ประวัติศาสตร์โลก. การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งใหม่กับโลกสมัยใหม่ กระบวนการการผลิตแบบอัตโนมัติ

กลับไปข้างหน้า

ความสนใจ! การแสดงตัวอย่างสไลด์มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และอาจไม่ได้แสดงถึงคุณลักษณะทั้งหมดของการนำเสนอ หากสนใจงานนี้กรุณาดาวน์โหลดฉบับเต็ม

เป้า:แสดงคุณลักษณะของการพัฒนาของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คุณลักษณะเฉพาะ และส่วนประกอบต่างๆ

งานด้านการศึกษา:

• สร้างแนวคิดของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แนะนำคุณสมบัติและส่วนของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
• เพื่อพัฒนาความสามารถในการฟังและเน้นสิ่งสำคัญในเนื้อหาเพื่อจัดทำโครงร่างตามแผนผัง
• แสดงระดับความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษยชาติ

ประเภทบทเรียน:การเรียนรู้เนื้อหาใหม่บทเรียน-บรรยาย

ขั้นตอนบทเรียน:

1. แจกแผนภาพการบรรยายซึ่งประกอบด้วยบล็อกและส่วนประกอบต่างๆ วางไว้บนกระดาษ A4 ให้กับนักเรียน นักเรียนจะสามารถจดบันทึกได้เมื่อบทเรียนดำเนินไป
2. แผนภาพเดียวกันนี้วางอยู่บนกระดาน ในขณะที่การบรรยายดำเนินไป เราจะกลับมาที่การบรรยายอีกครั้ง โดยทำเครื่องหมายถึงสิ่งที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว
3. ในระหว่างบทเรียน นักเรียนจะคุ้นเคยกับคำและคำศัพท์สำคัญ:
   • ภูมิสารสนเทศ;
   • ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์
4. การฟังการบรรยายจะมาพร้อมกับการจดบันทึกโดยละเอียด
5. เมื่อจบบทเรียน นักเรียนสรุปผลโดยย่อ

อุปกรณ์:หนังสือเรียน, “แผนที่การเมืองโลก” ติดผนัง, แผนที่แอตลาส, เอกสารประกอบคำบรรยาย, คอมพิวเตอร์, โปรเจ็กเตอร์, หน้าจอ, การนำเสนอ

ในระหว่างเรียน

I. การจัดชั้นเรียน

ครั้งที่สอง การเรียนรู้เนื้อหาใหม่

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับหัวข้อ(สไลด์ 1)

ตั้งเป้าหมาย.

วันนี้เราต้องค้นหาลักษณะเฉพาะและส่วนประกอบของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แสดงให้เห็นว่าการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นระบบที่ซับซ้อนเพียงระบบเดียว

บทความ (สไลด์ 2)

การแนะนำนักเรียนเกี่ยวกับขั้นตอนของบทเรียนและงานของบทเรียน (สไลด์ 3)

โครงร่างการบรรยาย: (สไลด์ 4)

• การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
• ลักษณะเฉพาะของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
• องค์ประกอบของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
• แนวคิดของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

1. ทำงานร่วมกับแนวคิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สไลด์ที่ 5-6)

ครู:เมื่อศึกษาหัวข้อนี้ เราต้องหันไปใช้กระบวนการพัฒนาระดับโลกที่สำคัญที่สุดกระบวนการหนึ่งของโลกสมัยใหม่ - การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ประวัติศาสตร์ทั้งหมดของการพัฒนาสังคมมนุษย์มีความเชื่อมโยงกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างแยกไม่ออก แต่มีช่วงเวลาที่การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและลึกซึ้งเกิดขึ้นในพลังการผลิตของมนุษยชาติ

นี่เป็นช่วงเวลาแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18-19 ในหลายประเทศทั่วโลก เมื่อแรงงานใช้แรงงานถูกแทนที่ด้วยแรงงานเครื่องจักร ในศตวรรษที่ 19 เครื่องจักรไอน้ำถูกประดิษฐ์ขึ้นในอังกฤษ และการประดิษฐ์สายพานลำเลียงมีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาการผลิตทางอุตสาหกรรม ถูกใช้ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาในการผลิตรถยนต์

เครื่องจักรไอน้ำกลายเป็นเซลล์ "หลัก" ของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษก่อนหน้านั้น และคอมพิวเตอร์ก็กลายเป็นเซลล์ "หลัก" ของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่เริ่มขึ้นในกลางศตวรรษที่ 20 ในทุกประเทศสิ่งนี้ปรากฏออกมาแตกต่างออกไป ดังนั้นเราจึงสามารถพูดได้ว่ายังห่างไกลจากความสมบูรณ์ แต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่กำลังก่อตัวขึ้นในโลกแล้ว อนาคตจะแสดงให้เห็นว่ามันจะเป็นเช่นไร

การสนทนากับชั้นเรียน

คำถาม:

• คำว่า "การปฏิวัติ" มีการตีความในพจนานุกรมต่างๆ ดังนี้ (นักเรียนอ้างคำจำกัดความของ "การปฏิวัติ" จากพจนานุกรมต่างๆ)
• คำจำกัดความทั้งหมดนี้มีอะไรเหมือนกัน?
• คุณจะนิยามการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีว่าอย่างไร?
• อะไรคือความแตกต่างระหว่างแนวคิดเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี?

คำตอบ:

ออกกำลังกาย:วิเคราะห์ทั้งสองสูตร เปรียบเทียบ และค้นหาความแตกต่างที่สำคัญระหว่างปรากฏการณ์ทั้งสองนี้คืออะไร

คำตอบ:

วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมแห่งการค้นพบ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการพัฒนาเทคโนโลยีอันทรงพลัง

2. ลักษณะเฉพาะของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สไลด์ 7)

1) ความเป็นสากล ความครอบคลุม (สไลด์ 8–10)

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อทุกประเทศทั่วโลกและทุกขอบเขตของสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และอวกาศ การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเปลี่ยนโฉมการผลิตทุกแขนง ลักษณะงาน ชีวิต วัฒนธรรม และจิตวิทยาของผู้คน สัญลักษณ์ NTR: จรวด ทีวี คอมพิวเตอร์ ฯลฯ

ความครอบคลุมของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถกำหนดลักษณะทางภูมิศาสตร์ได้เพราะว่า ต้องขอบคุณการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คำว่าดาวเทียม อะตอม และหุ่นยนต์จึงปรากฏในคำศัพท์ของเรา

คำถาม:ตั้งชื่ออุปกรณ์ใหม่ที่ปรากฏในบ้านของคุณในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อุปกรณ์อะไรที่คุณยายหรือคุณแม่ของคุณใช้ไม่เป็น?

2) การเร่งการเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สไลด์ 11)

มันแสดงให้เห็นในเวลาที่ลดลงอย่างมากระหว่างการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และการนำไปใช้ในการผลิต การสึกหรอทางศีลธรรมเกิดขึ้นเร็วกว่าการสึกหรอทางกายภาพ ดังนั้นสำหรับบางประเภท การซ่อมแซมเครื่องจักรจึงไม่มีความหมาย (เช่น คอมพิวเตอร์ กล้องวิดีโอ โทรทัศน์ ฯลฯ)

ทำงานกับหนังสือเรียน

ออกกำลังกาย:

• ค้นหาตัวอย่างในข้อความเสริม (หน้า 103) ที่จะยืนยันคุณลักษณะนี้ของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
• วิเคราะห์ตารางและสรุปผล

3) การเพิ่มข้อกำหนดสำหรับระดับคุณสมบัติของทรัพยากรแรงงาน (สไลด์ 12)

ในทุกด้านของกิจกรรมของมนุษย์ ส่วนแบ่งของแรงงานทางจิตเพิ่มขึ้นและมีสติปัญญาเกิดขึ้น

ในยุคแห่งการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คนงานที่มีการศึกษาระดับสูงเป็นที่ต้องการ และส่วนแบ่งของคนงานที่มีความรู้ก็เพิ่มขึ้น สิ่งนี้ใช้ได้กับคุณเช่นกัน หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย คุณจะหางานที่น่าสนใจและรายได้ดีได้ง่ายขึ้น

4) การปฏิวัติทางเทคนิคทางการทหาร (สไลด์ 13)

เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จุดเริ่มต้นของมันถูกประกาศโดยการระเบิดของระเบิดปรมาณูในฮิโรชิมาและนางาซากิในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 หลังจากนั้นการแข่งขันทางอาวุธก็เริ่มขึ้นระหว่างมหาอำนาจทั้งสองคือสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ตลอดระยะเวลาสงครามเย็น การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมุ่งเน้นไปที่การใช้ความสำเร็จล่าสุดของความคิดทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อจุดประสงค์ทางการทหาร แต่หลังจากการว่าจ้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกและการเปิดตัวดาวเทียมโลกเทียมดวงแรก หลายประเทศกำลังทำทุกอย่างเพื่อกำหนดทิศทางความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างสันติ

3. องค์ประกอบของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สไลด์ 14)

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นระบบที่ซับซ้อนเพียงระบบเดียว ซึ่งส่วนต่างๆ เหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด

1) ความเข้มข้นของวิทยาศาสตร์และความรู้ . (สไลด์ที่ 15–17)

วิทยาศาสตร์ในยุคแห่งการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้กลายมาเป็นองค์ความรู้ที่ซับซ้อน วิทยาศาสตร์เป็นทั้งความรู้ที่ซับซ้อนและเป็นขอบเขตพิเศษของกิจกรรมของมนุษย์ สำหรับหลายประเทศ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ถือเป็นภารกิจที่ 1

มีนักวิทยาศาสตร์ 5 ถึง 6 ล้านคนในโลก ในเวลาเดียวกัน สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักรมีพนักงานด้านวิทยาศาสตร์มากกว่า 80% มากกว่า 80% ของการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ทั้งหมด สิ่งประดิษฐ์ สิทธิบัตร ใบอนุญาต และรางวัลโนเบลเกือบทั้งหมดที่ได้รับรางวัล

• ในประเทศที่พัฒนาแล้ว จำนวนนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรถูกครอบครองโดย: อันดับที่ 1 - สหรัฐอเมริกา อันดับที่ 2 - ญี่ปุ่น ประเทศในยุโรปตะวันตก (กลุ่มนี้รวมถึงรัสเซียด้วย)

ความเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์และการผลิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มีความรู้เข้มข้น(ความเข้มข้นของความรู้วัดจากระดับ (ส่วนแบ่ง) ของต้นทุนการวิจัยและพัฒนาในต้นทุนรวมของการผลิตผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่ง).

