การ์ดที่มีตัวอย่างสถานการณ์ความขัดแย้งสำหรับการฝึกอบรมด้านจิตวิทยาและการสอน "เทคนิคในการแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์สำหรับสถานการณ์ความขัดแย้ง" ความขัดแย้งในโรงเรียน: ประเภท วิธีแก้ปัญหา เทคนิคและตัวอย่าง

โกรธ - ใจเย็น ๆ หน่อย
ให้เหตุผล เปลี่ยนความโกรธเป็นความเมตตา
การทำลายทับทิมนั้นสั้นและง่าย
แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมต่อชิ้นส่วนอีกครั้ง
ซาดี นักเขียนและนักคิดชาวเปอร์เซียผู้ยิ่งใหญ่

การทำงานที่โรงเรียนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ ทันทีที่เกิดความขัดแย้ง อารมณ์จะ "ทำงาน" ทันที ผู้คนจะพบกับความตึงเครียด ความรู้สึกไม่สบาย ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้เข้าร่วมทุกคนในความขัดแย้ง

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ครูประจำชั้นจะต้องมีแนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับความขัดแย้ง วิธีการป้องกันความขัดแย้งที่คุกคามที่จะทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างเด็ก วิธีการปฏิบัติตนในระหว่างความขัดแย้งเพื่อลดความรุนแรง วิธีการยุติความขัดแย้งกับ ขาดทุนน้อยที่สุดหรือแก้ไขเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

งานที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของครูคือการพัฒนาความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ในเด็กในกระบวนการโต้ตอบกับผู้อื่นบนพื้นฐานของความร่วมมือและความเข้าใจซึ่งกันและกันความพร้อมในการยอมรับผู้อื่นมุมมองนิสัยตามที่เป็นอยู่ สิ่งสำคัญคือต้องสอนทักษะการสื่อสารแก่เด็ก และหากจำเป็น ให้แก้ไขพฤติกรรมของพวกเขา มิฉะนั้น เด็กอาจพัฒนารูปแบบพฤติกรรมดังกล่าวที่กลายเป็นอุปสรรคในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้อื่น และกลายเป็นผลเสียต่อการพัฒนาของตนเอง

จิตวิทยาสมัยใหม่โดดเด่นด้วยการรับรู้ถึงลักษณะคู่ของความขัดแย้งรวมถึงบทบาทเชิงบวก หน้าที่เชิงบวกที่สำคัญที่สุดของความขัดแย้งคือมันสามารถเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลง, โอกาสในการสร้างสายสัมพันธ์, การผ่อนคลายความตึงเครียด, "การเยียวยา" ของความสัมพันธ์และแหล่งที่มาของการพัฒนา นั่นคือ ความขัดแย้ง - ด้วยแนวทางที่ถูกต้องสำหรับพวกเขา - สามารถกลายเป็นปัจจัยที่มีประสิทธิภาพในกระบวนการสอน ผลกระทบทางการศึกษาสำหรับเด็ก แต่ในขณะเดียวกัน ก็จำเป็นต้องสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง

I. สถานการณ์ก่อนความขัดแย้ง

ในไตรมาสที่ 1 ความยากลำบากปรากฏขึ้นที่เกี่ยวข้องกับการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลรุนแรงขึ้น: การร้องเรียนอย่างต่อเนื่องของเด็ก ๆ ที่พวกเขาไม่เข้าใจไม่ได้ยินและไม่ฟังจากเพื่อนร่วมชั้นล้อเล่นเรียกชื่อพวกเขาถูกตะโกนใส่ดูถูกดูถูกซึ่งกันและกันเรียกร้องต่อต้าน แต่ละกรณีแยกกันถูกติดตามการต่อสู้บนพื้นฐานของความเข้าใจผิด การกระทำทั้งหมดเหล่านี้เป็นตัวแทนของห่วงโซ่ (การเพิ่มขึ้น) ของความขัดแย้งที่มีบทบาทสำคัญในการเกิดขึ้นของความขัดแย้ง มีความขัดแย้งประเภทต่อไปนี้: นี่คือความปรารถนาที่จะเหนือกว่า (7 คนในสถานะ "เจ๋ง") การสำแดงของความก้าวร้าว (ในบางกรณีมีการต่อสู้) และการสำแดงของความเห็นแก่ตัว (ทุกคนเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้ ฟังเขาแม้ว่าเขาเองก็ไม่ได้พยายามฟังความคิดเห็นรอบข้าง) เป็นที่ชัดเจนว่าชั้นเรียนมี สถานการณ์ความขัดแย้ง

ใช่ ความขัดแย้งเกิดขึ้นก่อนด้วยสถานการณ์ในชีวิตที่เป็นกลางซึ่งเด็กอยู่ ที่มาของความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันคือ ความต้องการเด็กในด้านความปลอดภัย การสื่อสาร การติดต่อ ปฏิสัมพันธ์ ความเคารพ การแสดงออก และการยืนยันตนเอง

และที่จริงแล้ว เด็ก ๆ ก็ตื่นเต้นมากเกินไป พวกเขาตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อการตำหนิติเตียนเล็กน้อยข้อกล่าวหากับพวกเขา จากการสังเกตของฉัน ประมาณ 80% ของผู้ชายใกล้จะ "สติแตก" พวกเขาไม่สามารถพูดคุยกันอย่างใจเย็น ตะโกน และเมื่อฉันเริ่มพูดคุยกับพวกเขาเพื่อแยกแยะสถานการณ์ (สิ่งนี้เกิดขึ้น ทุกวัน) ส่วนใหญ่ "พัง" เริ่มร้องไห้และความแค้นต่อกันไม่ได้หายไป แต่ทวีความรุนแรงขึ้นเท่านั้น ในขั้นตอนนี้ หน้าที่ของฉันคือ หลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่กำลังจะเกิดขึ้น. ด้วยเหตุนี้ ทุกวันฉันจึงสนทนาแบบตัวต่อตัว แบบกลุ่ม ซึ่งฉันใช้วิธีโน้มน้าวใจ ฉันพยายามแสดงความสนใจและเคารพเด็กแต่ละคน เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ของเขา วางตัวเองให้อยู่ในที่ของเขา ปล่อยให้ทุกคนพูดออกมา เน้นที่คุณสมบัติเชิงบวกของเขา แต่มีบางครั้งที่ฉันใช้วิธีเผด็จการในระหว่างการ "ประลอง" กับเด็ก และดูเหมือนว่าพวกเขาจะแก้ไขข้อขัดแย้งได้ แต่ในเหตุการณ์ถัดไป การทะเลาะวิวาทก็เกิดขึ้นเสมอ สถานการณ์รุนแรงขึ้นทุกวัน เป็นที่ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่สามารถทิ้งได้อีกต่อไป "ฟางเส้นสุดท้าย" แห่งความอดทนของฉันคือการแข่งขันใน "ธรรมชาติ" ซึ่งก็แค่ "พัง" เนื่องจากความไม่ลงรอยกันระหว่างทีม ทุกคนทะเลาะกันอีกครั้งอารมณ์เสีย

ครั้งที่สอง ความขัดแย้งโดยตรง

และแท้จริงแล้วคือ ขัดแย้งเนื่องจากมีการปะทะกันของทิศทางตรงกันข้ามซึ่งเข้ากันไม่ได้กับตำแหน่งอื่นในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของเด็กซึ่งสัมพันธ์กับประสบการณ์ทางอารมณ์เชิงลบ

โดย พิมพ์มันเป็น m ความขัดแย้งระหว่างบุคคลเพราะมันเกิดขึ้นระหว่างนักเรียนในชั้นเรียนเนื่องจากความไม่ลงรอยกันของมุมมอง, ความสนใจ, เป้าหมาย, ความต้องการ.

สาเหตุของความขัดแย้งคือ: ความเข้าใจไม่เพียงพออยู่ในขั้นตอนการสื่อสาร ลักษณะนิสัยส่วนตัวเด็กในชั้นเรียน (60% ของเด็กในชั้นเรียนมีความสามารถและความปรารถนาที่จะเป็นผู้นำ เด็กกลุ่มนี้มุ่งมั่นที่จะครอง เป็นคนแรกที่พูดคำสุดท้าย หัวหน้าชั้นเรียน เด็กผู้หญิงเป็นเช่นนั้น ตามหลักการแล้วบางครั้งมันก็ผลักเด็กคนอื่น ๆ ไปสู่การกระทำที่ "เป็นศัตรู" เด็กหลายคนในชั้นเรียนนี้มีลักษณะตรงไปตรงมามากเกินไปในการตัดสินการตัดสินความปรารถนาที่จะบอกความจริงต่อสายตาความอุตสาหะ (โดยวิธีการคุณสมบัติเหล่านี้ดึงดูดใจฉันในผู้ชาย ) แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบสิ่งนี้ อารมณ์ความรู้สึกที่เพิ่มขึ้น ลักษณะบุคลิกภาพที่ด้อยพัฒนา - ความอดทน ไม่สามารถควบคุมสถานะทางอารมณ์ของตนเองได้

ฉันยังรับรู้อย่างชัดเจนถึงผู้อื่น สาเหตุความขัดแย้งในชั้นเรียนที่ยอดเยี่ยมนี้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 คือ ช่วงปรับตัวสู่สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ใหม่ๆ เด็ก ๆ ถูกรวมอยู่ในระบบใหม่ของความสัมพันธ์และการสื่อสารกับผู้ใหญ่และสหาย นอกจากนี้, มันเป็นวัยรุ่นตอนต้นระยะเวลา. ปัจจัยทางสรีรวิทยาในการพัฒนาทำให้ตัวเองรู้สึกว่าการปรับโครงสร้างระบบฮอร์โมนเริ่มต้นขึ้นซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในความเป็นอยู่และอารมณ์ การเป็นวัยรุ่น เด็กมักจะเสียสมดุลทางจิตใจ ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนทำให้ อาการกำเริบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในทีม กลายเป็นเด่น จำเป็นต้องยืนยันตนเองซึ่งสามารถแสดงออกได้ด้วยการเพิ่มความเข้มงวดต่อผู้อื่น ความอ่อนไหวต่อความอยุติธรรมของผู้อื่น ในความต้องการการยอมรับ ความสนใจ ความเคารพจากเพื่อนฝูงและผู้ใหญ่ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้วัยรุ่นยังมี ความนับถือตนเองไม่เพียงพอ, คอมเพล็กซ์ที่ด้อยกว่าที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของข้อบกพร่องของพวกเขาซึ่งสัมพันธ์กับความอ่อนแออย่างเจ็บปวด การเห็นคุณค่าในตนเองสูงเกินไปนำไปสู่การสำแดงของความหยิ่งจองหอง ความเย่อหยิ่งที่เจ็บปวด ความแค้น และการประเมินค่าต่ำไป - ก่อให้เกิดความวิตกกังวล ความไม่แน่นอน ความกลัว

ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจจัดชั่วโมงเรียนซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉัน:

เพื่อให้เด็กได้ตระหนักถึงความขัดแย้งในห้องเรียน
อภิปรายกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อปฏิสัมพันธ์ในความขัดแย้ง
ชักนำให้พวกเขาเข้าใจผลเชิงลบของการใช้กลยุทธ์การทำลายล้างที่มีอยู่ในความสัมพันธ์และความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ที่สร้างสรรค์
ฉันต้องการ , เพื่อให้เด็ก ๆ ระบุสาเหตุของสถานการณ์นี้ในห้องเรียน
ร่วมกันกำหนดแนวทางแก้ไขข้อขัดแย้ง
นั่นคืองานของฉันคือเพื่อให้แน่ใจว่าความขัดแย้งนี้ ทำหน้าที่เป็นวิธีการระบุและแก้ไขข้อขัดแย้ง

การเตรียมตัวก่อนเรียน

ประกอบด้วยการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในห้องเรียน นอกจากการสังเกตเด็กๆ พูดคุยกับแต่ละคนแล้ว ฉันยังได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับสภาพสังคมที่เสริมความเข้าใจของฉันเกี่ยวกับโครงสร้างทางอารมณ์ของชั้นเรียน ฉันทำแบบสอบถามที่รวมคำถามเช่น "คุณพอใจกับวิธีที่เพื่อนร่วมชั้นสื่อสารกับคุณเสมอหรือไม่ คุณไม่ชอบการสื่อสารกับเพื่อนร่วมชั้นอย่างไร คุณชอบสื่อสารกับเพื่อนร่วมชั้นอย่างไร คุณฝันถึงการสื่อสารอะไร ช่วงเวลาที่คุณไม่เข้าใจ?

เพื่อดำเนินการชั่วโมงเรียน ฉันสร้างงานนำเสนอ ซึ่งมีวิดีโอคลิปสั้น ๆ จากชีวิตของชั้นเรียน (หนึ่งในผู้ปกครอง "ถ่ายทำ" ทางโทรศัพท์ในช่วงเวลาที่เหลือของเด็ก ๆ ในการเดินทางหนึ่งวันนั้นและส่วนเล็ก ๆ ของการแข่งขันที่มีการทะเลาะวิวาทก็ถูกจับบนกล้อง แต่น่าเสียดายที่นี่เป็นแล้ว เวทีค่อนข้างสงบของการทะเลาะวิวาทของพวกเขา) อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเนื้อหาที่ดีสำหรับชั่วโมงเรียน

กลยุทธ์พฤติกรรมของฉันในความขัดแย้ง

ตามวิธีการแก้ไขข้อขัดแย้ง ฉันเลือก วิธีที่สร้างสรรค์โดยให้ความพึงพอใจในการแก้ไขความขัดแย้งนี้สองรูปแบบ: ความร่วมมือและการประนีประนอม

เพราะด้วย ความร่วมมือเกี่ยวข้องกับการหาแนวทางแก้ไขที่ตรงกับความสนใจของเด็กทุกคนในชั้นเรียน มันเกี่ยวข้องกับความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของคุณ อธิบายการตัดสินใจของคุณและรับฟังอีกฝ่าย การทำงานร่วมกันส่งผลให้ได้รับประสบการณ์การทำงานร่วมกันและการพัฒนาทักษะการฟัง

โต ประนีประนอมเป็นการยุติความขัดแย้งด้วยสัมปทานร่วมกัน พันธมิตรด้านการสื่อสารมาบรรจบกันที่ "ค่าเฉลี่ยสีทอง" นั่นคือความพึงพอใจบางส่วนของผลประโยชน์ของเด็กแต่ละคน ฉันคิดว่ากลยุทธ์ดังกล่าวก็จะได้ผลเช่นกันเพราะ เป็นที่ชัดเจนว่าเด็กทุกคนต้องการสิ่งเดียวกัน - ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ตามกฎแล้ว การประนีประนอมยอมให้คุณได้รับบางสิ่งเป็นอย่างน้อยแทนที่จะสูญเสียทุกอย่าง และให้โอกาสในการหาวิธีแก้ปัญหาชั่วคราวหากไม่มีเวลาหาทางออกอื่น

ระหว่างชั่วโมงเรียน ฉันใช้ วิธีการปฏิสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์: การโน้มน้าว โต้แย้ง พยายามตกลง

ใช้แล้ว วิธีการอภิปรายโต้แย้ง cซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยแก้ไขข้อขัดแย้งทางความคิดเห็น ฉันใช้แง่บวกทั้งหมดของผู้มีชื่อเสียงเช่นนี้ เข้าเรียนปฏิสัมพันธ์เช่น ข้อพิพาทเชิงสร้างสรรค์ตาม S. Kratochvil ระหว่างการอภิปรายปัญหาของเรา เราได้พูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะและพูดคุยถึงพฤติกรรมเฉพาะของผู้ชายเหล่านั้น (ความจำเพาะ). เด็กทุกคนมีส่วนร่วมในการสนทนา ( การมีส่วนร่วม) แสดงให้เห็นชัดเจน เปิด การสื่อสาร,ที่ทุกคนพูดเพื่อตัวเองและคิดในสิ่งที่เขาพูดก็มี "เสียงตอบรับ" ที่ดี มันเป็น "การเล่นที่ยุติธรรม".

