คุณสมบัติโวหารของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์คือการนำเสนอเชิงตรรกะ รูปแบบการพูดทางวิทยาศาสตร์
คุณสมบัติหลักของรูปแบบการพูดทางวิทยาศาสตร์
ที่พบมากที่สุด ลักษณะเฉพาะของรูปแบบการพูดนี้คือการนำเสนอเชิงตรรกะ .
ข้อความที่เกี่ยวข้องกันควรมีคุณภาพนี้ แต่ข้อความทางวิทยาศาสตร์มีความโดดเด่นด้วยตรรกะที่เน้นย้ำและเข้มงวด ทุกส่วนในนั้นเชื่อมต่อกันอย่างแน่นหนาในความหมายและจัดเรียงตามลำดับอย่างเคร่งครัด ข้อสรุปเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่นำเสนอในข้อความ ทำได้โดยใช้วิธีการทั่วไปของสุนทรพจน์ทางวิทยาศาสตร์: การเชื่อมโยงประโยคกับคำนามซ้ำ มักใช้ร่วมกับคำสรรพนามสาธิต
คำวิเศษณ์ยังระบุลำดับของการพัฒนาความคิด: ก่อน, ก่อน, จากนั้น, ต่อไป; เช่นเดียวกับคำนำ: ประการแรก ประการที่สอง ประการที่สาม ในที่สุด ดังนั้น ในทางกลับกัน; สหภาพแรงงาน: เพราะ, เพราะ, เพื่อ, ดังนั้น. ความเด่นของการสื่อสารแบบพันธมิตรเน้นถึงการเชื่อมต่อระหว่างประโยคที่มากขึ้น
ลักษณะทั่วไปอีกประการหนึ่งของรูปแบบการพูดทางวิทยาศาสตร์คือความถูกต้อง .
ความถูกต้องของความหมาย (เอกลักษณ์) เกิดขึ้นได้จากการเลือกคำอย่างระมัดระวัง การใช้คำในความหมายโดยตรง การใช้คำศัพท์ในวงกว้างและคำศัพท์พิเศษ ตามรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ การซ้ำคำสำคัญถือเป็นบรรทัดฐาน
สิ่งที่เป็นนามธรรม และ ลักษณะทั่วไป แน่นอนแทรกซึมทุกข้อความทางวิทยาศาสตร์
ดังนั้นแนวความคิดเชิงนามธรรมจึงถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในที่นี้ ซึ่งยากต่อการจินตนาการ เห็น และรู้สึก ในตำราดังกล่าว มักพบคำที่มีความหมายเชิงนามธรรม เช่น ความว่างเปล่า ความเร็ว เวลา แรง ปริมาณ คุณภาพ กฎหมาย จำนวน จำกัด; มักใช้สูตร สัญลักษณ์ สัญลักษณ์ กราฟ ตาราง ไดอะแกรม ไดอะแกรม ภาพวาด
เป็นลักษณะเฉพาะที่ แม้แต่คำศัพท์เฉพาะที่นี่ก็หมายถึงแนวคิดทั่วไป .
ตัวอย่างเช่น: นักภาษาศาสตร์ต้องระมัดระวัง, เช่น, นักภาษาศาสตร์โดยทั่วไป; เบิร์ชทนความเย็นได้ดีกล่าวคือ ไม่ใช่วัตถุชิ้นเดียว แต่ชนิดของต้นไม้เป็นแนวคิดทั่วไป สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติของการใช้คำเดียวกันในการพูดทางวิทยาศาสตร์และศิลปะ ในการพูดเชิงศิลปะ คำนั้นไม่ใช่คำศัพท์ ไม่เพียงแต่มีแนวคิดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาพทางวาจาทางศิลปะด้วย (การเปรียบเทียบ การแสดงตัวตน เป็นต้น)
คำว่าวิทยาศาสตร์มีความชัดเจนและเป็นศัพท์เฉพาะ
เปรียบเทียบ:
ไม้เรียว 1) ไม้ต้นผลัดใบ เปลือกสีขาว (ไม่ค่อยเข้ม) และใบรูปหัวใจ (พจนานุกรมอธิบายของภาษารัสเซีย.) สกุลของต้นไม้และพุ่มไม้ของตระกูลเบิร์ช ประมาณ 120 ชนิดในเขตอบอุ่นและเย็นของภาคเหนือ ซีกโลกและในภูเขากึ่งเขตร้อน พันธุ์ไม้ป่าและพันธุ์ไม้ประดับ ฟาร์มที่ใหญ่ที่สุด B. warty และ B. fluffy มีความสำคัญ |
เบิร์ชสีขาว ใต้หน้าต่างของฉัน (ส. เยสนิน.) |
รูปแบบการพูดทางวิทยาศาสตร์มีลักษณะเป็นพหูพจน์ของคำนามที่เป็นนามธรรมและจริง: ความยาว ขนาด ความถี่; การใช้คำที่เป็นกลางบ่อยครั้ง: การศึกษา ทรัพย์สิน คุณค่า
ไม่เพียงแต่คำนามเท่านั้น แต่กริยายังมักใช้ในบริบทของคำพูดทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ในความหมายพื้นฐานและเฉพาะเจาะจง แต่ในความหมายนามธรรมทั่วไป
คำ: ไป, ตาม, เป็นผู้นำ, เรียบเรียง, ระบุ b และอื่น ๆ ไม่ได้แสดงถึงการเคลื่อนไหวที่เหมาะสม ฯลฯ แต่มีอย่างอื่นที่เป็นนามธรรม:
ในวรรณคดีทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะวรรณกรรมทางคณิตศาสตร์ รูปแบบของกาลอนาคตมักจะปราศจากความหมายทางไวยากรณ์ แทนที่จะใช้คำว่า จะถูกนำมาใช้ คือ, คือ.
กริยากาลปัจจุบันมักไม่ได้รับความหมายของรูปธรรมเสมอไป: ใช้เป็นประจำ บ่งชี้เสมอ. มีการใช้รูปแบบที่ไม่สมบูรณ์อย่างกว้างขวาง
สุนทรพจน์ทางวิทยาศาสตร์มีลักษณะดังนี้: ความเด่นของสรรพนามบุรุษที่ 1 และ 3 ในขณะที่ความหมายของบุคคลนั้นอ่อนลง การใช้คำคุณศัพท์สั้นบ่อยครั้ง
อย่างไรก็ตาม ลักษณะทั่วไปและความเป็นนามธรรมของข้อความเกี่ยวกับรูปแบบการพูดทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอารมณ์และการแสดงออกในกรณีนี้ พวกเขาคงไม่บรรลุเป้าหมาย
ความชัดเจนของสุนทรพจน์ทางวิทยาศาสตร์แตกต่างจากความชัดเจนของสุนทรพจน์ทางศิลปะ เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับความถูกต้องของการใช้คำ ตรรกะของการนำเสนอ และการโน้มน้าวใจเป็นหลัก วิธีเปรียบเทียบที่ใช้บ่อยที่สุดในวรรณคดีวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่นิยม
อย่าผสมคำที่จัดตั้งขึ้นในวิทยาศาสตร์ซึ่งเกิดขึ้นตามประเภทของคำอุปมา (ในทางชีววิทยา - ลิ้น เกสรตัวเมีย ร่ม; ในเทคโนโลยี - คลัตช์ อุ้งเท้า ไหล่ ลำตัว; ในภูมิศาสตร์ - แต่เพียงผู้เดียว (ภูเขา), สันเขา) ใช้คำศัพท์เพื่อวัตถุประสงค์ที่เป็นรูปเป็นร่างและแสดงออกในรูปแบบการพูดในเชิงหนังสือพิมพ์หรือเชิงศิลปะ เมื่อคำเหล่านี้เลิกเป็นคำ ( ชีพจรของชีวิต บารอมิเตอร์ทางการเมือง แผงเจรจาเป็นต้น)
เพื่อเพิ่มการแสดงออกในรูปแบบการพูดทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวรรณคดีวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่นิยม ในงานที่มีการโต้เถียง ในบทความอภิปราย ถูกนำมาใช้ :
1) ขยายอนุภาค สรรพนาม กริยาวิเศษณ์: เท่านั้น อย่างแน่นอน เท่านั้น;
2) คำคุณศัพท์เช่น: มหึมา, ได้เปรียบที่สุด, หนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด, ยากที่สุด;
3) คำถาม "ปัญหา": ในความเป็นจริง ... เซลล์พบร่างกายประเภทใดในสิ่งแวดล้อม สาเหตุของสิ่งนี้คืออะไร
วัตถุประสงค์- สัญญาณอื่นของรูปแบบการพูดทางวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีและกฎหมายทางวิทยาศาสตร์ ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ปรากฏการณ์ การทดลอง และผลลัพธ์ ทั้งหมดนี้นำเสนอในข้อความที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการพูดทางวิทยาศาสตร์
และทั้งหมดนี้ต้องการลักษณะเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ วัตถุประสงค์ เชื่อถือได้ ดังนั้น ประโยคอัศเจรีย์จึงใช้น้อยมาก ในข้อความทางวิทยาศาสตร์ ความเห็นส่วนตัวที่เป็นอัตวิสัยเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะใช้สรรพนาม I และกริยาในเอกพจน์บุรุษที่หนึ่ง ที่นี่ประโยคส่วนตัวถูกใช้บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ( คิดว่า.. ), ไม่มีตัวตน ( เป็นที่รู้กันว่า...) ส่วนตัวแน่นอน ( มาดูปัญหา...).
ในรูปแบบการพูดทางวิทยาศาสตร์ สามารถแยกแยะลักษณะย่อยหรือความหลากหลายได้หลายแบบ:
ก) เป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ (วิชาการ) - เข้มงวดและแม่นยำที่สุด พวกเขาเขียนวิทยานิพนธ์, เอกสาร, บทความวารสารวิทยาศาสตร์, คำแนะนำ, GOST, สารานุกรม;
b) วิทยาศาสตร์ยอดนิยม (วารสารศาสตร์วิทยาศาสตร์) เขาเขียนบทความทางวิทยาศาสตร์ในหนังสือพิมพ์นิตยสารวิทยาศาสตร์ยอดนิยมหนังสือวิทยาศาสตร์ยอดนิยม ซึ่งรวมถึงการกล่าวสุนทรพจน์ในที่สาธารณะทางวิทยุ โทรทัศน์ในหัวข้อทางวิทยาศาสตร์ การกล่าวสุนทรพจน์โดยนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก
ค) วิทยาศาสตร์และการศึกษา (วรรณกรรมการศึกษาเรื่องต่าง ๆ สำหรับสถาบันการศึกษาประเภทต่างๆ หนังสืออ้างอิง คู่มือ)
| เป้าหมายปลายทาง | เชิงวิชาการ |
|
|
| การเลือกข้อเท็จจริงเงื่อนไข | เชิงวิชาการ | วิทยาศาสตร์และการศึกษา มีคำอธิบายเงื่อนไขทั้งหมด | วิทยาศาสตร์ยอดนิยม คำศัพท์ขั้นต่ำ |
| ประเภทของการพูดนำ ชื่อเรื่อง | เชิงวิชาการ การให้เหตุผล | วิทยาศาสตร์และการศึกษา สะท้อนถึงประเภทของสื่อการเรียนรู้ | วิทยาศาสตร์ยอดนิยม บรรยาย น่าสนใจ น่าสนใจ |
คุณสมบัติคำศัพท์ของรูปแบบการพูดทางวิทยาศาสตร์
วัตถุประสงค์หลักของข้อความทางวิทยาศาสตร์ คำศัพท์ของมันคือการกำหนดปรากฏการณ์ วัตถุ ตั้งชื่อและอธิบาย และสำหรับสิ่งนี้ อย่างแรกเลย จำเป็นต้องมีคำนาม
ลักษณะทั่วไปของคำศัพท์รูปแบบวิทยาศาสตร์คือ:
ก) การใช้คำในความหมายโดยตรง
b) ขาดความหมายที่เป็นรูปเป็นร่าง: ฉายา, อุปมา, การเปรียบเทียบทางศิลปะ, สัญลักษณ์บทกวี, อติพจน์;
c) การใช้คำศัพท์และคำศัพท์ที่เป็นนามธรรมอย่างกว้างขวาง
ในสุนทรพจน์ทางวิทยาศาสตร์ มีคำสามชั้น:
คำต่างๆ มีความเป็นกลางทางโวหาร กล่าวคือ ทั่วไป ใช้ในรูปแบบต่างๆ
ตัวอย่างเช่น: เขา ห้า สิบ; ใน บน สำหรับ; ดำ, ขาว, ใหญ่; กำลังเกิดขึ้นฯลฯ ;
คำวิทยาศาสตร์ทั่วไป เช่น พบในภาษาของวิทยาศาสตร์ที่แตกต่างกันและไม่ใช่ของวิทยาศาสตร์ใด ๆ
ตัวอย่างเช่น: ศูนย์กลาง, แรง, องศา, ขนาด, ความเร็ว, รายละเอียด, พลังงาน, ความคล้ายคลึงฯลฯ
สิ่งนี้สามารถยืนยันได้ด้วยตัวอย่างวลีที่นำมาจากตำราวิทยาศาสตร์ต่างๆ: ศูนย์กลางการบริหาร, ศูนย์กลางของส่วนยุโรปของรัสเซีย, ใจกลางเมือง; จุดศูนย์ถ่วงศูนย์กลางของการเคลื่อนไหว ศูนย์กลางของวงกลม
เงื่อนไขของวิทยาศาสตร์ใด ๆ เช่น คำศัพท์เฉพาะทาง คุณรู้อยู่แล้วว่าสิ่งสำคัญในคำนี้คือความถูกต้องและความชัดเจน
ลักษณะทางสัณฐานวิทยาของรูปแบบการพูดทางวิทยาศาสตร์
ในข้อความทางวิทยาศาสตร์ กริยาในเอกพจน์บุรุษที่ 1 และ 2 จะไม่ถูกนำมาใช้จริง มักใช้ในวรรณกรรม
กริยาในกาลปัจจุบันที่มีความหมาย "อมตะ" อยู่ใกล้กับคำนามวาจา: กระเด็นลง - กระเด็นลง, กรอกลับ - กรอกลับ; และในทางกลับกัน: เติม - เติม.