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนาในสาขาวิทยาศาสตร์นั้นยิ่งใหญ่มาก:

• ค่าใช้จ่ายด้านวิทยาศาสตร์ในประเทศที่พัฒนาแล้วคิดเป็น 2-3% ของ GDP
• ในประเทศกำลังพัฒนา การใช้จ่ายด้านวิทยาศาสตร์โดยเฉลี่ยไม่เกิน 0.5% ของ GDP

2) อุปกรณ์และเทคโนโลยี (สไลด์ 18)

วิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีรวบรวมความรู้และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์

เป้าหมายของเทคโนโลยีใหม่คือการเพิ่มกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมในการผลิต ผลิตภาพแรงงาน การอนุรักษ์ทรัพยากร และการอนุรักษ์ธรรมชาติ

เยอรมนีและสหรัฐอเมริกามีความโดดเด่นในด้านการผลิตอุปกรณ์ป้องกันสิ่งแวดล้อมและการแนะนำเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมล่าสุด นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่าประเทศเหล่านี้เป็นผู้นำในด้านการผลิตและการใช้เทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว เยอรมนียังเป็นประเทศหลักที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล่านี้สู่ตลาดโลกอีกด้วย

สองวิธีในการพัฒนาเทคโนโลยีภายใต้เงื่อนไขของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่:

1. เส้นทางวิวัฒนาการ
2. เส้นทางปฏิวัติ

(สไลด์ 19)

ก) เส้นทางวิวัฒนาการ (ปรับปรุงเพิ่มเติมด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยี)

(สไลด์ 20)

คำถามสำหรับชั้นเรียน:ยกตัวอย่างเส้นทางวิวัฒนาการของการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรม

คำตอบ:

การปรับปรุงเทคโนโลยีที่ผลิตขึ้นในช่วงเริ่มต้นXXศตวรรษ - รถยนต์ เครื่องบิน เครื่องมือกล เตาหลอมเหล็ก เรือ

ตัวอย่างเช่นในช่วงต้นทศวรรษที่ 50 เรือบรรทุกน้ำมันทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดสามารถกักเก็บน้ำมันได้มากถึง 50,000 ตันในยุค 60 - 100, 200, 300,000 ตันในยุค 70 เรือบรรทุกน้ำมันที่มีความสามารถในการบรรทุกมากกว่า 500,000 ตันปรากฏขึ้น เรือบรรทุกน้ำมันทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดถูกสร้างขึ้นในญี่ปุ่นและฝรั่งเศส

อย่างไรก็ตาม ท่าเรือขนาดใหญ่ดังกล่าวไม่ได้พิสูจน์ตัวเองเสมอไป เนื่องจากท่าเรือบางแห่งไม่สามารถรับและให้บริการการขนส่งขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ ท้ายที่สุดความยาวของเรือถึง 480 ม. ความกว้างประมาณ 63 ม. และเรือบรรทุกน้ำมันดังกล่าวมีร่างได้สูงถึง 30 เมตรพร้อมสินค้า ใบพัดเท่ากับความสูงของบ้านสามชั้น ดาดฟ้าใช้พื้นที่ 2.5 เฮกตาร์)

b) เส้นทางการปฏิวัติ (การเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีพื้นฐานใหม่)

พบการแสดงออกที่ชัดเจนที่สุดในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หากพวกเขาเคยพูดถึง “ยุคสิ่งทอ” “ยุครถยนต์” ตอนนี้เขาพูดถึง “ยุคอิเล็กทรอนิกส์” แล้ว

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน “คลื่นลูกที่สอง” ของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ปรากฏในยุค 70 เรียกว่าการปฏิวัติไมโครอิเล็กทรอนิกส์เพราะว่า การประดิษฐ์ไมโครโปรเซสเซอร์ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์สามารถเทียบได้กับการประดิษฐ์วงล้อ เครื่องจักรไอน้ำ หรือไฟฟ้า (สไลด์ 21–26)

ออกกำลังกาย:วิเคราะห์ข้อความในหนังสือเรียนในหน้า 94 รวมถึงเนื้อหาเพิ่มเติมในหน้า 115

บทสรุป(นักเรียนทำอย่างอิสระ): เส้นทางการปฏิวัติเป็นเส้นทางหลักในการพัฒนาวิศวกรรมและเทคโนโลยีในยุคแห่งการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

3) การผลิต: การพัฒนาหลักหกด้าน(สไลด์ 27–29)

คำถาม: บอกทิศทางหลักในการพัฒนาการผลิต (นักเรียนมีเอกสารประกอบคำบรรยายที่สามารถใช้เพื่อตอบคำถามที่ครูตั้งไว้)

ก) การทำให้เป็นไฟฟ้าหมายถึงความอิ่มตัวของกิจกรรมของมนุษย์ทุกด้านด้วยเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นผลงานของ NTR

ตัวอย่างเช่น:

• ในด้านการศึกษา – การใช้คอมพิวเตอร์ของโรงเรียน การเชื่อมต่อโรงเรียนเข้ากับอินเทอร์เน็ต
• ในทางการแพทย์ - อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การพัฒนาของการผ่าตัดด้วยไมโคร, การถ่ายภาพรังสีคอมพิวเตอร์;
• เพื่อการสื่อสาร – โทรศัพท์มือถือ

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นการผลิตผลงานของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยส่วนใหญ่จะเป็นตัวกำหนดแนวทางการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งหมด

อุตสาหกรรมนี้ได้รับการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี และ NIS ในเอเชีย

b) ระบบอัตโนมัติที่ครอบคลุม (สไลด์ 30–34)

เริ่มต้นในยุค 50 ที่เกี่ยวข้องกับการถือกำเนิดของคอมพิวเตอร์ การพัฒนารอบใหม่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 70 ของศตวรรษที่ 20 และเกี่ยวข้องกับการกำเนิดของไมโครโปรเซสเซอร์และไมโครคอมพิวเตอร์ วิทยาการหุ่นยนต์กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และญี่ปุ่นก็ประสบความสำเร็จเป็นพิเศษในด้านนี้ ในประเทศ มีหุ่นยนต์ 800 ตัวต่อคนงานทุกๆ 10,000 คนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกามี 300 ตัว ขอบเขตของหุ่นยนต์ในยุคของเรานั้นไร้ขีดจำกัด

ค) การปรับโครงสร้างภาคพลังงาน (สไลด์ 35–37)

การปรับโครงสร้างของภาคพลังงานมีความเกี่ยวข้องกับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของประเทศต่างๆ ในโลก โรงไฟฟ้าแบบเดิมที่มีอยู่ไม่สามารถรับมือกับภาระได้อีกต่อไป ดังนั้นความสนใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกจึงอยู่ที่การก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

เมื่อถึงต้นศตวรรษที่ 21 มีหน่วยพลังงานนิวเคลียร์มากกว่า 450 หน่วยที่ใช้งานอยู่ทั่วโลก ประเทศชั้นนำ: สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น, เยอรมัน, รัสเซีย, ยูเครน อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความยากลำบากในการใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หลายประเทศจึงกลัวผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และประเทศที่พัฒนาแล้วของโลกได้หันความสนใจไปที่พลังงานทดแทน

d) การผลิตวัสดุใหม่ (สไลด์ 38, 39)

ข้อกำหนดของการผลิตสมัยใหม่สำหรับโลหะวิทยาที่มีเหล็กและไม่ใช่เหล็ก รวมถึงอุตสาหกรรมเคมีซึ่งผลิตโพลีเมอร์สังเคราะห์นั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่มันทำให้วัสดุคอมโพสิต เซมิคอนดักเตอร์ โลหะ-เซรามิกชนิดใหม่มีชีวิตขึ้นมา อุตสาหกรรมเคมีกำลังควบคุมการผลิตใยแก้วนำแสง

บทบาทพิเศษในการผลิตวัสดุใหม่มอบให้กับ "โลหะแห่งศตวรรษที่ 20": เบริลเลียม ลิเธียม ไทเทเนียม ปัจจุบัน ไทเทเนียมเป็นโลหะอันดับ 1 สำหรับอุตสาหกรรมการบินและอวกาศและการต่อเรือนิวเคลียร์ เนื่องจากเป็นโลหะที่เบาและทนไฟ

จ) เร่งการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ (สไลด์ 40–42)

แนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 70 และกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีชีวภาพใช้ความรู้ดั้งเดิมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการปรับเปลี่ยนสารพันธุกรรมของพืช สัตว์ และจุลินทรีย์เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่

เทคโนโลยีชีวภาพมีส่วนสำคัญในการปรับปรุงการดูแลสุขภาพ เพิ่มการผลิตอาหาร การปลูกป่า เพิ่มผลผลิตทางอุตสาหกรรม การฆ่าเชื้อโรคในน้ำ และการบำบัดของเสียอันตราย

ก็สามารถเห็นผลลัพธ์ของเทคโนโลยีชีวภาพได้แล้ว ซึ่งรวมถึงการสร้างโคลนและผลิตภัณฑ์ดัดแปลง บ่อยครั้งที่เราได้ยินเกี่ยวกับการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ในสาขาพันธุวิศวกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ

โปรแกรมเทคโนโลยีชีวภาพที่ใช้ในการสกัดทรัพยากรแร่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เทคโนโลยีชีวภาพกำลังพัฒนาอย่างประสบความสำเร็จโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี และฝรั่งเศส

f) การทำให้เป็นจักรวาล (สไลด์ 43)

การพัฒนาด้านอวกาศได้นำไปสู่การกำเนิดของอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเข้มข้นอีกประเภทหนึ่ง นั่นคือ อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ การใช้พื้นที่เพื่อจุดประสงค์ทางทหารเท่านั้นสิ้นสุดลงด้วยสงครามเย็น

อวกาศกำลังกลายเป็นสถานที่ที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกร่วมมือกันมากขึ้นเรื่อยๆ มันถูกใช้เพื่อสำรวจโลก ในการประมง ในการเกษตร และเพื่อให้ได้วัสดุใหม่ภายใต้สภาวะสุญญากาศ

มันเป็นภาพอวกาศที่ยืนยันทฤษฎีของ Wegener เรื่องการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก ผลการวิจัยอวกาศมีผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน

4) การควบคุม:บนเส้นทางสู่วัฒนธรรมข้อมูลชั้นสูง (สไลด์ 44)

ขั้นตอนปัจจุบันของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นมีข้อกำหนดใหม่สำหรับการจัดการการผลิตสมัยใหม่ มันซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อและต้องได้รับการฝึกอบรมพิเศษ

ตัวอย่างเช่น: เมื่อดำเนินโครงการอวกาศ เช่น การลงจอดยานโรเวอร์บนดวงจันทร์ การวิจัยและการลงจอดยานพาหนะสืบเชื้อสายบนดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ การลงจอดบนดวงจันทร์ มีบริษัทต่าง ๆ หลายหมื่นแห่งเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่ง จะต้องทำงานในลักษณะที่มีการประสานงาน

มีเพียงผู้ที่เชี่ยวชาญด้านวิทยาการจัดการเท่านั้นที่สามารถจัดการโปรแกรมดังกล่าวได้ ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 20 ศาสตร์การจัดการพิเศษเกิดขึ้น - ไซเบอร์เนติกส์ . ในขณะเดียวกันก็เป็นศาสตร์แห่งข้อมูลข่าวสาร

กระแสข้อมูลมีการเติบโตทุกวัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมการเปลี่ยนจากข้อมูลกระดาษไปเป็นข้อมูลเครื่องจักรจึงมีความสำคัญมาก ความเชี่ยวชาญพิเศษใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน: โปรแกรมเมอร์ ผู้ปฏิบัติงานคอมพิวเตอร์ และอื่น ๆ

เราอยู่ในยุคของ "การระเบิดของข้อมูล" ปัจจุบันมีพื้นที่ข้อมูลระดับโลกอยู่แล้ว อินเทอร์เน็ตมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์

นี่คือ "เว็บ" โทรคมนาคมที่แท้จริงที่ห่อหุ้มโลกทั้งใบ การใช้อินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยความผันผวนในด้านการศึกษา มันไม่ได้เลี่ยงวิทยาศาสตร์ทางภูมิศาสตร์ซึ่งมีทิศทางใหม่เกิดขึ้น - วิทยาการสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ .

4. ภูมิสารสนเทศมีส่วนร่วมในการสร้างระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์

(GIS เป็นวิธีที่ซับซ้อนของวิธีการที่เชื่อมโยงถึงกันในการรับ จัดเก็บ ประมวลผล การเลือกข้อมูล และการออกข้อมูลทางภูมิศาสตร์)

ภูมิสารสนเทศเป็นหนึ่งในทิศทางหลักของการผสมผสานวิทยาศาสตร์ทางภูมิศาสตร์เข้ากับความสำเร็จของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่

สาม. สรุปบทเรียน:

1) การตรวจสอบแผนผัง

2) การยึด:

การมอบหมายในหัวข้อการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี:ค้นหาตำแหน่งต่อไปนี้ในตาราง:

1. การผลิตวัสดุใหม่
2. ระบบอัตโนมัติที่ครอบคลุม
3. การปรับโครงสร้างภาคพลังงาน
4. เร่งพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ
5. การเร่งการเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
6. คอสมิเซชัน
7. การเพิ่มข้อกำหนดคุณสมบัติ
8. การเกิดขึ้นของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในฐานะการปฏิวัติทางเทคนิคทางการทหาร
9. ความคล่องตัวและความครอบคลุม
10. การทำให้เป็นไฟฟ้า

ควรมีเวลาซักถามหลังจบการบรรยาย คำถามที่ได้รับระหว่างการบรรยายจะต้องเขียน รวบรวม จัดระบบ และศึกษา

IV. การบ้าน

• หัวข้อ 4, §1ในหนังสือเรียนของ V.P. Maksakovsky "ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมของโลก"
• เตรียมการนำเสนอในหัวข้อต่อไปนี้:
• “การใช้ความสำเร็จของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภูมิศาสตร์”,
• “การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพในโลกสมัยใหม่” “อวกาศและการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ

ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ปริมาณข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นสองเท่าทุก ๆ 50 ปีในช่วงกลางศตวรรษ - 10 ปีในช่วงทศวรรษที่ 70-80 - 5-7 ปีในศตวรรษที่ 21 - 3-5 ปี

ในปี 1900 มีการตีพิมพ์นิตยสาร 10,000 ฉบับทั่วโลก และเมื่อต้นศตวรรษที่ 21 มีมากกว่า 1 ล้านฉบับ

ในภูมิศาสตร์เพียงอย่างเดียวในปัจจุบัน มีการตีพิมพ์วารสาร 700 ฉบับ และตีพิมพ์หนังสือ 10,000 เล่มต่อปี

โดยรวมแล้วมีการตีพิมพ์หนังสือและโบรชัวร์กว่า 800,000 เล่มทั่วโลกทุกปีโดยมียอดจำหน่ายรวมมากกว่า 16 พันล้านเล่ม

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในสังคมมนุษย์ การผลิต และปฏิสัมพันธ์ของสังคมกับสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกำลังพัฒนาอย่างประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศที่พัฒนาแล้วของโลก ในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ในแอฟริกา โอเชียเนีย บางประเทศในเอเชีย และละตินอเมริกา ยังห่างไกลจากการพัฒนาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศของตน

วรรณกรรม

1. Gladky Yu.N., Lavrov S.B.ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมของโลก – อ.: การศึกษา, 2549.
2. Gladky Yu.N., Lavrov S.B.ภูมิศาสตร์โลก – อ.: การศึกษา, 2544.
3. Maksakovsky V.P.คู่มือระเบียบวิธี "ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมของโลก" - M.: Prosveshchenie, 2549
4. Maksakovsky V.P.ใหม่ในโลก. ตัวเลขและข้อเท็จจริง – อ.: อีสตาร์ด, 1999

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STR) เป็นช่วงเวลาที่มีการก้าวกระโดดเชิงคุณภาพในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงต่อพลังการผลิตของสังคม การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเริ่มขึ้นในกลางศตวรรษที่ 20 และในช่วงทศวรรษที่ 70 ได้เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจหลายครั้ง ความสำเร็จของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์จากเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นตัวเร่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

องค์ประกอบของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เทคโนโลยี การผลิต และการจัดการ

คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดที่แสดงถึงการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีดังต่อไปนี้

1. การพัฒนาวิทยาศาสตร์อย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ การเปลี่ยนแปลงไปสู่กำลังผลิตทางตรง ตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างยิ่งในยุคการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคือต้นทุนของการวิจัยและพัฒนา (งานวิจัยและพัฒนา) ส่วนแบ่งจำนวนมากอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว: , . ในขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายของสหรัฐฯ ก็สูงกว่าค่าใช้จ่ายของประเทศอื่นๆ อย่างมาก ในรัสเซีย ต้นทุนด้านการวิจัยและพัฒนาต่ำกว่าอย่างมากไม่เพียงแต่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในประเทศอื่นๆ ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นผลมาจากระดับทางเทคนิคในการผลิตที่ต่ำ เห็นได้ชัดว่าการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีระบบการศึกษาสมัยใหม่ ความสำเร็จที่สำคัญของญี่ปุ่นในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เน้นความรู้และในการดำเนินการตามความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบการศึกษาซึ่งเป็นหนึ่งในระบบที่ดีที่สุดในโลก
2. การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงในฐานทางเทคนิคของการผลิต เรากำลังพูดถึงการใช้คอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์อย่างแพร่หลาย การแนะนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการเพิ่มความเข้มข้นของวิธีการและเทคโนโลยีเก่า ๆ การค้นพบและการใช้แหล่งและประเภทพลังงานใหม่ ๆ และการเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานผ่านพนักงานที่มีคุณสมบัติสูง
3. ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อโครงสร้างภาคการผลิตวัสดุในขณะที่ส่วนแบ่งของอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากการเติบโตของผลิตภาพแรงงานในภาคอื่น ๆ ของเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับมัน เกษตรกรรมในยุคของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้รับลักษณะทางอุตสาหกรรม ในอุตสาหกรรมเองส่วนแบ่งของอุตสาหกรรมการผลิตเพิ่มขึ้นซึ่งคิดเป็น 9/10 ของต้นทุนของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ในบรรดาอุตสาหกรรม เคมี พลังงานไฟฟ้า ซึ่งขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหลักและวิศวกรรมเครื่องกลเริ่มที่จะ เด่น. สถานะปัจจุบันของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมักจะตัดสินโดยส่วนแบ่งของผลิตภัณฑ์ที่เน้นวิทยาศาสตร์ในปริมาณการผลิตทั้งหมด NTR ได้ทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับ. ส่วนแบ่งการขนส่งทางรถไฟในปริมาณการขนส่งทั้งหมดลดลงเนื่องจากบทบาทของการขนส่งลดลง การค้าระหว่างประเทศส่วนใหญ่ให้บริการโดยการขนส่งทางทะเล แต่แทบไม่เกี่ยวข้องกับการขนส่งผู้โดยสาร ซึ่งเป็นการขนส่งทางอากาศแบบ "จ้างภายนอก"
4. ในยุคแห่งการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปัญหาในการจัดการการผลิตสมัยใหม่มีความสำคัญเป็นพิเศษ การจัดการการผลิตมีความซับซ้อนอย่างมาก และเกี่ยวข้องกับการประสานงานการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการผลิต การจัดการในยุคแห่งการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจำเป็นต้องมีการฝึกอบรมพิเศษ มีการนำเสนออย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเหล่านี้ - ผู้จัดการฝ่ายผลิต - เรียกว่าผู้จัดการ การเตรียมการของพวกเขาได้เริ่มขึ้นในรัสเซียในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

1. ปัจจัยด้านทรัพยากร.

กำหนดสถานที่ผลิตตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 แหล่งทรัพยากรหลายแห่งกลายเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น เทือกเขาอูราลเป็นฐานแรกของการพัฒนาอุตสาหกรรมในรัสเซีย ในยุคของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี "การเชื่อมโยง" ของอุตสาหกรรมกับฐานทรัพยากรแร่ดังกล่าวปรากฏน้อยมาก แต่สำหรับที่ตั้งของอุตสาหกรรมสกัด ปัจจัยด้านทรัพยากรยังคงเป็นปัจจัยหลัก เนื่องจากแอ่งและแหล่งสะสมเก่าจำนวนมากหมดลงอย่างรุนแรง ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่จึงมีการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกไปยังพื้นที่ที่มีการพัฒนาใหม่ ซึ่งมักจะมีสภาวะที่รุนแรง

ปัจจัยด้านทรัพยากรยังคงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมและมีอิทธิพลต่อสถานที่ผลิต

2. ปัจจัยที่เน้นความรู้.

ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในตำแหน่งการผลิตในยุคแห่งการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคือการดึงดูดศูนย์กลางวิทยาศาสตร์และการศึกษา ประการแรก เหตุการณ์นี้เป็นตัวกำหนดอุตสาหกรรมที่เน้นความรู้ และมุ่งไปที่ศูนย์วิทยาศาสตร์และสถาบันการศึกษา บางประเทศมีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่มีความเข้มข้นสูงในอาณาเขต ในขณะที่ประเทศอื่นๆ กลับกระจัดกระจายไป ในยุคแห่งการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเทศตะวันตกหลายประเทศมีลักษณะเฉพาะด้วยการบูรณาการวิทยาศาสตร์และการผลิต เป็นผลให้เกิดความซับซ้อนหรือเทคโนโลยีเชิงอุตสาหกรรมทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นในญี่ปุ่นในยุค 80 พวกเขาจึงเริ่มสร้างเทคโนโลยีโดยเลือกสาขาที่เน้นวิทยาศาสตร์สำหรับพวกเขา: เทคโนโลยีการบินและอวกาศ หุ่นยนต์ การผลิตคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีที่คล้ายกันสามารถพบได้ในสหรัฐอเมริกา

3. ปัจจัยแรงโน้มถ่วงต่อแรงงานฝีมือ.

ปัจจัยนี้มีอิทธิพลและยังคงมีอิทธิพลต่อสถานที่ผลิตมาโดยตลอด ปัจจุบันนี้ ทุกประเทศต้องการไม่เพียงแต่บุคลากรที่มีคุณสมบัติสูงที่สามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้

4. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม.

มันเคยมีมาก่อน แต่ในระหว่างการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มันได้รับความสำคัญเป็นพิเศษ โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในระหว่างการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทางเศรษฐกิจมีผลบังคับใช้ กฎหมายกำหนดบทลงโทษร้ายแรงต่อบุคคลที่ละเลยปัจจัยนี้

ในยุคแห่งการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปัจจัยต่างๆ เช่น ผู้บริโภค พลังงาน และดินแดน ไม่ได้สูญเสียความสำคัญไป แต่ละรัฐยังคงมีบทบาทสำคัญต่อไป

นับเป็นปีที่ห้าแล้วที่ ANO NTR ร่วมมือกับ MegaFon ได้ดำเนินโครงการระหว่างภูมิภาค "Living for Real" ซึ่งมีทีมเด็กกำพร้าอาวุโสและผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเด็กกำพร้าจาก 22 ภูมิภาคของรัสเซียเข้าร่วมและยังคงกระตือรือร้นต่อไป ในปีนี้โครงการจะเริ่มในอีก 5 ภูมิภาค

โปรแกรมนี้ดำเนินการโดย SUEK – REGIONS Foundation และ New Development Technologies ANO ตั้งแต่ปี 2016 มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาวัฒนธรรมทางเทคโนโลยี โครงการและการคิดของผู้ประกอบการ คุณภาพความเป็นผู้นำ และทักษะการทำงานเป็นทีมในคนหนุ่มสาว ปลูกฝังความรู้สึกรับผิดชอบต่อการตัดสินใจด้วยตนเองอย่างมืออาชีพและการเลือกเส้นทางชีวิต

เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ ANO NTR ด้วยการสนับสนุนของบริษัทเชฟรอน ได้เป็นผู้นำโครงการ "การเป็นผู้ประกอบการทางสังคม - เส้นทางสู่การบูรณาการที่ประสบความสำเร็จของคนพิการในดินแดนครัสโนดาร์" เราได้พูดคุยซ้ำแล้วซ้ำอีกเกี่ยวกับงานที่ประสบความสำเร็จของ School of Social Entrepreneurship ความสำเร็จของผู้สำเร็จการศึกษา และทีมงานที่เป็นมิตรและมีประสิทธิภาพในหน้าเว็บไซต์ของเรา