สาม. ขั้นตอนการแก้ไขข้อขัดแย้ง

ผลที่ตามมาของความขัดแย้ง

เป็นไปได้ว่าความขัดแย้งเป็นหนทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์ตึงเครียด

เมื่อพูดถึงแง่มุมเชิงบวกของความขัดแย้ง ควรสังเกตว่าผลที่ตามมาของความขัดแย้งคือการเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ของกลุ่ม

ดังนั้นจึงมีผลเชิงบูรณาการที่กำหนดทางออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก ความขัดแย้งนำไปสู่การแก้ปัญหา ความสามัคคีในกลุ่มที่เข้มแข็งขึ้น และนำไปสู่ความเข้าใจซึ่งกันและกัน

ผลลัพธ์ ข้อพิพาทเชิงสร้างสรรค์ตาม S. Kratochvil ) ยังเป็นบวก

เด็กทุกคนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ (ข้อมูล)ความตึงเครียดหายไป ความขมขื่นลดลง การเรียกร้องถูกชี้แจง (ตอบกลับ)อภิปรายสถานการณ์นำไปสู่ความเข้าใจซึ่งกันและกันบางสายสัมพันธ์. มีความรู้สึกว่าปัญหาภายใต้การสนทนากังวลพวกเขารักษาความนับถือตนเองของผู้เข้าร่วมแต่ละคนในการสนทนาไว้ (บรรจบกัน). สถานการณ์ได้รับการแก้ไขแล้ว ปัญหาเข้าใจและแก้ไขในทางปฏิบัติ มีการขอโทษ (ค่อนข้างไม่คาดคิดสำหรับทุกคนเมื่อสิ้นสุดชั่วโมงเรียน ผู้บัญชาการชั้นเรียนขอโทษเพื่อนร่วมชั้นของเธอ ให้เหตุผลกับพฤติกรรมของเธอ) และในที่สุดกฎสำหรับ ปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียนถูกวาดขึ้น ( การปรับปรุง).

มาตรการป้องกันความขัดแย้งในอนาคต

1) มีการจัดชั่วโมงเรียนในหัวข้อนี้อีกชุดหนึ่ง แนวคิดหลักคือเด็กในรูปแบบการ์ตูน "สูญเสีย" "สถานการณ์ความขัดแย้งไปจากชีวิต" และเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ระหว่างความขัดแย้ง เป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉันที่จะ "ถ่ายทอด" ความคิดที่ว่าในความขัดแย้งบุคคลนั้นไม่ได้ถูกครอบงำด้วยเหตุผล แต่โดยอารมณ์ซึ่งนำไปสู่ผลกระทบเมื่อสติดับลงและบุคคลไม่รับผิดชอบต่อคำพูดและการกระทำของเขา .

ผู้เชี่ยวชาญในสาขาความขัดแย้งได้พัฒนาจรรยาบรรณในการขัดแย้ง (Samygin S.I. , Stolyarenko L.D. จิตวิทยาการจัดการ - Rostov - บน Don, 1997. - หน้า 468-472)

เราเล่นกฎของพฤติกรรมเหล่านี้ในความขัดแย้งในเวลาเรียน ทั้งหมดนี้ถูกนำเสนอในรูปแบบที่ตลกขบขันยิ่งกว่านั้นเด็ก ๆ ได้เตรียมวิธีการต่าง ๆ ของพฤติกรรมไว้ล่วงหน้า มันตลกและสนุก และเด็กๆ ได้รับการสอนทักษะการสื่อสารที่สำคัญมาก

นี่คือกฎ:

ปล่อยให้คู่ของคุณระบายอารมณ์ออกมา หากคู่รักหงุดหงิดและก้าวร้าว มักจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเจรจากับเขา ดังนั้นพยายามช่วยเขาลดความตึงเครียดภายใน ในระหว่างการ "ระเบิด" ของเขา ขอแนะนำให้ทำตัวสงบ มั่นใจ แต่ไม่เย่อหยิ่ง
เอาชนะความก้าวร้าวด้วยอุบายที่คาดไม่ถึง ตัวอย่างเช่น ถามคำถามที่ไม่คาดคิดเกี่ยวกับธุรกิจที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงแต่มีความสำคัญสำหรับหุ้นส่วน หรือขอคำแนะนำจากคู่สนทนาที่ขัดแย้งกันอย่างลับๆ
อย่าให้คะแนนเชิงลบกับคู่ของคุณ แต่พูดถึงความรู้สึกของคุณ อย่าพูดว่า "คุณกำลังนอกใจฉัน" แต่ให้พูดว่า "ฉันรู้สึกถูกโกง"
ขอให้พวกเขากำหนดกรอบผลลัพธ์ที่ต้องการและปัญหาให้เป็นห่วงโซ่ของอุปสรรค ปัญหาคือสิ่งที่ต้องแก้ไข และทัศนคติต่อบุคคลคือภูมิหลัง ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ต้องตัดสินใจ อย่าให้อารมณ์มาครอบงำคุณ ระบุปัญหาและเน้นที่ปัญหาร่วมกับคู่สนทนา: แยกปัญหาออกจากบุคคล
เชิญลูกค้าแสดงความคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาและแนวทางแก้ไข ไม่จำเป็นต้องมองหาผู้กระทำผิดและอธิบายสถานการณ์ หาทางออกจากมัน ควรมีตัวเลือกมากมายให้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดที่สามารถตอบสนองความสนใจของพันธมิตรด้านการสื่อสารทั้งสองได้
ไม่ว่าในกรณีใดให้คู่ของคุณ "รักษาหน้า" คุณไม่ควรตอบโต้ด้วยความก้าวร้าวต่อความก้าวร้าวและทำร้ายศักดิ์ศรีของคู่ครอง มาประเมินการกระทำกันเถอะ ไม่ใช่บุคลิกภาพ
ไตร่ตรอง เหมือนกับเสียงสะท้อน ความหมายของข้อความและคำกล่าวอ้าง การใช้วลีเช่น "ฉันเข้าใจคุณถูกต้องหรือไม่", "คุณต้องการจะพูดว่า:" ขจัดความเข้าใจผิดและแสดงความสนใจต่อคู่สนทนาซึ่งช่วยลดความก้าวร้าวของเขา
อย่ากลัวที่จะขอโทษถ้าคุณรู้สึกผิด คนที่มั่นใจและเป็นผู้ใหญ่สามารถขอโทษได้ ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นการปลดอาวุธคู่สนทนาและสร้างแรงบันดาลใจให้ความเคารพและไว้วางใจในตัวเขา
คุณไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรเลย ในความขัดแย้ง ไม่มีใครสามารถพิสูจน์อะไรให้ใครเห็นได้ เนื่องจากอารมณ์เชิงลบขัดขวางความสามารถในการเข้าใจและตกลง นี่เป็นการเสียเวลาและการออกกำลังกายที่ไร้ประโยชน์
เงียบไว้ก่อน ไม่ต้องการจากคู่สนทนา - "ศัตรู": "หุบปาก", "หยุด" แต่จากตัวคุณเอง แต่ความเงียบไม่ควรแต่งแต้มด้วยความเย่อหยิ่งและการท้าทาย
อย่ากำหนดลักษณะของคู่ต่อสู้ วลีดังกล่าวของสถานะทางอารมณ์เชิงลบของคู่หูเช่น "คุณโกรธ / ประหม่า / โกรธเคืองอะไร" เพียงเสริมสร้างและกระชับความขัดแย้ง
ไม่ว่าผลของการแก้ไขข้อขัดแย้งจะเป็นอย่างไร อย่าพยายามทำลายความสัมพันธ์

2) กฎเกณฑ์ของการสื่อสารอย่างอดทนที่พัฒนาขึ้นในห้องเรียน เราสรุปกับเด็ก ๆ และวางไว้ในมุมห้องเรียนของเรา (อย่างไรก็ตาม ชื่อของชั้นเรียนของเราคือเมือง "พ่อมด" ในรูปแบบของดวงดาว กฎเหล่านี้ตั้งอยู่เหนือ "เมือง" ของเรา) ในตอนท้ายของแต่ละสัปดาห์ เมื่อเราสรุปผล นักเรียนแต่ละคน "ประเมิน" พฤติกรรมของเขา โดยคำนึงถึงวิธีที่เขาดำเนิน "กฎแห่งเมือง" นักมายากล " หลังจากการประเมินของเขา มีการอภิปรายใน" เครื่องหมายดอกจัน "ถ้ามีความขัดแย้งเขาก็" เชื่อมโยง " กลุ่มของทั้งชั้นเรียน ฉันคิดว่านี่เป็นประสบการณ์ที่ดีเพราะเทคนิคดังกล่าว "ใช้ได้ผล" สำหรับการพัฒนาความอดทนและเป็นผลให้สำหรับการป้องกันความขัดแย้ง .

3) ไม่มีความขัดแย้ง ความไม่พอใจ ข้อพิพาทใด ๆ ที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เรา "เข้าใจ" ตรงจุด วิเคราะห์สถานการณ์ หารือร่วมกับเด็กๆ

4) ในอนาคตฉันวางแผนที่จะทำงานต่อไป การสอนเด็กเกี่ยวกับทักษะด้านพฤติกรรมที่มีประสิทธิภาพในความขัดแย้งและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์เราได้สั่งสมประสบการณ์การทำงานกับเด็กๆ ในด้านนี้มามาก (ตัวอย่างเช่น หนังสือชื่อ "จะสอนเด็กให้ร่วมมือกันได้อย่างไร" (1998 ผู้แต่ง - K. Fopel) มีเกมแบบโต้ตอบจำนวนมากที่มุ่งพัฒนา "ความฉลาดทางอารมณ์" ของเด็ก

นอกจากนี้ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีการฟื้นฟูซึ่งรวมถึงการสอนทักษะการไกล่เกลี่ยให้กับเด็กนักเรียน โรงเรียนของเรามีชุดเอกสารระเบียบวิธี "การจัดระเบียบงานบริการการกระทบยอดโรงเรียน" (ระดับการใช้งาน, 2007) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดบริการการกระทบยอดในสถาบันการศึกษา หนึ่งในเป้าหมายของ School Reconciliation Service (SRS) คือการฟื้นฟูสังคมของผู้เข้าร่วมในสถานการณ์ความขัดแย้งตามหลักการของความยุติธรรมเชิงบูรณะ วัตถุประสงค์ของ SSP คือเพื่อดำเนินโครงการปรองดองสำหรับผู้เข้าร่วมในความขัดแย้งของโรงเรียน สอนวิธีแก้ไขข้อขัดแย้งให้เด็กนักเรียน ฉันหวังว่าบริการดังกล่าวจะปรากฏในโรงเรียนของเราในไม่ช้า

5) อย่างที่คุณทราบ หนึ่งในสาเหตุหลักของความขัดแย้งอาจเป็นลักษณะบุคลิกภาพที่ด้อยพัฒนา นั่นคือ ความอดทน ผู้เขียนหนังสือ "การศึกษาความอดทนในหมู่เด็กนักเรียน" เสนอโปรแกรมการทำงานกับเด็กทุกวัยการพัฒนาระเบียบวิธีการศึกษารูปแบบต่าง ๆ ของความอดทนในเด็ก ฉันจะยังคงใช้สื่อในหนังสือเล่มนี้ในงานของฉัน

หลังจาก 4 เดือน ฉันทำการสำรวจในหมู่เด็กอีกครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งได้รับการแก้ไขแล้ว เด็ก 65% พอใจกับความสัมพันธ์ในชั้นเรียน พวกเขาหยอกล้อและเรียกชื่อ 25% ทุกคนสังเกตว่าพวกเขายินดี มีการห้ามใช้นามสกุล (ไม่มีชื่อ) และชื่อเล่น . เด็กมีความสมดุลมากขึ้นและสงบขึ้นเล็กน้อย ในกรณีที่หายากมาก พวกเขาหันไปกรีดร้อง แต่มีคนหยุดพวกเขาทันที สถานการณ์กลับสู่ปกติ

วรรณกรรม.

Grishina N.V. จิตวิทยาของความขัดแย้ง - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก: ปีเตอร์ 2548
ครูสอนพิเศษที่บ้าน สังคมศึกษาสำหรับผู้สมัคร (ภายใต้บรรณาธิการทางวิทยาศาสตร์ของ V.N. Knyazev และอื่น ๆ ) - M.: Iris press, 2007
Zhuravlev V.I. พื้นฐานของความขัดแย้งทางการสอน - ม., 1995.
กัน-กาลิก วี.ไอ. ครูเกี่ยวกับการสื่อสารการสอน - ม.: การตรัสรู้. 1992.
โคซีเรฟ จี.ไอ. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับความขัดแย้ง - ม., 2542.
องค์กรของงานบริการกระทบยอดโรงเรียน (รวบรวมวัสดุระเบียบวิธี) - ระดับ, 2550
Rogov E.I. จิตวิทยาการสื่อสาร - ม.: วลาดอส, 2544.
Rozhkov M.I. , Baiborodova L.V. , Kovalchuk M.A. การศึกษาความอดทนในเด็กนักเรียน - ยาโรสลาฟล์: Academy of Development Academy Holding, 2003
Rybakova M.M. ความขัดแย้งและปฏิสัมพันธ์ในกระบวนการสอน - ม., 1991.
เซเลฟโก้ จี.เค. คู่มือการจัดการศึกษาด้วยตนเองของเด็กนักเรียน "เทคโนโลยีของโรงเรียน" 2542 ครั้งที่ 6
เชลาโมว่า จี.เอ็ม. วัฒนธรรมธุรกิจและจิตวิทยาการสื่อสาร - อ.: อคาเดมา, 2547.
"นักจิตวิทยาโรงเรียน".: ศ. บ้าน 1 กันยายน 2550 เลขที่ 13
"นักจิตวิทยาโรงเรียน".: ศ. บ้านต้นกันยายน 2551 เลขที่ 10

สถาบันการศึกษาพิเศษ (ราชทัณฑ์) งบประมาณของรัฐของสาธารณรัฐ Khakassia สำหรับนักเรียนนักเรียนที่มีความพิการ "โรงเรียนประจำพิเศษ (ราชทัณฑ์) ทั่วไป III ประเภท IV"

ครูสอนประวัติศาสตร์และสังคมศึกษา CDO

สิบ Tatyana Anatolyevna

การ์ดพร้อมตัวอย่างสถานการณ์ความขัดแย้งสำหรับการฝึกอบรมด้านจิตวิทยาและการสอน

"วิธีแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์".

