การเรียกของกษัตริย์ Varangian Rurik จริงๆ แล้วรูริคมาจากไหน?

ข้อมูลพงศาวดารเกี่ยวกับรัชสมัยของ Rurik นั้นหายากมาก แต่การวิเคราะห์การค้นพบทางโบราณคดีที่เกิดขึ้นในภูมิภาค Ladoga และการใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลจากยุโรปตะวันตกและอาหรับช่วยให้เราสามารถให้ความกระจ่างเกี่ยวกับกิจกรรมของเจ้าชาย Novgorod
ตามที่นักโบราณคดีได้ก่อตั้งขึ้น พวกนอร์มันก็ปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มสลาฟตะวันออกในศตวรรษที่ 7 Aldeiguborg (Ladoga) ที่กล่าวถึงใน Sagas ของสแกนดิเนเวียเกิดขึ้นที่จุดบรรจบของแม่น้ำ Ladozhka และ Volkhov ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดบรรจบกับทะเลสาบ Ladoga ในสถานที่เหล่านี้ ซึ่งแต่เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าฟินแลนด์ ชาวไวกิ้งบุกจากทะเลบอลติก ข้ามเนวาและทะเลสาบลาโดกา และก่อตั้งชุมชนขึ้น

การเรียกของเจ้าชาย การประชุมของเจ้าชายกับหมู่ผู้อาวุโสและชาวเมืองสลาฟ นรก. คิฟเชนโก. พ.ศ. 2423