โครงการนี้เป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการปี 2018 และมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการวางแผนเชิงกลยุทธ์และการดำเนินการตามแผนพัฒนาอาณาเขต ผ่านการประสานความร่วมมือระหว่างโครงการริเริ่มสาธารณะ รัฐบาล และทรัพยากรทางธุรกิจ

การฝึกอบรมครั้งต่อไปของโปรแกรมประจำปี "School of Social Entrepreneurship" ซึ่งดำเนินการโดยมูลนิธิ SUEK-REGIONS และ ANO "เทคโนโลยีการพัฒนาใหม่" จัดขึ้นที่ Krasnoyarsk

ในระหว่างการสัมมนา “โรงเรียนนำหน้าการเปลี่ยนแปลง: ระบบงานออกแบบและวิจัยของโรงเรียนและโรงเรียนอนุบาล” ตัวแทนสถาบันการศึกษาก่อนวัยเรียนและการศึกษาทั่วไปจำนวน 30 คนในดินแดนที่บริษัท Siberian Coal Energy Company (SUEK) รายงานผลงาน ในการใช้ความรู้ที่ได้รับแล้วในทางปฏิบัติและยังคงเชี่ยวชาญวิธีการและเทคนิคการสอนสมัยใหม่ต่อไป

พนักงานภาครัฐ 40 คนและนักธุรกิจผู้มุ่งมั่นจากการตั้งถิ่นฐานของดินแดนครัสโนยาสค์ ภูมิภาคเคเมโรโว และคาคัสเซีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่วิสาหกิจของบริษัท Siberian Coal Energy Company JSC ดำเนินกิจการ ได้เข้าร่วมในช่วงการให้ความรู้ครั้งแรก

การสัมมนา “โรงเรียนนำหน้าการเปลี่ยนแปลง: วิสัยทัศน์ใหม่ของสถานที่ของสถาบันการศึกษาในชีวิตของสังคม” จัดขึ้นที่อาบาคาน โดยมีหัวหน้าและพนักงานของสถาบันการศึกษาในดินแดนที่บริษัทพลังงานถ่านหินไซบีเรีย (SUEK) ดำเนินการอยู่ เชิญ

ปัจจุบันนี้เมื่อโลกสมัยใหม่เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์แล้ว นักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศก็คิดอย่างจริงจังว่าจะรู้จักโลกนี้อย่างไร ในความคิดของฉัน ประเด็นหลักที่นี่ประกอบด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 และผลกระทบที่มีต่อโลกสมัยใหม่ เป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจว่าเหตุใดโลกสมัยใหม่จึงเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ตลอดจนปัญหาและแนวโน้มการพัฒนา

ปัจจุบันนี้เมื่อโลกสมัยใหม่เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์แล้ว นักวิทยาศาสตร์ในหลายประเทศก็กำลังคิดอย่างจริงจังว่าจะเข้าใจโลกนี้อย่างไร ในความคิดของฉัน ประเด็นสำคัญที่นี่คือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 และผลกระทบที่มีต่อโลกสมัยใหม่ นี่เป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจว่าเหตุใดโลกสมัยใหม่จึงเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ตลอดจนปัญหาที่เผชิญและแนวโน้มการพัฒนา

ฉัน.การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งใหม่แห่งศตวรรษที่ 20

ศตวรรษที่ XX - นี่คือศตวรรษที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้รับการพัฒนาแบบปฏิวัติซึ่งเริ่มต้นด้วยฟิสิกส์และขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ใหม่ที่ได้รับระหว่างการปฏิวัติ และเมื่อถึงศตวรรษที่ยี่สิบ ที่เรียกว่า “ยุคแห่งฟิสิกส์” นี่เป็นเรื่องจริง ในศตวรรษที่ 19 และก่อนหน้านี้ ความรู้เกี่ยวกับโลกวัตถุส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่ระดับของสสาร ซึ่งเป็นตัวแทนได้มากที่สุดในเรื่องนี้ก็คือกลศาสตร์ของนิวตัน (แน่นอนว่า ฟิสิกส์ของกาลิเลโอมีอยู่ก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ) ต้องขอบคุณกฎแรงโน้มถ่วงสากลตลอดจนกฎกลศาสตร์อันยิ่งใหญ่สามข้อ เธอให้คำอธิบายที่น่าพอใจเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ของวัตถุที่มีลักษณะเป็นกลางตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายใต้อิทธิพลของมัน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 นักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ข้อสรุปว่าการวิจัยในสาขาฟิสิกส์ถึงขีดจำกัดแล้ว และไม่มีสิ่งใดสามารถค้นพบได้ในสาขาวิทยาศาสตร์นี้ อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ มีการค้นพบว่าวัตถุวัตถุบางชนิดสามารถปล่อยรังสีที่ไม่เคยมีมาก่อน และมวลของพวกมันก็อาจลดลง การตระหนักว่าความรู้ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับโลกวัตถุนั้นไม่น่าเชื่อถือ

ความขัดแย้งเกิดขึ้นกับคำสอนของฟิสิกส์คลาสสิก ตามแนวคิดหลัง โลกประกอบด้วยอะตอมที่แบ่งแยกไม่ได้ อะตอมมีมวล และสสารไม่สามารถทำลายได้ ภายใต้ความเข้าใจทางทฤษฎีนี้ การค้นพบกัมมันตภาพรังสีหมายความว่าอะตอมสามารถถูกทำลายได้ และด้วยเหตุนี้สสารก็สามารถถูกทำลายได้เช่นกัน ปัญหานี้กระตุ้นให้เกิดการศึกษาโครงสร้างอะตอมของนักฟิสิกส์หลายคน ในยุค 30 ศตวรรษที่ยี่สิบค้นพบ "หน่วยการสร้างอวกาศ" ใหม่ - อนุภาคมูลฐาน ค้นพบโครงสร้างของอะตอมพบว่าประกอบด้วยนิวเคลียสและอิเล็กตรอนที่หมุนด้วยความเร็วสูงรอบ ๆ ตัวมัน โดยมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ในทางกลับกัน นิวเคลียสของอะตอมประกอบด้วยโปรตอนที่มีไฟฟ้าเป็นบวก และนิวตรอนที่ไม่มี; เป็นผลให้ทฤษฎีฟิสิกส์ใหม่ล่าสุดปรากฏขึ้น - ฟิสิกส์ควอนตัม

นี่คือการปฏิวัติในประวัติศาสตร์ของการพัฒนาฟิสิกส์ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจโลกวัตถุลึกซึ้งยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้ การวิจัยดำเนินการในระดับสสาร ต่อมา - ในระดับอะตอม บัดนี้ หลังจากการค้นพบโครงสร้างของอะตอมและการสร้างฟิสิกส์ควอนตัม พวกเขาก็ย้ายไปยังระดับอนุภาคมูลฐานที่ลึกกว่า อะตอม. สิ่งนี้ไม่เพียงนำไปสู่แนวคิดที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับโลกเช่นความรู้เกี่ยวกับเอกภาพทางวัตถุของโลกกำเนิดและวิวัฒนาการของจักรวาล ที่สำคัญกว่านั้น การพัฒนาทฤษฎีฟิสิกส์แบบปฏิวัตินี้เพิ่มความสามารถของมนุษยชาติในการใช้และเปลี่ยนแปลงโลกวัตถุอย่างมาก (รวมถึงความสามารถในการเปลี่ยนอะตอมเพื่อสร้างอะตอมใหม่) และนำไปสู่การปฏิวัติในสาขาเทคโนโลยี ปรากฏชัดด้วยผลอันสำคัญ ๓ ประการ

อันดับแรก- การสร้างระเบิดปรมาณู

ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2488 สหรัฐอเมริกาได้สร้างระเบิดปรมาณูและทิ้งลงที่ฮิโรชิมาและนางาซากิในวันที่ 7 และ 9 สิงหาคมของปีเดียวกัน พลังทำลายล้างมหาศาลของระเบิดปรมาณูทำให้โลกตกใจและมีส่วนอย่างมากในการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง การสร้างระเบิดปรมาณูที่มีพลังมหาศาลนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับความรู้ใหม่ที่นักวิทยาศาสตร์มีเกี่ยวกับโครงสร้างของสสาร ซึ่งพวกเขาได้รับระหว่างการปฏิวัติทางฟิสิกส์ หนึ่งในตัวแทนหลักของฟิสิกส์ควอนตัมซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการสร้างระเบิดปรมาณู A. Einstein รู้สึกหวาดกลัวกับพลังทำลายล้างอันมหาศาลของมัน ก. ไอน์สไตน์เป็นนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ ตลอดจนเป็นนักคิดและนักปรัชญาที่โดดเด่น เขาตระหนักว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มนุษยชาติเริ่มครอบครองพลังที่สามารถทำลายล้างโลกทั้งใบได้ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความสามารถของมนุษยชาติในการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ที่สอง– การประดิษฐ์และการใช้คอมพิวเตอร์

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อสร้างอาวุธใหม่ นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันจึงเริ่มศึกษาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ใหม่ล่าสุด นักคณิตศาสตร์ฟอน นอยมันน์ในปี พ.ศ. 2489 ได้สร้างการออกแบบคอมพิวเตอร์ซึ่งปรากฏในปี พ.ศ. 2492

การประดิษฐ์และการใช้คอมพิวเตอร์นำไปสู่ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เริ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 และดำเนินต่อไปจนถึงทุกวันนี้ ความสำเร็จในการสร้างคอมพิวเตอร์ยังเป็นผลมาจากการปฏิวัติในสาขาฟิสิกส์อีกด้วย เป็นเพราะฟิสิกส์สามารถเข้าถึงระดับที่เล็กกว่าอะตอมโดยมีความรู้เกี่ยวกับสสารว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ถูกสร้างขึ้น และมีโอกาสที่จะใช้ความสำเร็จในการรวบรวม ประมวลผล และเผยแพร่ข้อมูล เทคโนโลยีใหม่ทำให้สามารถแทนที่ความสามารถของสมองมนุษย์ได้บางส่วนและเพิ่มความสามารถของมนุษย์อย่างมากในด้านความเร็วในการนับ ด้วยเหตุนี้ มนุษยชาติจึงได้รับเครื่องมือสำคัญสำหรับการศึกษาและเชี่ยวชาญประเด็นทางทฤษฎีและเทคนิคที่ซับซ้อน ขยายพื้นที่สำหรับการวิจัย และเพิ่มความสามารถของมนุษยชาติในการทำความเข้าใจและเปลี่ยนแปลงโลกอย่างมีนัยสำคัญ

ที่สาม– การตรวจหาโครงสร้างของดีเอ็นเอเกลียวคู่

ในการศึกษาเรื่องพันธุกรรม ได้มีการค้นพบมานานแล้วว่าชีวิตมนุษย์ถูกกำหนดโดยยีนทางพันธุกรรม ซึ่งมีกรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิกอยู่ในโครโมโซมของนิวเคลียสของเซลล์ ซึ่งก็คือ DNA อย่างไรก็ตาม โครงสร้างของโมเลกุลเกลียวคู่ DNA ถูกค้นพบในปี 1953 โดย D. Watson และ F. Crick เท่านั้น ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการค้นพบครั้งนี้คือการปฏิวัติทางฟิสิกส์ด้วย การพัฒนาทางฟิสิกส์ที่ปฏิวัติวงการนำไปสู่การเกิดขึ้นของกล้องจุลทรรศน์และอุปกรณ์ทดลองประเภทต่าง ๆ ต้องขอบคุณที่นักวิทยาศาสตร์ได้รับเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการวิจัยในสาขาชีววิทยาและเคมีซึ่งก่อนหน้านี้ยากสำหรับพวกเขาที่จะจินตนาการ การค้นพบโครงสร้างของเกลียวคู่ของ DNA เป็นผลมาจากการใช้ชุดเครื่องมือนี้อย่างแม่นยำ การค้นพบนี้ทำให้เป็นไปได้ที่จะทำการวิจัยในสาขาชีววิทยาในระดับโมเลกุลบนพื้นฐานนี้ปรากฏว่าไบโอนิคและเทคโนโลยีชีวภาพ - พันธุวิศวกรรม - ซึ่งหมายความว่ามนุษยชาติได้เชี่ยวชาญความลับของชีวิต และสามารถเปลี่ยนสายพันธุ์ทางชีววิทยาได้อย่างมีสติตามต้องการ ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตในห้องแล็บที่ไม่เคยมีอยู่ในธรรมชาติมาก่อนได้ ชีวิตคือสิ่งที่ซับซ้อนที่สุดในโลก ด้วยการค้นพบโครงสร้างของเกลียวคู่ของ DNA ความสามารถของผู้คนในการทำความเข้าใจและเปลี่ยนแปลงโลกจึงเพิ่มขึ้นจนไม่อาจจินตนาการได้ เนื่องจากมนุษย์มีโอกาสที่จะสร้างชีวิตใหม่ ในแง่หนึ่งอาจกล่าวได้ว่าเขากลายเป็น "จักรพรรดิ"