สถานการณ์ 1

บทเรียนภาษาอังกฤษ. ชั้นเรียนแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ในกลุ่มย่อยครูเปลี่ยน เมื่อตรวจการบ้าน ครูใหม่ขอให้พวกเขาตอบหัวข้อด้วยใจโดยที่ไม่คุ้นเคยกับนักเรียนเกี่ยวกับข้อกำหนดของตน นักเรียนคนหนึ่งกล่าวว่าก่อนที่พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้เล่าเรื่องซ้ำอย่างอิสระไม่ใช่ด้วยใจ สำหรับการบอกเล่าซ้ำ เธอได้รับ -3 ซึ่งทำให้เธอมีทัศนคติเชิงลบต่อครู เด็กหญิงมาที่บทเรียนต่อไปโดยไม่ได้ทำการบ้าน แม้ว่าเธอจะยังเป็นนักเรียนที่ขยันขันแข็งก็ตาม หลังจากสำรวจครูให้มา 2. เด็กหญิงพยายามรบกวนบทเรียนต่อไป ชักชวน

เพื่อนร่วมชั้นข้ามบทเรียน ตามคำร้องขอของครู เด็ก ๆ กลับไปที่ห้องเรียน แต่ปฏิเสธที่จะทำงานให้เสร็จ หลังเลิกเรียน นักเรียนหันไปหาครูประจำชั้นเพื่อขอย้ายเธอไปยังกลุ่มย่อยอื่น

สถานการณ์2

เกิดความขัดแย้งระหว่างนักเรียนและครู: ครูโกรธเคืองจากผลงานที่แย่ของนักเรียนและให้โอกาสเขาแก้ไขเกรดด้วยความช่วยเหลือของเรียงความ นักเรียนเห็นด้วยและนำเรียงความไปยังบทเรียนถัดไป อย่างแรกไม่ใช่ในหัวข้อ แต่ในแบบที่เขาชอบแม้ว่าตามที่เขาบอกเขาใช้เวลาตามเขาตลอดทั้งเย็นเพื่อเตรียมเขา ประการที่สองทั้งหมดยู่ยี่ ครูก็ยิ่งขุ่นเคืองและพูดอย่างเฉียบขาดว่านี่เป็นความอัปยศของเขาในฐานะครู นักเรียนลุกขึ้นยืนอย่างท้าทายและเริ่มเหวี่ยงขาไปมาโดยจับที่โต๊ะ ครูพยายามนั่งให้นักเรียนนั่งก่อน แต่ทนไม่ได้ คว้าเขาแล้วผลักเขาออกจากห้องเรียน จากนั้นพาเขาไปหาผู้อำนวยการ ทิ้งเขาไว้ที่นั่นแล้วไปที่ห้องเรียน

สถานการณ์ 3

ครูคณิตศาสตร์เลื่อนชั้นเรียนออกไปในช่วงพักหลังเสียงกริ่ง เป็นผลให้นักเรียนมาสายสำหรับบทเรียนต่อไป - บทเรียนฟิสิกส์ ครูฟิสิกส์ที่โกรธจัดแสดงความขุ่นเคืองต่อครูคณิตศาสตร์ในขณะที่เขามีกำหนดการทดสอบ เขาเชื่อว่าวิชาของเขานั้นยากมาก และเขาคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ที่จะเสียเวลาในชั้นเรียนเนื่องจากนักเรียนมาสาย ครูคณิตศาสตร์คัดค้านว่าวิชาของเขามีความสำคัญและยากไม่น้อย การสนทนาเกิดขึ้นในโถงทางเดินที่มีพยานจำนวนมาก

1. ระบุองค์ประกอบโครงสร้าง (หัวเรื่อง ผู้เข้าร่วม สภาพแวดล้อมมหภาค รูปภาพ) ของความขัดแย้งในแต่ละสถานการณ์ที่นำเสนอ

2. กำหนดประเภทของความขัดแย้งที่นำเสนอในแต่ละสถานการณ์

สถานการณ์ 4

บทเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 8 ตรวจการบ้าน ครูเรียกนักเรียนคนเดียวกันสามครั้ง เด็กชายตอบอย่างเงียบ ๆ ทั้งสามครั้ง แม้ว่าเขาจะทำได้ดีในเรื่องนี้ก็ตาม ผลลัพธ์คือ "2" ในบันทึก วันรุ่งขึ้น การสำรวจเริ่มต้นอีกครั้งกับนักเรียนคนนี้ และเมื่อเขาไม่ตอบอีก ครูก็ถอดเขาออกจากบทเรียน เรื่องเดียวกันนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกในสองชั้นเรียนถัดไป ตามด้วยการขาดเรียนและการเรียกผู้ปกครองไปโรงเรียน แต่ผู้ปกครองแสดงความไม่พอใจกับครูว่าเขาไม่สามารถหาแนวทางให้ลูกชายได้ ตอบกลับครูบ่นกับผู้ปกครองว่าพวกเขาไม่สนใจลูกชายของพวกเขา การสนทนาดำเนินต่อไปในห้องผู้อำนวยการ

กำหนดรูปแบบพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมในสถานการณ์ความขัดแย้งนี้

1. ลักษณะพฤติกรรมแบบใดที่เป็นลักษณะของครู? ผู้ปกครอง?

2. นักเรียนแสดงพฤติกรรมอย่างไร?

3. คุณคิดว่ารูปแบบการแก้ไขข้อขัดแย้งแบบใดมีประสิทธิภาพมากที่สุดในสถานการณ์นี้

วิเคราะห์สถานการณ์ที่เสนอจากมุมมองของการสำแดงพลวัตของความขัดแย้ง:

สถานการณ์ 5

ผู้ปกครองมาที่โรงเรียนอนุบาลเพื่อรับเอกสารของลูกชาย เด็กเข้าโรงเรียนอนุบาลเป็นเวลาสามวันหลังจากนั้นเขาล้มป่วยและผู้ปกครองตัดสินใจพาเด็กไป ผอ.ขอให้ผู้ปกครองจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูกอยู่อนุบาลผ่านธนาคารออมสิน แต่พ่อแม่ไม่ต้องการไปธนาคารและเสนอให้จ่ายเงินให้กับเธอเป็นการส่วนตัว ผู้จัดการอธิบายกับผู้ปกครองว่าเธอไม่สามารถรับเงินได้ พ่อแม่ไม่พอใจและหลังจากพูดดูถูกเธอและโรงเรียนอนุบาลเป็นจำนวนมากพวกเขาก็จากไปและกระแทกประตู

สถานการณ์ 6

ก่อนเริ่มเรียน 10 นาที มีครูและนักเรียนหลายคนในห้องเรียน สภาพแวดล้อมสงบเป็นกันเอง ครูอีกคนเข้ามาในชั้นเรียนเพื่อรับข้อมูลที่จำเป็นจากเพื่อนร่วมงาน เมื่อเข้าใกล้เพื่อนร่วมงานและกำลังสนทนากับเขา จู่ๆ อาจารย์ที่เดินเข้ามาก็ขัดจังหวะเธอและหันความสนใจไปที่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 10 ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามซึ่งมีแหวนทองคำอยู่ในมือ: “ดูสิ นักเรียนทุกคนสวมชุดทอง ใครอนุญาตให้คุณใส่ทองไปโรงเรียน!”

ในเวลาเดียวกันโดยไม่รอคำตอบจากนักเรียนครูก็หันไปที่ประตูและออกจากห้องทำงานแล้วกระแทกประตูเสียงดังด้วยความขุ่นเคืองต่อไป

นักเรียนคนหนึ่งถามว่า “นั่นอะไรน่ะ?” คำถามยังคงไม่ได้รับคำตอบ ครูที่นั่งอยู่ในห้องเรียนเงียบตลอดเวลา หาทางออกจากสถานการณ์นี้ไม่ได้ นักเรียนเขินอาย หน้าแดง และเริ่มถอดแหวนออกจากมือ เธอหันไปหาครูหรือทุกคนในชั้นเรียน เธอถามว่า “ทำไมและเพื่ออะไร” มีน้ำตาในดวงตาของหญิงสาว

วิเคราะห์สถานการณ์ที่เสนอ ลองจินตนาการถึงวิธีแก้ปัญหาที่เป็นไปได้โดยใช้เทคนิคจากชุดของปฏิกิริยาที่เตรียมไว้

สถานการณ์ 7

ระหว่างการประชุม ผู้ปกครองคนหนึ่งของนักเรียนในชั้นเรียนของคุณเริ่มวิพากษ์วิจารณ์วิธีการสอนและการอบรมเลี้ยงดูของคุณ ในขณะที่บทสนทนาดำเนินไปเขาเริ่มอารมณ์เสียและโวยวายใส่คุณอย่างโกรธ ๆ คุณไม่สามารถปล่อยให้ผู้ปกครองมีพฤติกรรมเช่นนี้ได้ คุณจะทำอะไร?

สถานการณ์ 8

ที่ถนน คุณพบเพื่อนร่วมงานของคุณโดยไม่คาดคิด ซึ่งลาป่วยอย่างเป็นทางการ เป็นบทเรียนของเธอที่คุณถูกบังคับให้ "แทนที่" แต่คุณพบว่าเธอมีสุขภาพที่สมบูรณ์ คุณจะทำอะไร?

สถานการณ์ 9

ในช่วงต้นปีการศึกษา ครูใหญ่ของโรงเรียนขอให้คุณรับหน้าที่เป็นครูใหญ่ในงานการศึกษาชั่วคราว โดยสัญญาว่าจะจ่ายเงินเพิ่มสำหรับส่วนนี้ แต่หลังจากสามเดือน การชำระเงินตามสัญญาจะไม่เข้าบัญชีคุณ คุณจะทำอะไร?

สถานการณ์ 10

ในช่วงพัก มีนักเรียนเปื้อนน้ำตามาหาคุณ ในความเห็นของเธอ คุณให้คะแนนประจำปีกับเธออย่างไม่เป็นธรรมในวิชาของคุณ คุณจะทำอะไร?

ลองนึกภาพว่าครูจะทำอะไรในสถานการณ์นี้

สถานการณ์11

ในบทเรียน ครูแสดงความคิดเห็นกับนักเรียนที่ไม่ได้เรียนอยู่หลายครั้ง เขาไม่ตอบสนองต่อคำพูด ยังคงรบกวนผู้อื่น ถามคำถามไร้สาระกับนักเรียนรอบตัวเขา และทำให้พวกเขาเสียสมาธิจากหัวข้อที่ครูอธิบาย ครูพูดอีกและเตือนว่าเป็นครั้งสุดท้าย เธอยังคงอธิบายต่อไป แต่เสียงกรอบแกรบและดังก้องไม่ลดลง จากนั้นครูก็เข้ามาหานักเรียน หยิบไดอารี่จากโต๊ะและจดบันทึก นอกจากนี้ บทเรียนถูกรบกวนจริง ๆ เมื่อนักเรียนยังคงสื่อสารกับเพื่อนร่วมชั้นด้วยกำลังที่มากขึ้น และครูไม่สามารถหยุดเขาได้อีกต่อไป

ความขัดแย้งในโรงเรียน

ความขัดแย้งคืออะไร?คำจำกัดความของแนวคิดนี้สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ในความคิดของสาธารณชน ความขัดแย้งมักเป็นคำพ้องความหมายของการเผชิญหน้าที่ไม่เป็นมิตรและเชิงลบระหว่างผู้คนเนื่องจากผลประโยชน์ที่เข้ากันไม่ได้ บรรทัดฐานของพฤติกรรม และเป้าหมาย

แต่มีความเข้าใจอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งว่าเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างแท้จริงในชีวิตของสังคม ซึ่งไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ผลด้านลบเสมอไป ในทางตรงกันข้าม เมื่อเลือกช่องทางที่เหมาะสมกับกระแส ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาสังคม

ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของการแก้ไขข้อขัดแย้ง พวกเขาสามารถกำหนดให้เป็น ทำลายหรือสร้างสรรค์. บรรทัดล่าง ทำลายล้างการปะทะกัน หมายถึง ความไม่พอใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย อันเป็นผลมาจากการปะทะกัน การทำลายความสัมพันธ์ ความขุ่นเคือง ความเข้าใจผิด

สร้างสรรค์เป็นความขัดแย้ง การแก้ปัญหาซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับฝ่ายที่มีส่วนร่วมในนั้น หากพวกเขาสร้าง ได้รับสิ่งที่มีค่าสำหรับตัวเองในนั้น ก็พอใจกับผลลัพธ์ของมัน

ความขัดแย้งในโรงเรียนที่หลากหลาย สาเหตุและแนวทางแก้ไข

ความขัดแย้งในโรงเรียนเป็นปรากฏการณ์หลายแง่มุม เมื่อสื่อสารกับผู้เข้าร่วมในชีวิตในโรงเรียน ครูต้องเป็นนักจิตวิทยาด้วย "การซักถาม" ของการชนกันกับผู้เข้าร่วมแต่ละกลุ่มต่อไปนี้สามารถกลายเป็น "เอกสารโกง" สำหรับครูในการสอบในหัวข้อ "ความขัดแย้งในโรงเรียน"

ความขัดแย้ง "นักเรียน - นักเรียน"

ความขัดแย้งระหว่างเด็กเป็นเรื่องปกติ รวมทั้งในชีวิตในโรงเรียน ในกรณีนี้ ครูไม่ใช่บุคคลที่ขัดแย้งกัน แต่บางครั้ง จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในข้อพิพาทระหว่างนักเรียน

สาเหตุของความขัดแย้งระหว่างนักศึกษา

การแข่งขัน

หลอกลวง นินทา

ดูถูก

ความเป็นปรปักษ์ต่อนักเรียนที่ชื่นชอบของครู

ไม่ชอบส่วนตัวสำหรับบุคคล

ความเสน่หาที่ปราศจากการตอบแทนซึ่งกันและกัน

ต่อสู้เพื่อผู้หญิง (เด็กชาย)

วิธีแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างนักเรียน

จะแก้ไขความขัดแย้งดังกล่าวอย่างสร้างสรรค์ได้อย่างไร? บ่อยครั้ง เด็กๆ สามารถแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งได้ด้วยตนเองโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ หากจำเป็นต้องมีการแทรกแซงจากครู ให้ทำอย่างใจเย็นเป็นสิ่งสำคัญ เป็นการดีกว่าที่จะทำโดยไม่กดดันเด็กโดยไม่ต้องขอโทษต่อสาธารณชน จำกัด ตัวเองเป็นคำใบ้ จะดีกว่าถ้านักเรียนพบอัลกอริทึมในการแก้ปัญหานี้ ความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์จะเพิ่มทักษะทางสังคมให้กับประสบการณ์ของเด็กที่จะช่วยให้เขาสื่อสารกับเพื่อนฝูงสอนวิธีแก้ปัญหาซึ่งจะเป็นประโยชน์กับเขาในวัยผู้ใหญ่

หลังจากแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งแล้ว การสนทนาระหว่างครูกับเด็กก็มีความสำคัญ เป็นการดีที่จะเรียกชื่อนักเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่เขารู้สึกถึงบรรยากาศของความไว้วางใจและความปรารถนาดี คุณสามารถพูดบางอย่างเช่น: “Dima ความขัดแย้งไม่ใช่เหตุผลที่ต้องกังวล จะมีความขัดแย้งเช่นนี้เกิดขึ้นอีกมากในชีวิตของคุณ และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย สิ่งสำคัญคือต้องแก้ไขให้ถูกต้อง โดยไม่ต้องประณามหรือดูถูกซึ่งกันและกัน เพื่อสรุปผล เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดบางอย่าง ความขัดแย้งดังกล่าวจะเป็นประโยชน์"

เด็กมักทะเลาะวิวาทและแสดงความก้าวร้าวถ้าเขาไม่มีเพื่อนและงานอดิเรก ในกรณีนี้ ครูสามารถพยายามแก้ไขสถานการณ์โดยพูดคุยกับผู้ปกครองของนักเรียน โดยแนะนำให้เด็กเข้าเรียนในแวดวงหรือหมวดกีฬาตามความสนใจของเขา กิจกรรมใหม่จะไม่ปล่อยให้เวลาสำหรับการวางอุบายและการนินทามันจะทำให้คุณมีงานอดิเรกที่น่าสนใจและมีประโยชน์ คนรู้จักใหม่