คำนามทางวาจาสื่อถึงกระบวนการและปรากฏการณ์ที่เป็นรูปธรรมได้ดี ดังนั้นจึงมักใช้ในข้อความทางวิทยาศาสตร์
มีคำคุณศัพท์ไม่กี่คำในข้อความทางวิทยาศาสตร์ และหลายคำใช้เป็นส่วนหนึ่งของคำศัพท์ มีความหมายเฉพาะเจาะจงและแม่นยำสูง ในข้อความวรรณกรรมมีคำคุณศัพท์มากกว่าในแง่ของเปอร์เซ็นต์และคำคุณศัพท์และคำจำกัดความทางศิลปะมีอิทธิพลเหนือที่นี่
ในรูปแบบวิทยาศาสตร์ ส่วนของคำพูดและรูปแบบไวยากรณ์มีการใช้แตกต่างจากรูปแบบอื่น
เพื่อระบุคุณลักษณะเหล่านี้ มาทำวิจัยกันเล็กน้อย
คุณสมบัติวากยสัมพันธ์ของรูปแบบการพูดทางวิทยาศาสตร์
โดยทั่วไปสำหรับการพูดทางวิทยาศาสตร์คือ:
ก) รอบพิเศษประเภท: ตาม Mendeleev ตามประสบการณ์;
ค) การใช้คำ: ให้ รู้จัก เหมาะเป็นช่องทางสื่อสาร;
d) ใช้สายสัมพันธ์ของกรณีสัมพันธการก: การสร้างการพึ่งพาความยาวคลื่นของรังสีเอกซ์ของอะตอม(กฐิสา.)
ในการพูดเชิงวิทยาศาสตร์ มีการใช้ประโยคที่ซับซ้อนมากกว่ารูปแบบอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคที่ซับซ้อน
ซับซ้อนกับอนุประโยคอธิบายแสดงลักษณะทั่วไป เปิดเผยปรากฏการณ์ทั่วไป รูปแบบเฉพาะ
คำ อย่างที่ทราบ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเข้าใจได้ฯลฯ ระบุเมื่ออ้างถึงแหล่งที่มาข้อเท็จจริงบทบัญญัติใด ๆ
ประโยคที่ซับซ้อนซึ่งมีสาเหตุรองถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการพูดทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากวิทยาศาสตร์เผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปรากฏการณ์แห่งความเป็นจริง ในประโยคเหล่านี้ ใช้เป็นคำสันธานทั่วไป ( เพราะ, ตั้งแต่, ตั้งแต่, ตั้งแต่) และหนังสือ ( เนื่องจากความจริงที่ว่า, เนื่องจากความจริงที่ว่า, เนื่องจากความจริงที่ว่า, เนื่องจากความจริงที่ว่า, สำหรับ).
ในการพูดเชิงวิทยาศาสตร์ การเปรียบเทียบช่วยให้เปิดเผยแก่นแท้ของปรากฏการณ์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อค้นพบความเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์อื่นๆ ในขณะที่ในงานศิลปะ จุดประสงค์หลักของพวกเขาคือการเปิดเผยภาพอย่างเต็มตาและมีอารมณ์ ซึ่งเป็นภาพที่ศิลปินของ คำ.
มักใช้วลีที่มีส่วนร่วมและกริยาวิเศษณ์
การใช้วิธีการแสดงออก
ลักษณะทั่วไปและความเป็นนามธรรมของคำพูดทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ยกเว้นการแสดงออก นักวิทยาศาสตร์ใช้ภาษาเปรียบเทียบเพื่อเน้นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดเพื่อโน้มน้าวผู้ฟัง
การเปรียบเทียบ เป็นรูปแบบหนึ่งของการคิดเชิงตรรกะ
น่าเกลียด (ไม่มีภาพ) ตัวอย่างเช่น: โบโรฟลูออไรด์คล้ายกับคลอไรด์
การเปรียบเทียบเพิ่มเติม
... ในประวัติศาสตร์ของรัสเซียใหม่ เราพบกับ "ส่วนเกิน" ของเนื้อหาที่เป็นข้อเท็จจริง เป็นไปไม่ได้ที่จะรวมไว้ในระบบการวิจัยทั้งหมดเพราะคุณจะได้รับสิ่งที่เรียกว่า "เสียง" ในไซเบอร์เนติกส์ ลองนึกภาพต่อไปนี้: หลายคนกำลังนั่งอยู่ในห้องหนึ่ง และทันใดนั้นทุกคนก็เริ่มพูดถึงเรื่องครอบครัวพร้อมกัน สุดท้ายเราจะไม่รู้อะไรเลย ข้อเท็จจริงมากมายต้องอาศัยการคัดเลือก และในขณะที่นักอะคูสติกเลือกเสียงที่พวกเขาสนใจ เราต้องเลือกข้อเท็จจริงที่จำเป็นเพื่อให้ครอบคลุมหัวข้อที่เลือก - ประวัติชาติพันธุ์ของประเทศเรา (L.N. Gumilyov จากรัสเซียถึงรัสเซีย)
การเปรียบเทียบเชิงเปรียบเทียบ
สังคมมนุษย์เป็นเหมือนทะเลที่พลุ่งพล่าน ซึ่งแต่ละบุคคลเช่นคลื่นที่รายล้อมด้วยเผ่าพันธุ์ของตนเอง ชนกันอย่างต่อเนื่อง เกิดขึ้น เติบโตและหายไป และสังคมทะเล - เดือดดาล กระวนกระวายใจ และไม่หยุดนิ่งตลอดไป . ..
ปัญหาที่เป็นปัญหา
คำถามแรกที่เราเผชิญคือ ศาสตร์แห่งสังคมวิทยาคืออะไร? หัวข้อของการศึกษาคืออะไร? สุดท้ายนี้ แผนกหลักของวินัยนี้คืออะไร?
(ป. โซโรคิน. สังคมวิทยาทั่วไป)
ข้อจำกัดของการใช้วิธีการทางภาษาศาสตร์ในรูปแบบวิทยาศาสตร์
- ความไม่สามารถยอมรับได้ของคำศัพท์ที่ไม่ใช่วรรณกรรม
- กริยาและสรรพนามบุรุษที่ 2 นั้นแทบไม่มีรูปแบบใดเลย คุณคือคุณ
- ใช้ประโยคที่ไม่สมบูรณ์ในขอบเขตที่จำกัด
- การใช้คำศัพท์และการใช้ถ้อยคำแสดงอารมณ์มีจำกัด
ทั้งหมดข้างต้นสามารถนำเสนอในตาราง
คุณสมบัติของรูปแบบการพูดทางวิทยาศาสตร์
| ในคำศัพท์ | ก) เงื่อนไข; b) ความชัดเจนของคำ; c) การทำซ้ำคำหลักบ่อยครั้ง d) ขาดวิธีการเปรียบเทียบ; |
| เป็นส่วนหนึ่งของคำ
| ก) รากสากล คำนำหน้า คำต่อท้าย; b) คำต่อท้ายที่ให้ความหมายเชิงนามธรรม |
| ในทางสัณฐานวิทยา
| ก) ความเด่นของคำนาม; b) การใช้คำนามที่เป็นนามธรรมบ่อยครั้ง c) คำสรรพนามที่ไม่ได้ใช้ I, คุณ และกริยาของบุคคลที่ 1 และ 2 เอกพจน์; d) ความแปลกประหลาดของคำอุทานและคำอุทาน; |
| ในไวยากรณ์ | ก) ลำดับคำโดยตรง (ที่ต้องการ); b) การใช้วลีอย่างแพร่หลาย คำนาม + น. ในสกุล ป.; c) ความเด่นของประโยคส่วนตัวและไม่มีกำหนด d) การใช้ประโยคที่ไม่สมบูรณ์ จ) ประโยคที่ซับซ้อนมากมาย ฉ) การใช้วลีที่มีส่วนร่วมและกริยาวิเศษณ์บ่อยครั้ง |
| ประเภทของคำพูดพื้นฐาน
| การให้เหตุผลและคำอธิบาย |
รูปแบบสไตล์วิทยาศาสตร์
พ.ศ. 2461 ปฏิรูปการสะกด ทำให้การเขียนใกล้เคียงกับคำพูดที่มีชีวิตมากขึ้น (กล่าวคือ ยกเลิกคำดั้งเดิมจำนวนมาก แทนที่จะใช้การสะกดสัทศาสตร์) การสะกดคำใกล้เคียงกับคำพูดที่มีชีวิตมักทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในอีกทางหนึ่ง: ความปรารถนาที่จะนำการออกเสียงให้ใกล้เคียงกับการสะกดคำ ...
อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของการเขียนถูกควบคุมโดยการพัฒนาแนวโน้มการออกเสียงภายใน เฉพาะลักษณะการสะกดคำเท่านั้นที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการออกเสียงวรรณกรรม ซึ่งช่วยพัฒนาระบบการออกเสียงของรัสเซียตามกฎหมายของ I.A. Baudouin de Courtenay หรือมีส่วนในการกำจัดหน่วยวลีในระบบนี้ ...
ในขณะเดียวกันก็ต้องเน้นว่าประการแรกคุณลักษณะเหล่านี้เป็นที่รู้จักเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 และประการที่สองแม้ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถถือว่าได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ในการออกเสียงวรรณกรรมรัสเซียสมัยใหม่ บรรทัดฐานวรรณกรรมเก่าแข่งขันกับพวกเขา
ภาษาอังกฤษแบบวิทยาศาสตร์
รูปแบบทางวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งในรูปแบบการทำงานที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตทางวิทยาศาสตร์ของกิจกรรมการสื่อสารและการพูดที่มุ่งเป้าไปที่การตระหนักรู้ของวิทยาศาสตร์ในรูปแบบของจิตสำนึกทางสังคม หน้าที่หลักของประเภทคำพูดในรูปแบบวิทยาศาสตร์คือการให้ข้อมูล (ข้อความ) เนื้อหาทั่วไปของฟังก์ชันรูปแบบทางวิทยาศาสตร์สามารถกำหนดเป็นคำอธิบายได้ ซึ่งรวมถึงการรวมกระบวนการของความรู้ความเข้าใจและการจัดเก็บความรู้ (ฟังก์ชัน epistemic) การได้มาซึ่งความรู้ใหม่ (ฟังก์ชันทางปัญญา) การถ่ายโอนข้อมูลพิเศษ (การสื่อสาร) การทำงาน).
ภายในกรอบของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ รูปแบบย่อยทางวิชาการและวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่นิยมมีความโดดเด่น อันแรกออกแบบมาสำหรับผู้อ่านที่ได้รับการฝึกอบรม ส่วนอันที่สอง - สำหรับผู้ที่ไม่ใช่มืออาชีพหรือสำหรับผู้รับที่ได้รับการฝึกอบรมทางวิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอ
ในโครงสร้างของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ รูปแบบย่อยยังถูกจำแนกตามพื้นที่ของความรู้ทางวิทยาศาสตร์: วรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ วิทยาศาสตร์และมนุษยธรรม และวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์และทางเทคนิค
คุณสมบัติหลักของรูปแบบวิทยาศาสตร์เน้นที่ตรรกะ, ความถูกต้องของความหมาย (การแสดงออกของความคิดที่ชัดเจน), ความสมบูรณ์ของข้อมูล, ความเที่ยงธรรมของการนำเสนอ, อารมณ์ที่ซ่อนอยู่, ลักษณะนามธรรมทั่วไปของการนำเสนอ, การใช้คำศัพท์ที่เป็นนามธรรม นามธรรมและลักษณะทั่วไปของระดับคำศัพท์นำไปสู่คุณลักษณะที่คล้ายคลึงกันของระดับสัณฐานวิทยา
พื้นฐานของการออกแบบภาษาศาสตร์ของตำราทางวิทยาศาสตร์คือการสร้างมาตรฐาน กล่าวคือ การเลือกรูปแบบภาษาที่คิดโบราณซึ่งกำหนดไว้สำหรับเงื่อนไขการสื่อสารที่กำหนด
ตามที่ระบุไว้ในตำราเรียนโดย N. I. Kolesnikova ตามเนื้อผ้า รูปแบบย่อยหกรูปแบบมีความโดดเด่นในรูปแบบวิทยาศาสตร์: วิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม วิทยาศาสตร์ยอดนิยม การศึกษาและวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์และธุรกิจ รูปแบบย่อยแต่ละแบบเหล่านี้ประกอบเป็นเอกสารทางวิทยาศาสตร์ประเภทต่างๆ:
1) กับ รูปแบบย่อยทางวิทยาศาสตร์อย่างเคร่งครัด- บทความในวารสาร, เอกสารทางวิทยาศาสตร์, วิทยานิพนธ์, เอกสาร, รายงาน;
2) ย่อยวิทยาศาสตร์ยอดนิยม- เรียงความ หนังสือ การบรรยาย บทความ;
3) รูปแบบย่อยทางการศึกษาและวิทยาศาสตร์- หนังสือเรียน, คู่มือการศึกษาและระเบียบวิธี, โปรแกรม, การรวบรวมงานและแบบฝึกหัด, การบรรยาย, บทคัดย่อ, สื่อการสอน
4) สไตล์วิทยาศาสตร์และธุรกิจ- เอกสารทางเทคนิค (สัญญาและคำแนะนำสำหรับองค์กร รายงานการทดสอบและการวิเคราะห์ ฯลฯ )
5) รูปแบบย่อยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์- บทคัดย่อ คำอธิบายประกอบ คำอธิบายสิทธิบัตร
6) ข้อมูลอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์- สารานุกรม พจนานุกรม หนังสืออ้างอิงที่ออกแบบมาสำหรับนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญ
ประเภทวิทยาศาสตร์ตนเองสัมพันธ์กับประเภทคำพูดของเอกสาร บทความทางวิทยาศาสตร์ รายงานทางวิทยาศาสตร์
เอกสารเป็นภาพรวมของข้อมูลที่ต่างกันซึ่งได้มาจากงานวิจัยหลายฉบับที่อุทิศให้กับหัวข้อเดียวและมีปัจจัยเชิงอัตวิสัยมากกว่าบทความ มันถูกสร้างขึ้นหลังจากการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงและข้อมูลทั่วไปจำนวนหนึ่งเท่านั้น
บทความในวารสารทางวิทยาศาสตร์ นอกจากข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงแล้ว ยังมีองค์ประกอบของความเข้าใจเชิงตรรกะของผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะอีกด้วย บทความทางวิทยาศาสตร์รวมถึง:
ข้อความสั้นๆ ที่มีบทสรุปของผลงานวิจัยหรือขั้นตอนของงานวิจัย
บทความต้นฉบับซึ่งเป็นบทสรุปของผลลัพธ์หลักและข้อสรุปที่ได้จากการวิจัยและพัฒนา
บทความทบทวนที่สรุปความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่ง แก้ไขสถานะปัจจุบัน หรือสรุปแนวโน้มสำหรับการพัฒนาในอนาคต
บทความอภิปรายที่มีบทบัญญัติทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นข้อโต้แย้งเพื่อวัตถุประสงค์ในการอภิปรายในการพิมพ์
โดยธรรมชาติของงานที่ได้รับการแก้ไขในบทความทางวิทยาศาสตร์สามารถแบ่งออกเป็นทางวิทยาศาสตร์ - ทฤษฎี, วิทยาศาสตร์ - ระเบียบวิธีและวิทยาศาสตร์ - ปฏิบัติ ในบทความทางวิทยาศาสตร์และทฤษฎี มีการกล่าวถึงความสม่ำเสมอของวัตถุที่อยู่ระหว่างการศึกษา
บทความที่มีลักษณะประยุกต์ (ระเบียบวิธีและการปฏิบัติ) อธิบายด้านการปฏิบัติของกฎของวัตถุที่กำลังศึกษา เทคนิคของการประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ
นอกจากนี้ยังมีบทความเกี่ยวกับธรรมชาติวิทยาเกี่ยวกับประชากรที่เกี่ยวกับปัญหาสังคม เช่น การปกป้องสิ่งแวดล้อม การต่อสู้กับโรคเอดส์ ยาใหม่ในการรักษาโรคต่างๆ ตามกฎแล้วบทความดังกล่าวตีพิมพ์โดยสื่อมวลชนและไปไกลกว่ารูปแบบทางวิทยาศาสตร์อย่างหมดจดโดยได้รับคุณลักษณะบางอย่างของรูปแบบวารสารศาสตร์
สื่อยังทำหน้าที่เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ใหม่ความสำเร็จในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดังนั้นการอุทธรณ์ไปยังวิธีการพูดทางวิทยาศาสตร์ซึ่งปรากฏไม่เพียง แต่ในบทความที่เผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเนื้อหาที่นำเสนอการวิเคราะห์และการวางนัยทั่วไปของปัญหาทางการเมือง สังคมเศรษฐกิจและปัญหาอื่น ๆ การวางแนวตามทฤษฎีของเนื้อหาและด้วยเหตุนี้การผสมผสานของการวิเคราะห์และการวางนัยทั่วไปตลอดจนสิ่งที่เป็นนามธรรมในการนำเสนอข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ค้นหาการแสดงออกในภาษาที่หลากหลายในการใช้คุณสมบัติทางศัพท์และวากยสัมพันธ์ของวิทยาศาสตร์ คำพูด. ตามลักษณะเฉพาะนี้ ภายในรูปแบบวารสารศาสตร์ (หนังสือพิมพ์-วารสารศาสตร์) รูปแบบย่อยของวารสารศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์มีความโดดเด่น
สำหรับข้อความทางวิทยาศาสตร์และวารสารศาสตร์ที่จัดสรรในรูปแบบย่อยทางหนังสือพิมพ์และวารสารศาสตร์ การผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และการเผยแพร่ในรูปแบบเนื้อหาและภาษาเป็นลักษณะเฉพาะ โดยมีบทบาทนำของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม อย่างหลังช่วยให้เราพิจารณาประเภทวิทยาศาสตร์และวารสารศาสตร์ที่ผสมผสานกันภายในกรอบของวิทยาศาสตร์หรือในโครงสร้างของรูปแบบวารสารศาสตร์
ประเภทของคำพูดที่ประเภทย่อยนี้ถูกรับรู้คือ "บทความ" ทางวิทยาศาสตร์และวารสารศาสตร์ "บันทึก" "พงศาวดาร" "ทบทวน" "สัมภาษณ์" "รายงาน" ประเภทของคำพูดที่หลากหลายนี้มีลักษณะเฉพาะโดย: คำศัพท์พิเศษ วิธีการแสดงออกเกี่ยวกับคำพูดที่เกี่ยวข้องกับงานเผยแพร่ การรวมการแสดงออกในรูปแบบอื่นๆ (เทคนิควารสารศาสตร์ วรรณกรรมและภาษาพูดที่คิดโบราณ) บทความทางวิทยาศาสตร์ยอดนิยม บทวิจารณ์ บทวิจารณ์ บทสัมภาษณ์ ฯลฯ) มุ่งไปสู่การนำเสนอเชิงวิเคราะห์ทั่วไปและธรรมชาติของคำพูดและรูปแบบที่ใกล้เคียงกับวิทยาศาสตร์ แต่แน่นอนว่าเป็นงานข่าวที่ส่งผลกระทบอย่างชัดแจ้งและประเมินผลอย่างสดใส
ประเภทข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของข้อความทางวิทยาศาสตร์ครอบคลุมเฉพาะเอกสารทางวิทยาศาสตร์รองเท่านั้น ข้อกำหนดหลักสำหรับเอกสารข้อมูล - ความเกี่ยวข้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่รายงาน ความสมบูรณ์ของการครอบคลุมแหล่งที่มา ความกะทัดรัดของการนำเสนอ และประสิทธิภาพของการตีพิมพ์ - เป็นเรื่องปกติของวัสดุที่มีการลดข้อมูลในทุกระดับ
วารสารบทคัดย่อเป็นสิ่งพิมพ์ข้อมูลทุติยภูมิที่สำคัญที่สุด มีการเผยแพร่คำอธิบายประกอบและบทคัดย่อ เทคนิคการออกแบบตำราประเภทนี้มีลักษณะเฉพาะของชาติในวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
คำอธิบายประกอบเป็นคำอธิบายที่กระชับอย่างยิ่งของแหล่งที่มาดั้งเดิม ซึ่งมีค่าข้อมูลล้วนๆ นามธรรมไม่สามารถแทนที่ตัววัสดุเองได้ ต่างจากนามธรรม ควรให้แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับเนื้อหาหลักของหนังสือหรือบทความเท่านั้น บทคัดย่อตอบคำถาม: สิ่งที่กล่าวในแหล่งที่มาดั้งเดิม
คำอธิบายประกอบมีสองประเภท: คำอธิบายและนามธรรม
คำอธิบายประกอบให้คำอธิบายของเนื้อหาเท่านั้นโดยไม่เปิดเผยเนื้อหา
คำอธิบายประกอบที่เป็นนามธรรมระบุว่ามีสิ่งใดอยู่ในเนื้อหาที่มีคำอธิบายประกอบ (บทความ งานทางวิทยาศาสตร์) กล่าวคือ เนื้อหาถูกนำเสนอในรูปแบบที่สอดคล้องกัน แม้ว่าจะมีรูปแบบที่รัดกุมและเป็นภาพรวมอย่างยิ่ง ตัวอย่างของบทคัดย่อที่เป็นนามธรรมคือบทคัดย่อที่วางอยู่บนหลังปกหนังสือ
ทั้งบทคัดย่อเชิงพรรณนาและนามธรรมสามารถมีโครงสร้างดังต่อไปนี้:
2) ข้อมูลทั่วไป (ลักษณะบีบอัด) ของวัสดุ
3) ข้อมูลเพิ่มเติม (เกี่ยวกับงานและผู้แต่ง)
นามธรรมซึ่งแตกต่างจากคำอธิบายประกอบ ตอบคำถาม: ข้อมูลใดบ้างที่อยู่ในแหล่งที่มาดั้งเดิม เขารายงานบทบัญญัติและข้อสรุปใหม่และสำคัญที่สุดของแหล่งอ้างอิง วัตถุประสงค์ของบทคัดย่อไม่ใช่เพียงเพื่อสื่อถึงเนื้อหาของต้นฉบับในรูปแบบที่กระชับที่สุดเท่านั้น แต่ยังเพื่อเน้นย้ำสิ่งที่สำคัญหรือใหม่เป็นพิเศษที่มีอยู่ในเนื้อหาที่เป็นนามธรรม หากจำเป็น ผู้แปลจะต้องทำการประเมินทั่วไป (เชิงบวกหรือเชิงวิพากษ์) ของบทบัญญัติในคำอธิบาย
โดยธรรมชาติของการนำเสนอเนื้อหา บทคัดย่อ-บทสรุป และบทคัดย่อ-บทสรุป มีความโดดเด่น
บทคัดย่อโดยย่อต้องมีระดับของการวางนัยทั่วไปในระดับที่สูงกว่า ซึ่งจะสรุปบทบัญญัติหลักของต้นฉบับ บทบัญญัติรองที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับหัวข้อจะถูกยกเว้น
ในบทคัดย่อ-บทสรุป บทบัญญัติหลักทั้งหมดของต้นฉบับได้รับการสรุป รวมทั้งบทรองในบางครั้ง
ตามความครอบคลุมของแหล่งที่มา บทคัดย่อ บทคัดย่อ การทบทวน และการคัดเลือกมีความโดดเด่น
บทคัดย่อเชิงย่อถูกรวบรวมจากแหล่งเดียว บทคัดย่อโดยย่อถูกรวบรวมจากบทความ หนังสือ หรือเอกสารหลายฉบับ บทคัดย่อการทบทวนถูกรวบรวมในหัวข้อหรือในทิศทางใด ๆ ในรูปแบบของบทวิจารณ์สั้น ๆ และบทคัดย่อแบบคัดเลือกจะดำเนินการแยกกัน บท ส่วน หรือวัสดุ
เมื่อรวบรวมบทคัดย่อ คุณสามารถใช้โครงสร้างต่อไปนี้:
แนวคิดหลัก (แนวคิด) ของนามธรรม
การนำเสนอโดยทั่วไปของเนื้อหา (เนื้อหา) ของงานที่ตรวจสอบแล้ว
ความเห็นอ้างอิง ซึ่งอาจรวมถึง: ความคิดเห็นทั่วไปในหัวข้อ (งาน) ที่กำลังนำเสนอ ความคิดเห็นเกี่ยวกับประวัติของปัญหา (การเชื่อมต่อกับเหตุการณ์และปรากฏการณ์ในอดีตและปัจจุบัน); คำชี้แจงและคำอธิบายที่แท้จริงซึ่งต้องระบุโดยผู้อ้างอิง ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียนและแหล่งที่มา การอ้างอิงถึงแหล่งข้อมูลและเนื้อหาอื่นๆ ในประเด็นนี้
ข้อความประเภทอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์มีระดับสูงสุดของลักษณะทั่วไป มันถูกนำไปใช้ในหนังสืออ้างอิง พวกเขาถูกรวบรวมบนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง มีข้อมูลที่พิสูจน์แล้วและคำแนะนำสำหรับการใช้งานจริง
ข้อความประเภทการศึกษาวิทยาศาสตร์แสดงโดยตำราและอุปกรณ์ช่วยสอนหลักสูตรการบรรยาย พวกเขาโดดเด่นด้วยความสามารถในการนำเสนอที่ยอดเยี่ยมโดยคำนึงถึงจุดประสงค์ในการสอน
ซม. คาร์เพนโก
ในการเชื่อมต่อกับความทันสมัยของการศึกษาและการเปลี่ยนผ่านตามแผนไปสู่การศึกษาเฉพาะทาง ความสนใจเป็นพิเศษจะจ่ายให้กับคุณภาพของกระบวนการศึกษา การใช้โปรแกรมการศึกษาคุณภาพสูงเกี่ยวข้องกับการอุทธรณ์ของครูต่อวิธีการช่วยในกระบวนการเรียนรู้ - อุปกรณ์ช่วยสอน
คุณสมบัติของข้อความเพื่อการศึกษาและวิทยาศาสตร์ไม่ได้ครอบคลุมเพียงพอในวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วรูปแบบทางวิทยาศาสตร์จะได้รับการศึกษาอย่างเพียงพอโดยนักวิจัยของ Perm Linguistic School (ดูผลงานของ M.N. Kozhina, M.P. Kotyurova, E.A. Bazhenova และอื่น ๆ ) .