ในศตวรรษที่ 20 มีการประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ทางเทคนิคที่สำคัญอื่น ๆ จำนวนมากเช่นการเกิดขึ้นของวัสดุใหม่และเทคโนโลยีอวกาศ ฯลฯ ทั้งหมดนี้มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางฟิสิกส์ที่ปฏิวัติวงการไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เป็นไปได้ที่จะเอาชนะความสามารถอันจำกัดของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและเปิดพื้นที่สำหรับเขาสำหรับสิ่งใหม่ การพัฒนา

ครั้งที่สอง. อิทธิพลของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งใหม่ในศตวรรษที่ 20

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งใหม่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาของประชาคมโลกในศตวรรษที่ยี่สิบ อิทธิพลนี้สามารถเข้าถึงได้จากสามมุม

ก่อนอื่นเลยอิทธิพลโดยตรงที่สุดของมันคือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลายเป็นพลังการผลิตประการแรก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การผลิตกลายเป็นสาขาการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศ ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีชีวภาพ ตลอดจนวัสดุใหม่กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการผลิต ผลลัพธ์ที่พวกเขาได้รับนั้นเกินกว่าประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของผู้คน ซึ่งเป็นประสบการณ์ของคนงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงในการผลิต หากไม่มีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์โดยนักวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการ ความก้าวหน้าใหม่ๆ ในด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีก็เป็นไปไม่ได้ การผลิตวัสดุในปัจจุบันกำลังกลายเป็นขอบเขตของการประยุกต์ใช้ผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในทางปฏิบัติมากขึ้น ซึ่งกำลังกลายเป็นปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตวัสดุ คนงานและชาวนา - คนงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิต - มีบทบาทต่อพ่วงและไม่ใช่บทบาทหลักอยู่แล้ว

ไกลออกไป.ผลลัพธ์โดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงข้างต้นคือความจริงที่ว่าเกณฑ์ในการกำหนดคุณภาพของระบบสังคมกำลังเปลี่ยนแปลงซึ่งทำให้เกิดการปฏิรูปสังคมอย่างลึกซึ้งในประเทศสังคมนิยมหลายประเทศ ก่อนการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งใหม่จะเกิดขึ้น เมื่อประเมินระบบสังคม มักจะขึ้นอยู่กับว่าระบบดังกล่าวสามารถกระตุ้นกิจกรรมของคนงานและชาวนาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิตวัสดุในระดับที่มีนัยสำคัญหรือไม่ ในเวลานั้น การผลิตมีอย่างกว้างขวาง ส่วนแบ่งของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังต่ำ ดังนั้นขนาดของศักยภาพการผลิตจึงขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของแรงงานมีชีวิตที่ลงทุน (กิจกรรมการผลิตและจิตสำนึกของคนงานและชาวนา) เช่นเดียวกับแรงงาน "ที่ตายแล้ว" ( ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยคนงานและชาวนามาก่อน) เหตุผลที่ขบวนการสตาคานอฟในช่วงยุคอุตสาหกรรมในสหภาพโซเวียตสามารถมีอิทธิพลกระตุ้นอย่างมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศก็คือระบบสังคมที่สร้างขึ้นหลังการปฏิวัติเดือนตุลาคมทำให้มวลชนแรงงานยอมรับตนเองว่าเป็นเจ้านายของ รัฐอันเป็นผลมาจากความกระตือรือร้นในการทำงานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเกิดขึ้น การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งใหม่นำไปสู่การประยุกต์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการผลิต ดังนั้นเกณฑ์พื้นฐานในการประเมินคุณภาพของระบบสังคมคือความสามารถในการกระตุ้นการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในวงกว้างรวมทั้งเปลี่ยนผลลัพธ์ให้เป็นกำลังการผลิตโดยตรงด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้นำมาซึ่งผลกระทบทางสังคมอย่างลึกซึ้งหลายประการ

ในด้านหนึ่ง มันได้อัดฉีดพลังใหม่ๆ เข้าสู่ระบบทุนนิยม ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เห็นได้ชัดเจนว่าระบบใดเหนือกว่า: ตะวันตก ทุนนิยม หรือโซเวียต สังคมนิยม กำเนิดในช่วงปลายยุค 20 และต้นยุค 30 วิกฤตเศรษฐกิจในโลกตะวันตกและการพัฒนาอย่างรวดเร็วอย่างน่าประหลาดใจของสังคมและเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตในขณะนั้น บ่งบอกได้ดีที่สุดว่าระบบใดดีกว่ากัน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เปลี่ยนไปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะในทศวรรษที่ 70 ศตวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากมีการแข่งขันในโลกทุนนิยม เพื่อที่จะบรรลุความได้เปรียบในตลาด นายทุนทุกคนจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะปรับปรุงอุปกรณ์การผลิต เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกระตุ้นการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควรเพิ่มว่าการเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตโดยเอกชนยังอำนวยความสะดวกในการได้มาซึ่งอุปกรณ์การผลิตใหม่โดยนายทุนด้วยเหตุนี้เขาไม่ต้องการการอนุมัติจากบุคคลอื่นเขาจึงเปลี่ยนมันให้กลายเป็นกำลังการผลิตโดยตรงในองค์กรของเขาทันที . ดังนั้นโลกทุนนิยมจึงเริ่มสัมผัสกับ "เยาวชนคนที่สอง" - กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มาตรฐานการครองชีพของประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ กรอบการทำงานที่แคบของรัฐระดับชาติก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของกำลังการผลิตที่ไปถึงระดับการพัฒนาในระดับสูงได้อีกต่อไป บริษัทข้ามชาติเริ่มปรากฏให้เห็นเหมือนหน่อไม้ในฤดูใบไม้ผลิหลังฝนตก และตลาดโลกเดียวและระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่มีคุณลักษณะของการบูรณาการก็ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่าง

ในทางกลับกัน ระบบสังคมนิยมในสหภาพโซเวียตซึ่งบรรลุผลอันยอดเยี่ยม ได้สูญเสียความเหนือกว่าในอดีตไป สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะสร้างขึ้นในยุค 30 ศตวรรษที่ผ่านมา ระบบมีลักษณะต่างๆ เช่น การรวมตัวกันของพลังงานสูง การเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตโดยสาธารณะ เศรษฐกิจแบบวางแผน และการกระจายตามแรงงาน ภายใต้ระบบที่มีอยู่ไม่มีประชาธิปไตยทางการเมืองไม่มีเสรีภาพในการคิดเพียงพอรวมทั้งโอกาสในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนร่วมงานชาวต่างชาติจึงเป็นเรื่องยากสำหรับกลุ่มปัญญาชนที่จะทำการวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ ธรรมชาติที่สร้างสรรค์ ไม่มีการแข่งขันทางการตลาดระหว่างองค์กรต่างๆ งานของพวกเขาคือเพียงปฏิบัติตามแผนที่ออกไว้ข้างต้นเท่านั้น พวกเขาไม่มีความต้องการและอำนาจในการพัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีในเชิงรุก เนื่องจากองค์กรต่างๆ ไม่ได้เป็นอิสระในการตัดสินใจ แม้ว่าจะมีอุปกรณ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ปรากฏขึ้น แอปพลิเคชันของพวกเขาจะต้องผ่านการอนุมัติหลายขั้นตอนจากหน่วยงานราชการ ดังนั้นจึงไม่สามารถกลายเป็นกำลังผลิตโดยตรงได้ทันเวลา ทั้งหมดนี้นำไปสู่ความล่าช้าที่เกิดขึ้นของเศรษฐกิจโซเวียตจากตะวันตกหลังจากทศวรรษที่ 70 ศตวรรษที่ผ่านมาเริ่มกว้างใหญ่ สังคมโซเวียตเข้าสู่ยุคแห่งความซบเซาและค่อยๆ พบว่าตนเองเสียเปรียบในการแข่งขันกับตะวันตก รูปแบบการรวมศูนย์อย่างสูงของลัทธิสังคมนิยมสตาลินกำลังตกอยู่ในภาวะคับแค้นใจ การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งใหม่บังคับให้ประเทศสังคมนิยมทั้งหมดปฏิบัติตามแนวทางการปฏิรูป เหตุผลอันลึกซึ้งที่แท้จริงสำหรับการปฏิรูปในสหภาพโซเวียตและจีนนั้นอยู่ตรงนี้แหละ การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งใหม่แสดงให้เห็นว่าระบบสังคมนิยมที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ได้มาถึงจุดสิ้นสุดทางประวัติศาสตร์แล้ว มาร์กซ์กล่าวว่า “ไอน้ำ ไฟฟ้า และปัจจัยในตัวเองเป็นการปฏิวัติที่อันตรายอย่างหาที่เปรียบมิได้ แม้แต่พลเมืองบาร์เบส ราสเกล และบลังกี”

มาร์กซ์พูดถูก อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้ เป้าหมายของการปฏิวัติสังคมซึ่งกำหนดโดยความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ลัทธิทุนนิยม แต่เป็นลัทธิสังคมนิยมของแบบจำลองสตาลิน

เส้นทางการปฏิรูปในประเทศต่างๆ เช่น รัสเซียและจีน มีความแตกต่างกันแต่ทิศทางหลักจะเหมือนกัน มันอยู่ในความจริงที่ว่าการปฏิรูปที่ดำเนินการในทั้งสองประเทศมีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เป็นกำลังการผลิตแรกสร้างเงื่อนไขสำหรับการพัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเศรษฐกิจที่วางแผนไว้ให้เป็น เศรษฐกิจแบบตลาด และเปลี่ยนจากอำนาจที่มีการรวมศูนย์อย่างสูงไปสู่ระบอบประชาธิปไตยทางการเมือง สิ่งนี้เห็นได้ชัดเจนในการปฏิรูปที่ดำเนินการในประเทศสังคมนิยมทั้งหมด แต่รัสเซียเริ่มการปฏิรูปด้วยการสร้างประชาธิปไตยทางการเมือง และจีนได้ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในการสร้างเศรษฐกิจตลาดและการพัฒนาการผลิต จีนไม่เพียงแต่สร้างระบบเศรษฐกิจแบบตลาดในประเทศของตนเท่านั้น แต่ยังกำลังเข้าสู่ตลาดโลกขนาดใหญ่อีกด้วย ย้อนกลับไปในยุค 80 ศตวรรษที่ผ่านมา โดยใช้ประสบการณ์ของฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ และหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเลือกเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างเศรษฐกิจตามรูปแบบ "การยืมสองสิ่งจากภายนอก" (ทุน เทคโนโลยี และ จากต่างประเทศ) จึงกลายเป็นจุดแข็งที่สุดในการมุ่งสู่เครือข่ายขนาดใหญ่ของตลาดโลก