ขัดแย้ง "ครู-ผู้ปกครอง"

การกระทำที่ขัดแย้งดังกล่าวสามารถกระตุ้นทั้งครูและผู้ปกครอง ความไม่พอใจสามารถเกิดขึ้นได้

สาเหตุของความขัดแย้งระหว่างครูกับผู้ปกครอง

ความคิดต่าง ๆ ของฝ่ายเกี่ยวกับวิธีการศึกษา

ความไม่พอใจของผู้ปกครองกับวิธีการสอนของครู

ความเกลียดชังส่วนตัว

ความคิดเห็นของผู้ปกครองเกี่ยวกับการประเมินเกรดของเด็กต่ำเกินไป

วิธีแก้ไขข้อขัดแย้งกับผู้ปกครองของนักเรียน

เราจะแก้ไขความคับข้องใจดังกล่าวอย่างสร้างสรรค์และทำลายสิ่งกีดขวางได้อย่างไร เมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งเกิดขึ้นที่โรงเรียน สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจอย่างใจเย็น มองตามความเป็นจริง โดยปราศจากการบิดเบือน โดยปกติแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นในลักษณะที่แตกต่างออกไป: บุคคลที่ขัดแย้งกันจะหลับตาลงต่อความผิดพลาดของตนเอง ในขณะเดียวกันก็มองหาพฤติกรรมของคู่ต่อสู้ไปพร้อมๆ กัน

เมื่อประเมินสถานการณ์อย่างมีสติและมีการสรุปปัญหาแล้ว ครูจะค้นหาสาเหตุที่แท้จริงได้ง่ายขึ้น ขัดแย้งกับผู้ปกครองที่ "ยาก"ประเมินความถูกต้องของการกระทำของทั้งสองฝ่าย ร่างเส้นทางสู่การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของช่วงเวลาที่ไม่พึงประสงค์

ขั้นตอนต่อไปบนเส้นทางสู่ข้อตกลงจะเป็นการเจรจาแบบเปิดระหว่างครูและผู้ปกครอง โดยทั้งสองฝ่ายมีความเท่าเทียมกัน การวิเคราะห์สถานการณ์จะช่วยให้ครูแสดงความคิดและแนวคิดเกี่ยวกับปัญหากับผู้ปกครอง แสดงความเข้าใจ ชี้แจงเป้าหมายร่วมกัน และร่วมกันหาทางออกจากสถานการณ์ปัจจุบัน

หลังจากแก้ไขข้อขัดแย้งแล้ว ข้อสรุปเกี่ยวกับสิ่งที่ทำผิดและวิธีการปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดความตึงเครียด จะช่วยป้องกันสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต

ตัวอย่าง

แอนตันเป็นนักเรียนมัธยมปลายที่มั่นใจในตัวเองแต่ไม่มีความสามารถโดดเด่น ความสัมพันธ์กับผู้ชายในชั้นเรียนนั้นยอดเยี่ยมไม่มีเพื่อนที่โรงเรียน ที่บ้านเด็กชายแสดงลักษณะของผู้ชายจากด้านลบชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของพวกเขาที่สมมติขึ้นหรือพูดเกินจริงแสดงความไม่พอใจกับครูสังเกตว่าครูหลายคนดูถูกดูแคลนเกรดของเขา แม่เชื่อลูกชายของเธออย่างไม่มีเงื่อนไขยอมรับเขาซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของเด็กชายกับเพื่อนร่วมชั้นเสียไปทำให้เกิดการปฏิเสธต่อครู ความขัดแย้งปะทุขึ้นเมื่อผู้ปกครองมาโรงเรียนด้วยความโกรธและบ่นเรื่องครูและผู้บริหารโรงเรียน ไม่มีการโน้มน้าวใจหรือการโน้มน้าวใจใด ๆ ที่มีผลเย็นต่อเธอ ความขัดแย้งไม่หยุดจนกว่าเด็กจะเรียนจบ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นี้เป็นอันตราย

อะไรคือแนวทางสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาเร่งด่วน?จากคำแนะนำข้างต้น เราสามารถสรุปได้ว่าครูประจำชั้นของ Anton สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันได้ดังนี้: “Anton ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างแม่กับครูในโรงเรียน สิ่งนี้บ่งบอกถึงความไม่พอใจภายในของเด็กชายกับความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนๆ ในชั้นเรียน แม่เติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟโดยไม่เข้าใจสถานการณ์ เพิ่มความเกลียดชังของลูกชายและไม่ไว้วางใจต่อคนรอบข้างที่โรงเรียน อะไรทำให้เกิดการกลับมาซึ่งแสดงออกโดยทัศนคติที่เจ๋งของพวกที่มีต่อแอนตัน

เป้าหมายร่วมกันของผู้ปกครองและครูอาจเป็น ความปรารถนาที่จะรวบรวมความสัมพันธ์ของแอนตันกับชั้นเรียน.

บทสนทนาของครูกับแอนตันและแม่ของเขาสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ซึ่งจะแสดงให้เห็น ความปรารถนาของครูประจำชั้นที่จะช่วยเด็กชาย. เป็นสิ่งสำคัญที่ Anton ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นการดีที่จะพูดคุยกับนักเรียนในชั้นเรียนเพื่อที่พวกเขาจะได้ทบทวนทัศนคติที่มีต่อเด็กชาย มอบหมายหน้าที่รับผิดชอบร่วมกัน จัดกิจกรรมนอกหลักสูตรที่เอื้อต่อการชุมนุมของเด็กๆ

ความขัดแย้ง "ครู-นักเรียน"

ความขัดแย้งดังกล่าวอาจเกิดขึ้นบ่อยที่สุด เนื่องจากนักเรียนและครูใช้เวลาร่วมกันเกือบน้อยกว่าพ่อแม่ที่มีลูก สาเหตุของความขัดแย้งระหว่างครูกับนักเรียน

ขาดความสามัคคีในความต้องการของครู

ความต้องการมากเกินไปสำหรับนักเรียน

ความไม่สอดคล้องของข้อกำหนดของครู

การไม่ปฏิบัติตามโดยครู

นักเรียนรู้สึกถูกประเมินต่ำไป

ครูไม่สามารถยอมรับข้อบกพร่องของนักเรียนได้

คุณสมบัติส่วนตัวของครูหรือนักเรียน (หงุดหงิด, ทำอะไรไม่ถูก, หยาบคาย)

การแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างครูและนักเรียน

เป็นการดีกว่าที่จะคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดโดยไม่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ในการทำเช่นนี้ คุณสามารถใช้เทคนิคทางจิตวิทยาบางอย่างได้

ปฏิกิริยาตามธรรมชาติต่อความหงุดหงิดและการเปล่งเสียงเป็นการกระทำที่คล้ายคลึงกัน. ผลที่ตามมาของการสนทนาด้วยเสียงสูงจะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น ดังนั้นการกระทำที่ถูกต้องของครูจะเป็นน้ำเสียงที่สงบเป็นมิตรและมั่นใจในการตอบสนองต่อปฏิกิริยารุนแรงของนักเรียน อีกไม่นานเด็กจะ "ติดเชื้อ" ด้วยความสงบของครู

ความไม่พอใจและหงุดหงิดส่วนใหญ่มักมาจากการตามหลังนักเรียนที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนอย่างไม่ซื่อสัตย์ คุณสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการศึกษาและช่วยให้เขาลืมความไม่พอใจโดยมอบหมายงานที่รับผิดชอบและแสดงความมั่นใจว่าเขาจะทำได้ดี

ทัศนคติที่เป็นมิตรและยุติธรรมต่อนักเรียนจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่ดีในห้องเรียน และจะทำให้การนำคำแนะนำที่เสนอไปปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องง่าย

เป็นที่น่าสังเกตว่าในบทสนทนาระหว่างครูและนักเรียน การพิจารณาบางสิ่งเป็นสิ่งสำคัญ ควรเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อที่จะรู้ว่าจะพูดอะไรกับเด็ก วิธีการพูด - องค์ประกอบไม่น้อยที่สำคัญ น้ำเสียงที่สงบและไม่มีอารมณ์ด้านลบคือสิ่งที่คุณต้องการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และเสียงบังคับบัญชาที่ครูมักใช้ ประณาม และข่มขู่ ย่อมดีกว่าที่จะลืม คุณต้องสามารถฟังและได้ยินเด็กหากจำเป็นต้องลงโทษก็ควรพิจารณาในลักษณะที่ไม่รวมความอัปยศอดสูของนักเรียนเปลี่ยนทัศนคติต่อเขา ตัวอย่าง

Oksana นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรียนได้ไม่ดี มีความหงุดหงิดและหยาบคายในการสื่อสารกับครู ในบทเรียนหนึ่ง เด็กหญิงขัดขวางไม่ให้เด็กคนอื่นๆ ทำงานมอบหมาย โยนกระดาษให้เด็ก และไม่โต้ตอบกับครูแม้จะพูดจากับเธอหลายครั้งแล้วก็ตาม อ็อกซานาไม่ตอบสนองต่อคำขอของครูให้ออกจากชั้นเรียนเช่นกัน โดยยังคงนั่งอยู่ การระคายเคืองของครูทำให้เขาตัดสินใจที่จะหยุดสอนและหลังจากกริ่งเพื่อออกจากชั้นเรียนทั้งหมดหลังเลิกเรียน แน่นอนว่าสิ่งนี้นำไปสู่ความไม่พอใจของพวกผู้ชาย

การแก้ปัญหาความขัดแย้งดังกล่าวนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ทำลายล้างในความเข้าใจร่วมกันของนักเรียนและครู

วิธีแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์อาจมีลักษณะเช่นนี้ หลังจากที่ Oksana เพิกเฉยต่อคำขอของครูที่จะหยุดรบกวนพวกครู ครูก็สามารถออกจากสถานการณ์ได้ด้วยการหัวเราะ พูดอะไรบางอย่างด้วยรอยยิ้มประชดประชันกับหญิงสาว เช่น “วันนี้ Oksana กินข้าวต้มเล็กน้อย ระยะการขว้างของเธอและ ความถูกต้องประสบกระดาษแผ่นสุดท้ายไม่ถึงผู้รับ หลังจากนั้น ค่อยนำบทเรียนต่อไปอย่างใจเย็น หลังจากบทเรียน คุณสามารถลองคุยกับผู้หญิงคนนั้น แสดงทัศนคติที่มีเมตตา ความเข้าใจ ความปรารถนาที่จะช่วยเหลือเธอ เป็นความคิดที่ดีที่จะพูดคุยกับพ่อแม่ของเด็กผู้หญิงเพื่อหาสาเหตุที่เป็นไปได้สำหรับพฤติกรรมนี้ ให้ความสำคัญกับเด็กผู้หญิงมากขึ้น ไว้วางใจงานที่ได้รับมอบหมายที่รับผิดชอบ ช่วยเหลือในการทำงานให้เสร็จสิ้น ส่งเสริมการกระทำของเธอด้วยการยกย่อง - ทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ในกระบวนการนำความขัดแย้งไปสู่ผลลัพธ์ที่สร้างสรรค์

อัลกอริธึมเดียวสำหรับแก้ไขข้อขัดแย้งของโรงเรียน

สิ่งแรกที่จะเป็นประโยชน์เมื่อปัญหาสุกงอมคือ ความสงบ.

จุดที่สองคือการวิเคราะห์สถานการณ์ ปราศจากความผันผวน.

จุดสำคัญที่สามคือ เปิดบทสนทนาระหว่างฝ่ายที่ขัดแย้งกัน ความสามารถในการฟังคู่สนทนา เพื่อแสดงความเห็นของตนเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งอย่างใจเย็น

ประการที่สี่ที่จะช่วยให้บรรลุผลเชิงสร้างสรรค์ตามที่ต้องการคือ การระบุเป้าหมายร่วมกัน, แนวทางในการแก้ปัญหาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้

สุดท้าย จุดที่ห้าจะเป็น การค้นพบซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในการสื่อสารและการโต้ตอบในอนาคต

แล้วความขัดแย้งคืออะไร? ดีหรือชั่ว? คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้อยู่ในวิธีที่คุณจัดการกับสถานการณ์ที่ตึงเครียด การไม่มีความขัดแย้งในโรงเรียนเป็นปรากฏการณ์ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย. และพวกเขายังต้องได้รับการแก้ไข การตัดสินใจที่สร้างสรรค์นำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจและความสงบสุขในห้องเรียน การตัดสินใจที่ทำลายล้างจะสะสมความขุ่นเคืองและความขุ่นเคือง การหยุดและคิดในขณะที่เกิดการระคายเคืองและความโกรธเป็นจุดสำคัญในการเลือกวิธีการแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งของคุณเอง

หรือ

ความขัดแย้ง (lat. Conflictus - clash) -

1. การชนกันของด้านตรงข้าม, เส้น, แรง, รัฐ; ความขัดแย้งที่รุนแรง

2. ความขัดแย้งที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครในวรรณกรรม (พจนานุกรมคำต่างประเทศ. M. , 2006).

ความขัดแย้ง (จาก lat. Conflictus - การชนกัน) - การปะทะกันของเป้าหมายความสนใจตำแหน่งความคิดเห็นหรือมุมมองของหัวข้อการโต้ตอบที่แตกต่างกันซึ่งแก้ไขโดยพวกเขาในรูปแบบที่เข้มงวด

ความขัดแย้งใด ๆ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่รวมถึงตำแหน่งที่ตรงกันข้ามของคู่กรณีในโอกาสใด ๆ หรือเป้าหมายหรือวิธีการบรรลุผลตรงกันข้ามในสถานการณ์ที่กำหนด หรือผลประโยชน์ ความปรารถนา ความโน้มเอียงของฝ่ายตรงข้าม ฯลฯ ที่ไม่ตรงกัน สถานการณ์ความขัดแย้งจึงมี เรื่องความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นและ วัตถุ. อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ความขัดแย้งเกิดขึ้น จำเป็นต้องมีเหตุการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเริ่มดำเนินการ ซึ่งเป็นการละเมิดผลประโยชน์ของอีกฝ่ายหนึ่ง หากฝ่ายตรงข้ามตอบสนองด้วยความเมตตาความขัดแย้งจาก ศักยภาพเข้าสู่ เฉพาะที่และสามารถพัฒนาได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างสร้างสรรค์ หัวข้อของการมีปฏิสัมพันธ์ในความขัดแย้งอาจเป็นบุคคล (ความขัดแย้งภายในบุคคล) หรือบุคคลสองคนขึ้นไป (ความขัดแย้งระหว่างบุคคล) ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความขัดแย้ง ความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม ระหว่างองค์กร ระดับ ระหว่างรัฐ มีความแตกต่างกัน ในกลุ่มพิเศษจัดสรรความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ความขัดแย้งที่สร้างสรรค์อาจเกิดขึ้นได้เมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ไปไกลกว่าการโต้เถียงทางธุรกิจและความสัมพันธ์ ในกรณีนี้ สามารถสังเกตกลยุทธ์พฤติกรรมต่างๆ ได้ R. Blake และ J. Mouton แยกแยะ: การแข่งขัน(เผชิญหน้า) - มาพร้อมกับการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนอย่างเปิดเผย ความร่วมมือมุ่งหาแนวทางแก้ไขที่ตอบสนองผลประโยชน์ของทุกฝ่าย ประนีประนอมยอมความความขัดแย้งผ่านสัมปทานร่วมกัน หลีกเลี่ยงซึ่งประกอบด้วยความปรารถนาที่จะออกจากสถานการณ์ความขัดแย้งโดยไม่ต้องแก้ไขโดยไม่ยอมแพ้ แต่ไม่ยืนกรานในตนเอง การปรับตัว- มีแนวโน้มที่จะคลี่คลายความขัดแย้ง เสียสละผลประโยชน์ของตนเอง. การแสดงออกโดยทั่วไปของกลยุทธ์เชิงพฤติกรรมเหล่านี้มีลักษณะเป็นองค์กรและความกล้าแสดงออก