งานของเราคือการกำหนดลักษณะประเภทและลักษณะโวหารของหนังสือเรียนตามลักษณะทั่วไปของเนื้อหาที่มีอยู่ในวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์และการวิเคราะห์ข้อความหลายประเภทในประเภทนี้ การทำความเข้าใจประเภทดังกล่าวเป็น "ประเภทข้อความที่มีเนื้อหาเฉพาะเรื่องเนื้อหาและโวหารที่ค่อนข้างเสถียร" เราสังเกตลักษณะเฉพาะขององค์ประกอบของประเภทนี้และคุณลักษณะของการนำคุณลักษณะโวหารหลักของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในตำราเรียน . หนังสือเรียนในรูปแบบของรูปแบบวิทยาศาสตร์คือข้อความเพื่อการศึกษาและวิทยาศาสตร์ และอยู่ในตำแหน่งกลางระหว่างตำราทางวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ยอดนิยมที่เหมาะสม ซึ่งกำหนดความจำเพาะของหนังสือ
อุปกรณ์ช่วยสอนมีหลายประเภท: 1) แนวทาง (คำแนะนำ) (ผู้แต่ง - ผู้เรียบเรียง); 2) ความซับซ้อนของการศึกษาและระเบียบวิธีรวมถึงหลักสูตรการบรรยายแบบฝึกหัดภาคปฏิบัติ 3) คู่มือการศึกษาที่ประกอบด้วยโปรแกรมหลักสูตร การพัฒนาแต่ละหัวข้อภายในโปรแกรม แบบฝึกหัดและงานภาคปฏิบัติที่มีส่วนช่วยในการดูดซึมและการรวมเนื้อหาที่ครอบคลุม ตารางสรุป ข้อความสำหรับการวิเคราะห์ หัวข้อสำหรับข้อความการศึกษา รายการของ วรรณกรรมที่ใช้และแนะนำ ฯลฯ ; 4) การรวบรวมแบบฝึกหัดการควบคุมและการฝึก ฯลฯ
โครงสร้างของคู่มือการศึกษาและวิทยาศาสตร์เป็นแบบแผนและรวมถึงส่วนหลักต่อไปนี้: คำอธิบายประกอบ สารบัญ คำนำ บทนำ เนื้อหาหลัก รายการบรรณานุกรม [ดู รายละเอียดเพิ่มเติม: 2].
เมื่อกำหนดลักษณะประเภทใด ๆ บริบทนอกภาษาเป็นสิ่งสำคัญซึ่งเป็นพื้นฐานของการสื่อสารด้วยคำพูด ปัจจัยภายนอกภาษาที่มีอิทธิพลต่อลักษณะเฉพาะของข้อความทางการศึกษาและวิทยาศาสตร์เป็นรูปแบบรูปแบบ ท่ามกลางปัจจัยภายนอกภาษา, ขอบเขตของการสื่อสาร, ธรรมชาติของผู้รับ, งานของการสื่อสารด้วยวาจาในพื้นที่นี้, ประเภทของความคิด, รูปแบบของการพูด, ฯลฯ มีความโดดเด่นตามประเพณี
ข้อความใด ๆ ที่เป็นวิธีการสื่อสารจะถูกส่งไปยังผู้อ่านบางหมวดหมู่ ปัจจัยของผู้รับข้อความการศึกษาและวิทยาศาสตร์เป็นผู้นำทั้งในด้านการกำหนดงานและในการเลือกวิธีทางภาษา ไม่เหมือนกับข้อความของรูปแบบย่อยทางวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง - บทความทางวิทยาศาสตร์ เอกสาร ฯลฯ หนังสือเรียนส่งถึงผู้ที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ บุคคลที่มีเป้าหมายคือการศึกษา กล่าวคือ การได้มาซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ สถานการณ์ของการเรียนรู้ซึ่งข้อความประเภทนี้เป็นแนวกำหนดทิศทางของข้อมูลและความพร้อมของการนำเสนอวัสดุทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น ลักษณะทางวิทยาศาสตร์และความสามารถในการเข้าถึงของงานนำเสนอจึงเป็นคุณลักษณะที่เท่าเทียมกันของตำราเรียน หน้าที่ของผู้เขียนหนังสือเรียนคือการนำเสนอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในรูปแบบที่สามารถเข้าถึงได้สำหรับผู้รับ อธิบาย แสดงตัวอย่าง สรุป ถามคำถาม และเลือกงานเพื่อรวบรวมเนื้อหา พัฒนาทักษะการปฏิบัติ
รูปแบบการพูดที่เป็นลายลักษณ์อักษรจะกำหนดการเลือกวิธีทางภาษา ซึ่งในลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นหนังสือ ความเป็นไปไม่ได้ที่จะถามอีกครั้งในลักษณะที่เป็นลายลักษณ์อักษรของการนำเสนอกำหนดความจำเป็นในการเลือกถ้อยคำที่แม่นยำ การสร้างประโยคที่สมบูรณ์ ข้อความทางวิทยาศาสตร์เป็นรูปแบบหนึ่งของการสื่อสารระหว่างนักเรียนและครู แม้จะมีลักษณะการพูดคนเดียว แต่ผู้สื่อสารในกรณีนี้ก็เข้าสู่ความสัมพันธ์แบบโต้ตอบซึ่งรับรู้ในคอมเพล็กซ์ตอบคำถาม ผู้เขียนตำราเรียนพูดคุยกับผู้รับอย่างต่อเนื่อง ถามคำถามและตอบคำถาม ตัวอย่างเช่น: แนวคิดพื้นฐานสำหรับการสอนกิจกรรมที่เป็นข้อความคืออะไร? แนวคิดของกิจกรรมการพูดและกิจกรรมข้อความเกี่ยวข้องกันอย่างไร อะไรคือเงื่อนไขสำหรับการดำเนินกิจกรรมข้อความที่มีประสิทธิภาพ? กิจกรรมข้อความประเภทใดที่โดดเด่น?. คำถามแต่ละข้อตามด้วยคำตอบโดยละเอียด
เมื่อนำลักษณะการสนทนาของข้อความเพื่อการศึกษาและวิทยาศาสตร์ไปใช้ จำเป็นต้องคำนึงถึงหลักการเชิงวาทศิลป์ของการสนทนาโต้ตอบของพฤติกรรมการพูดซึ่งระบุโดย A.K. Michalska: โดยคำนึงถึงปัจจัยของผู้รับ, หลักการของความจำเพาะ, ความใกล้ชิดของเนื้อหาของคำพูดกับความสนใจและชีวิตของผู้รับ หลักการของความเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นได้ด้วยตัวอย่างที่ยืนยันความคิดที่แสดงไว้ก่อนหน้านี้ อุปมาอุปไมยบางอย่าง (เท่าที่อนุญาตในรูปแบบวิทยาศาสตร์) การสรุปข้อเท็จจริง การใช้ชื่อทั่วไปที่ไม่ธรรมดา แต่เฉพาะเจาะจงที่มีความเฉพาะเจาะจง ความหมายและนำไปสู่การดำเนินการตามหลักการของการเข้าถึง ในบรรดาวิธีการโต้ตอบเราสามารถแยกแยะลักษณะจูงใจของการนำเสนอซึ่งแสดงออกในการกำหนดงานผ่านการใช้กริยาของบุคคลที่ 2, พหูพจน์, อารมณ์ที่จำเป็น: ระบุ, เปิดเผย, กำหนด, เปิดเผย, แจกจ่าย, หยิบ, ใช้, แบบฟอร์ม, แต่งหน้า, ถอดเสียง, เขียนลงไป, เขียนใหม่, วิเคราะห์, สรุปฯลฯ การใช้กริยาในรูปแบบไม่แน่นอนโดยให้ข้อความที่เป็นหมวดหมู่และจำเป็นไม่ได้ส่งผลต่อการสื่อสารที่ตั้งใจไว้ระหว่างผู้เขียนกับผู้รับ (cf.: ระบุประโยคที่ซับซ้อน ระบุประโยคที่ซับซ้อน)
ลักษณะโวหารซึ่งมีอยู่ในรูปแบบทางวิทยาศาสตร์โดยภาพรวมทำให้ข้อความของประเภทนี้มีลักษณะครบถ้วน ให้เราพิจารณาคุณสมบัติบางอย่างของการนำคุณลักษณะสไตล์ของรูปแบบวิทยาศาสตร์ไปใช้ที่สัมพันธ์กับประเภทของตำราเรียน
ความเข้มงวด วัตถุประสงค์ของการนำเสนอ
จุดประสงค์ของหนังสือเรียนคือ “เพื่อนำเสนอความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่วิทยาศาสตร์รู้อยู่แล้วโดยเป็นรูปธรรม แต่เป็นสิ่งใหม่สำหรับผู้รับที่กำหนด ดังนั้นผู้รับจึงยึดติดกับวิทยาศาสตร์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ผู้เขียนจึงทำหน้าที่เป็นล่ามและเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในระดับหนึ่ง เมื่อตระหนักถึงลักษณะโวหารของข้อความทางวิทยาศาสตร์ว่ามีความเที่ยงธรรม ผู้เขียนไม่ควรทำซ้ำเนื้อหาของหนังสือเรียนอื่นๆ “หนังสือเรียนนำเสนอความรู้ทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน (ทางวินัย) ที่จัดตั้งขึ้นแล้ว การนำเสนอโดยรวมไม่ได้มีลักษณะที่เป็นปัญหาและมีความเฉียบแหลมในการโต้เถียง” .
แต่เครื่องช่วยสอนสามารถอุทิศให้กับการพิจารณาปัญหาที่ถกเถียงกันได้ ในกรณีนี้ การนำเสนอมุมมองต่างๆ อาจนำหน้าด้วยคำถาม เช่น “ ปัญหาของหน่วยแนะนำในตำราเรียนและไวยากรณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้รับการแก้ไขอย่างไร?". หรือ: " ให้เราหันไปทำความเข้าใจหน่วยน้ำโดยนักภาษาศาสตร์ที่ยืนอยู่ที่ต้นกำเนิดของไวยากรณ์รัสเซีย» . นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอตำแหน่งต่าง ๆ ของนักวิทยาศาสตร์ตามลำดับหลังจากนั้นจึงกำหนดลักษณะทั่วไปของผู้เขียน: “ ดังที่คุณเห็น นักภาษาศาสตร์ไม่มีแนวทางที่แน่ชัดที่ปิดการค้นหาความจริงทางวิทยาศาสตร์» (อ้างแล้ว).
ลักษณะทั่วไปที่เป็นนามธรรมของการนำเสนอ
ลักษณะทั่วไปของการนำเสนอปรากฏในความหมายและโครงสร้างของข้อความ ตามกฎแล้ว หลังจากพิจารณาประเด็นที่เป็นปัญหาแล้ว วิเคราะห์มุมมองต่างๆ และนำเสนอในข้อความด้วยคำพูดและการผสมผสาน: ดังนั้น, ดังนั้น, โดยทั่วไป, ตามที่เห็น, ตามที่การวิเคราะห์แสดงให้เห็นและอื่น ๆ การใช้กริยาในความหมาย "อมตะ" มีลักษณะทั่วไป: เด่น, มุ่งมั่น, แบ่งย่อยและอื่น ๆ.; " ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ในตำราของคนรุ่นใหม่เมื่อศึกษาส่วนของคำพูดจะได้รับ ข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของพวกเขาในการฝึกพูด» . ลักษณะทั่วไปยังรับรู้โดยการจัดโครงสร้างชิ้นส่วนข้อความ: “ สรุป»; « คำถามสำหรับการตรวจสอบตนเอง» และอื่นๆ ตาราง ไดอะแกรม ความคิดเห็นใช้เพื่อเน้นและสรุปเนื้อหา ฟีเจอร์สไตล์นี้ได้รับการอัปเดตในคู่มือ ซึ่งเป็นแนวทางในการทดสอบและมีไดอะแกรม แผน บันทึกช่วยจำ ความคิดเห็น ตัวอย่างการวิเคราะห์คำในไวยากรณ์วิทยาศาสตร์และไวยากรณ์ของโรงเรียน ฯลฯ [ดูตัวอย่าง: 8]
ให้บริการตามวัตถุประสงค์ของการวางนัยทั่วไปและการทำซ้ำของข้อมูลก่อนหน้าในรูปแบบที่แก้ไขเล็กน้อย: “ ปัจจัยภายนอกภาษาเข้าใจเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ของผู้เขียนโดยเจตนาชี้นำสมาคมของผู้อ่านไปในทิศทางที่ถูกต้องและบุคคลที่รับรู้ ..." และต่อไป: " กล่าวอีกนัยหนึ่ง ลักษณะภายนอกของมุมมองเชิงเปรียบเทียบคือกิจกรรมที่สร้างสรรค์ของการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อความของหัวเรื่อง» . ใช้รูปแบบกริยาแบบผสม "ที่มีความหมายทางศัพท์และไวยากรณ์ที่อ่อนแอลงของเวลา, บุคคล, จำนวน": ขอแนะนำให้เขียน, ต้องแยกแยะ, มันควรจะถูกจดไว้.
ตรรกะ
ตรรกะของการให้เหตุผลในข้อความทางวิทยาศาสตร์มีการวางแนวแบบย้อนหลัง-ในอนาคต ความรู้ใหม่ที่นำเสนอในส่วนหลักของตำราเรียนได้รับการแนะนำตามลำดับโดยยึดตาม "ความรู้เก่า", "ยิ่งกว่านั้นทุกครั้งที่ก้าวไปข้างหน้าใหม่แต่ละขั้นตอนที่ขาดไม่ได้เกิดขึ้น: ก) การขับไล่จากเก่าและกลับสู่มันและ b) การแนะนำความคิดใหม่ » . นักวิจัยสังเกตผลการสื่อสาร (เงื่อนไขโดยกฎของจิตวิทยาของการรับรู้และความเข้าใจของข้อความ) และฟังก์ชันการสร้างข้อความของลักษณะที่คาดหวังย้อนหลังของข้อความทางวิทยาศาสตร์
วิธีการแสดงประเภทของการพยากรณ์และการหวนกลับเป็นคำกริยา เน้นย้ำ, จดจำ, เทียบได้และอื่นๆ ตามที่สังเกตได้แสดงให้เห็นเทคนิคที่พบบ่อยที่สุดคือการย้อนหลัง: “ ในข้อความบรรยายที่กล่าวถึงข้างต้น...» ; « ดังที่คุณเห็นจากตัวอย่างข้างต้น...» ; « ดังที่คุณทราบวิธีการหลักของการรับรู้คือวิธีวิภาษ ...» . ประเภทของหนังสือชี้ชวนมักจะรับรู้ในระยะสั้นของข้อความ: " ให้เราอาศัยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการส่วนตัวหลักในการวิเคราะห์ข้อความวรรณกรรม» ; « นี่คือตัวอย่างช่องข้อความเชื่อมโยง» .