ในที่สุด,ด้านที่สามของอิทธิพลของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ที่มีต่อโลกสมัยใหม่คือการเกิดขึ้นของกระแสโลกาภิวัตน์ ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 ได้ทำให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษยชาติลึกซึ้งยิ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเพิ่มความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก การเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของแหล่งพลังงานใหม่และวัสดุใหม่, ระบบอัตโนมัติระดับสูงของเครือข่ายข้อมูลทั่วโลก, การอัปเดตวิธีการขนส่งอย่างต่อเนื่อง, การลงจอดบนดวงจันทร์ ฯลฯ - ทั้งหมดนี้เพิ่มความสามารถของมนุษย์, โลกมีขนาดเล็กลง แม้แต่แนวคิดเรื่อง "หมู่บ้านโลก" ก็ปรากฏให้เห็น กล่าวโดยสรุป การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แสดงถึงความก้าวหน้าในการปฏิวัติในพลังการผลิตของมนุษยชาติ ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น รัฐทุนนิยมที่ยึดหลักเศรษฐกิจตลาดได้สร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยสำหรับการประยุกต์ใช้นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และความสำเร็จใหม่ๆ ในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พวกเขาใช้โอกาสทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับจากการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งใหม่ ซึ่งส่งผลให้กำลังการผลิตทางวัตถุเริ่มพัฒนาอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะหาพื้นที่สำหรับกำลังการผลิตที่พัฒนาแล้ว รัฐเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดกระแสโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ ในเวลาเดียวกัน อดีตรัฐสังคมนิยมเริ่มหันหน้าเข้าหาระบบเศรษฐกิจแบบตลาดทีละคน เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาของตนเอง พวกเขาจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับตลาดต่างประเทศขนาดใหญ่ และพวกเขาก็เข้าร่วมกับกระแสโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจอย่างแข็งขัน เป็นผลให้ความต้องการและผลประโยชน์ร่วมกันที่มีอยู่ในรัฐทุนนิยมและอดีตสังคมนิยมนำไปสู่ความจริงที่ว่าการสร้างระบบเศรษฐกิจตลาดขนาดใหญ่ในโลกเดียวกลายเป็นกระแสทางประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจต้านทานได้ ปัจจุบันกระแสโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจได้กวาดล้างไปทั่วโลกและเป็นตัวกำหนดทุกสิ่ง ในเวลาเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่างๆ ของโลกในด้านการเมือง วัฒนธรรม และด้านอื่นๆ ก็เริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นเช่นกัน

ปัญหาโลกาภิวัตน์ได้กระตุ้นความสนใจของผู้คนจากประเทศต่างๆ มีเหตุผลหลายประการสำหรับการปรากฏตัวของมัน แต่ท้ายที่สุดแล้วทั้งหมดก็มาจากการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งใหม่ในศตวรรษที่ 20

สาม. การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งใหม่ และซิกแซก (หงิกงอ) ของอารยธรรมมนุษย์

โลกาภิวัตน์ที่เรากำลังพูดถึงในปัจจุบันมีพื้นฐานอยู่บนการบูรณาการทางเศรษฐกิจระดับโลก การสร้างระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเดียวทั่วโลก เรากำลังเผชิญกับการขยายตัวของเศรษฐกิจตลาดในระดับโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และบทบาทของผู้จัดการหลักในระบบเศรษฐกิจตลาดโลกนี้แสดงโดยรัฐทุนนิยมที่นำโดยสหรัฐอเมริกา เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเป็นเวลานานมาแล้วที่เศรษฐกิจแบบตลาดมีความเท่าเทียมกับระบบทุนนิยม ดังนั้น หลายคนเชื่อว่าโลกาภิวัตน์เป็นชัยชนะของระบบทุนนิยมทั่วโลก ตามที่นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ฟูคุยามะ กล่าว ซึ่งหมายถึงการสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง มุมมองดังกล่าวเป็นเพียงผิวเผิน คลื่นแห่งโลกาภิวัตน์สมัยใหม่ไปไกลกว่าการเผชิญหน้าทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิทุนนิยมและสังคมนิยม มันเป็นสัญญาณของการพลิกผันของอารยธรรมมนุษย์ เป็นสัญลักษณ์ว่าอารยธรรมอุตสาหกรรมที่มีอยู่มานานกว่าเจ็ดร้อยปีนับตั้งแต่การตรัสรู้ได้มาถึงจุดสิ้นสุดทางประวัติศาสตร์ ทั้งทุนนิยมและสังคมนิยม - ทั้งสองระบบให้ความสนใจกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การนำไปใช้ในการพัฒนาการผลิตทางอุตสาหกรรม และการเพิ่มความมั่งคั่งทางวัตถุ ค่านิยมที่กระแสโลกาภิวัตน์ปฏิเสธคือคุณค่าของอารยธรรมอุตสาหกรรม

จนถึงขณะนี้ พลังสร้างสรรค์หลักของอารยธรรมอุตสาหกรรมคือชนชั้นกระฎุมพีซึ่งมีชะตากรรมเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับระบบทุนนิยม ลักษณะเฉพาะของระบบนี้คือ ทุกสิ่งที่นี่อยู่ภายใต้ความต้องการของทุน ซึ่งมีสาระสำคัญคือการเติบโต การขยายตนเองอย่างไร้ขีดจำกัด นี่เป็นเหตุผลเดียวที่ว่าทำไมอุตสาหกรรมซึ่งเข้ามาแทนที่การเกษตรกรรมจึงกลายเป็นรูปแบบหลักของการผลิตวัตถุของมนุษยชาติ และการขยายการผลิตวัสดุอย่างไร้ขีดจำกัดกลายเป็นลักษณะเด่นหลักของระบบทุนนิยมและอารยธรรมอุตสาหกรรมทั้งหมด ทำไมระบบทุนนิยมถึงมีคุณสมบัติเช่นนั้นได้? สิ่งนี้ถูกกำหนดโดยการวางแนวค่านิยมพื้นฐานของผู้คนในสังคมกระฎุมพี

มีต้นกำเนิดในศตวรรษที่ 14 ขบวนการตรัสรู้วิพากษ์วิจารณ์การปราบปรามธรรมชาติของมนุษย์โดยศาสนาคริสต์ในยุคกลาง ประกาศว่ามนุษย์เป็นศูนย์กลางของชีวิต และหยิบยกแนวคิดเรื่องมนุษยนิยมขึ้นมา มนุษยนิยมมีลักษณะเฉพาะคือการยืนยันความยุติธรรมและความสมเหตุสมผลของความปรารถนาทางวัตถุของมนุษย์ และความปรารถนาที่จะได้รับความสุขทางวัตถุเพื่อที่จะสนองความต้องการเหล่านั้น ความพึงพอใจในความพึงพอใจทางวัตถุจำเป็นต้องมีเงินทุนเพียงพอซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาการผลิต ดังนั้นการผลิตหัตถกรรมส่วนบุคคลจึงค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านหัตถกรรมและการผลิตทางอุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องจักรอย่างกว้างขวาง ความแตกต่างระหว่างอุตสาหกรรมและการเกษตรก็คือ ด้วยความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ การใช้เครื่องจักร ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีสติ ดังนั้นการก่อตัวและการพัฒนาของอุตสาหกรรมจึงกระตุ้นการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมากซึ่งเป็นผลมาจากการที่บทบาทของจิตใจทางวิทยาศาสตร์แห่งเหตุผลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญซึ่งนำไปสู่การเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 ขบวนการทางการศึกษาที่แสดงโดยวัตถุนิยมฝรั่งเศส ภายใต้อิทธิพลของการรู้แจ้งแบบมีเหตุผลและการปฏิวัติทางการเมืองของชนชั้นกลาง ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ได้เข้าสู่ยุคใหม่ ในแง่การเมืองและอุดมการณ์ นี่คือยุคทุนนิยม ในแง่ของวิธีการผลิต ถือเป็นยุคแห่งการกำเนิดของอารยธรรมอุตสาหกรรม การแทนที่อารยธรรมอุตสาหกรรมด้วยอารยธรรมเกษตรกรรมเรียกอีกอย่างว่ายุคแห่งความทันสมัย กล่าวโดยย่อ ประวัติศาสตร์ทั้งหมดของมนุษยชาติตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาจนถึงปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นยุคของอารยธรรมอุตสาหกรรม มันปรากฏขึ้นหลังจากการกำเนิดของชนชั้นกระฎุมพี ดังนั้นจึงควรกล่าวได้ว่าในรัสเซียก่อนการปฏิวัติเดือนตุลาคม อารยธรรมอุตสาหกรรมก็เป็นอารยธรรมทุนนิยมเช่นกัน

ประวัติศาสตร์ของอารยธรรมทุนนิยมคือประวัติศาสตร์ของผู้คนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความปรารถนาทางวัตถุ ผู้ซึ่งแสวงหาความช่วยเหลือจากเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เพื่อใช้การพัฒนาการผลิตทางอุตสาหกรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งทางวัตถุและความพึงพอใจทางวัตถุ การวางแนวคุณค่าหลักของมนุษยนิยมทุนนิยมคือการแสวงหาความมั่งคั่งทางวัตถุและความสุขทางวัตถุ ชนชั้นกระฎุมพีและระบบทุนนิยมไม่สนใจสิ่งใดนอกจากผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ทั้งหมดของพวกเขาเชื่อมโยงกับมันเท่านั้น แรงบันดาลใจจากความปรารถนาทางวัตถุ การแสวงหาเงิน ช่างฝีมือ พ่อค้า และชนชั้นทุนนิยมทั้งหมดซึ่งเกิดขึ้นจากนั้นจึงพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ขยายการผลิต มีส่วนร่วมในการแข่งขันที่ดุเดือด ถูกกวาดล้างไปทุกที่ พวกเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนากำลังการผลิต และไม่เปลี่ยนแปลงเส้นทางของระบบทุนนิยมพร้อมกับการเดินขบวนแห่งชัยชนะมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มาร์กซและเองเกลส์กล่าวถึงชนชั้นกระฎุมพีใน “แถลงการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์” ประการแรกชื่นชมอย่างสูงต่อการปฏิวัติทางความคิดที่ประสบความสำเร็จในประวัติศาสตร์ กล่าวคือ การสั่งสอนลัทธิปัจเจกนิยมและความเห็นแก่ตัว

ดังที่มาร์กซ์และเองเกลส์กล่าวไว้ ชนชั้นกระฎุมพีและทุนนิยมมีบทบาทในการปฏิวัติในประวัติศาสตร์ รวมถึงการกระตุ้นให้เกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งใหม่ในศตวรรษที่ 20 และการเกิดขึ้นของกระแสโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งใหม่เป็นการปฏิเสธอย่างต่อเนื่องของการวางแนวคุณค่าของระบบทุนนิยมและอารยธรรมอุตสาหกรรมทุนนิยม เนื่องจากภายใต้อิทธิพลของการวางแนวเหล่านี้ ลัทธิทุนนิยมได้เข้าใกล้ขอบเขตตามธรรมชาติของมัน เป็นครั้งแรกที่เผชิญกับอุปสรรคที่ผ่านไม่ได้

ความปรารถนาของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัด การขยายทุนด้วยตนเอง การขยายไม่จำกัด ไม่มีขีดจำกัด อย่างไรก็ตาม การขยายตัวดังกล่าวย่อมต้องเผชิญกับอุปสรรคระหว่างทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และแน่นอนว่า การขยายตัวดังกล่าวจะมาพร้อมกับการต่อต้านและปรากฏการณ์วิกฤตอย่างแน่นอน จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การขยายตัวดังกล่าวทำให้วิกฤตครั้งที่สามของระบบทุนนิยมเกิดขึ้นจริง