นักปรัชญาเข้าใจว่าความขัดแย้งเป็นหมวดหมู่ที่สะท้อนถึงขั้นตอนของการพัฒนาหมวดหมู่ "ความขัดแย้ง" เมื่อสิ่งที่ตรงกันข้ามที่มีอยู่ในความขัดแย้งกลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างรุนแรงถึงช่วงเวลาแห่งการปฏิเสธซึ่งกันและกันและการกำจัดความขัดแย้ง ยิ่งความขัดแย้งซับซ้อนมากเท่าใดก็ยิ่งต้องการความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ในความขัดแย้งในประเทศและต่างประเทศ มีประเภทของความขัดแย้งหลายประเภท

ความจำเพาะของความขัดแย้งทางการสอน

สถานที่พิเศษถูกครอบครองโดยความขัดแย้งทางการสอน มันแตกต่างอย่างมากจากที่เราพูดถึงข้างต้น ในที่นี้ หัวข้อของความขัดแย้งมีความชัดเจนไม่เท่าเทียมกันในแง่ของระดับการพัฒนา ครูคือผู้ที่มีประสบการณ์ชีวิตมามาก เขาได้พัฒนาความสามารถในการเข้าใจสถานการณ์ ในทางกลับกัน เด็กมีประสบการณ์ชีวิตน้อย พฤติกรรมหุนหันพลันแล่น เจตจำนงอ่อนแอ และความสามารถในการวิเคราะห์กิจกรรมด้อยพัฒนา นั่นคือเหตุผลที่ครูต้องนำมันมาสู่ข้อสรุปเชิงตรรกะอย่างชำนาญเพื่อให้บุคลิกภาพของเด็กสามารถพัฒนาไปสู่ระดับใหม่ได้

ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างความขัดแย้งเหล่านี้คือผลประโยชน์ของครูในเรื่องความขัดแย้งกลายเป็นผลประโยชน์ของเด็ก เด็กซึ่งเกิดจากการพัฒนาความประหม่าที่อ่อนแอ อาศัยและกระทำบนพื้นฐานของความสนใจตามสถานการณ์ ความสนใจเช่น "ฉันต้องการที่นี่และเดี๋ยวนี้"

ความขัดแย้งไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างสองวิชา แต่อยู่ระหว่างผลประโยชน์สองประการที่มีลักษณะต่างกัน เด็กไม่รู้สิ่งนี้ แต่ครูรู้ ผู้ถือผลประโยชน์ของเด็ก ล่าช้าในเวลาและไม่เกี่ยวข้องกับเด็กในขณะนี้ เต็มไปด้วยความสนใจชั่วขณะ

ในความขัดแย้งทางการสอน "ผลประโยชน์ตามสถานการณ์" ของเด็กนั้นตรงกันข้ามกับบรรทัดฐานทางสังคมวัฒนธรรมที่ครูนำเสนอ ซึ่งอย่างไรก็ตาม เด็กจะต้องตระหนักใน "ความสนใจของการพัฒนา" การปะทะกันถูกโอนไปยังสาขาความสนใจของเด็กโดยรวมเพราะครูเป็นบุคคลมืออาชีพที่มีกิจกรรมมุ่งเป้าไปที่การบรรลุผลประโยชน์ของเด็กอย่างแม่นยำ - แต่เน้นการพัฒนาของเขาเข้าสู่วัฒนธรรมที่ต้องการ ความพยายามจากลูก เมื่อเราพูดว่าผลประโยชน์ของครูในความขัดแย้งกลายเป็นผลประโยชน์ของนักเรียน เราต้องการบอกว่าความขัดแย้งเกิดขึ้นในสาขาเดียวกัน แล้วความขัดแย้งก็ดูแปลกไปบ้าง: มันมีอยู่และไม่มีอยู่จริงเพราะไม่มีการขัดแย้งกันของผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันของสองวิชา แต่อันที่จริงมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในเรื่องเดียวและเรื่องเดียวกันนั่นคือเด็ก ภาพแผนผังของความขัดแย้งในการสอนได้รับการแก้ไขและดูไม่สวยงามอย่างไม่มีที่ติ (โครงการ):

ดังที่เราเห็น ความขัดแย้งทั้งหมดได้ย้ายเข้าไปในเขตผลประโยชน์ของเด็ก และการต่อสู้เกิดขึ้นที่นั่น การปะทะกันเกิดขึ้นที่นั่น ครูสร้างการปะทะกันเริ่มต้นการทำงานทางจิตวิญญาณที่เข้มข้นของเด็ก ครูผู้แปลความขัดแย้งในด้านผลประโยชน์ของเด็กมีส่วนช่วยในการพัฒนาจิตวิญญาณของเขาและครูดำเนินการจากความสนใจส่วนตัวของเขา (นั่นคือลืมเกี่ยวกับการแต่งตั้งมืออาชีพของเขา) ร่างขอบเขตความสนใจส่วนตัวของเขา ไม่ว่าจะระงับจิตใจและเจตจำนงของเด็ก หรือเริ่มต้นความจงใจที่ป่าเถื่อนของเด็ก ตอนนี้คุณไม่ค่อยได้ยินวลี "วางเด็กไว้ในที่ของเขา" และเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะจะเป็นการดีที่จะเรียนรู้ที่จะให้เด็กอยู่ในที่สูงและมีค่าควรเคียงข้างครู ถัดจากมนุษยชาติ ในระดับวัฒนธรรมแห่งศตวรรษของเรา อย่างไรก็ตาม ขอชี้แจงถ้อยคำเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่ถูกต้อง: ไม่ให้เขาอยู่ในสถานที่ แม้แต่คนที่คู่ควร แต่เพื่อช่วยเขา ให้อยู่ในที่ที่คู่ควร - นี่คืองานเชิงกลยุทธ์ของความขัดแย้งในการสอน

การแต่งกายของความขัดแย้งทางการสอนนั้นมีสีสันและหลากสีพอ ๆ กับชุดของความขัดแย้งทั้งหมดที่ระบุไว้ข้างต้น อย่างไรก็ตาม เขามีบางอย่างที่แตกต่างจากที่กล่าวมาโดยพื้นฐานแล้ว โดยเผยแผ่ในขอบเขตของชีวิตการสอน - ทั้งสองวิชามีความสนใจเหมือนกัน และสำหรับเขาแล้ว การต่อสู้ระหว่างครูกับ เด็ก. ดูเหมือนขัดแย้ง แต่กิจกรรมการสอนเต็มไปด้วยความขัดแย้ง

ควรพิจารณาความหมายของคุณลักษณะที่เสนอของความขัดแย้งคืออะไร เป็นที่น่าสังเกตว่าการฝึกปฏิบัติไม่สนใจการวิเคราะห์เชิงทฤษฎี อาศัยสัญชาตญาณมากกว่า วิธีดั้งเดิมในการตอบสนองเมื่อเกิดความขัดแย้ง แน่นอนว่าการสิ้นสุดของการเลือกที่ไม่เป็นมืออาชีพนั้นเป็นอันตราย: ความขัดแย้งทำลายความสัมพันธ์และทำให้กระบวนการศึกษาแย่ลง ตรรกะของ "สามัญสำนึก" นั้นได้ผล เนื่องจากเสนอให้ดำเนินการจากปรากฏการณ์ผิวเผินเท่านั้น โดยไม่ทำให้เนื้อหารุนแรงขึ้น และมีเพียงการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์และทฤษฎีเท่านั้นที่ช่วยให้เราสามารถประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ

สูตรแก้ปัญหาความขัดแย้งในโรงเรียน

มิฉะนั้น ความขัดแย้งทางการสอนจะได้รับการแก้ไข

ครูโดยอาศัยความเป็นมืออาชีพและประสบการณ์ของเขา สามารถมองเห็นความสนใจทั้งสองอย่าง: สถานการณ์และการพัฒนา หน้าที่ของมันคือการแสดงให้เด็กเห็นเครื่องบินสองลำที่น่าสนใจ การดำเนินการสามอย่างช่วยในการทำสิ่งนี้:

มีความจำเป็นต้องประกาศความสนใจตามสถานการณ์ของเด็ก: "ฉันเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการแล้วตอนนี้:"

นำข้อสรุปเชิงตรรกะมาสู่การคาดคะเนผลลัพธ์: ":แต่คุณ: (ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้)"

แสดงความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับผู้คน

ในวัยรุ่น จำนวนสถานการณ์การสอนที่ยากลำบากซึ่งมักจะมีลักษณะขัดแย้งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เป็นสิ่งสำคัญสำหรับวัยรุ่นที่จะได้รับการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน: พวกเขาเน้นพฤติกรรมและการสื่อสารที่เรียนรู้ในกลุ่มดังกล่าว ในการยอมรับจากผู้อื่น การประเมินคุณสมบัติส่วนตัวของคนๆ หนึ่งจึงถูกสร้างขึ้น เมื่ออยู่ร่วมกับเพื่อนฝูง เขารู้สึกถึงพลังของความสามัคคีร่วมกัน พยายามแสดงให้เห็นสิ่งที่เป็นของตัวเองซึ่งเป็นต้นฉบับ

การเชื่อฟังถูกแทนที่ด้วยการกระทำที่เป็นอิสระและการกระทำของเขาขึ้นอยู่กับว่าประสบการณ์ด้านพฤติกรรมและการสื่อสารในอดีตของเขาเป็นอย่างไร เนื่องจากความสม่ำเสมอที่สังเกตได้ในการพัฒนาจิตใจของวัยรุ่น ธรรมชาติของการมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาจึงซับซ้อนมากขึ้น

ดังนั้นการเพิ่มขึ้นของสถานการณ์การสอนที่ซับซ้อนจนถึงความขัดแย้งจึงถูกอธิบายโดยเหตุผลที่เป็นรูปธรรม กล่าวคือ: ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นในช่วงวิกฤตของการพัฒนาจิตใจของวัยรุ่น

พิจารณาความขัดแย้งที่พบบ่อยที่สุดที่โรงเรียนและวิธีแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งเหล่านี้: ความขัดแย้งในห้องเรียน กับผู้ที่นั่งอยู่ ความชั่วร้ายในห้องเรียน "ยาก" ในห้องเรียน ความเป็นผู้นำของเด็กผู้หญิง

ความขัดแย้งในห้องเรียน

นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 9 บางคนพยายามขัดขวางการเรียนของครูตลอดปีการศึกษา ในชั้นเรียนนี้ บทบาทของผู้นำจะเล่นโดยเด็กผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่ปราบคนที่เหลือในชั้นเรียนและเพื่อนร่วมชั้นจำนวนมากไม่สามารถต้านทานพวกเธอได้ พวกเขาหน้าด้านและหยาบคาย นี้จะทำในวิธีต่อไปนี้ นักเรียนไม่ฟังคำอธิบายของครู พูดนอกประเด็น ตะโกนขัดจังหวะครูและเพื่อนร่วมชั้น แสดงคุณสมบัติความเป็นผู้นำที่โรงเรียน พวกเขากลัวพ่อแม่มาก พวกเขาต้องการได้รับการเคารพโดยไม่ให้อะไรตอบแทน

ครูหลายคนถูกไล่ออกจากบทเรียน บางคนแสดงความคิดเห็น ให้คะแนนที่ไม่น่าพอใจในไดอารี่

ทางออกจากสถานการณ์นี้ได้ดังนี้ ในการดำเนินการสนทนาเป็นรายบุคคลกับผู้ปกครองของนักเรียนเหล่านี้ จำเป็นต้องมีงานของนักจิตวิทยาในทีมนี้ การประสานงานของการกระทำของนักเรียน การมีส่วนร่วมในผลงานของโรงเรียน สิ่งสำคัญและสำคัญที่สุดคือไม่อนุญาตให้ "คุ้นเคย" ในส่วนของพวกเขาเพื่อให้พวกเขาอยู่ใน "ระยะห่าง" ครูต้องซื่อสัตย์และอดทนในสถานการณ์นี้โดยไม่ร้องไห้และไม่ปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไป . อันที่จริงที่นี่ นอกเหนือจากลักษณะบุคลิกภาพพื้นฐานแล้ว คุณลักษณะของอายุยังส่งผลกระทบด้วย เมื่อออกจากช่วงเปลี่ยนผ่านแล้ว พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ตนเองว่าเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นได้เนื่องจากลักษณะทางจิตวิทยาของพวกเขา

"ยาก" ในห้องเรียน

ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นในชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 นักเรียนที่ไม่มีตำแหน่งเผด็จการซึ่งไม่มีตำแหน่งที่ประสบความสำเร็จในด้านพฤติกรรมและการสอนได้ตัดสินใจที่จะได้รับความโปรดปรานในหมู่เด็กที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น เพื่อการตระหนักรู้ในตนเอง เขาเลือกคนที่ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้มากกว่า แต่ไม่รวมอยู่ใน "กลุ่มเผด็จการ" พวกเขาเป็นเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย ในความสัมพันธ์กับหญิงสาวมีการใช้ความอัปยศทางวาจาการกระทำทางกายภาพเด็กชายถูกล่วงละเมิดพวกเขากำลังรอเขาหลังเลิกเรียนซึ่งเขาถูกทุบตีมีความอัปยศอดสูทางศีลธรรม แม้ว่าสำหรับโรงเรียนบางแห่ง นี่อาจเป็นปรากฏการณ์ปกติ เนื่องจากเป็นการตระหนักรู้ในตนเองและการแสดงออกของวัยรุ่น สถานการณ์ถูกควบคุมโดยผู้ปกครองของเด็กที่ถูกกระทำผิด และโดยครูประจำชั้นและนักจิตวิทยา

ในสถานการณ์เช่นนี้ จำเป็นต้องมีความช่วยเหลือจากนักจิตวิทยาสำหรับเด็กผู้ชายที่แสดงการกระทำที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเพื่อนร่วมชั้นของเขา สถานการณ์จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุม หากไม่พิจารณาสถานการณ์นี้ อาจส่งผลเสียต่อทัศนคติของ พวก เช่นเดียวกับการสนทนาของครูประจำชั้นกับผู้ปกครองของเด็กเหล่านี้ ควรมีการสนทนากับนักเรียนในชั้นเรียนเกี่ยวกับความไม่เหมาะสมของสถานการณ์นี้

"วัฒนธรรมย่อย".