การรับรู้ของตรรกะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือทางภาษาของการเชื่อมต่อองค์ประกอบ-โครงสร้างและข้อมูลของชิ้นส่วนข้อความ การเชื่อมต่อแบบองค์ประกอบและโครงสร้างกำหนดตำแหน่งของข้อความในข้อความ (ที่จุดเริ่มต้น ตรงกลาง จุดสิ้นสุดของการพัฒนาธีม ในธีมย่อยที่คล้ายกันจำนวนหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากส่วนย่อยก่อนหน้าและส่วนต่อๆ ไป) ลิงก์ข้อมูลจะถูกจัดประเภทตามประเภทของข้อมูลที่ดึงออกมา ซึ่งแต่ละลิงก์จะสอดคล้องกับลิงก์ภาษาบางประเภท
ข้อมูลเชิงตรรกะเชิงภาพประกอบ: "ดังนั้นในบทกวี "I" ของ D. Kedrin ผู้มีส่วนร่วมมีอำนาจเหนือกว่าหนึ่งในสามของคำสำคัญทั้งหมด ... "
ข้อมูลเชิงตรรกะที่สำคัญ: “ตำแหน่งของ A.G. รัดเนฟ".
ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ทั่วไป: "แต่ในหลายกรณี สมาชิกของประมวลกฎหมายอาญามีความเกี่ยวข้องกันอย่างมีเหตุมีผลอย่างมาก ซึ่งการจัดเรียงใหม่นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย"
ข้อมูลวัตถุประสงค์-ตรรกะผิดปรกติ: “ในบางกรณี เมื่อการกลั่นกรองและการกระจ่างถูกจัดเรียงใหม่ ความสัมพันธ์แบบอธิบาย (ในความหมายกว้าง) จะถูกรักษาไว้ ... ” .
ข้อมูลวัตถุประสงค์ที่ได้รับจากบางแหล่ง: “เอ.เอ. ชัคมาตอฟเชื่อว่า ... ".
ชี้แจงข้อมูลวัตถุประสงค์: “เนื้อหาหรืออีกนัยหนึ่งคือ…..” ; “กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าความหมายของนายพลและเฉพาะในประโยคจะคงอยู่ แต่สมาชิกที่เป็นตัวแทนของพวกเขาอยู่ในลำดับที่กลับกัน ประมวลกฎหมายอาญาจะไม่เกิดขึ้น”
ข้อมูลเชิงตรรกะเพิ่มเติม: “อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตว่า ในบางกรณี จำนวนของคุณสมบัติทั่วไปอาจมีขนาดใหญ่ และส่วนต่าง ตามลำดับ เล็กกว่า”
การประเมินอัตนัยของวิทยานิพนธ์เชิงตรรกะในแง่ของความน่าเชื่อถือ: “ชัดเจน: ส่วนนี้ไม่ถูกต้องเพราะ มุ่งเป้าไปที่คำถามว่าในประโยคคืออะไร?
ความแม่นยำ
ฟีเจอร์สไตล์นี้ใช้ได้ในขั้นต้นเมื่อใช้โครงสร้างวากยสัมพันธ์เต็มรูปแบบ คำเกริ่นนำและโครงสร้างปลั๊กอิน คำศัพท์คำศัพท์ ข้อมูลอ้างอิงและเชิงอรรถในข้อความที่ระบุชื่อย่อและนามสกุลของผู้แต่ง ปีที่พิมพ์ผลงาน ฯลฯ ความเฉพาะเจาะจงของการใช้คำศัพท์ในข้อความเพื่อการศึกษาและวิทยาศาสตร์นั้นเกิดจากความจำเป็นในการตีความการกำหนดคำศัพท์ที่สามารถเข้าถึงได้ นักวิจัยสังเกตการยอมรับในการเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของข้อความในตำราเรียน ในเวลาเดียวกัน การทำให้แพร่หลายเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นการนำเสนอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เข้าถึงได้ แต่ไม่ทำให้เข้าใจง่าย เอส.วี. Sypchenko เน้นวิธีการเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้แพร่หลายเมื่อใช้คำศัพท์ (วิธีการรวมคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ในบริบท): 1) คำนำพร้อมตัวอย่างประกอบ ตามด้วยคำอธิบายของคำศัพท์นั้น 2) บุพบทของการใช้คำด้วยความช่วยเหลือของคำที่ใช้กันทั่วไป; 3) การอ้างอิงนิรุกติศาสตร์ 4) คำพ้องความหมายตามบริบท เช่น การใช้คำและวลีที่ใช้กันทั่วไปเพื่อสื่อถึงแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ 5) การเปรียบเทียบมีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายนามธรรมทั่วไปโดยสัมพันธ์กับรูปธรรม การมองเห็น 6) ใช้สำหรับการตีความเงื่อนไขของคำพูดประเภทการทำงาน - ความหมาย (คำอธิบาย, การบรรยาย, การใช้เหตุผล)
เมื่อสร้างตำราเรียน จำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะเฉพาะของการรับรู้ของผู้รับ สมมติฐานและพารามิเตอร์ข้อความเช่นการเชื่อมโยงและระเบียบข้อบังคับ การเชื่อมโยงกันของการรับรู้มีความสำคัญไม่เพียง แต่สำหรับการรับรู้และการตีความข้อความวรรณกรรม แต่ยังรวมถึงในระดับหนึ่งในการพัฒนาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ คำสำคัญมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ ในข้อความทางวิทยาศาสตร์ ตามกฎแล้ว คำศัพท์เหล่านี้แสดงถึงแนวคิดทั้งสองที่คุ้นเคยอยู่แล้วสำหรับผู้รับและแนวคิดใหม่ ระเบียบคือการจัดระเบียบกิจกรรมการรับรู้ของผู้รับโดยใช้ข้อความ หมายถึงระเบียบของข้อความการศึกษาและวิทยาศาสตร์ - ภาษาศาสตร์ (ศัพท์, สัณฐานวิทยา, อนุพันธ์, วากยสัมพันธ์, โวหาร) และนอกภาษา (องค์ประกอบ, ตรรกะ, กราฟิก)
ดังนั้นตำราเรียนจึงเป็นประเภทย่อยของการศึกษาและวิทยาศาสตร์ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง
วรรณกรรม
บักติน MM สุนทรียศาสตร์ของความคิดสร้างสรรค์ทางวาจา - ม., 2522. - 318.
ระเบียบว่าด้วยการจัดทำและตีพิมพ์วรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ การศึกษา และระเบียบวิธีใน TSPU / Comp. เอ็น.ไอ. เมยุคา. - ทอมสค์ 2545 - 30 น.
Kozhina M.N. สไตล์วิทยาศาสตร์ // พจนานุกรมสารานุกรมโวหารของภาษารัสเซีย / เอ็ด เอ็ม.เอ็น. โคซินา - M. , 2003. - S. 242-248. Bolotnova N.S. การวิเคราะห์ข้อความทางภาษาศาสตร์: คู่มือสำหรับนักภาษาศาสตร์ ส่วนที่ 1 - 4 - Tomsk, 2001 - 2005. Matveeva T.V. พจนานุกรมการศึกษา: ภาษารัสเซีย, วัฒนธรรมการพูด, โวหาร, วาทศาสตร์ / T.V. มัตวีฟ. - ม.. 2546 - 432 หน้า Bazhenova E.A. , Kotyurova M.P. ประเภทของวรรณคดีวิทยาศาสตร์ // พจนานุกรมสารานุกรมโวหารของภาษารัสเซีย / เอ็ด เอ็ม.เอ็น. โคซินา - M. , 2003. - S. 57-67. Brazhnikova A.I. หน่วยเบื้องต้นในภาษารัสเซียสมัยใหม่ การพัฒนาระเบียบวิธีสำหรับนักศึกษานักภาษาศาสตร์ - Tomsk, 2003. - 20s. การวิเคราะห์ทางสัณฐานวิทยาของคำในส่วนต่าง ๆ ของคำพูด: คำแนะนำเกี่ยวกับระเบียบวิธีสำหรับนักเรียนของแผนกจดหมายโต้ตอบของคณะอักษรศาสตร์ / เรียบเรียงโดย L.G. เอฟาโนว่า - Tomsk, 2003. - 32p. Kozhina M.N. , Chigovskaya Ya.A. สถานะโวหารและข้อความและการโต้ตอบของหมวดหมู่ของการหวนกลับและการคาดเดาในการพูดทางวิทยาศาสตร์ (ด้านสหวิทยาการ) // การสร้างแบบแผนและความคิดสร้างสรรค์ในข้อความ: Mezhvuz นั่ง. วิทยาศาสตร์ ทำงาน/รับผิดชอบ. เอ็ด ส.ส. โคทยูโรว่า - ดัด, 2544. - ส. 118 - 156. Matveeva T.V. รูปแบบการทำงานในแง่ของหมวดหมู่ข้อความ: เรียงความเปรียบเทียบแบบซิงโครนัส - Sverdlovsk, 1990 - 172s. Glebskaya T.F. ภาษารัสเซียสมัยใหม่ ไวยากรณ์ ลิงก์อธิบายในประโยคง่ายๆ: ตัวช่วยการสอน - Tomsk, 2005. - 36p. Sypchenko S.V. เทคนิคการพูดเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในกระบวนการสอน // ปัญหาการพัฒนาวัฒนธรรมการพูดของครู: เนื้อหาของการสัมมนาทางวิทยาศาสตร์และภาคปฏิบัติระดับภูมิภาค (28-29 พฤศจิกายน 1997) - Tomsk, 1997. - S.32-37.
ส่งมอบให้ชุด13.06.2006
ลงนามเพื่อเผยแพร่: 17 มิถุนายน 2549
รูปแบบ 62x84/16 ชุดหูฟัง "ไทม์ส"
การพิมพ์สกรีน กระดาษออฟเซ็ตหมายเลข 1
Conv. เตาอบ ล. 6.98. เลขที่ใบสั่งซื้อ 44
1 หนู M.V. , Oizerman M.T. ภาพสะท้อนของนวัตกรรม // คำถามเกี่ยวกับวิธีการ. - 1991. - ครั้งที่ 1
2 Budon R. สถานที่แห่งความโกลาหล คำติชมของทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ต่อ. จากเ - ม., 2541. - 284 น.
3 Senge P. , Kleiner A. , Roberts S. et al. การเต้นรำแห่งการเปลี่ยนแปลง: ความท้าทายใหม่สำหรับองค์กรการเรียนรู้ ต่อ. จากอังกฤษ. - M.: CJSC "Olimp-Business", 2003; Gaiselhart H. Learning Enterprise ในศตวรรษที่ 21 ต่อ. กับเขา. เอ็น.วี. มาโลวา. - Kaluga: "ความรู้ทางจิตวิญญาณ", 2004.
4 Geiselhart H. องค์กรแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ต่อ. กับเขา. เอ็น.วี. มาโลวา. - Kaluga: "ความรู้ทางจิตวิญญาณ", 2547 - หน้า 228
5 เชอโดรวิตสกี้ พี.จี. จุดเริ่มต้นของการศึกษาความสัมพันธ์แบบโครงสร้างระบบในกลุ่มย่อย หลักสูตรการบรรยาย / จากเอกสารสำคัญของ P.G. เชอโดรวิตสกี้ ต. 3 - ม.: สำนักพิมพ์ "ทาง", 2542. - 352 น.
6 อ้างแล้ว, น. 212-213.
7 บทความเกี่ยวกับวรรณคดีรัสเซียแห่งไซบีเรีย ต.1. ช่วงก่อนการปฏิวัติ - โนโวซีบีสค์: เนาก้า, 2525 - หน้า 45.
8 จำนวนชั่วโมงทั้งหมดในภาษารัสเซียสำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และการแจกแจงที่ระบุจะได้รับตามโปรแกรมที่มีอยู่ในภาษารัสเซียที่แนะนำโดยกระทรวงศึกษาธิการของสหพันธรัฐรัสเซีย (ดูโปรแกรมของสถาบันการศึกษา ภาษารัสเซีย 5-9 เกรด ม.: การศึกษา, 2000 .
ลักษณะเฉพาะของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ โครงสร้างคำพูดของมันถูกเปิดเผยเป็นส่วนใหญ่ในไวยากรณ์ และในระดับเหนือวลี (เช่น ในการเชื่อมต่อ ความสัมพันธ์ของประโยคภายในข้อความและส่วนประกอบ - ย่อหน้าและเอกภาพเหนือวลี หรือ วากยสัมพันธ์ที่ซับซ้อนทั้งหมด) มันอยู่ในการทำงานของหน่วยวากยสัมพันธ์และในการจัดการเชื่อมโยงระหว่างวลีและความสัมพันธ์ในข้อความที่มีการเปิดเผยลักษณะสำคัญของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ในลักษณะที่เป็นนามธรรมโดยทั่วไปของการนำเสนอและตรรกะที่เน้นย้ำมากที่สุด
ประโยคง่ายๆ. ในบรรดาประโยคง่าย ๆ นั้นแพร่หลาย (90%) * ตามกฎแล้วด้วยระบบที่แยกย่อยมากของสมาชิกรองของประโยคโดยมีสมาชิกที่เป็นเนื้อเดียวกันของประโยค (มักจะมีสมาชิกที่เป็นเนื้อเดียวกันทั้งชุด); ในโครงสร้างของประโยคง่าย ๆ การก่อตัวกึ่งกริยามีการใช้งาน (โครงสร้างแบบมีส่วนร่วมและคำกริยาวิเศษณ์ ดังนั้นการแยกออก) เช่นเดียวกับคำเกริ่นนำ โครงสร้างเบื้องต้นและปลั๊กอิน ตัวอย่างเช่น: ประเพณีกรีก-โรมันอันเนื่องมาจากการพัฒนาการพิมพ์หนังสือและการแบ่งวรรณกรรมออกเป็นวิทยาศาสตร์และศิลปะ (ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาการพิมพ์หนังสือ) ทำให้เกิดสำนวนและกวีที่มีเหตุผลอย่างต่อเนื่องเป็นหลักคำสอนของรูปแบบและศูนย์รวมของความคิด ในคำ.(จากหนังสือโดย Yu. Rozhdestvensky "ทฤษฎีวาทศิลป์")
* ซม.: Kozhina M.N.เกี่ยวกับระบบการพูดของรูปแบบวิทยาศาสตร์เมื่อเปรียบเทียบกับระบบอื่น ดัด, 1972, หน้า 323.
