการเปิดเผยตนเองและความต้องการสูงสุดในการสื่อสารมีมากที่สุดเมื่อเทียบกับคนใกล้ชิดทางอารมณ์มากที่สุด (แม่ เพื่อนสนิท สามีหรือภรรยา) ดังนั้นการวัดตัวชี้วัดเหล่านี้ในสมาชิกในครอบครัวหรือในคู่รักที่เป็นมิตรสามารถใช้เป็นเครื่องมือที่เชื่อถือได้ในการกำหนดระดับความไว้วางใจในความสัมพันธ์ของพวกเขา

ประการที่สอง แรงจูงใจในการเปิดเผยตนเองของบุคคลคนเดียวกันอาจแตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับว่าข้อความนั้นส่งถึงใคร ในส่วนที่เกี่ยวกับคนใกล้ชิด เป้าหมายคือการได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์ ศีลธรรม และความช่วยเหลือที่หลากหลาย ในความสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกที่มีนัยสำคัญ (เพื่อนต่างเพศ ครู) แรงจูงใจในการสร้างความประทับใจให้ตนเองปรากฏอยู่เบื้องหน้า อาสาสมัคร (ไม่ใช่นักจิตวิทยา) แสดงให้เห็นถึงการไตร่ตรองในระดับที่ค่อนข้างสูงเกี่ยวกับความแตกต่างเหล่านี้ซึ่งบ่งชี้ว่าพวกเขาค่อนข้างตระหนักดีถึงเป้าหมายของการเปิดเผยตนเองและแน่นอนว่าในชีวิตประจำวันพวกเขาแก้ไขข้อมูลเดียวกันเกี่ยวกับตนเองโดยบอก ให้กับผู้คนที่แตกต่างกัน

ประการที่สาม แรงจูงใจในการเปิดเผยตนเองนั้นสัมพันธ์กับแก่นเรื่องของเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง สำหรับเด็กผู้หญิง กลุ่มกลางของแรงจูงใจในการเปิดเผยตนเองคือกลุ่มแรงจูงใจทางอารมณ์ ซึ่งให้การเชื่อมต่อจำนวนมากที่สุดในหัวข้อต่างๆ นี่ไม่ได้หมายความว่าการเปิดเผยตนเองนั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับทุกคน ตัวอย่างเช่น สำหรับกลุ่มตัวอย่างของผู้ปฏิบัติงานที่กล่าวถึงข้างต้น หัวข้อการเปิดเผยตนเองส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับการปฐมนิเทศทางปัญญา ปัญหานี้ต้องการมากกว่านี้ การวิเคราะห์โดยละเอียดแต่ตอนนี้สามารถสันนิษฐานได้ว่าบุคคลขึ้นอยู่กับแรงจูงใจในการสื่อสารโดยทั่วไปและแรงจูงใจในการเปิดเผยตนเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งเลือกหัวข้อของการเปิดเผยตนเอง

ผลลัพธ์ที่อภิปรายระบุว่าในการแก้ปัญหาความแตกต่างของบุคคลในการเปิดเผยตนเอง จำเป็นต้องเปลี่ยนการเน้นย้ำจากลักษณะที่เป็นทางการ เช่น ปริมาณและความกว้าง เป็นการสร้างแรงบันดาลใจและความหมาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับเลเยอร์ส่วนบุคคลที่ลึกกว่า บนพื้นฐานของแรงจูงใจชั้นนำของการเปิดเผยตนเองเท่านั้นที่สามารถมาถึงรูปแบบของการเปิดเผยตนเองและดำเนินการจำแนกประเภทได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ภาพง่ายขึ้นโดยคาดหวังว่าบุคคลจะมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันในการสื่อสารกับคนอื่น ในทางตรงกันข้าม บุคคลใดก็ตาม แม้แต่เด็ก ก็สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างการเปิดเผยตนเองได้ ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนส่ง เห็นได้ชัดว่าในลักษณะของการเปิดเผยตนเองของแต่ละคนมีลักษณะที่มั่นคงเกิดขึ้นจากของเขา ทิศทางค่าและทรัพย์สินส่วนตัวและลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์และคู่ครอง ยิ่งไปกว่านั้น มันสามารถสันนิษฐานได้ว่ายิ่งบุคลิกภาพพัฒนาขึ้นมากเท่าไร ภาพลักษณ์ของการเปิดเผยตนเองกับคนที่แตกต่างกันก็จะยิ่งแปรปรวนมากขึ้นเท่านั้น เมื่อแสดงพฤติกรรมที่สมบูรณ์เพียงพอ (เสรีภาพภายในขอบเขต) ความไม่สอดคล้องกันของข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณการเปิดเผยตนเองกับสุขภาพจิต ในความคิดของฉัน เกิดจากการเลือกตัวบ่งชี้ที่ผิด อย่างไรก็ตาม ปริมาณการเปิดเผยข้อมูลตนเองทั้งหมดไม่ได้กล่าวถึงด้านคุณภาพ ซึ่งสร้างพื้นฐานสำหรับสุขภาพจิต สุขภาพจิตไม่สัมพันธ์กับขนาดของการเปิดเผยตนเอง แต่มีความเพียงพอ ซึ่งประกอบด้วยการรับรู้ถึงความต้องการของตนเองในการเปิดเผยตนเอง และจากนั้นในการเลือกบุคคลเหล่านั้นและสถานการณ์เหล่านั้นที่สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ ความต้องการในกระบวนการเปิดเผยตนเอง บนธรณีประตูของศตวรรษหน้า จิตวิทยาต้องละทิ้ง วิธีแก้ปัญหาง่ายๆศตวรรษแห่งปัจจุบัน หากจิตวิทยาของอดีตก่อให้เกิดคำถามแบบแบ่งขั้ว (พฤติกรรมส่วนบุคคลขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือคุณสมบัติภายใน) จิตวิทยาแห่งอนาคตจะต้องอธิบายถึงบุคลิกภาพที่เปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

ไม่ทราบแหล่งที่มา