มันเริ่มต้นในชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 เมื่อแฟนสามคนที่ชอบทิศทางดนตรีตัดสินใจลองใช้ภาพลักษณ์ของวัฒนธรรมย่อย Emo มันถูกแสดงดังนี้: อายไลเนอร์แย่มากในดวงตาของเด็ก, ผมที่ไม่เรียบร้อย, เสื้อผ้าในสไตล์นี้ ลักษณะนี้ทำให้ครูตกใจเล็กน้อย พวกเขาถูกขอให้เปลี่ยนรูปลักษณ์ แต่เด็กหญิงยืนกรานที่จะเข้าชั้นเรียนในรูปแบบนี้ต่อไป ในห้องเรียนก็ห่างกันไปนาน เหล่าสาวกที่สื่อสารกับพวกเขามาเป็นเวลานานก่อนที่พวกเขาจะกลับชาติมาเกิดหยุดพูดคุยกับพวกเขาพวกเขาถูกข่มเหงและล้อเลียน สาวๆหยุดเรียน

ผู้ปกครองไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็ก มีการสนทนาซ้ำๆ กับเพื่อนร่วมชั้นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้ง ผลงานของนักจิตวิทยาทั้งกับชั้นเรียนและกับตัวแทนแต่ละคน ได้ผลลัพธ์ สถานการณ์ความขัดแย้งถูกควบคุมโดยผู้ปกครองของเด็กเหล่านี้ รวมทั้งโดยฝ่ายบริหารและครูประจำชั้น เวลาผ่านไปนาน ในขณะนี้สาว ๆ ยังคงยึดมั่นในขบวนการนี้ แต่ผู้ชายได้ยอมรับเพื่อนร่วมชั้นของพวกเขาแล้วในรูปแบบ "เปลี่ยนแปลง" การสื่อสารระหว่างพวกเขายังคงดำเนินต่อไป ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องประหัตประหารเด็ก ประณามเขาที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม นี่คือรูปแบบหนึ่งของการค้นหาตัวเองในฐานะบุคคล สิ่งสำคัญคือการเข้าใจผู้ปกครองและครูและประสานงานการกระทำของลูกอย่างชำนาญ หากพวกเขาถูกข่มเหงและถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องการ คุณทำได้แค่ทำลายเด็ก และไม่มีอะไรดีในเรื่องนี้

ความเป็นผู้นำ

เมื่ออยู่เกรด 8 คุณต้องเลือกผู้บังคับบัญชาชั้นเรียน ในการประชุมชั้นเรียน เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งของเธอ ทั้งชั้นเรียนเห็นด้วยตามหลักการ "อย่างน้อยก็มีคนที่ไม่ใช่ฉัน" แต่เวลาผ่านไปแล้วเด็กผู้หญิงไม่สามารถรับมือกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ตัวเองได้ด้วยเหตุผลหลายประการ จากนั้นครูประจำชั้นเสนอให้พบกันอีกครั้งและเลือกผู้บังคับชั้นเรียนอีกครั้ง ในที่ประชุม พวกเขาเสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งของเด็กชาย ซึ่งเขาตอบว่า: "ถ้าคุณเลือกฉัน คุณจะเสียใจ" แต่ยังคงเป็นผู้บัญชาการชั้นเรียน เด็กคนนี้ยังคงอยู่ เนื่องจากเด็กมีคุณสมบัติความเป็นผู้นำที่ซ่อนเร้น พวกเขาจึงปรากฏตัวขึ้นที่งานหนึ่งในเวลาต่อมา

ผู้บังคับบัญชาระดับนี้ไม่มีการรับรู้ถึงทีมของเขา เขาไม่ต้องการที่จะทำอะไรโดยหวังว่าจะมีคนอื่นมาแทนที่เขา แต่นั่นไม่ได้เกิดขึ้น อีกครั้งหนึ่ง หัวหน้าถามผู้บังคับบัญชาว่าเหตุใดงานในชั้นเรียนจึงไม่เสร็จ นักเรียนตอบว่า “แต่ฉันไม่ได้ขอแม่ทัพ ไม่จำเป็นต้องเลือกฉัน” ขณะที่เขากระแทกโต๊ะ ครูไล่นักเรียนออกจากชั้นเรียน ต้องใช้เวลาพอสมควรในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียน

ในสถานการณ์เช่นนี้ จำเป็นต้องเข้าใจสิ่งที่นำไปสู่การกระทำดังกล่าวของนักเรียน เหตุใดเขาจึงทำเช่นนั้น สถานการณ์นี้ต้องจัดการโดยตรงกับนักเรียนคนนี้โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอก เป็นสิ่งสำคัญที่ทั้งครูและนักเรียนจะต้องเข้าใจว่าทำไมความขัดแย้งนี้จึงเกิดขึ้น ใครถูกและใครผิด

ฉันต้องการวิเคราะห์สถานการณ์การสอน

คำอธิบายของสถานการณ์ ความขัดแย้ง การกระทำ (ผู้เข้าร่วม สถานที่เกิดเหตุ กิจกรรมของผู้เข้าร่วม ฯลฯ );

อะไรเกิดขึ้นก่อนสถานการณ์;

อายุและลักษณะเฉพาะของผู้เข้าร่วมที่แสดงออกในพฤติกรรม สถานการณ์ การกระทำ;

สถานการณ์ผ่านสายตาของนักเรียนและครู

ตำแหน่งส่วนตัวของครูในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น (ทัศนคติของเขาที่มีต่อนักเรียน) เป้าหมายที่แท้จริงของครูในการโต้ตอบกับนักเรียน (เขาต้องการอะไร: กำจัดนักเรียนช่วยเขาหรือไม่แยแส ถึงนักเรียน);

ครูเรียนรู้อะไรใหม่เกี่ยวกับนักเรียนจากสถานการณ์ การกระทำ (คุณค่าทางปัญญาของสถานการณ์สำหรับครู)

สาเหตุหลักของสถานการณ์หรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นและเนื้อหา (ความขัดแย้งของกิจกรรม พฤติกรรม หรือความสัมพันธ์)

ทางเลือกในการชำระหนี้ การป้องกัน และการแก้ไขสถานการณ์ การปรับพฤติกรรมนักศึกษา

การเลือกวิธีการและวิธีการมีอิทธิพลในการสอนและการระบุผู้เข้าร่วมเฉพาะในการดำเนินการตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปัจจุบันและในอนาคต

ประเภทของความขัดแย้งในโรงเรียนและวิธีแก้ไข

ความขัดแย้ง "นักเรียน - นักเรียน"

สาเหตุของความขัดแย้งระหว่างนักศึกษา

การแข่งขัน

หลอกลวง นินทา

ดูถูก

ความไม่พอใจ

ความเป็นปรปักษ์ต่อนักเรียนที่ชื่นชอบของครู

ไม่ชอบส่วนตัวสำหรับบุคคล

ความเสน่หาที่ปราศจากการตอบแทนซึ่งกันและกัน

ต่อสู้เพื่อผู้หญิง (เด็กชาย)

วิธีแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างนักเรียน

ขัดแย้ง "ครู-ผู้ปกครอง"

สาเหตุของความขัดแย้งระหว่างครูกับผู้ปกครอง

ความคิดต่าง ๆ ของฝ่ายเกี่ยวกับวิธีการศึกษา

ความไม่พอใจของผู้ปกครองกับวิธีการสอนของครู

ความเกลียดชังส่วนตัว

ความคิดเห็นของผู้ปกครองเกี่ยวกับการประเมินเกรดของเด็กต่ำเกินไป

วิธีแก้ไขข้อขัดแย้งกับผู้ปกครองของนักเรียน

เมื่อประเมินสถานการณ์อย่างมีสติและมีการสรุปปัญหาแล้ว ครูจะค้นหาสาเหตุที่แท้จริงได้ง่ายขึ้น ประเมินความถูกต้องของการกระทำของทั้งสองฝ่าย ร่างเส้นทางสู่การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของช่วงเวลาที่ไม่พึงประสงค์

ตัวอย่าง

แอนตันเป็นนักเรียนมัธยมปลายที่มั่นใจในตัวเองแต่ไม่มีความสามารถโดดเด่น ความสัมพันธ์กับผู้ชายในชั้นเรียนนั้นยอดเยี่ยมไม่มีเพื่อนที่โรงเรียน

ที่บ้านเด็กชายแสดงลักษณะของผู้ชายจากด้านลบชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของพวกเขาที่สมมติขึ้นหรือพูดเกินจริงแสดงความไม่พอใจกับครูสังเกตว่าครูหลายคนดูถูกดูแคลนเกรดของเขา

แม่เชื่อลูกชายของเธออย่างไม่มีเงื่อนไขยอมรับเขาซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของเด็กชายกับเพื่อนร่วมชั้นเสียไปทำให้เกิดการปฏิเสธต่อครู

ความขัดแย้งปะทุขึ้นเมื่อผู้ปกครองมาโรงเรียนด้วยความโกรธและบ่นเรื่องครูและผู้บริหารโรงเรียน ไม่มีการโน้มน้าวใจหรือการโน้มน้าวใจใด ๆ ที่มีผลเย็นต่อเธอ ความขัดแย้งไม่หยุดจนกว่าเด็กจะเรียนจบ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นี้เป็นอันตราย

อะไรคือแนวทางสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาเร่งด่วน?

จากคำแนะนำข้างต้น เราสามารถสรุปได้ว่าครูประจำชั้นของ Anton สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันได้ดังนี้: “Anton ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างแม่กับครูในโรงเรียน สิ่งนี้บ่งบอกถึงความไม่พอใจภายในของเด็กชายกับความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนๆ ในชั้นเรียน แม่เติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟโดยไม่เข้าใจสถานการณ์ เพิ่มความเกลียดชังของลูกชายและไม่ไว้วางใจต่อคนรอบข้างที่โรงเรียน อะไรทำให้เกิดการกลับมาซึ่งแสดงออกโดยทัศนคติที่เจ๋งของพวกที่มีต่อแอนตัน

เป้าหมายร่วมกันของผู้ปกครองและครูอาจเป็นความปรารถนาที่จะรวบรวมความสัมพันธ์ของแอนตันกับชั้นเรียน .

บทสนทนาของครูกับแอนตันและแม่ของเขาสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ซึ่งจะแสดงให้เห็นความปรารถนาของครูประจำชั้นที่จะช่วยเด็กชาย . เป็นสิ่งสำคัญที่ Anton ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นการดีที่จะพูดคุยกับนักเรียนในชั้นเรียนเพื่อที่พวกเขาจะได้ทบทวนทัศนคติที่มีต่อเด็กชาย มอบหมายหน้าที่รับผิดชอบร่วมกัน จัดกิจกรรมนอกหลักสูตรที่เอื้อต่อการชุมนุมของเด็กๆ

ความขัดแย้ง "ครู-นักเรียน"

ความขัดแย้งดังกล่าวอาจเกิดขึ้นบ่อยที่สุด เนื่องจากนักเรียนและครูใช้เวลาร่วมกันเกือบน้อยกว่าพ่อแม่ที่มีลูก

สาเหตุของความขัดแย้งระหว่างครูกับนักเรียน

ขาดความสามัคคีในความต้องการของครู

ความต้องการมากเกินไปสำหรับนักเรียน

ความไม่สอดคล้องของความต้องการของครู

การไม่ปฏิบัติตามโดยครู

นักเรียนรู้สึกถูกประเมินต่ำไป

ครูไม่สามารถยอมรับข้อบกพร่องของนักเรียนได้

คุณสมบัติส่วนตัวของครูหรือนักเรียน (หงุดหงิด, ทำอะไรไม่ถูก, หยาบคาย)

การแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างครูและนักเรียน

ปฏิกิริยาตามธรรมชาติต่อความหงุดหงิดและการเปล่งเสียงเป็นการกระทำที่คล้ายคลึงกัน . ผลที่ตามมาของการสนทนาด้วยเสียงสูงจะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น ดังนั้นการกระทำที่ถูกต้องของครูจะเป็นน้ำเสียงที่สงบเป็นมิตรและมั่นใจในการตอบสนองต่อปฏิกิริยารุนแรงของนักเรียน อีกไม่นานเด็กจะ "ติดเชื้อ" ด้วยความสงบของครู

เป็นที่น่าสังเกตว่าในบทสนทนาระหว่างครูและนักเรียน การพิจารณาบางสิ่งเป็นสิ่งสำคัญ ควรเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อที่จะรู้ว่าจะพูดอะไรกับเด็ก วิธีการพูด - องค์ประกอบไม่น้อยที่สำคัญ น้ำเสียงที่สงบและไม่มีอารมณ์ด้านลบคือสิ่งที่คุณต้องการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และเสียงบังคับบัญชาที่ครูมักใช้ ประณาม และข่มขู่ ย่อมดีกว่าที่จะลืมคุณต้องสามารถฟังและได้ยินเด็ก หากจำเป็นต้องลงโทษก็ควรพิจารณาในลักษณะที่ไม่รวมความอัปยศอดสูของนักเรียนเปลี่ยนทัศนคติต่อเขา

ตัวอย่าง. Oksana นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรียนได้ไม่ดี มีความหงุดหงิดและหยาบคายในการสื่อสารกับครู ในบทเรียนหนึ่ง เด็กหญิงขัดขวางไม่ให้เด็กคนอื่นๆ ทำงานมอบหมาย โยนกระดาษให้เด็ก และไม่โต้ตอบกับครูแม้จะพูดจากับเธอหลายครั้งแล้วก็ตาม อ็อกซานาไม่ตอบสนองต่อคำขอของครูให้ออกจากชั้นเรียนเช่นกัน โดยยังคงนั่งอยู่ การระคายเคืองของครูทำให้เขาตัดสินใจที่จะหยุดสอนและหลังจากกริ่งเพื่อออกจากชั้นเรียนทั้งหมดหลังเลิกเรียน แน่นอนว่าสิ่งนี้นำไปสู่ความไม่พอใจของพวกผู้ชาย

วิธีแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์อาจมีลักษณะเช่นนี้ หลังจากที่ Oksana เพิกเฉยต่อคำขอของครูที่จะหยุดรบกวนพวกครู ครูก็สามารถออกจากสถานการณ์ได้ด้วยการหัวเราะ พูดอะไรบางอย่างด้วยรอยยิ้มประชดประชันกับหญิงสาว เช่น “วันนี้ Oksana กินข้าวต้มเล็กน้อย ระยะการขว้างของเธอและ ความถูกต้องประสบกระดาษแผ่นสุดท้ายไม่ถึงผู้รับ หลังจากนั้น ใจเย็น ๆ เพื่อนำบทเรียนต่อไป หลังจากบทเรียน คุณสามารถลองคุยกับหญิงสาว แสดงทัศนคติที่เมตตา ความเข้าใจ และความปรารถนาที่จะช่วยเธอ เป็นความคิดที่ดีที่จะพูดคุยกับพ่อแม่ของเด็กผู้หญิงเพื่อหาสาเหตุที่เป็นไปได้สำหรับพฤติกรรมนี้ ให้ความสำคัญกับเด็กผู้หญิงมากขึ้น ไว้วางใจงานที่ได้รับมอบหมายที่รับผิดชอบ ช่วยเหลือในการทำงานให้เสร็จสิ้น ส่งเสริมการกระทำของเธอด้วยการยกย่อง - ทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ในกระบวนการนำความขัดแย้งไปสู่ผลลัพธ์ที่สร้างสรรค์

อัลกอริธึมเดียวสำหรับแก้ไขข้อขัดแย้งของโรงเรียน

หลังจากศึกษาคำแนะนำข้างต้นสำหรับความขัดแย้งแต่ละข้อที่โรงเรียนแล้ว เราสามารถติดตามความคล้ายคลึงกันของการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ได้ มากำหนดกันใหม่ครับ

สิ่งแรกที่จะเป็นประโยชน์เมื่อปัญหาสุกงอมคือความสงบ .

จุดที่สองคือการวิเคราะห์สถานการณ์ปราศจากความผันผวน .