การคำนวณพิเศษพบว่าจำนวนคำโดยเฉลี่ยในหนึ่งประโยคของข้อความทางวิทยาศาสตร์ทั่วไปคือ 24.88 แต่ประโยคส่วนใหญ่มี 17 คำ* (ให้ชัดเจนคือ รูปแบบคำ กล่าวคือ ชุดค่าผสมบุพบทกับนาม)
* ดู: รูปแบบการทำงานของภาษาวิทยาศาสตร์ทั่วไปและวิธีการวิจัย / เอ็ด ระบบปฏิบัติการ Akhmanova และ M.M. กลัชโก้. ม., 1974. ส. 22.
ในขอบเขตของประโยคง่าย ๆ ประโยคส่วนตัวที่ไม่มีกำหนดไม่มีตัวตนและประโยคทั่วไปทั่วไปนั้นใช้งานได้
แน่นอนว่าประโยคส่วนตัวนั้นไม่เกี่ยวข้องในที่นี้ เนื่องจากรูปแบบทางวิทยาศาสตร์มีแนวโน้มที่จะนำเสนอในลักษณะที่ไม่ใช่ส่วนบุคคล ไปจนถึงการกำจัดหัวข้อการพูดที่แท้จริงในฐานะบุคคลที่มีความกระตือรือร้น (รูปแบบบุคคลที่ 1 และ 2 เป็นไปได้ใน ตำราโต้เถียง อย่างไรก็ตาม ในข้อความที่เป็นลายลักษณ์อักษรของการปฐมนิเทศเชิงโต้เถียงรูปแบบเหล่านี้หายากมาก พวกเขาเป็นธรรมชาติมากขึ้นในวาจา - วิชาการ - คำพูด) ส่วนเรื่อง "ผู้เขียน เรา",จากนั้นก็เป็นแบบทั่วไป สิ่งนี้ยืนยันคำพ้องความหมายกับประโยคที่ไม่มีตัวตน: เราจึงได้ข้อสรุป...และ จึงสรุปได้ว่า...
ส่วนใหญ่มักใช้ในรูปแบบวิทยาศาสตร์ ประโยคส่วนบุคคลแบบไม่มีกำหนดจะใช้กับกริยา-ภาคแสดงในรูปพหูพจน์บุรุษที่ 3 คำกริยาดังกล่าวหมายถึง (“ อมตะ”) ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปปรากฏการณ์ข้อเท็จจริงรูปแบบ: แยกแยะ เส้นด้ายสามประเภท สารประกอบ ใส่ลงในขวด
ประโยคที่ใช้งานและทั่วไป - ส่วนบุคคลที่มีภาคแสดงด้วยวาจาในบุคคลที่ 1 ของพหูพจน์ปัจจุบันและอนาคต: ให้ นิยามฟังก์ชัน มาผลิตกันผลรวมของสมาชิกทั้งหมด มาแอตทริบิวต์กันเถอะฟังก์ชันนี้กับคลาสของฟังก์ชันดิฟเฟอเรนติเอเบิล
ในบรรดาประโยคที่ไม่มีตัวตน มีสามประเภทที่พบบ่อยกว่า:
ก) มีกิริยาช่วยแสดงความเป็นไปได้ เป็นไปไม่ได้ ความจำเป็น + infinitive (ความต้องการ หาเส้นโค้ง; เป็นสิ่งต้องห้ามได้มาซึ่งสูตร);
b) ในกริยา - กริยาไม่มีตัวตนหรือรูปกริยาส่วนตัว (ที่จำเป็น กำหนดความแรงของกระแสด้วยการเชื่อมต่อแบบอนุกรมของแหล่งที่มา);
c) กริยาวิเศษณ์ (เศษส่วนตรรกยะใดๆ อย่างง่ายดายแสดงในรูปของเศษส่วนอย่างง่าย)ไม่มีการนำเสนอประโยคที่ไม่มีตัวตนซึ่งแสดงถึงสภาวะของธรรมชาติและมนุษย์ (มันค้าง ฝนตกปรอยๆ ฉันรู้สึกไม่ดี)
ในรูปแบบวิทยาศาสตร์ โครงสร้างแบบพาสซีฟมีอิทธิพลเหนือโครงสร้างแบบแอคทีฟอย่างชัดเจน สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ด้วยความปรารถนาในความเที่ยงธรรมและลักษณะทั่วไปของการนำเสนอโดยไม่ต้องระบุหัวข้อของการกระทำ แนะนำการสร้างกริยา (การติดตั้ง ผลิตสำหรับครั้งแรก; ดำเนินการต่อการรับสมัครพนักงานเพิ่มเติม);การก่อสร้างแบบมีส่วนร่วม (ดอท ลบแล้วจากเครื่องบิน บังคับ ที่แนบมาไปที่ร่างกายในมุมหนึ่งถึงขอบฟ้า);
ส่วนการก่อสร้างด้วยคำนามด้วยวาจา (การศึกษาปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงมาตราส่วนเวลาในสนามโน้มถ่วง)จากนั้นกิจกรรมของพวกเขาในรูปแบบทางวิทยาศาสตร์จะอธิบายโดยหลักโดยลักษณะเฉพาะของมัน (เช่นเดียวกับรูปแบบธุรกิจที่เป็นทางการ) ซึ่งปรากฏอยู่ในการทำงานของรูปแบบวาจาในตำราทางวิทยาศาสตร์พร้อมกับความเด่นของคำนามมากกว่ากริยาเช่นเดียวกับ ฟังก์ชั่นเสริมของกริยาในประโยค
ประโยคที่ยาก ในรูปแบบวิทยาศาสตร์ มีความโดดเด่นที่ชัดเจนของประโยคที่ซับซ้อนมากกว่าประโยคประกอบ นี่เป็นเพราะความจริงที่ว่าอดีตแสดงความสัมพันธ์เชิงสาเหตุเงื่อนไขการสืบสวนและชั่วคราว (ซึ่งแน่นอนเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการนำเสนอทางวิทยาศาสตร์)
ในเวลาเดียวกัน โครงสร้างวากยสัมพันธ์ที่มีหลายองค์ประกอบได้รับการปลูกฝังในรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา การเชื่อมต่อประสานงานก็ถูกนำเสนอเช่นกัน เช่น:
ดังนั้นจึงพบว่าปรากฏการณ์ของการไม่ซิงโครไนซ์เกิดขึ้นเมื่อกระตุ้นฟิลด์ estero- และ interoceptive ซึ่งมีจุดสิ้นสุดของเส้นใยร่างกายหรือไขสันหลังที่ไปยังระบบประสาทส่วนกลางโดยไม่หยุดชะงักในขณะที่ปรากฏการณ์การซิงโครไนซ์ส่วนใหญ่เกิดจากสนามดักจับเหล่านี้ ( เยื่อบุกระเพาะอาหาร ) ซึ่งตามข้อมูลของเรามีจุดสิ้นสุดของเส้นใยอวัยวะที่เห็นอกเห็นใจเท่านั้นหรือเด่นชัดไปที่ระบบประสาทส่วนกลางซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีการแตกโดยสรุป (หนึ่งหรือมากกว่า) ในปมประสาทอัตโนมัติ
การก่อตัวที่ซับซ้อนดังกล่าวมักจะโดดเด่นด้วยความชัดเจนของการเชื่อมต่อทางไวยากรณ์และความหมาย ความเป็นระเบียบเรียบร้อยขององค์กรภายใน ภาพประกอบด้านบนค่อนข้างปกติในโครงสร้างวากยสัมพันธ์: ถึงประโยคหลัก ถูกพบมี "สายโซ่" สองส่วนซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นขนาน
โครงสร้างหลายองค์ประกอบมักจะซับซ้อนโดยวลีมีส่วนร่วมและคำวิเศษณ์ (ตัดสินโดยการศึกษาพิเศษ โดยปกติจำนวนของพวกเขาไม่เกินสองหรือสาม แต่มีประโยคที่มีการแยกจำนวนมากขึ้นมาก - จาก 8 ถึง 12) โครงสร้างปลั๊กอิน
วลี ในวากยสัมพันธ์ของวลี ชุดค่าผสมที่มีนัยสำคัญถูกนำมาไว้ข้างหน้า คำคุณศัพท์สัมพันธการกเป็นที่แพร่หลาย (ผลผลิตแรงงาน การพังทลายของดิน มุมโจมตี)เช่นเดียวกับ (ส่วนใหญ่ในคำศัพท์) การรวมกันของคำนามประเภท + คำคุณศัพท์ (เกษตรกรรม, ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ, พยัญชนะเน้นเสียง, ความตกใจของวัฒนธรรม...)การคัดเลือกดังกล่าวเกิดจากแนวโน้มของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ที่จะเสนอชื่อเพื่อบันทึกความเป็นจริง ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเป็นจริง (และวิทยาศาสตร์มีส่วนร่วมในการรับข้อมูลที่เป็นกลางเกี่ยวกับรูปแบบและข้อเท็จจริงที่แน่นอนของชีวิตธรรมชาติ สังคม และจิตวิญญาณ) เพื่อสร้างความแตกต่าง ของการเสนอชื่อ (ตามแนวโน้มของการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ในรายละเอียด , ความแตกต่างของแนวคิด).
ในรูปแบบวิทยาศาสตร์ เปอร์เซ็นต์การใช้กรณีสัมพันธการกสูงสุดคือ 46% (ในภาษาของนิยาย - มากถึง 22%) ดังนั้นวลีที่มีคำคุณศัพท์สัมพันธการกก็มีความกระตือรือร้นเช่นกัน
วลีที่ทำงานในรูปแบบวิทยาศาสตร์มีความหลากหลายมากในการสร้างโครงสร้าง วลีที่มีหลายองค์ประกอบดึงดูดความสนใจเนื่องจากเกิดขึ้นและเกิดขึ้นจากความแตกต่างของแนวคิดที่มีอยู่ในการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์: ขดลวดปฐมภูมิของหม้อแปลงไฟฟ้า ระบบส่งกำลังตามลำดับ เปิดตัวยานอวกาศใช้ซ้ำได้ ; ผู้ให้บริการเสียงที่ปรับความถี่
ระดับคำวิเศษณ์ ความเฉพาะเจาะจงของข้อความทางวิทยาศาสตร์อยู่ที่ข้อเท็จจริงที่ว่าเนื้อหานั้นพบการแสดงออก ผู้อ่านสามารถเข้าถึงได้เนื่องจากตรรกะที่เข้มงวด ความสอดคล้องกัน และความสอดคล้องของการนำเสนอ
ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว การนำเสนอเชิงตรรกะในรูปแบบทางวิทยาศาสตร์นั้นแสดงให้เห็นในระดับใหญ่ในความจริงที่ว่าประโยคที่ซับซ้อนครอบงำที่นี่ การเชื่อมต่อระหว่างส่วนต่างๆ จะแสดงออกมาอย่างชัดเจนอย่างหาที่เปรียบมิได้ หลากหลายมากขึ้น แตกต่างกว่าในประโยคประสม ในการอธิบายลักษณะที่สอดคล้องกันของคำพูดทางวิทยาศาสตร์ เปอร์เซ็นต์ของประโยคที่ซับซ้อนโดยรวมสูง (50.3%)* เป็นสิ่งบ่งชี้ เช่นเดียวกับข้อเท็จจริงที่ว่าประโยคง่าย ๆ นั้นซับซ้อนโดยวลีที่มีการเชื่อมต่อรอง**
* ซม.: Kozhina M.N.เกี่ยวกับระบบการพูดของรูปแบบวิทยาศาสตร์เมื่อเปรียบเทียบกับระบบอื่น ดัด, 2515, หน้า 325.
** ซม.: Lariokhina N.M.คำถามเกี่ยวกับไวยากรณ์ของรูปแบบการพูดทางวิทยาศาสตร์ (การวิเคราะห์โครงสร้างบางอย่างของประโยคง่ายๆ) ม., 1979. ส. 27.
สำหรับไวยากรณ์ของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ ความอิ่มตัวของคำพูดและข้อความด้วยวิธีต่างๆ ในการแสดงตรรกะที่เน้นย้ำเป็นเรื่องปกติ ประเด็นที่ผู้เขียนกังวลเป็นพิเศษคือการเลือกและกำหนดเนื้อหาหลักของข้อความจากเนื้อหารอง หลัก แนวคิดพื้นฐานจากอนุพันธ์ ความชัดเจนในการแยกแยะวิทยานิพนธ์ ในเรื่องนี้ ในการนำเสนอ ได้กำหนดบทบาทที่สำคัญให้กับสูตร วิธีการนำเสนอ การเปลี่ยนคำพูด เป็นเครื่องบ่งชี้โดยตรงว่าการอภิปรายในประเด็นนี้ วิทยานิพนธ์จบลงแล้ว และ เรากำลังเคลื่อนไหวสำหรับคำถามต่อไป วิทยานิพนธ์ที่ว่าแนวคิดนี้เป็นพื้นฐาน พื้นฐาน ฯลฯ คำนำหน้าเช่น ประการแรก ประการที่สอง ในทางกลับกัน ดังนั้น ดังนั้น ดังนั้นโครงสร้างเบื้องต้น: ตามที่กล่าวไว้แล้วตามวรรคก่อนฯลฯ การเปลี่ยนคำพูดประเภทต่างๆ วลีกระตุ้นความสนใจของผู้อ่าน ช่วยเขาจัดระบบเนื้อหาที่นำเสนอ ติดตามการนำเสนอของผู้เขียน เพื่อจุดประสงค์เหล่านี้ มักจะใช้แบบฟอร์มคำถาม-คำตอบ คำถามเชิงโวหาร "คำพูดของอาจารย์" เรา".