วิกฤตครั้งแรกเกิดจากการที่การขยายตัวของทุนและการผลิตซ้ำได้รับการต่อต้านจากชนชั้นแรงงาน ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างนายทุนเอง การแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการต่อต้านของชนชั้นแรงงานคือการเติบโตอย่างรวดเร็วของขบวนการแรงงานในประเทศตะวันตกในศตวรรษที่ 19 และการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างชนชั้นกระฎุมพีและชนชั้นกรรมาชีพ ความขัดแย้งระหว่างนายทุนส่วนใหญ่ปรากฏในการแข่งขันอย่างเสรีในตลาด ซึ่งนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจ การต่อสู้ทางชนชั้นและวิกฤตเศรษฐกิจชี้ให้เห็นว่าระบบทุนนิยมกำลังกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาพลังการผลิตและได้เตรียมการขุดหลุมฝังศพไว้แล้ว นับเป็นครั้งแรกที่ระบบทุนนิยมพบว่าตนเองตกอยู่ในภาวะวิกฤติ ลัทธิมาร์กซิสม์เป็นผลพวงของวิกฤตครั้งนี้อย่างแน่นอน

ภายใต้แรงกดดันจากการต่อสู้ทางชนชั้นของกรรมกร ชนชั้นกระฎุมพีถูกบังคับให้เปลี่ยนยุทธวิธี ซึ่งส่งผลให้ความขัดแย้งทางชนชั้นอ่อนลง เนื่องจากการถือกำเนิดของลัทธิเคนส์ ลัทธิเคนส์พบวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจ และค่อยๆ คลี่คลายภายใต้กรอบของระบบทุนนิยม

วิกฤตครั้งที่สองของระบบทุนนิยมมีความเกี่ยวข้องกับสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งมีสาเหตุมาจากการเคลื่อนย้ายทุนของประเทศนอกขอบเขตรัฐและการเกิดขึ้นของลัทธิจักรวรรดินิยม ก่อนการเปลี่ยนแปลงของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปสู่กำลังการผลิตครั้งแรก ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของนายทุนมีพื้นฐานมาจากการแสวงหาผลประโยชน์และการยึดครองเป็นหลัก: ภายในประเทศ - การแสวงหาผลประโยชน์จากคนงาน ภายนอก - การยึดอาณานิคม ความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะมีความมั่งคั่งทางวัตถุบังคับให้นายทุนตามการพัฒนาของกำลังการผลิต ขยายขอบเขตของรัฐชาติ ออกไปสู่โลกภายนอกและดำเนินตามนโยบายจักรวรรดินิยมที่หลากหลาย การขยายทุนที่เกี่ยวข้องย่อมนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างรัฐจักรวรรดินิยมเพื่อหาพื้นที่ในการพัฒนา สงครามโลกครั้งที่สองเป็นการแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งเหล่านี้อย่างชัดเจน ต่อมาพวกเขาแสดงให้เห็นว่าการขยายตัวของทุนพบกับอุปสรรคและข้อจำกัดใหม่ๆ และระบบทุนนิยมเข้าสู่วิกฤตครั้งใหม่ อย่างไรก็ตาม การก่อตั้งสหประชาชาติและการเกิดขึ้นขององค์กรระหว่างประเทศเช่น WTO บ่งชี้ว่าชนชั้นกระฎุมพีของรัฐต่างๆ เห็นด้วยกับกฎทั่วไปบางประการของเกม ซึ่งต้องขอบคุณวิกฤตนี้ที่ได้รับการแก้ไขภายใต้กรอบของระบบทุนนิยมเช่นกัน

วิกฤตครั้งที่สามเกิดขึ้นภายใต้อิทธิพลของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งเกี่ยวข้องกับวิกฤตการดำรงอยู่ของมนุษยชาติเอง วิกฤตการณ์ครั้งนี้เป็นที่รู้จักกันดีและแสดงออกมาในสามประเด็นต่อไปนี้ อันดับแรก.การพัฒนาแบบปฏิวัติของกำลังการผลิตซึ่งเกิดจากการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งใหม่ ได้เพิ่มความสามารถและขนาดของกิจกรรมของมนุษย์ในการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติอย่างมีนัยสำคัญ เป็นผลให้ทุกวันนี้สถานการณ์สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่อง ทรัพยากรธรรมชาติลดลง ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะมีการดำรงอยู่และการผลิตของมนุษย์อย่างต่อเนื่องจึงเป็นปัญหาร้ายแรง ที่สอง.เศรษฐกิจกำลังเข้าสู่โลกาภิวัตน์อย่างรวดเร็ว แต่มนุษยชาติยังไม่มีกลไกที่เหมาะสมในการตอบสนองอย่างมีสติต่อปัญหาชีวิตทางเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก ดังนั้นในกระบวนการโลกาภิวัตน์ ความขัดแย้งมากมายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างรัฐและภูมิภาคต่างๆ ในด้านหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกจำนวนมากและสร้างความเสียหายต่อกำลังการผลิต ในทางกลับกัน มีการต่ออายุอาวุธทำลายล้างสูงอย่างต่อเนื่องซึ่งพลังทำลายล้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อเท็จจริงทั้งสองนี้รวมกันนำไปสู่ความจริงที่ว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศเป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริงต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ ที่สาม.ในขณะเดียวกันกับการพัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การเร่งความเร็วของการพัฒนากำลังการผลิตและการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งทางวัตถุ ความแปลกแยกโดยทั่วไปของมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ความมั่งคั่งทางวัตถุมาพร้อมกับความตึงเครียดในขอบเขตจิตวิญญาณ ความน่าเบื่อหน่าย และความน่าเบื่อหน่ายของชีวิต

การเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมาข้างต้นย่อมนำไปสู่คำถามที่ว่าการดำรงอยู่ของมนุษยชาติต่อไปเป็นไปได้หรือไม่ไม่ว่าจะจำเป็นต้องมองหาเส้นทางการพัฒนาใหม่หรือไม่ - นี่เป็นปัญหาที่แท้จริงและร้ายแรงมาก ยิ่งเราไปไกลเท่าไร ผู้คนก็เริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษยชาติและคิดถึงอารยธรรมอุตสาหกรรมและคุณค่าของมันมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤตการณ์ 2 ครั้งก่อนหน้านี้ วิกฤตครั้งที่ 3 นี้ไม่สามารถแก้ไขได้ภายใต้กรอบของระบบทุนนิยม สาเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤตครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางเทคนิคหรือมาตรการทางการเมืองเฉพาะใดๆ มีรากฐานมาจากค่านิยมที่ชนชั้นกระฎุมพียึดถือมาตั้งแต่สมัยเรอเนซองส์: การขยายความมั่งคั่งทางวัตถุอย่างไร้ขีดจำกัด เพื่อตอบสนองความต้องการทางวัตถุที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือพื้นฐานของวิถีชีวิตของอารยธรรมทุนนิยม เช่นเดียวกับอารยธรรมอุตสาหกรรมทั้งหมด รวมถึงสหภาพโซเวียตและประเทศสังคมนิยมอื่นๆ หากวันหนึ่งการวางแนวคุณค่าเหล่านี้ถูกละทิ้ง ไม่ต้องพูดถึงระบบทุนนิยม อารยธรรมอุตสาหกรรมทั้งหมดก็จะสิ้นสุดการดำรงอยู่ของมัน แต่มนุษยชาติมีทางเลือกอื่นอีกหรือไม่? เลขที่ หากเราไม่ต้องการให้มนุษยชาติสูญสิ้นไป เราต้องละทิ้งค่านิยมเดิมและอารยธรรมอุตสาหกรรมให้สมบูรณ์ ข้อเท็จจริงสนับสนุนสิ่งนี้

อารยธรรมอุตสาหกรรมมีพื้นฐานอยู่บนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพัฒนาของพวกเขานำไปสู่ความจริงที่ว่าอารยธรรมนั้นถึงจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ และทำให้เกิดกระแสโลกาภิวัตน์และเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ นี่คือการปฏิเสธตนเองของอารยธรรมอุตสาหกรรม ความเข้าใจเรื่องโลกาภิวัตน์ต้องผสมผสานกับความเข้าใจถึงภัยคุกคามที่กำลังก่อให้เกิดอันตรายต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติซึ่งในทางกลับกันจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และการปฏิวัติทางเทคโนโลยีของศตวรรษที่ยี่สิบ การเกิดขึ้นของอารยธรรมอุตสาหกรรมมีความเกี่ยวข้องกับยุคเรอเนซองส์ ดังนั้นการที่อารยธรรมนี้เสร็จสมบูรณ์จะถือเป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเช่นเดียวกับยุคเรอเนซองส์ หากเราไม่สามารถยกระดับการศึกษาปัญหาโลกาภิวัตน์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ ก็จะเป็นเรื่องภายนอกและผิวเผินล้วนๆ หลักฐานแสดงให้เห็นว่าการทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ในโลกตะวันตก ผู้คนจำนวนมากต่อต้านโลกาภิวัตน์เพราะเป็นการส่งเสริมการเคลื่อนย้ายทุนทั่วโลก ส่งผลให้โอกาสที่ผู้คนหางานในประเทศของตนเองน้อยลง ในประเทศกำลังพัฒนาจำนวนหนึ่ง เช่น ในประเทศจีน นักวิทยาศาสตร์บางคนยินดีกับโลกาภิวัตน์เพราะมันแสดงถึงโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจของตนเอง พวกเขาพยายามค้นหาข้อโต้แย้งที่เป็นประโยชน์สำหรับข้อสรุปทางทฤษฎีของตน

แน่นอนว่ามีคนจำนวนมากครุ่นคิดอย่างจริงจังถึงการพลิกผันครั้งสำคัญนี้ การสิ้นสุดของอารยธรรมอุตสาหกรรมในมุมมองของลัทธิมาร์กซิสม์หมายถึงการแทนที่ระบบทุนนิยมด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ จากมุมมองของผู้นำจีน นี่หมายถึงการนำแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการพัฒนาและการสร้างสังคมที่มีความสามัคคี จากมุมมองของนักวิชาการ V. Stepin - จุดสิ้นสุดของอารยธรรมเทคโนโลยี จากมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย V. Inozemtsev - การมาถึงของสังคมหลังเศรษฐกิจ โดยพื้นฐานแล้ว ปรัชญารัสเซียในยุคเงินได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับแนวโน้มในการพัฒนาอารยธรรมของมนุษย์มานานแล้ว ในบรรดาผลงานที่ล้ำลึกและยอดเยี่ยมที่สุดคือผลงานอันยิ่งใหญ่ของ N. Berdyaev "ความหมายของประวัติศาสตร์" แม้ว่าจะมีการตีพิมพ์เมื่อ 80 กว่าปีที่แล้ว แต่สิ่งที่กล่าวสามารถนำไปใช้โดยตรงกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน นี่เป็นผลงานอันล้ำค่าที่สุดของประเทศรัสเซียในประวัติศาสตร์ความคิดของมนุษย์ งานนี้ทุกคนในยุคปัจจุบันควรอ่าน

แปลโดยปรัชญาดุษฎีบัณฑิต V. G. Burov

มาร์กซ์, เค., เองเกลส์, เอฟ. สมบูรณ์. ของสะสม ปฏิบัติการ – ม., 1958. – ต. 12. – หน้า 3. (Marx, K., Engels, T. ผลงานที่สมบูรณ์ – มอสโก, 1958. – เล่ม 12. – หน้า 3).