บรรพบุรุษของรูริค. จากที่นี่ข้ามทะเลสาบ Ladoga ไปตามแม่น้ำ Svir ชาวสแกนดิเนเวียไปที่ทะเลสาบ Onega และต่อไปยังทะเลสีขาว ตามแนวแม่น้ำ Volkhov คุณสามารถไปถึงแหล่งกำเนิดของ Dnieper และ Volga ซึ่งนำพวกเขาไปสู่ความร่ำรวยทางทิศใต้และตะวันออก ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ตัวแทนของชนเผ่าสลาฟและฟินแลนด์เริ่มปรากฏตัวใน Ladoga แต่จนถึงศตวรรษที่ 10 ประชากรสแกนดิเนเวียถือเป็นคนส่วนใหญ่ที่นี่ ตำนานเล่าขานถึง Aldeiguborg ว่าเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่กษัตริย์ปกครอง ตามตำนานสแกนดิเนเวียที่นั่นปู่และพ่อของ Rurik แห่ง Jutland, Eystein และ Halfdan ได้พบคู่ชีวิต แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลทางอ้อมเกี่ยวกับการรณรงค์ของ Rurik แห่ง Jutland ไปยังดินแดนของชาวสลาฟตะวันออก แต่เวอร์ชันเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของฐานการขนถ่ายของเขาใน Ladoga ซึ่งบรรพบุรุษของเขาเป็นกษัตริย์ก็อาจมีเหตุ นักประวัติศาสตร์บางคนยอมรับว่า Rurik สามารถเดินไปกับพ่อค้าชาว Frisian ไปทางทิศตะวันออกได้ ปกป้องพวกเขาจากโจร อาจใช้เวลาอยู่ที่ Ladoga สักระยะหนึ่ง แล้วจึงกลับมาที่ Jutland
การตั้งถิ่นฐานของชาวสแกนดิเนเวียใน Ladoga. ไม่ว่าชาวสแกนดิเนเวียจะตั้งถิ่นฐานที่ใด พวกเขาจะสร้างบ้าน "ยาว" ซึ่งตัวแทนของกลุ่มเดียวกันทั้งหมดมาตั้งถิ่นฐาน อาคารไม้หลังนี้มักจะยาวได้ถึง 100 เมตร ประกอบด้วยห้องโถงและห้องที่ไม่มีหน้าต่างซึ่งมีประตูหันไปทางทิศใต้ มีเตาผิงอยู่ตรงกลางบ้าน และเหนือบ้านมีรูบนหลังคาเพื่อให้ควันหลบหนี ม้านั่งและชั้นวางจานติดอยู่ตามขอบผนัง ผนังด้านนอกและหลังคาบ้านปูด้วยหญ้าเพื่อให้ความอบอุ่น ในการตั้งถิ่นฐานของชาว Varangians มีการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับงานฝีมือ ใน Ladoga นักโบราณคดีได้ค้นพบโรงตีเหล็กที่มีเครื่องมือหลากหลายซึ่งเป็นของผู้อพยพจากเกาะ Gotland ของสวีเดน ในช่วงกลางศตวรรษที่ 9 ขุนนาง Varangian-Slavic-Finnish ขึ้นครองอำนาจใน Ladoga นักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งเชื่อว่าก่อนที่จะถูกเรียกตัวไปยัง Rus ในขณะที่ต่อสู้เพื่อดินแดนของเขาในฟรีสลันด์ Rurik ก็ไม่มองข้าม Ladoga ในฐานะที่หลบภัยที่สะดวกบนเส้นทาง Great Volga
ครองราชย์ในลาโดกา. ในปี 862 ตาม "Joachim Chronicle", Rurik " กับพี่น้องและบ้านของพวกเขา"มาถึง Ladoga และใช้เวลาประมาณสองปีที่นั่น เขาสร้างเมืองใหม่และเสริมความแข็งแกร่งของท่าเรือ เมื่อทำข้อตกลงกับผู้เฒ่าของชนเผ่าสลาฟและฟินโน - อูกริกเขาให้คำมั่นที่จะปกป้องอาสาสมัครของเขาจากการถูกโจมตีโดยชาวสแกนดิเนเวียคนอื่น ๆ การทำงานปกติของการค้าในภูมิภาคและควบคุมความสัมพันธ์ "ตามความจริง" ระหว่างชนเผ่าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ร่วมกัน ในทางกลับกัน เขาได้รับอาหารสำหรับตัวเองและผู้ติดตามของเขาและการจ่ายเงินเป็นเงินตามธรรมเนียมทุกแห่ง Chronicles รายงานว่า Sineus น้องชายคนหนึ่งของ Rurik ถูกส่งโดยเขา "ไปยัง Beloozero" ในสมัยนั้นมันเป็นดินแดนทั้งหมดของชนเผ่า Beloozero มีบทบาทสำคัญในการสกัดขนซึ่งอธิบายความปรารถนาของ Rurik ที่จะให้มันอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา . ทรูวอร์น้องชายอีกคนหนึ่งเริ่มครองราชย์ในอิซบอร์สค์ในศูนย์กลางชนเผ่าของ Krivichi เจ้าชายแจกจ่ายเมืองที่เหลือให้กับผู้ว่าการจากทีม

การแบ่งที่ดินให้ “ผู้ค้นพบ”. ในปี 864 ซิเนอุสและทรูเวอร์เสียชีวิต " และรูริคเพียงผู้เดียวก็เข้ายึดอำนาจทั้งหมด- พงศาวดารกล่าว - - และเขาเริ่มแจกจ่าย volosts และเมืองต่างๆ ให้กับสามีของเขา - ไปยัง Polotsk นี้, ไปยัง Rostov นี้, ไปยัง Beloozero อื่น ชาว Varangians ในเมืองเหล่านี้คือ Nakhodniki และชนพื้นเมืองใน Novgorod คือชาวสลาฟใน Polotsk the Krivichi ใน Rostov the Merya ใน Beloozero ทั้งหมดใน Murom the Muroma และ Rurik ปกครองพวกเขาทั้งหมด". Rurik เองก็ย้ายไปที่นิคมที่แหล่งกำเนิดของ Volkhov ตอนนี้มันกลายเป็นป้อมปราการการค้างานฝีมือและศูนย์กลางการบริหารการทหารของ Northern Rus' มีศาลของเจ้าชายและทีมของเขาประจำการอยู่ มันคือ เชื่อว่าการตั้งถิ่นฐานของ Rurik คือเมือง Novgorod ดั้งเดิมซึ่งเป็นเมืองใหม่ที่สัมพันธ์กับ Ladoga เก่า