ยกตัวอย่างจากหนังสือของ K.A. Timiryazev "ชีวิตของพืช":
จนถึงตอนนี้เราได้พิจารณาแล้วกิจกรรมแผ่น... ตามกฎพื้นฐานของเคมีที่สสารไม่ได้สร้างขึ้นไม่หายไป เราพยายามอย่างดีที่สุดแล้วหาที่มาของสารนี้และการเปลี่ยนแปลงที่มัน ... ประสบ
แต่ร่างกายของต้นไม้ไม่ได้แสดงให้เรารู้แค่เรื่อง... เพราะฉะนั้น,ความร้อนสำรองสะสมในต้นเบิร์ช ... คำถามเกิด:ความอบอุ่นนี้มาจากไหน ความแข็งแกร่งนี้? สำหรับ กว่าจะรู้ ก็ต้องดูสู่ปรากฏการณ์เคมีที่คุ้นเคย...
การเชื่อมโยงความหมายระหว่างประโยคในข้อความนั้น "มีให้" โดยวิธีวากยสัมพันธ์ที่หลากหลายในการจัดระเบียบการนำเสนอ หนึ่งในวิธีการเหล่านี้คือการทำซ้ำ
การทำซ้ำถูกนำเสนอในข้อความของภาษาวรรณกรรมที่หลากหลาย ดังนั้น ภายในกรอบของภาษาในนิยาย การซ้ำซ้อนจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการจัดระเบียบข้อความบทกวีของเนื้อหาที่เป็นโคลงสั้น ๆ ดูตัวอย่างเช่นบทเริ่มต้นและบทสุดท้ายของบทกวีของ V. Bryusov "กองหิมะที่นำมา ... ":
บทบาทของการทำซ้ำในองค์ประกอบของบทกวีโคลงสั้น ๆ นั้นเกิดจากลักษณะเฉพาะของประเภทนี้ ในรูปแบบวิทยาศาสตร์ เช่นเดียวกับรูปแบบธุรกิจที่เป็นทางการ การทำซ้ำถือเป็นวิธีการสื่อสารที่สำคัญระหว่างประโยค ซึ่งรับรองความถูกต้องและความถูกต้องตามตรรกะของข้อมูล
การทำซ้ำเป็นวิธีการจัดงานนำเสนอดังนี้:
การทำซ้ำคำเดียวกัน (มักจะเป็นคำนาม) - การทำซ้ำคำศัพท์ที่เรียกว่า (ปฏิกิริยาของอะตอมทั้งสองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ การชนกันอะตอมเหล่านี้ ปะทะจะต้องเกิดขึ้นพร้อมกับพลังงานจลน์ที่เพียงพอ);
การใช้คำพ้องความหมายสำหรับคำโดยทั่วไปการแทนที่คำที่มีความหมายเหมือนกันในประโยคที่ตามมา - การทำซ้ำแบบพ้องความหมาย (สารละลายโพแทสเซียมไซยาไนด์ มีปฏิกิริยาเป็นด่างและมีกลิ่นรุนแรงของกรดไฮโดรไซยานิก คุณสมบัติที่คล้ายกันมีโซเดียมไซยาไนด์);
การแทนที่ประโยคก่อนหน้าด้วยคำสรรพนาม ทั้งหมดนี้ ทั้งหมดนี้ ทั้งหมดนี้- คำสรรพนามซ้ำ (เมื่อธาตุอยู่ในสภาวะอิสระ ก็จะเกิดเป็นสสารอย่างง่าย ดังนั้น การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนรอบ ๆ อะตอมของสารนี้เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน นี่คือเป็นจริงสำหรับสารธรรมดาทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงโครงสร้าง)
ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นใจในการเชื่อมโยงกันของข้อความ ความเชื่อมโยงระหว่างประโยค การซ้ำซ้อน มีส่วนเกี่ยวข้องในการปรับใช้การนำเสนออย่างมีเหตุผล ตัวอย่างเช่น: ทุกคน สิ่งมีชีวิตเป็นชุดของการเรียงลำดับของโครงสร้างที่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งก่อให้เกิดผลรวมเดียว กล่าวคือ เป็น ระบบ. สิ่งมีชีวิตมี ป้าย,ที่ส่วนใหญ่ไม่มี ระบบที่ไม่มีชีวิตอย่างไรก็ตาม ในบรรดาสิ่งเหล่านี้ ป้ายไม่มีสักคนเดียวที่จะคงอยู่ได้เฉพาะคนเป็น วิธีอธิบายที่เป็นไปได้ ชีวิตคือการลงรายการคุณสมบัติหลัก สิ่งมีชีวิต. (ในที่นี้ คำที่มีรากเดียวก็ทำหน้าที่เหมือนการทำซ้ำ)
รูปแบบทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่เป็นหัวข้อของการวิจัยสำหรับนักภาษาศาสตร์ เป็นชุดของเทคนิคการพูดเฉพาะที่ใช้เป็นหลักในด้านวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคนิค ซึ่งเป็นที่นิยมในการแสดงและออกแบบแนวคิด สมมติฐาน และความสำเร็จที่ หลากหลายในเนื้อหาและวัตถุประสงค์
ลักษณะทั่วไปของข้อความทางวิทยาศาสตร์
ข้อความทางวิทยาศาสตร์คือผลลัพธ์ ผลลัพธ์ หรือรายงานเกี่ยวกับกิจกรรมการวิจัย ซึ่งจัดทำขึ้นสำหรับกลุ่มบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการรับรู้และประเมินผล เพื่อให้ข้อมูลเป็นข้อมูลมากที่สุด ผู้เขียนต้องใช้ภาษาที่เป็นทางการ วิธีการพิเศษ และวิธีการนำเสนอเนื้อหา ส่วนใหญ่แล้ว ข้อความทางวิทยาศาสตร์เป็นงานที่ตีพิมพ์หรือมีไว้สำหรับการพิมพ์ ตำราวิทยาศาสตร์ยังรวมถึงสื่อที่จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับการนำเสนอด้วยวาจา เช่น รายงานในการประชุมหรือการบรรยายทางวิชาการ
ลักษณะเฉพาะของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ ความเป็นกลางของโทนเสียง วิธีการตามวัตถุประสงค์และการให้ข้อมูล โครงสร้างของข้อความ การมีอยู่ของคำศัพท์และวิธีการเฉพาะที่นักวิทยาศาสตร์นำมาใช้ในการนำเสนอเนื้อหาอย่างมีเหตุผลและเพียงพอ
หลากหลายรูปแบบทางวิทยาศาสตร์
ความชุกของรูปแบบที่เป็นลายลักษณ์อักษรของการมีอยู่ของผลงานในรูปแบบทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวกำหนดความถูกต้อง ความสมดุล ความชัดเจนของเนื้อหาและการออกแบบ
มีการอธิบายการแบ่งข้อความทางวิทยาศาสตร์ออกเป็นประเภทและประเภท ประการแรก อธิบายโดยความแตกต่างในวัตถุที่อธิบายโดยสาขาวิชาต่างๆ เนื้อหาของกิจกรรมการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ และความคาดหวังของผู้มีโอกาสเป็นผู้ชม มีข้อกำหนดพื้นฐานของวรรณคดีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งแบ่งข้อความออกเป็นวิทยาศาสตร์-เทคนิค, วิทยาศาสตร์-มนุษยธรรม, วิทยาศาสตร์-ธรรมชาติ เป็นไปได้ที่จะแยกแยะภาษาย่อยเฉพาะที่มีอยู่ในวิทยาศาสตร์แต่ละแห่ง - พีชคณิตพฤกษศาสตร์รัฐศาสตร์ ฯลฯ
M. P. Senkevich จัดโครงสร้างประเภทของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ตามระดับของ "วิทยาศาสตร์" ของงานขั้นสุดท้ายและระบุประเภทต่อไปนี้:
1. รูปแบบทางวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง (มิฉะนั้น - วิชาการ) เป็นเรื่องปกติสำหรับงานจริงจังที่มีไว้สำหรับผู้เชี่ยวชาญในวงแคบและมีแนวคิดการวิจัยของผู้เขียน - เอกสารบทความรายงานทางวิทยาศาสตร์
2. การนำเสนอหรือลักษณะทั่วไปของมรดกทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยเอกสารข้อมูลรอง (นามธรรม, คำอธิบายประกอบ) - สร้างขึ้นในรูปแบบข้อมูลทางวิทยาศาสตร์หรือทางวิทยาศาสตร์ - นามธรรม
4. เอกสารอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์ (หนังสืออ้างอิง คอลเลกชั่น พจนานุกรม แค็ตตาล็อก) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลที่กระชับและแม่นยำอย่างยิ่งโดยไม่มีรายละเอียด เพื่อนำเสนอเฉพาะข้อเท็จจริงแก่ผู้อ่าน
5. วรรณกรรมทางการศึกษาและวิทยาศาสตร์มีขอบเขตพิเศษ โดยสรุปพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ และเพิ่มองค์ประกอบการสอนที่ให้องค์ประกอบภาพประกอบและสื่อประกอบสำหรับการทำซ้ำ (สิ่งพิมพ์ทางการศึกษาสำหรับสถาบันการศึกษาต่างๆ)
6. สิ่งพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์ยอดนิยมนำเสนอชีวประวัติของบุคคลสำคัญ เรื่องราวของต้นกำเนิดของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ประวัติเหตุการณ์และการค้นพบ และมีให้สำหรับผู้สนใจที่หลากหลาย ด้วยภาพประกอบ ตัวอย่าง คำอธิบาย
คุณสมบัติข้อความทางวิทยาศาสตร์
ข้อความที่สร้างขึ้นในรูปแบบวิทยาศาสตร์เป็นระบบปิดที่ได้มาตรฐาน
ลักษณะสำคัญของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์คือการปฏิบัติตามข้อกำหนดเชิงบรรทัดฐานของภาษาวรรณกรรม การใช้การเลี้ยวและการแสดงออกมาตรฐาน การใช้ความสามารถของภาษา "กราฟิก" ของสัญลักษณ์และสูตร การใช้ข้อมูลอ้างอิงและบันทึกย่อ ตัวอย่างเช่น ความคิดโบราณมักเป็นที่ยอมรับในชุมชนวิทยาศาสตร์: เราจะพูดถึงปัญหา ... ควรสังเกตว่า ... ข้อมูลที่ได้รับระหว่างการศึกษานำไปสู่ข้อสรุปต่อไปนี้ ... ไปที่การวิเคราะห์ ...ฯลฯ
ในการส่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ มีการใช้องค์ประกอบของภาษา "เทียม" - กราฟิก - อย่างกว้างขวาง: 1) กราฟ ไดอะแกรม บล็อก ภาพวาด ภาพวาด; 2) สูตรและสัญลักษณ์ 3) ศัพท์พิเศษและลักษณะศัพท์ของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ - ตัวอย่างเช่น ชื่อของปริมาณทางกายภาพ เครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ ฯลฯ
ดังนั้นรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือการติดต่อสื่อสารเพื่อความถูกต้องชัดเจนและรัดกุมในการแสดงความคิดเห็นของการศึกษา ข้อความทางวิทยาศาสตร์มีลักษณะเฉพาะในรูปแบบการพูดคนเดียว ตรรกะของการเล่าเรื่องจะถูกเปิดเผยตามลำดับ ข้อสรุปได้รับการออกแบบเป็นประโยคที่สมบูรณ์และสมบูรณ์
โครงสร้างความหมายของข้อความทางวิทยาศาสตร์
ข้อความใด ๆ ของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์มีตรรกะในการก่อสร้างของตัวเอง ซึ่งเป็นรูปแบบที่เสร็จสิ้นแล้วซึ่งสอดคล้องกับกฎของโครงสร้าง ตามกฎแล้วผู้วิจัยปฏิบัติตามรูปแบบต่อไปนี้:
- การแนะนำแก่นแท้ของปัญหา การพิสูจน์ความเกี่ยวข้อง ความแปลกใหม่
- การเลือกหัวข้อการวิจัย (ในบางกรณีวัตถุ);
- ตั้งเป้าหมายแก้ไขงานบางอย่างในระหว่างการบรรลุเป้าหมาย
- การทบทวนแหล่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ส่งผลกระทบในทางใดทางหนึ่งต่อหัวข้อการวิจัย คำอธิบายเกี่ยวกับพื้นฐานทางทฤษฎีและระเบียบวิธีของงาน การให้เหตุผลของคำศัพท์
- ความสำคัญทางทฤษฎีและทางปฏิบัติของงานทางวิทยาศาสตร์
- เนื้อหาของงานวิทยาศาสตร์เอง
- คำอธิบายของการทดลอง ถ้ามี
- ผลการศึกษาสรุปโครงสร้างตามผลการวิจัย
คุณสมบัติภาษา: คำศัพท์
น้ำเสียงที่เป็นนามธรรมและลักษณะทั่วไปทำให้เกิดลักษณะคำศัพท์ของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์:
1. การใช้คำในความหมายเฉพาะ ความเด่นของคำที่มีความหมายเชิงนามธรรม ( ปริมาณ, การซึมผ่านได้, ความต้านทาน, ความขัดแย้ง, ความเมื่อยล้า, การสร้างคำ, บรรณานุกรมเป็นต้น)
2. คำที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้รับความหมายทางศัพท์หรือความหมายทั่วไปในบริบทของงานทางวิทยาศาสตร์ สิ่งนี้ใช้กับตัวอย่างเช่นกับข้อกำหนดทางเทคนิค: ข้อต่อ ขดลวด หลอดและอื่น ๆ.