เมื่อศึกษาปัญหาของโลกาภิวัตน์ชุมชนวิทยาศาสตร์ของสหภาพโซเวียตใช้แนวคิดเรื่อง "ปัญหาระดับโลก" ในรัสเซียยุคใหม่ถูกแทนที่ด้วยแนวคิดอื่นที่นำมาจากวรรณกรรมตะวันตก - "การศึกษาระดับโลก" จากมุมมองหนึ่ง นี่คือการถอยหลังหนึ่งก้าว แนวคิดแรกเน้นย้ำถึง “ปัญหา” นั่นคือปัญหาที่เกิดจากโลกาภิวัฒน์ซึ่งส่งผลเสียต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติซึ่งจำเป็นต้องแก้ไข สำหรับแนวคิดที่สองนั้น มองว่าโลกาภิวัตน์เป็นปัญหาทางเทคนิคที่เป็นกลาง แนวคิดแรกคือแนวคิดรัสเซียโดยเฉพาะ แนวคิดของสหภาพโซเวียตสังคมนิยม แนวคิดที่สองกำลังหมุนเวียนอยู่ในโลกทุนนิยมตะวันตก ซึ่งเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งลัทธิปฏิบัตินิยม ข้อเท็จจริงบ่งชี้ว่าโลกาภิวัตน์ในขณะที่ส่งเสริมการพัฒนาการผลิตวัสดุ แต่ก็นำมาซึ่งปัญหาร้ายแรงมากมายไปพร้อมๆ กัน และดังนั้นจึงมีผลกระทบเชิงลบอย่างร้ายแรงด้วย เราต้องใส่ใจกับผลกระทบนี้เนื่องจากมันเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ

คำว่า “การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” มีมานานแล้ว เวลาผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษแล้วนับตั้งแต่กระบวนการที่กำหนดโดยคำนี้เริ่มต้นขึ้น และการหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยังไม่คลี่คลาย เหตุผลก็คือความจริงที่ว่ามันยังคงดำเนินต่อไป กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับอะไร สัญญาณคืออะไร และสิ่งที่สามารถนำไปสู่ปัญหาได้จะมีการหารือในบทความนี้

แนวคิดของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของชีวิตทางสังคมทุกด้านซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนความสำเร็จของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หลายคนมั่นใจว่ามันเริ่มต้นขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 40-50 ของศตวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่ นักเขียนหลายคน (D. Bell, E. Toffler ฯลฯ) พูดถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ กระโน้น.

ตัวอย่างเช่น ศาสตราจารย์ A.I. Rakitov กล่าวว่ากระบวนการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เริ่มต้นขึ้นแล้วตั้งแต่การประดิษฐ์ภาษาและการเขียน การเขียนได้เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนทุกด้านอย่างแท้จริง เธอเปลี่ยนความคิดของผู้คนเกี่ยวกับเวลา ท้ายที่สุดแล้ว ตอนนี้คุณสามารถอ่านคำที่บรรพบุรุษของเราเขียนไว้ได้แล้ว การเขียนทำให้สามารถสื่อสารกับผู้คนในระยะไกลได้

ต่อมา Rakitov มีขั้นตอนสำคัญอีกขั้นหนึ่ง นั่นคือการประดิษฐ์การพิมพ์ จากนั้นเป็นโทรศัพท์และโทรเลข จากนั้นเป็นคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เห็นได้ง่ายว่าเกณฑ์ของการพัฒนาและการปฏิวัติคือการเปลี่ยนแปลงวิธีการส่งข้อมูล

แน่นอนว่านี่เป็นส่วนสำคัญของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น หากเราเข้าใจว่าการปฏิวัตินี้เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการส่งข้อมูลเท่านั้น เราก็จะทำให้ความเป็นจริงง่ายขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และจินตนาการด้านเดียว ตัวอย่างเช่น gopnik เขียนคำสาบานบนรั้ว หลอกคนอื่นบนอินเทอร์เน็ต จากนั้นจึงตีพิมพ์หนังสือคำสาบาน นี่คือความคืบหน้าหรืออะไร? อย่างใดอาจจะไม่

นักเขียนคนอื่นๆ (D. Bell และ E. Toffler) ในงานของพวกเขามีความคล้ายคลึงกันระหว่างแนวคิดของ "การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" และ "การทำให้ทันสมัย" ในขณะเดียวกัน พวกเขามีแนวคิดที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับเนื้อหาของกระบวนการที่เรากำลังพิจารณา

ดี. เบลล์ (1919 - 2011)

ฉันจะบอกทันทีว่าคุณต้องเข้าใจว่าความทันสมัยคืออะไร หากพูดคร่าวๆ ก็คือการนำบางสิ่งบางอย่างให้สอดคล้องกับบางสิ่งบางอย่าง แต่เป็นเพียงการยืมแรงงานและการผลิตรูปแบบตะวันตก เราจะพิจารณากระบวนการที่กำลังพิจารณาอยู่ว่าเป็นปรากฏการณ์ของตะวันตกล้วนๆ ได้หรือไม่ ไม่แน่นอน แล้วเราก็ปฏิเสธการพัฒนาของโลกทั้งใบ

ดังนั้นนี่คือ ตามที่ผู้เขียนเหล่านี้กล่าวไว้ ขั้นแรกของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เริ่มต้นจากการประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำในศตวรรษที่ 18 ที่จริงแล้ว สิ่งประดิษฐ์นี้ทำให้ทั้งชีวิตของผู้คนพลิกผัน ก่อนหน้านี้มีคนทำงานที่โรงงานหลายร้อยคน แต่ตอนนี้มีสองสามโหลก็เพียงพอแล้ว การว่างงานเป็นสิ่งแรกที่นำไปสู่สิ่งนี้

นอกจากนี้ จากข้อมูลของ Bell และ Toffler ขั้นที่สองของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคือการประดิษฐ์ไฟฟ้า ในความเป็นจริง ไฟฟ้าทำให้ชีวิตพลิกผัน ก่อนหน้านี้ผู้คนมั่นใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นในความมืด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเคลื่อนที่ไปรอบโลกเร็วกว่าม้า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะฟังคนอื่นในระยะไกลหรือสื่อสารกับพวกเขา - แต่ตอนนี้ทั้งหมดนี้กลายเป็น เป็นไปได้. เด็กที่โตมากับโทรศัพท์ที่ประดิษฐ์ขึ้นแล้วไม่สามารถเข้าใจพ่อแม่ได้ ทำไมพวกเขาถึงยังโต้ตอบด้วยตัวอักษร? มีโทรศัพท์ โทรเลข และคุณประโยชน์อื่นๆ ของอารยธรรม

หรือคุณเคยซื้อตั๋วราคาแพงสำหรับการแข่งขัน แต่ตอนนี้คุณสามารถฟังทางวิทยุได้ฟรี! นี่คือที่ที่ freebie ที่แท้จริงอยู่ ชีวิตมีความสนุกสนานมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ไฟฟ้าที่ทำให้สังคมหมดสิ้น แต่เป็นคอมพิวเตอร์ ในความเป็นจริง ไม่ใช่แม้แต่คอมพิวเตอร์ แต่เป็นคนสองคน สตีฟ จ็อบส์ และบิล เกตส์ ในช่วงวัยรุ่นไม่มีใครคิดว่าคอมพิวเตอร์ (คอมพิวเตอร์ - คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์) อาจเป็นส่วนบุคคลได้ อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะฉันเห็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและอุปกรณ์สื่อสารบนปกนิตยสารราคาแพงเท่านั้น

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโซเวียต

ดังนั้นคนสองคนนี้จึงได้ปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างแท้จริง - พวกเขามอบคอมพิวเตอร์ให้กับทุกคนที่พูดได้ เช่น โพรมีธีอุส ที่ทำให้ผู้คนถูกไล่ออก และผู้คนทำอะไรกับของขวัญชิ้นนี้? เชื่อหรือไม่ว่าการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่แท้จริงกำลังเกิดขึ้นในเวลานี้เท่านั้น เมื่อเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์พร้อมให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างแท้จริง และปรากฎว่าของจริงเพิ่งมาตอนนี้เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในความคิดของฉัน ข้อโต้แย้งทั้งหมดนี้ไม่น่าเชื่อ ฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่คนคิดเก่ง แต่การเกิดขึ้นของคอมพิวเตอร์ก็ไม่ถือเป็นการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ทำไม เพราะผู้คนใช้คอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่แตกต่างกัน มีผู้ใช้เพียง 1% เท่านั้นที่ใช้สิ่งเหล่านี้สำหรับงานที่พวกเขาต้องการ: การสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์ การคำนวณที่จริงจังจริงๆ แต่คนที่เหลืออีก 99% ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องพิมพ์ดีดและท่องอินเทอร์เน็ต และบนเครือข่ายนี้ ผู้คนไม่ได้สร้างเว็บไซต์ของตัวเอง... ไม่ พวกเขาเสพข้อมูล เช่น ดูภาพยนตร์ เล่นเกม อ่านอะไรบางอย่าง

โดยส่วนตัวแล้วฉันเชื่อว่าเกณฑ์สำหรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคือจำนวนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่นำมาใช้ในการผลิต ยิ่งตัวบ่งชี้นี้สูงเท่าใด ค่าสัมประสิทธิ์ของสังคมหลังอุตสาหกรรมสำหรับสังคมที่กำหนดก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น มีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ในรัสเซียกี่ครั้งต่อปีและมีการผลิตกี่ครั้ง? มีการดำเนินการไปมากน้อยเพียงใดในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน? เมื่อตอบคำถามนี้แล้ว เราก็จะได้ภาพเต็มๆ

สัญญาณของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ความเก่งกาจความสำเร็จของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครอบคลุมทุกด้านของสังคม: การเมือง เศรษฐกิจ จิตวิญญาณ สังคม วิทยาศาสตร์ได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง: ขณะนี้มีเสถียรภาพและปลอดภัยจากความหิวโหยแน่นอนหากสภาพภูมิอากาศที่มีอยู่เอื้ออำนวยไม่มากก็น้อย

เร่งการเปลี่ยนแปลงยิ่งกระบวนการนี้พัฒนาไปมากเท่าไร เวลาที่เหลืออยู่ระหว่างการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และการนำไปปฏิบัติก็น้อยลงเท่านั้น อันที่จริง ตอนที่ฉันอายุ 8 ขวบ ฉันฝันว่าจะมีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเป็นของตัวเองและจะได้ทำงานด้วย ตอนนี้คุณสามารถทำงานบนแท็บเล็ตหรือแม้แต่โทรศัพท์: พิมพ์ วาดภาพ อ่านหนังสือ ท่องอินเทอร์เน็ต และผ่านไปเพียง 20 ปีเท่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นในอีก 20 ปีข้างหน้า?

ความจำเป็นในการพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่องตัวอย่างเช่นคุณได้รับการศึกษาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว: มีวัสดุปูพื้นประเภทใดและจะปูอย่างไร แต่ตอนนี้ทุกอย่างแตกต่างออกไปทั้งเทคโนโลยีการติดตั้งและการเคลือบเองก็เปลี่ยนไป: มีความหลากหลายมากขึ้น ปรากฎว่ามีข้อกำหนดสำหรับพนักงานเพิ่มขึ้น

การสื่อสารความคืบหน้า. เราได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ข้างต้น: ก่อนหน้านี้คุณสามารถเขียนคำสาบานบนรั้วและพอใจกับความมีไหวพริบของคุณ แต่ตอนนี้คุณสามารถส่งทุกคนไปยังจดหมายบน YouTube ได้ไม่จำกัดจำนวน นั่นคือทุกคนโดยทั่วไป!

ฉันหวังว่าการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะมีความชัดเจนมากขึ้น กดไลค์ แบ่งปันกับเพื่อน ๆ ของคุณบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก สมัครรับข่าวสารของเรา และโดยทั่วไปแล้วรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน แต่อย่าลืมว่าคุณกำลังเยี่ยมชม! 🙂

ขอแสดงความนับถือ Andrey Puchkov