ซากปรักหักพังของโบสถ์แห่งการประกาศแห่งศตวรรษที่ 12 การตั้งถิ่นฐานของรูริก การถ่ายภาพร่วมสมัย

Novgorod ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด"The Tale of Bygone Years" รายงานการเกิดขึ้นของ Novgorod สองเวอร์ชันที่ไม่เกิดร่วมกัน ตามที่หนึ่งในนั้น Novgorod ถูก "ตัด" โดย Rurik กล่าวอีกนัยหนึ่งก่อตั้งโดยชาวสลาฟซึ่งเดินทางมาทางเหนือในกระบวนการตั้งถิ่นฐานใหม่จากภูมิภาค Dnieper จากนั้นจึงเชิญ Rurik ให้เป็นเจ้าชาย การวิจัยทางโบราณคดีในอาณาเขตของ Novgorod Detinets แสดงให้เห็นว่ามีวัดและสุสานอยู่ที่นั่นก่อนที่ป้อมปราการดั้งเดิมจะปรากฏตัว สิ่งนี้บ่งชี้ถึงการมีอยู่ของศูนย์ชนเผ่าโบราณในโนฟโกรอด ในสมัยนอกรีต สุสานทำหน้าที่เป็นสถานที่ชุมนุมกัน ศาล และสถานที่สำหรับเฉลิมฉลองและเล่นเกมลัทธิ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโนฟโกรอดเป็นศูนย์กลางของสหพันธ์สโลวีเนีย เมรี ชุด และคริวิจิ และเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 8 ก่อนที่รูริกจะปรากฏตัวในนั้น
การลุกฮือของวาดิมผู้กล้าหาญ. เมื่อยอมรับ "อำนาจทั้งหมดเพียงอย่างเดียว" รูริคดูเหมือนจะไม่ได้ต่อ "แถว" (ข้อตกลง) ก่อนหน้านี้กับผู้เฒ่า เขาอาศัยทีม Varangian ที่แข็งแกร่งซึ่งเขาดำรงตำแหน่งในสภา จากทหารรับจ้างที่รับใช้เขากลายเป็นผู้ปกครองเผด็จการซึ่งไม่เหมาะกับชนชั้นสูงของชนเผ่า ในปี 864 เมื่อไม่มี Rurik การจลาจลก็เกิดขึ้นใน Novgorod ซึ่งนำโดย Vadim the Brave ตามที่ V.N. Tatishchev เขาเป็นเจ้าชายชาวสโลวีเนียและเลี้ยงดูประชาชนให้ต่อสู้เพื่อคืนอิสรภาพที่สูญเสียไป Nikon Chronicle กล่าวว่าชาวโนฟโกโรเดียน " ต้องทนทุกข์ทรมานในทุกวิถีทางจากรูริคและครอบครัวของเขา“ และไม่ต้องการมีชีวิต“ เหมือนทาสอีกต่อไป” เมื่อกลับมาจากการรณรงค์ Rurik สังหาร Vadim และลงโทษผู้เข้าร่วมในการกบฏอย่างรุนแรง ด้วยความกลัวการตอบโต้“ ผู้สูงศักดิ์” หลายคนจึงหนีไปที่เคียฟซึ่งชาว Varangians Askold และ Dir ได้ก่อตั้งตัวเองขึ้น ในฐานะผู้ปกครอง Rurik ขยายขอบเขตของเขาไปยังดินแดน Novgorod อย่างรวดเร็ว Krivichi Polotsk, Meryan Rostov และ Murom อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา N.M. Karamzin เขียนว่า: " ความทรงจำของ Rurik ในฐานะเผด็จการรัสเซียคนแรกยังคงเป็นอมตะในประวัติศาสตร์ของเรา ผลกระทบหลักของการครองราชย์ของเขาคือการผนวกชนเผ่าฟินแลนด์บางเผ่าเข้ากับชาวสลาฟอย่างมั่นคง".
การมีส่วนร่วมของชาว Varangians ในชีวิตของ Northern Rus. ผู้อพยพจากสแกนดิเนเวียผสมผสานเข้ากับชีวิตของชนเผ่าสลาฟและฟินโน - อูกริกได้อย่างง่ายดายอย่างน่าประหลาดใจ พวกเขาเต็มใจตั้งรกรากอยู่ในเมืองต่างๆ ค้าขาย สร้างเรือและอาวุธปลอม และมีส่วนร่วมในงานหัตถกรรมเครื่องประดับ รูริคและผู้ว่าราชการของเขาได้เสริมกำลังอาณาเขต สร้างป้อมปราการชายแดนอันทรงพลัง และสร้างทีมที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรับรองกฎหมายและความสงบเรียบร้อย แทนที่พื้นที่ชนเผ่าที่ทำสงคราม พื้นที่ทางเศรษฐกิจและสังคมแห่งเดียวก็เกิดขึ้น การกระทำของผู้ปกครองแห่ง Northern Rus มีส่วนช่วยในการรักษาสันติภาพภายในขอบเขต Novgorod และการพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมแบบไดนามิก

ชายผู้นี้ถูกกำหนดให้เริ่มสร้างรัฐใหม่ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าพันปีได้เติบโตขึ้นเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก มาทำความรู้จักกันสั้น ๆ ว่าใครคือเจ้าชายองค์แรกของหนุ่มรุส?

ประวัติศาสตร์ของชาวสลาฟตะวันออกก่อนรูริก

พงศาวดารรัสเซียโบราณ "The Tale of Bygone Years" ตอบคำถาม: "ดินแดนรัสเซียมาจากไหน" กล่าวว่าก่อนการมาของเจ้าชาย Varangian คนแรก Rurik ชนเผ่าที่แตกต่างกันจำนวนมากอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งอนาคตมาตุภูมิ - คริวิชี, สโลวีเนีย และอื่นๆ สหภาพชนเผ่าเหล่านี้มีวัฒนธรรม ภาษา และศาสนาที่เหมือนกัน พวกเขาแต่ละคนพยายามรวมเผ่าที่เหลือเข้าด้วยกันภายใต้การนำของตน แต่ความสมดุลของอำนาจและสงครามที่ต่อเนื่องไม่ได้เปิดเผยผู้ชนะ ตอนนั้นเองที่ผู้นำชนเผ่าตัดสินใจว่าจะไม่มีใครได้รับอำนาจ และมีการตัดสินใจว่าเจ้าชายที่ได้รับเชิญจะปกครองเผ่าทั้งหมด ในเวลานั้นนักรบที่น่าเกรงขามที่สุดซึ่งได้รับการเคารพในหมู่ชนเผ่าสลาฟซึ่งพวกเขามีความสัมพันธ์ทางการค้าและวัฒนธรรมอย่างใกล้ชิดคือ Varangians ซึ่งเป็นชาวสแกนดิเนเวีย พวกเขารับใช้ทั้งจักรพรรดิไบแซนไทน์และเข้าร่วมทีมทหารรับจ้างทางตะวันตกได้อย่างง่ายดายและยังสามารถยอมรับความเชื่อในท้องถิ่นได้อย่างอิสระซึ่งบังคับให้ผู้นำสลาฟ Gostomysl และสหายของเขาไปสแกนดิเนเวียและเชิญชนเผ่า Rus และกษัตริย์ Rurik ของพวกเขามาปกครอง

ข้าว. 1. เจ้าชายรูริก

ชีวประวัติของเจ้าชายรัสเซียคนแรก

เรารู้น้อยมากเกี่ยวกับชีวประวัติของรูริค ไม่ทราบวันและสถานที่ประสูติของพระองค์ และปีที่ครองราชย์ของพระองค์คือระหว่าง พ.ศ. 862-879