3. ภาระความหมายหลักในข้อความทางวิทยาศาสตร์ถือตามเงื่อนไข แต่งานประเภทต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน ข้อกำหนดแนะนำแนวคิดบางอย่างในการหมุนเวียน คำจำกัดความที่ถูกต้องและสมเหตุสมผลซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับข้อความที่เขียนอย่างมืออาชีพ ( ethnogenesis จีโนม ไซนัส).
4. ผลงานทางวิทยาศาสตร์มีลักษณะเป็นคำย่อและคำประสม: สำนักพิมพ์, GOST, Gosplan, ล้าน, สถาบันวิจัย
ลักษณะทางภาษาศาสตร์ของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านคำศัพท์มีการวางแนวการทำงาน: ลักษณะนามธรรมทั่วไปของการนำเสนอเนื้อหาความเที่ยงธรรมของมุมมองและข้อสรุปของผู้เขียนความถูกต้องของข้อมูลที่นำเสนอ .
คุณสมบัติภาษา: สัณฐานวิทยา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยาของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์:
1. ในระดับไวยากรณ์ด้วยความช่วยเหลือของคำบางรูปแบบและการสร้างวลีและประโยคการสร้างนามธรรมของข้อความทางวิทยาศาสตร์จะถูกสร้างขึ้น: สังเกตได้ว่า...ปรากฏว่า...ฯลฯ
2. กริยาในบริบทของข้อความทางวิทยาศาสตร์ได้รับความหมายทั่วไปที่เหนือกาลเวลา นอกจากนี้ยังใช้รูปแบบของกาลปัจจุบันและอดีตเป็นหลัก การสลับกันของพวกเขาไม่ได้ให้ "ความงดงาม" หรือไดนามิกในการเล่าเรื่อง ในทางกลับกัน สิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงความสม่ำเสมอของปรากฏการณ์ที่อธิบายไว้: ผู้เขียนบันทึกระบุว่า ... ; ความสำเร็จของเป้าหมายมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาฯลฯ
3. เหนือกว่า (ประมาณ 80%) ยังแนบความหมายทั่วไปกับข้อความทางวิทยาศาสตร์ ในวลีที่มั่นคงจะใช้กริยาที่สมบูรณ์แบบ: พิจารณา...; แสดงพร้อมตัวอย่างฯลฯ ที่พบบ่อยคือรูปแบบส่วนบุคคลและไม่มีกำหนดโดยมีภาระผูกพันหรือความจำเป็น: ลักษณะหมายถึง ... ; คุณต้องสามารถ ...; ไม่ควรลืมเกี่ยวกับ...
4. ในความหมายแฝงจะใช้กริยาสะท้อนกลับ: มันต้องพิสูจน์ ...; อธิบายแบบละเอียด...; ประเด็นที่ได้รับการพิจารณาและอื่น ๆ รูปแบบวาจาดังกล่าวทำให้สามารถมุ่งเน้นไปที่คำอธิบายของกระบวนการ โครงสร้าง กลไก กริยาแบบพาสซีฟแบบสั้นมีความหมายเหมือนกัน: o ให้คำจำกัดความ ... ; บรรทัดฐานสามารถเข้าใจได้ฯลฯ
5. ในการพูดทางวิทยาศาสตร์ คำคุณศัพท์สั้น ๆ ยังใช้เช่น: ทัศนคติเป็นลักษณะเฉพาะ.
6. ลักษณะทั่วไปของคำพูดทางวิทยาศาสตร์คือคำสรรพนาม เราใช้แทน ฉัน. เทคนิคนี้ก่อให้เกิดคุณลักษณะต่างๆ เช่น ความสุภาพเรียบร้อย ความเป็นกลาง ลักษณะทั่วไปของผู้เขียน: ระหว่างการศึกษา เราได้ข้อสรุปว่า...(แทน: ได้ข้อสรุปแล้ว…).
คุณสมบัติภาษา: ไวยากรณ์
ลักษณะทางภาษาศาสตร์ของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ในแง่ของวากยสัมพันธ์เผยให้เห็นความเชื่อมโยงของคำพูดกับความคิดเฉพาะของนักวิทยาศาสตร์: โครงสร้างที่ใช้ในตำรามีความเป็นกลางและมักใช้กันทั่วไป วิธีทั่วไปที่สุดคือวิธีการบีบอัดแบบวากยสัมพันธ์ เมื่อปริมาณของข้อความถูกบีบอัดในขณะที่เพิ่มเนื้อหาข้อมูลและเนื้อหาเชิงความหมาย สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความช่วยเหลือของการสร้างวลีและประโยคพิเศษ
คุณสมบัติวากยสัมพันธ์ของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์:
1. การใช้วลีที่ชัดเจน "นาม + คำนามในกรณีสัมพันธการก": เมแทบอลิซึม สภาพคล่องของสกุลเงิน อุปกรณ์สำหรับการรื้อถอนฯลฯ
2. คำจำกัดความที่แสดงโดยคำคุณศัพท์ใช้ในความหมายของคำ: รีเฟล็กซ์ไม่มีเงื่อนไข, เครื่องหมายทึบ, การพูดนอกเรื่องในอดีตและอื่น ๆ.
3. รูปแบบทางวิทยาศาสตร์ (คำจำกัดความ, การให้เหตุผล, ข้อสรุป) มีลักษณะเป็นคำนามประสมกับคำนามตามกฎโดยมีกริยาเชื่อมโยงที่ละเว้น: การรับรู้เป็นกระบวนการทางปัญญาขั้นพื้นฐาน…; การเบี่ยงเบนจากการใช้ภาษาเป็นบรรทัดฐานเป็นหนึ่งในลักษณะเด่นที่สุดของคำพูดของเด็ก"สูตรเพรดิเคต" ทั่วไปอีกประการหนึ่งคือ เพรดิเคตระบุแบบผสมที่มีกริยาสั้น: สามารถใช้ได้.
4. กริยาวิเศษณ์ในบทบาทของพฤติการณ์ทำหน้าที่กำหนดลักษณะคุณภาพหรือคุณสมบัติของปรากฏการณ์ที่กำลังศึกษาอยู่: อย่างมีนัยสำคัญ, น่าสนใจ, น่าเชื่อถือ, ในรูปแบบใหม่; เหตุการณ์เหล่านี้และอื่น ๆ ทั้งหมดได้รับการอธิบายไว้อย่างดีในวรรณคดีประวัติศาสตร์….
5. โครงสร้างวากยสัมพันธ์ของประโยคแสดงเนื้อหาแนวความคิด ดังนั้น มาตรฐานสำหรับนักวิทยาศาสตร์ด้านการเขียนจึงเป็นประโยคที่สมบูรณ์ของประเภทการเล่าเรื่องที่มีการเชื่อมโยงแบบพันธมิตรระหว่างส่วนต่างๆ โดยมีเนื้อหาคำศัพท์ที่เป็นกลางในแง่ของรูปแบบและลำดับคำเชิงบรรทัดฐาน : ต้องบอกว่านักจิตวิทยาสัตววิทยาพยายามสอนภาษาเสียงให้กับลิงชิมแปนซีที่พัฒนาแล้วมากที่สุดอย่างดื้อรั้น ดื้อดึง และไม่ประสบความสำเร็จในบรรดาประโยคที่ซับซ้อน โครงสร้างที่มีอนุประโยคเดียวครอบงำ: ระหว่างสติปัญญาและภาษามีระบบสื่อสารหลักระดับกลางซึ่งเรียกว่าพื้นฐานการทำงานของคำพูด
6. บทบาทของประโยคคำถามคือการดึงความสนใจไปที่เนื้อหาที่นำเสนอ เพื่อแสดงสมมติฐานและสมมติฐาน: บางทีลิงอาจใช้ภาษามือได้?
7. ในการดำเนินการนำเสนอข้อมูลที่แยกออกมาและไม่มีเจตนาให้ใช้ประโยคที่ไม่มีตัวตนในประเภทต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง: ประเภทที่เท่าเทียมกับสถานะ ได้แก่ การสื่อสารที่เป็นมิตร (การพูดคุยระหว่างกัน การพูดคุย ฯลฯ)… ดังนั้น ความปรารถนาที่จะเป็นนักวิจัยที่มีวัตถุประสงค์ พูดในนามของชุมชนวิทยาศาสตร์ทั่วไป จึงเน้นย้ำ
8. เพื่อทำให้ความสัมพันธ์แบบเหตุและผลระหว่างปรากฏการณ์เป็นแบบแผน ประโยคที่ซับซ้อนที่มีความสัมพันธ์แบบประสานงานและรองที่อยู่ใต้บังคับบัญชาจะใช้ในการพูดทางวิทยาศาสตร์ มักพบคำสันธานผสมและคำที่เกี่ยวข้อง: ทั้งๆ ที่, ทั้งๆ ที่, เพราะ, ในขณะที่, ในขณะที่, ในขณะที่และอื่น ๆ ประโยคที่ซับซ้อนด้วยการแสดงที่มา, สาเหตุ, เงื่อนไข, เวลา, ผลที่ตามมานั้นแพร่หลาย
วิธีการสื่อสารในข้อความทางวิทยาศาสตร์
รูปแบบทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะในการใช้งาน ไม่เพียงอาศัยฐานเชิงบรรทัดฐานของภาษาเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยกฎแห่งตรรกวิทยาด้วย
ดังนั้น ในการแสดงความคิดของเขาอย่างมีเหตุมีผล ผู้วิจัยต้องใช้ลักษณะทางสัณฐานวิทยาของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์และความเป็นไปได้ทางวากยสัมพันธ์เพื่อเชื่อมโยงแต่ละส่วนในคำกล่าวของเขา เป้าหมายนี้ให้บริการโดยการสร้างวากยสัมพันธ์ต่างๆ ประโยคที่ซับซ้อนหลายประเภทด้วย "คำในคลิปหนีบกระดาษ" การชี้แจง การมีส่วนร่วม วลีวิเศษณ์ การแจงนับ ฯลฯ
นี่คือรายการหลัก:
- การเปรียบเทียบปรากฏการณ์บางอย่าง อย่าง...ก็...);
- การใช้ประโยคเชื่อมต่อที่มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่พูดในส่วนหลัก
- วลีวิเศษณ์ยังมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม
- คำและวลีเบื้องต้นใช้เพื่อเชื่อมส่วนความหมายทั้งภายในประโยคเดียวและระหว่างย่อหน้า
- "คลิปหนีบกระดาษคำ" (เช่น ดังนั้นในขณะเดียวกัน กล่าวโดยสรุป ดังที่เราเห็น) ทำหน้าที่สร้างการเชื่อมต่อเชิงตรรกะระหว่างส่วนต่าง ๆ ของข้อความ
- สมาชิกที่เป็นเนื้อเดียวกันของประโยคมีความจำเป็นในการแจกแจงแนวคิดที่คล้ายคลึงกันทางตรรกะ
- การใช้โครงสร้างที่ซ้ำซากจำเจบ่อยครั้ง โครงสร้างวากยสัมพันธ์เชิงตรรกะและรัดกุม
ดังนั้น รูปแบบทางวิทยาศาสตร์ คุณลักษณะของวิธีการสื่อสารที่เราได้พิจารณา จึงเป็นระบบที่ค่อนข้างเสถียรซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ยาก แม้จะมีระบบโอกาสมากมายสำหรับความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ แต่บรรทัดฐานที่มีการควบคุมช่วยให้ข้อความทางวิทยาศาสตร์คงรูปร่างไว้
ภาษาและรูปแบบของข้อความวิทยาศาสตร์ยอดนิยม
การนำเสนอเนื้อหาในวรรณคดีวิทยาศาสตร์ยอดนิยมนั้นใกล้เคียงกับวรรณกรรมทั่วไปที่เป็นกลาง เนื่องจากผู้อ่านเสนอเฉพาะข้อเท็จจริงที่คัดเลือกมาเป็นพิเศษ แง่มุมที่น่าสนใจ เศษส่วนของการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ รูปแบบการนำเสนอข้อมูลประเภทนี้ควรเข้าถึงได้สำหรับผู้ที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้น การเลือกวัสดุ ระบบหลักฐานและตัวอย่าง ลักษณะการนำเสนอข้อมูล ตลอดจนภาษาและรูปแบบงานที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ยอดนิยม วรรณคดีค่อนข้างแตกต่างจากข้อความทางวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง
คุณสามารถเห็นภาพคุณสมบัติของรูปแบบวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่นิยมเมื่อเปรียบเทียบกับลักษณะทางวิทยาศาสตร์โดยใช้ตาราง:
รูปแบบวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่นิยมใช้หลายวิธีที่เป็นของภาษาประจำชาติ แต่คุณลักษณะของความคิดริเริ่มนั้นถูกกำหนดโดยคุณสมบัติการทำงานของการใช้วิธีการเหล่านี้ซึ่งเป็นการจัดระเบียบเฉพาะของข้อความของงานทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว
ดังนั้นลักษณะของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นศัพท์เฉพาะและไวยกรณ์ซึ่งเป็นสูตรวากยสัมพันธ์ซึ่งต้องขอบคุณข้อความที่ "แห้ง" และถูกต้องเข้าใจได้สำหรับผู้เชี่ยวชาญในวงแคบ รูปแบบวิทยาศาสตร์ที่ได้รับความนิยมได้รับการออกแบบมาเพื่อให้การบรรยายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์เข้าถึงได้สำหรับผู้อ่านหรือผู้ฟังในวงกว้าง (“เพียงแต่ซับซ้อน”) ดังนั้นจึงเข้าใกล้ระดับของผลกระทบต่อผลงานศิลปะและวารสารศาสตร์
กำลังโหลด...