จุดสำคัญที่สามคือเปิดบทสนทนา ระหว่างฝ่ายที่ขัดแย้งกัน ความสามารถในการฟังคู่สนทนา เพื่อแสดงความเห็นของตนเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งอย่างใจเย็น

ประการที่สี่ที่จะช่วยให้บรรลุผลเชิงสร้างสรรค์ตามที่ต้องการคือการระบุเป้าหมายร่วมกัน , แนวทางในการแก้ปัญหาให้คุณบรรลุเป้าหมายนี้

สุดท้าย จุดที่ห้าจะเป็นการค้นพบ ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในการสื่อสารและการโต้ตอบในอนาคต

แล้วความขัดแย้งคืออะไร? ดีหรือชั่ว? คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้อยู่ในวิธีที่คุณจัดการกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดการไม่มีความขัดแย้งในโรงเรียนเป็นปรากฏการณ์ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย . และพวกเขายังต้องได้รับการแก้ไข การตัดสินใจที่สร้างสรรค์นำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจและความสงบสุขในห้องเรียน การตัดสินใจที่ทำลายล้างจะสะสมความขุ่นเคืองและความขุ่นเคือง การหยุดและคิดในขณะที่เกิดการระคายเคืองและความโกรธเป็นจุดสำคัญในการเลือกวิธีการแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งของคุณเอง

ความขัดแย้งในโรงเรียน

นักเรียนวินัยความขัดแย้งในโรงเรียน

บทนำ

แนวความคิดเรื่องความขัดแย้งในโรงเรียน

ระดับการพัฒนาสถานการณ์ความขัดแย้ง การวินิจฉัย

บทสรุป

บรรณานุกรม

บทนำ

โรงเรียนเป็นก้าวสำคัญในการวิวัฒนาการของมนุษย์ในสังคม ที่นี่เป็นที่ที่เด็กเริ่มแสดงความเป็นอิสระเกี่ยวกับความปรารถนาความสามารถและความโน้มเอียงของเขาเอง เรารู้ว่าทุกคนมีเอกลักษณ์ ทุกคนมีความสนใจและลักษณะเฉพาะของตนเอง เมื่อฝ่ายตรงข้ามมาปะทะกัน ความขัดแย้งก็เกิดขึ้น

ความขัดแย้งในหมู่นักเรียนเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย ซึ่งครูบอกว่า "เป็นเรื่องปกติของโรงเรียน" สาเหตุหลักของความขัดแย้งระหว่างนักเรียนคือความหยาบคาย ความหยาบคาย ความโหดร้าย ความโกรธ ความขัดแย้งในวัยรุ่นเป็นลักษณะของทุกเวลาและทุกชนชาติ การทารุณกรรมเด็กเป็นปรากฏการณ์ที่รู้จักกันดี หนึ่งในสิ่งที่ผิดธรรมดาของการสอนโลกคือเด็กเป็นมากกว่าผู้ใหญ่

เป็นไปได้ไหมที่จะเอาชนะความขัดแย้งระหว่างนักเรียน? ไม่น่าจะเป็นไปได้ การก่อตัวของบุคลิกภาพของเด็กเกิดขึ้นที่โรงเรียนและขึ้นอยู่กับความสำเร็จของกระบวนการนี้ประการแรกการดูดซึมคุณค่าทางศีลธรรมทางจิตวิญญาณช่วยลด (เพิ่ม) จำนวนความขัดแย้งระหว่างเด็กนักเรียน วินัยมีบทบาทสำคัญในการป้องกันความขัดแย้ง - ความสามารถในการให้อิสระแก่เด็กที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาอย่างเต็มที่ภายใต้กรอบของการเชื่อฟังคำสั่งตามสมควร

ความขัดแย้งหลักที่สองคือ "นักเรียน - ครู" สาเหตุของการเผชิญหน้าดังกล่าวในมุมมองของนักเรียนคือ 1) ดูหมิ่นครู; 2) พฤติกรรมที่ไม่มีไหวพริบ; 3) อคติในการประเมินความรู้ 4) ความต้องการมากเกินไป

รูปแบบพฤติกรรมต่อไปนี้ของนักเรียนมัธยมปลายในสถานการณ์ขัดแย้งกับครูเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด: 1) ความร่วมมือ 2) การประนีประนอม 3) การแข่งขัน 4) การหลีกเลี่ยงการติดต่อ 5) การปรับตัว

งานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความขัดแย้งในสภาพแวดล้อมของโรงเรียน

ในกระบวนการบรรลุเป้าหมาย คาดว่าจะต้องแก้ไขงานหลายอย่าง:

พิจารณาแนวคิดเรื่องความขัดแย้งในโรงเรียน

เพื่อศึกษาระดับการพัฒนาสถานการณ์ความขัดแย้ง การวินิจฉัย

วัตถุประสงค์ของงานนี้คือสถานการณ์ความขัดแย้งในกระบวนการเรียนรู้

หัวเรื่องตามลำดับจะเป็นความหมายและบทบาทของสถานการณ์ความขัดแย้ง

งานประกอบด้วย บทนำ สามย่อหน้า บทสรุป และรายการอ้างอิง

1. แนวคิดเรื่องความขัดแย้งในโรงเรียน

ความขัดแย้งเป็นปรากฏการณ์ทั่วไปในชีวิตสาธารณะ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าความขัดแย้งไม่ใช่แค่คนเท่านั้น ความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างตัวแทนแต่ละรายของชุมชนทางชีววิทยาและระหว่างสปีชีส์ในชีวิตสาธารณะ - ระหว่างผู้คนกลุ่มสังคมชั้นเรียนรัฐ

ความขัดแย้ง (lat. coflicus - clash) ในรูปแบบทั่วไปมากที่สุดถูกกำหนดให้เป็นความขัดแย้งเฉียบพลันอย่างยิ่ง ความขัดแย้งสามารถจำแนกได้ด้วยเหตุผลต่างๆ และมีความโดดเด่น: การสวมบทบาทและส่วนบุคคล ระหว่างบุคคลและภายในบุคคล ระยะสั้นและยืดเยื้อ เปิดเผยและซ่อนเร้น สร้างสรรค์และทำลายล้าง สถานการณ์และระบบ ฯลฯ

หนังสือของ Charles Lixon เรื่อง "Conflict. Seven Steps to Peace" ให้คำจำกัดความของความขัดแย้งดังต่อไปนี้: "Conflict is a collision, a dental disentment ในระหว่างที่คุณรู้สึกท่วมท้นด้วยความรู้สึกหรือประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ อย่างน้อยสองวิธี สองทางเลือกสำหรับพฤติกรรม และ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างอาจยอมรับได้หรือไม่สามารถยอมรับได้

ตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งระหว่างบุคคล (ระหว่างกลุ่ม) สามารถกำหนดได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กันอาจบรรลุเป้าหมายที่เข้ากันไม่ได้หรือยึดมั่นในค่านิยมและบรรทัดฐานที่เข้ากันไม่ได้ (เฉพาะกัน) หรือในเวลาเดียวกันต่อสู้ในการต่อสู้ที่รุนแรง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดียวกันซึ่งสามารถทำได้โดยฝ่ายเดียวที่ขัดแย้งกัน

ในงานของเรา เราจะพิจารณาถึงความขัดแย้งของโรงเรียน ความขัดแย้งในโรงเรียนเป็นปรากฏการณ์หลายแง่มุม

เด็กใช้เวลาส่วนใหญ่ที่โรงเรียน ดังนั้นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างวัยรุ่นและครูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จึงเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับเขา นักจิตวิทยาชาวรัสเซียเพิ่งทำการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าเด็กผู้ชายกำลัง "เป็นผู้นำ" ในความขัดแย้งในโรงเรียนเกือบทุกประเภท ดังนั้น เด็กผู้ชาย 18.9% และเด็กผู้หญิง 11.3% มีปัญหาเนื่องจากพฤติกรรมไม่ดีที่โรงเรียน และนักเรียน 19.8% และเด็กผู้หญิง 15.7% มีปัญหาเรื่องการขาดเรียนและมาสาย

ผู้ปกครองหลายคนเชื่อว่านักเรียนควรแก้ปัญหาของตนเอง เมื่อส่งลูกไปโรงเรียนแล้ว ผู้ปกครองบางคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก คุณสามารถผ่อนคลายได้เพราะตอนนี้ความกังวลเรื่องการศึกษาของสิงโตจะตกอยู่บนไหล่ของครู แต่คุณไม่ควรพักผ่อน ในไม่ช้า เด็ก ๆ ก็มีปัญหาใหม่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือความขัดแย้งในโรงเรียน โดยที่ไม่มีนักเรียนคนเดียวทำไม่ได้ และสำหรับนักเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1, 5 และ 10 พวกเขาหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากมีกระบวนการปรับตัวในระดับใหม่ของการศึกษา

ความขัดแย้งด้านการสอนสามารถแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกเกิดจากความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับข้อบกพร่องในการจัดการศึกษาที่โรงเรียน หมายถึงช่วงความขัดแย้งสี่ช่วงที่นักเรียนต้องผ่านในกระบวนการเรียนที่โรงเรียน

ช่วงเวลา #1:

เมื่อเริ่มฝึก เด็กประถมคนหนึ่งกำลังผ่านช่วงที่ค่อนข้างยากในชีวิต มีการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมชั้นนำจากการเล่นเป็นการเรียนรู้ ตำแหน่งทางสังคมของเขากำลังเปลี่ยนไป จากเด็กที่เขากลายเป็นเด็กนักเรียน ข้อกำหนดและความรับผิดชอบใหม่ๆ เกิดขึ้นกับเขา โดยเฉลี่ยแล้ว การปรับตัวทางจิตวิทยาที่โรงเรียนอาจใช้เวลาหลายเดือนถึง 1.5 ปี

ทันทีที่นักเรียนคุ้นเคยกับบทบาทใหม่ ครูที่โรงเรียน ความขัดแย้งครั้งใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น

ระยะเวลา #2:

นักเรียนกำลังจะขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 แทนที่จะเป็นครูคนเดียว นักเรียนเริ่มเรียนรู้จากครูคนละวิชา และถ้าตามกฎแล้วครูโรงเรียนประถมศึกษาดูแลลูก ๆ ของพวกเขาโดยทั่วไปแล้วครูโรงเรียนมัธยมจะเข้มงวดและเรียกร้องมากกว่า ใช่ และการปรับตัวให้เข้ากับครูหลายคนพร้อมกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้ยังมีวิชาของโรงเรียนใหม่ที่ซับซ้อนกว่าในโรงเรียนประถม

ช่วง #3:

ในตอนต้นของชั้นประถมศึกษาปีที่ 9 ปัญหาใหม่ที่เจ็บปวดก็เกิดขึ้น คุณต้องตัดสินใจว่าจะไปที่ไหนหลังจากเกรด 9: ศึกษาต่อที่โรงเรียนและโปรไฟล์ใดที่จะเลือกหรือเข้าสู่สถาบันการศึกษาอื่น ๆ ดังนั้น สำหรับคนหนุ่มสาวจำนวนมาก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 9 เป็นแนวที่พวกเขาใช้ชีวิตในวัยเด็กที่ไร้กังวลและเป็นวัยรุ่นที่มีพายุ แต่หลังจากนั้นพวกเขาถูกบังคับให้เริ่มต้นชีวิตในวัยผู้ใหญ่ด้วยความกังวลและปัญหาทั้งหมด

ระยะเวลา #4:

จบการศึกษาจากโรงเรียน, การเลือกอาชีพ, การสอบแข่งขันสู่มหาวิทยาลัย, จุดเริ่มต้นของชีวิตส่วนตัว น่าเสียดายที่โรงเรียนในขณะที่ให้การศึกษาขั้นพื้นฐานนั้นยังไม่เพียงพอในการเตรียมเด็กให้พร้อมสำหรับการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ สำหรับการเติมเต็มบทบาทของคนงาน นักเรียน สามีและพ่อ ดังนั้น ช่วงเวลานี้จึงมักขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ได้แก่ ความล้มเหลว การขัดข้อง และปัญหา

กลุ่มที่สองรวมถึงความขัดแย้งที่สร้างแรงบันดาลใจ เกิดขึ้นระหว่างครูและนักเรียน ส่วนใหญ่แล้ว ความขัดแย้งที่สร้างแรงบันดาลใจเกิดขึ้นเนื่องจากนักเรียนเนื่องจากความจริงที่ว่านักเรียนไม่ต้องการเรียนรู้หรือเรียนโดยไม่สนใจภายใต้การบังคับขู่เข็ญ จากปัจจัยที่จูงใจ ความขัดแย้งของกลุ่มนี้เติบโตขึ้น และท้ายที่สุดระหว่างครูและนักเรียนมีความเป็นศัตรูกัน การเผชิญหน้า หรือแม้แต่การต่อสู้ดิ้นรน อะไรคือสิ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในห้องรับรองของครู? แน่นอนเกี่ยวกับนักเรียน: "พวกเขาไม่ต้องการเรียนรู้! พวกเขาไม่รู้อะไรเลยและไม่เข้าใจอะไรเลย! พวกเขาไม่เชื่อฟัง!" ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเดาว่านักเรียนกำลังพูดถึงใครเกี่ยวกับครู: การไร้ความสามารถและไม่เต็มใจที่จะเข้าใจเกี่ยวกับการประเมินที่ไม่เป็นธรรมการไม่เคารพนักเรียน แน่นอนว่าครูเหนื่อยและพวกไม่อยากเรียน

ความขัดแย้งกลุ่มที่สามคือความขัดแย้งของการมีปฏิสัมพันธ์: นักเรียนกับกันและกัน, ครูกับกันและกัน, ครูและฝ่ายบริหาร ความขัดแย้งเหล่านี้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่มีลักษณะไม่เป็นกลางและลักษณะส่วนบุคคลของฝ่ายที่ขัดแย้งกัน เป้าหมายและทิศทางของค่านิยม

ดังนั้นเราจึงมั่นใจว่าชีวิตในโรงเรียนเต็มไปด้วยความขัดแย้งทางการสอน นักเรียนส่วนใหญ่มักมีความขัดแย้งในการเป็นผู้นำ กลุ่มเด็กชายและเด็กหญิงมักทะเลาะกัน เป็นต้น ดังนั้น ทุกคนจึงจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับธรรมชาติทางจิตวิทยาของความขัดแย้ง โครงสร้าง พลวัต และวิธีแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ

ในความขัดแย้ง จำเป็นต้องแยกแยะหัวข้อของความขัดแย้ง (ผู้เข้าร่วม) องค์ประกอบที่สองคือวัตถุที่ทำให้เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ เป็นการยากมากที่จะระบุได้ในแต่ละกรณี เพื่อให้ผู้คนเกิดความขัดแย้ง พวกเขาจำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อให้ความขัดแย้งเกิดขึ้น จำเป็นต้องมีการดำเนินการในส่วนของฝ่ายตรงข้ามที่มุ่งเป้าไปที่การบรรลุเป้าหมาย การกระทำดังกล่าวเรียกว่าเหตุการณ์ ดังนั้นความขัดแย้งจึงเป็นสถานการณ์ความขัดแย้งบวกกับเหตุการณ์

ความขัดแย้งในโรงเรียนมีความหลากหลายมากและเกือบจะท้าทายการแบ่งประเภท

เป็นการยากมากที่จะหาเกณฑ์ที่จะนำมารวมกันเป็นกลุ่มที่เป็นเนื้อเดียวกันบางกลุ่ม ความขัดแย้งในโรงเรียนมักเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล เนื่องจากเรากำลังเผชิญกับจิตใจที่ยังคงไม่มั่นคงของเด็ก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาว่าความขัดแย้งจะเกิดขึ้นในทิศทางใด

มีการพัฒนาสถานการณ์ความขัดแย้งในระดับต่างๆ เราจะพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมในย่อหน้าที่สอง

2. ระดับการพัฒนาสถานการณ์ความขัดแย้ง การวินิจฉัย

มีระดับการพัฒนาสถานการณ์ความขัดแย้งดังต่อไปนี้:

ระดับต่ำ - ทำลายล้าง: นักเรียนเข้าใจผิดว่าสถานการณ์ของความขัดแย้งเป็นความขัดแย้งในการประเมินความขัดแย้งมีอัตราส่วนที่ไม่ถูกต้องของวัตถุประสงค์และอัตนัยมีความขัดแย้งเท็จ ไม่มีความยืดหยุ่นของจิตใจ แรงจูงใจในการขัดแย้งจะมาพร้อมกับความรู้สึกโกรธ ความเกลียดชัง การระคายเคือง ความอาฆาตพยาบาท ที่ควบคุมไม่ได้

แนวโน้มที่จะเข้าสู่ความขัดแย้งนั้นเกิดขึ้นจริงในทุกกรณีของการไม่เห็นด้วยกับคู่ต่อสู้ ในขณะที่ไม่คำนึงถึงลักษณะของความขัดแย้ง พฤติกรรมความขัดแย้งเกิดขึ้นในรูปแบบหนึ่งของการแข่งขัน การขาดทักษะและความสามารถในการจัดการสถานการณ์ความขัดแย้งทำให้ทางเลือกนี้ยั่งยืน

ระดับเฉลี่ยไม่เกิดผล: ในการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ความขัดแย้ง เด็กนักเรียนแสดงความเข้าใจอย่างไม่เพียงพอเกี่ยวกับความขัดแย้ง ความยืดหยุ่นของจิตใจตามสถานการณ์ (การอ้างอิงของฝ่ายตรงข้าม) ช่วยให้คุณเข้าใจสถานการณ์อย่างเป็นกลางว่าเป็นความขัดแย้งหรือไม่ขัดแย้ง และค้นหาแบบจำลองที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพฤติกรรมความขัดแย้งต่อไป ภูมิหลังทางอารมณ์ - ความขุ่นเคือง, ความไม่อดทน, ความรู้สึกของการละเมิดศักดิ์ศรีของตัวเอง; ไม่ชอบความขัดแย้ง หลีกเลี่ยงข้อพิพาท เลือกการปรับตัวจากพฤติกรรมในสถานการณ์ขัดแย้ง

ระดับสูงเป็นผลดี: นักเรียนเข้าใจสาเหตุและเนื้อหาของสถานการณ์ความขัดแย้ง แยกแยะระหว่างสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีสาระสำคัญและไม่ใช่สาระสำคัญ สามารถกำหนดวัตถุประสงค์ของความขัดแย้ง จัดการความขัดแย้งอย่างมีสติ ใช้แนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการเลือกกลยุทธ์ความขัดแย้ง ประสบความสำเร็จในการควบคุมอารมณ์เชิงลบ เต็มใจแสดงอารมณ์การสื่อสารและเห็นแก่ผู้อื่นในความสัมพันธ์กับผู้อื่น เต็มใจปกป้องผลประโยชน์ของเขาในข้อพิพาทที่สร้างสรรค์โดยคำนึงถึงความเป็นอยู่ทางอารมณ์ของคู่ต่อสู้

มีหลายวิธีในการวินิจฉัยระดับความขัดแย้งในตัวบุคคล ลองใช้การทดสอบต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง

เลือกหนึ่งในสามคำตอบที่แนะนำสำหรับคำถามและจดไว้ ตัวอย่างเช่น ในรูปแบบนี้: 1 - A, 2 - B, 3 - C

คุณมีแนวโน้มที่จะครอบงำ นั่นคือ คุณก้มหน้าให้คนอื่นตามใจคุณหรือไม่?

ข - บางครั้ง

คุณรู้จักคนในทีมที่กลัวคุณและอาจเกลียดคุณไหม?

ข - ยากที่จะตอบ

คุณเป็นใครมากกว่ากัน

เอ - ผ่อนคลาย

B - อาจารย์ใหญ่

B - ผู้ประกอบการ.

คุณต้องทำการตัดสินที่สำคัญบ่อยแค่ไหน?

เอ - บ่อยครั้ง

B - เป็นระยะ

ข - ไม่ค่อย

อะไรเป็นอันดับแรกสำหรับคุณถ้าคุณเป็นหัวหน้าทีมใหม่?

A - ฉันจะสร้างแผนงานสำหรับทีมในปีหน้าและโน้มน้าวใจทีมงานให้เห็นถึงความได้เปรียบ

B - ฉันจะศึกษาว่าใครเป็นใครและติดต่อกับผู้นำ

ข - ฉันจะปรึกษาและสื่อสารกับผู้คน

นายคงเริ่มคิดเรื่องสถาบันกษัตริย์ในรัสเซียหรือว่าอยู่รัสเซียดียังไง

ในกรณีที่เกิดความล้มเหลว สถานะใดที่เป็นแบบฉบับของคุณมากที่สุด?

A - การมองโลกในแง่ร้าย

ข. อารมณ์ไม่ดี

ข - ความขุ่นเคืองในตัวเอง

คุณรักษาและปฏิบัติตามประเพณีของทีมของคุณหรือไม่?

ข - ค่อนข้างใช่

คุณพร้อมจะฟังความจริงอันขมขื่นเกี่ยวกับตัวเองที่พูดต่อหน้าคุณหรือยัง?

ข - ค่อนข้างใช่

คุณพยายามกำจัดคุณสมบัติอะไรในตัวเอง?

เอ - ความหงุดหงิด

B - ความแค้น.

B - การไม่ยอมรับคำวิจารณ์ในที่อยู่ของเขา

คุณเป็นใครมากกว่ากัน

เอ - อิสระ

B - ผู้นำ

B - ตัวสร้างไอเดีย

เพื่อนของคุณคิดว่าคุณเป็นคนแบบไหน?

เอ - ฟุ่มเฟือย

B เป็นคนมองโลกในแง่ดี

B - ถาวร.

คุณต่อสู้กับอะไรบ่อยที่สุด?

เอ - ความอยุติธรรม

B - ระบบราชการ.

B - ความเห็นแก่ตัว

อะไรเป็นเรื่องปกติที่สุดสำหรับคุณ?

A - ประเมินความสามารถของตนเองต่ำไป

B - การประเมินความสามารถอย่างเป็นกลาง

B - การประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป

อะไรทำให้คุณขัดแย้งและขัดแย้งกับผู้คน

A - ความคิดริเริ่มที่มากเกินไป

B - วิกฤตที่มากเกินไป

B - ความตรงมากเกินไป

การประมวลผลและการตีความผลลัพธ์ คำนวณจำนวนคะแนนที่คุณได้รับโดยใช้ตารางด้านล่าง ควรสังเกตว่าความขัดแย้งในระดับสูงสุดสันนิษฐานว่ามีลักษณะนิสัยที่กำหนดการสร้างความขัดแย้ง การใช้การสื่อสารที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง และแน่นอน การเพิ่มขึ้นของลักษณะความขัดแย้งของความสัมพันธ์ในทีม

17 คะแนน - ความขัดแย้งในระดับต่ำมาก

20 - ความขัดแย้งในระดับต่ำ

23 - ระดับความขัดแย้งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

26 - ระดับความขัดแย้งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย

29 - ระดับความขัดแย้งโดยเฉลี่ย

32 - ระดับความขัดแย้งสูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย

35 - ระดับความขัดแย้งสูงกว่าค่าเฉลี่ย

38 - ความขัดแย้งในระดับสูง

42 - ความขัดแย้งในระดับสูงมาก

ตระหนักถึงการมีอยู่ของความขัดแย้ง ในทางปฏิบัติ ปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายนัก อาจเป็นเรื่องยากที่จะสารภาพและพูดออกมาดังๆ ว่าคุณอยู่ในสถานการณ์ที่ขัดแย้งกับวัยรุ่นในบางประเด็น บางครั้งความขัดแย้งมีมาเป็นเวลานาน เด็ก ๆ ต้องทนทุกข์ทรมาน แต่ไม่มีการรับรู้อย่างเปิดเผย แต่ละคนเลือกรูปแบบพฤติกรรมของตนเองและมีอิทธิพลต่ออีกฝ่ายหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไม่มีการหารือร่วมกันและทางออกจากสถานการณ์ปัจจุบัน

กำหนดความเป็นไปได้ของการเจรจา หลังจากรับรู้ถึงการมีอยู่ของความขัดแย้งและความเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไข "ในขณะเดินทาง" ขอแนะนำให้เห็นด้วยกับความเป็นไปได้ของการเจรจาและชี้แจงว่าการเจรจาประเภทใด: มีหรือไม่มีผู้ไกล่เกลี่ยและใครสามารถเป็นคนกลางที่เท่าเทียมกัน เหมาะกับทั้งสองฝ่าย

เห็นด้วยกับกระบวนการสนทนา กำหนดว่า "การเจรจา" จะเริ่มต้นที่ไหน เมื่อไร และอย่างไร เช่น กำหนดเงื่อนไข สถานที่ ขั้นตอนการเจรจา เวลาเริ่มกิจกรรมร่วมกัน

ระบุช่วงของปัญหาที่ประกอบขึ้นเป็นหัวข้อของความขัดแย้ง ปัญหาหลักคือการกำหนดในเงื่อนไขที่ใช้ร่วมกันว่าอะไรขัดแย้งและอะไรไม่ ในขั้นตอนนี้ได้มีการพัฒนาแนวทางร่วมกันในการแก้ไขปัญหาระบุตำแหน่งของคู่กรณีจุดที่ไม่เห็นด้วยมากที่สุดและจุดของการบรรจบกันของตำแหน่งที่เป็นไปได้

พัฒนาโซลูชั่น เมื่อทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกันจะเสนอวิธีแก้ปัญหาหลายประการพร้อมการคำนวณต้นทุนสำหรับแต่ละฝ่าย โดยคำนึงถึงผลที่ตามมา

ตัดสินใจตกลงกัน หลังจากพิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้จำนวนหนึ่งแล้ว โดยมีการหารือร่วมกันและหากคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ ขอแนะนำให้ส่งการตัดสินใจทั่วไปนี้เป็นลายลักษณ์อักษร: มติ ข้อตกลงความร่วมมือ ฯลฯ ในกรณีที่ซับซ้อนหรือมีความรับผิดชอบโดยเฉพาะ เอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรจะถูกร่างขึ้นหลังจากแต่ละขั้นตอนของการเจรจา

นำการตัดสินใจไปปฏิบัติ หากกระบวนการร่วมมือยุติลงด้วยการตัดสินใจที่รอบคอบและตกลงร่วมกันแล้วเท่านั้น และจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ดังกล่าวอาจเป็นจุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งอื่นๆ ที่รุนแรงและยาวนานกว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งครั้งแรกไม่ได้หายไป แต่ทวีความรุนแรงขึ้นด้วยคำสัญญาที่ไม่สำเร็จเท่านั้น การเจรจาใหม่จะยากขึ้นมาก

บทสรุป

แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้คำแนะนำเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับวิธีการออกจากสถานการณ์ความขัดแย้ง เนื่องจากความขัดแย้งเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลเสมอ และนี่คือทักษะและไหวพริบในการสอนของครูหรือผู้นำ ใบหน้าพลเรือนของเขา ตลอดจนอำนาจในสายตาของนักเรียนเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่คนเดียวที่ไม่เคารพนักเรียนสามารถขจัดสถานการณ์ความขัดแย้งหรือขจัดความขัดแย้งได้

ความขัดแย้งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยไม้กายสิทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้น ความขัดแย้งยังเป็นเด็ก เนื่องจากมีพื้นฐานมาจากอารมณ์ที่เข้มแข็งมากในเด็กในวัยเด็ก: พวกมันจะขจัดเสียงแห่งเหตุผล อารมณ์เป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์บางประเภท ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะรับมือ ความขัดแย้งสามารถระงับได้ด้วยการพิสูจน์ให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าคู่ต่อสู้ของเขาเป็นคนที่มีค่าควรว่าเขามีคุณธรรมที่ดีว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเขาเช่นคุณว่าเขากังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น บางครั้งจะมีข้อตกลงภายนอกกับข้อตกลงภายในว่า "ไม่มีอะไร มันจะอยู่รอดและไม่เพียง แต่จะอยู่รอด" การเข้าใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นทุกข์ ในกรณีนี้ อาจทำให้ไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจเขา แต่เป็นความรู้สึกพึงพอใจ

หากความขัดแย้งในโรงเรียนกลายเป็นบรรทัดฐาน ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยจิตวิทยา แต่ด้วยระบอบการปกครองและระเบียบวินัย เจ.เอ. นักการศึกษาชาวเช็กผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า "โรงเรียนที่ขาดวินัยก็เหมือนโรงสีที่ไม่มีน้ำ โคเมเนียส ขั้นแรกจำเป็นต้องนำมวลชนที่ทุกข์ทรมานจาก "ประชาธิปไตย" กลับคืนสู่สภาพปกติ เราจะไม่มีวันปลดปล่อยตัวเองจากความขัดแย้งระหว่างนักเรียน ระหว่างนักเรียนและครู หากเราไม่เรียนรู้ที่จะอยู่โดยปราศจากความขัดแย้งในสภาพแวดล้อมของโรงเรียน

ก่อนอื่น คุณต้องเริ่มที่ตัวคุณเอง การป้องกันเป็นไปได้ที่นี่ รวมทั้งจิตวิทยาอย่างหนึ่ง: เราต้องเรียนรู้ที่จะฟังอีกคนหนึ่ง มองตัวเองผ่านสายตาของอีกคนหนึ่ง เพื่อให้สามารถรู้สึกถึงอีกคนหนึ่ง เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยไม่ขัดแย้ง มาร่วมกัน ความเห็นเพื่อให้สามารถโต้แย้งได้อย่างถูกต้อง

บรรณานุกรม

1. Rybakova M.M. ความขัดแย้งและปฏิสัมพันธ์ในกระบวนการสอน / M.M. ไรบาคอฟ. - ม.: ตรัสรู้, 1991.

Charles Lixon "ความขัดแย้ง ... เจ็ดขั้นตอนสู่สันติภาพ - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก: Peter Publishing, 1997 - (ซีรี่ส์ "การสื่อสารอัจฉริยะ")

3. อตายันต์ เอ็น.จี. จิตวิทยาแห่งความขัดแย้งในโรงเรียนมัธยม: เอกสาร. - Vladikavkaz: สำนักพิมพ์ของ North Ossetian สถานะ อัน-ตา im. เคแอล Khetagurova, 2002. - 124 หน้า - บรรณานุกรม: 134 ชื่อเรื่อง.

Zhuravlev V.I. พื้นฐานของความขัดแย้งทางการสอน ม., 1995.

การวินิจฉัยด่วนของการต่อต้านความขัดแย้ง / Fetiskin N.P. , Kozlov V.V. , Manuilov G.M. การวินิจฉัยทางสังคมและจิตวิทยาของการพัฒนาบุคลิกภาพและกลุ่มย่อย - ม. สำนักพิมพ์สถาบันจิตบำบัด. 2545 ค. 211-212.

น.ม. Koryak และ F.M. Borodkin และ "ความสนใจความขัดแย้ง" SPb., 1994.

กวดวิชา

ต้องการความช่วยเหลือในการเรียนรู้หัวข้อหรือไม่?

ผู้เชี่ยวชาญของเราจะแนะนำหรือให้บริการกวดวิชาในหัวข้อที่คุณสนใจ
ส่งใบสมัครระบุหัวข้อทันทีเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการขอรับคำปรึกษา

นอกจากนี้เรายังแนะนำ

กำลังโหลด...

บ้าน > เกษตรกรรม

กวดวิชา

นอกจากนี้เรายังแนะนำ