รูริคไม่ได้มารุสเพียงลำพัง เขามาพร้อมกับพี่ชายสองคน - Sineus และ Truvor ทีมของพวกเขาขึ้นฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Rus และได้รับเชิญไปยัง Novgorod มักมีการถกเถียงกันว่าเมืองใดที่รูริคปกครอง มีความเห็นว่านี่คือ Ladoga - เมืองหลวงโบราณของชาวสลาฟทางตะวันออกเฉียงเหนือ อย่างไรก็ตาม ในโนฟโกรอดซึ่งกุมบังเหียนรัฐบาล รูริกก็ลงไปในประวัติศาสตร์ในฐานะเจ้าชายรัสเซียคนแรก

ข้าว. 2. การเรียกของชาว Varangians

พระองค์ทรงส่งพระอนุชาไปครองในเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์อื่นๆ Sienus ยึดอำนาจใน Beloozero และ Truvor เริ่มครองราชย์ใน Izborsk

นโยบายภายในของเจ้าชายมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างขอบเขตภายนอกของรัฐตลอดจนการขยายตัว ในช่วงรัชสมัยของพระองค์ Smolensk, Murom และ Rostov กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Rus' Rurik พยายามเคลื่อนตัวลงใต้ แต่สิ่งต่างๆ ไม่ได้ไปไกลกว่าการปล้นคนในท้องถิ่น ทีมของรูริคก้าวเข้าสู่ดินแดนเคียฟ รูริคลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับผู้ปกครองผู้มีชื่อเสียงของเคียฟ อัสโคลด์และดิร์ และถึงแม้ว่า Askold จะยังคงพยายามปล้นดินแดนของ Rurik แต่ทีมของเขาก็พ่ายแพ้

บทความ 5 อันดับแรกที่กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ด้วย

Rurik เริ่มการปราบปรามชนเผ่า Finno-Ugric เขามีหน้าที่รับผิดชอบในการอนุรักษ์และปกป้องเส้นทางแม่น้ำบอลติก-โวลกา ปูทาง "จาก Varangians ไปจนถึง Khazars" สร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสแกนดิเนเวียและชาวอาหรับที่ผ่านดินแดนของเขา

เขาเสียชีวิตในปี 879 ในเมืองลาโดกา โดยทิ้งลูกชายคนเล็กซึ่งก็คือเจ้าชายอิกอร์ในอนาคตไว้เบื้องหลัง

ข้าว. 3. เจ้าชายอิกอร์

อิกอร์ยังเป็นเด็กเมื่อรูริคเสียชีวิต ก่อนที่เขาจะเติบโตขึ้น ประเทศนี้ถูกปกครองโดย Oleg ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของ Rurik เขาผนวกเคียฟเข้ากับประเทศหนุ่ม ย้ายเมืองหลวงไปที่นั่น และมีชื่อเสียงจากการรณรงค์ต่อต้านไบแซนเทียม Igor Rurikovich เริ่มรัชสมัยของเขาแล้วในบทบาทของเจ้าชายแห่งเคียฟ

รูริควางรากฐานสำหรับสถาบันกษัตริย์รัสเซีย เราเรียนรู้เกี่ยวกับทายาทที่ใกล้เคียงที่สุดของเขาจากแผนภูมิสายเลือด

ตาราง “ทายาทที่ใกล้ที่สุดของรูริค”

เจ้าชาย	รูริคเกี่ยวข้องกับใครบ้าง?	ปีแห่งการครองราชย์
อิกอร์ รูริโควิช
	ลูกสะใภ้
นักรบสเวียโตสลาฟ
ยาโรโปลค์ สเวียโตสลาวิช

สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับเขา:

เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับ Rurik ที่นักประวัติศาสตร์มีในปัจจุบันนั้นมีอยู่ในหลายแหล่ง - "ชีวิตของนักบุญเจ้าชายวลาดิเมียร์" (ประมาณ 1,070) และในรายละเอียดส่วนใหญ่ในพงศาวดารของศตวรรษที่ 12 "เรื่องเล่าจากปีเก่า"มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของการดำรงอยู่ของมัน

อ้างอิงจาก Tale of Bygone Years ใน 862 ในปี Varangian Rurik และพี่น้องของเขาตามคำเชิญของชนเผ่าเช่น Chud, Ilmen Slovenes, Krivichi และทุกคนได้รับเรียกให้ขึ้นครองราชย์ใน Novgorod กิจกรรมนี้ ในสาขาวิทยาศาสตร์ประวัติศาสตร์ถูกเรียก " การเรียกของชาว Varangians“ เหตุผลในการเชิญ "Varangians" นักประวัติศาสตร์เรียกความขัดแย้งทางแพ่งที่กลืนกินชนเผ่าสลาฟที่อาศัยอยู่ในดินแดน Novgorod Rurik มากับครอบครัวทั้งหมดของเขาเรียกว่า Rus ซึ่งยังคงพูดคุยเรื่องเชื้อชาติอยู่

เรื่องราวของปีที่ผ่านมา:

และพวกเขาก็มาและคนโต Rurik นั่งลงใน Novgorod และอีกคน Sineus บน Beloozero และคนที่สาม Truvor ใน Izborsk และจากชาว Varangians เหล่านั้น ดินแดนรัสเซียก็มีชื่อเล่นว่า ชาวโนฟโกโรเดียนคือคนเหล่านั้นจากตระกูลวารังเกียน และก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเป็นชาวสโลเวเนีย สองปีต่อมา Sineus และ Truvor น้องชายของเขาเสียชีวิต และรูริกเพียงคนเดียวก็ยึดอำนาจทั้งหมดและเริ่มแจกจ่ายเมืองต่างๆ ให้กับสามีของเขา - Polotsk ไปยังเมืองหนึ่ง, Rostov ไปยังอีกเมืองหนึ่ง, Beloozero ไปยังอีกเมืองหนึ่ง ชาว Varangians ในเมืองเหล่านี้คือ Nakhodniki และประชากรพื้นเมืองใน Novgorod คือชาว Slovenes ใน Polotsk the Krivichi ใน Rostov the Merya ใน Beloozero ทั้งหมด ใน Murom the Muroma และ Rurik ปกครองพวกเขาทั้งหมด 1 .

พงศาวดารรัสเซียเก่าเริ่มรวบรวม 150-200 ปีหลังจากการตายของ Rurik บนพื้นฐานของประเพณีปากเปล่า พงศาวดารไบแซนไทน์ และเอกสารที่มีอยู่ไม่กี่ฉบับ ดังนั้นในประวัติศาสตร์จึงมีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการเรียกของ Varangians เวอร์ชันพงศาวดาร ในช่วงศตวรรษที่ 18 - ครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 ความคิดเห็นที่แพร่หลายก็คือเจ้าชายรูริกมีเชื้อสายสแกนดิเนเวียหรือฟินแลนด์ และต่อมามีการเสนอสมมติฐานเกี่ยวกับต้นกำเนิดปอมเมอเรเนียนของเขา

ต้นกำเนิดของ Rurik มีหลายเวอร์ชัน โดยหลักคือ Norman และ West Slavic

ผู้สนับสนุนทฤษฎีนอร์มันพูดคุยเกี่ยวกับที่มาของชื่อรูริคในภาษาเยอรมัน - สแกนดิเนเวียโดยอ้างว่ามีชื่อที่ฟังดูคล้ายกันจำนวนมากเป็นหลักฐาน

นอกจากนี้ ตามเวอร์ชันหนึ่ง Rurik ยังเป็นชาวไวกิ้ง Rorik แห่ง Jutland (หรือ Friesland) จากราชวงศ์ Skjoldung น้องชาย (หรือหลานชาย) ของกษัตริย์ Harald Klak แห่งเดนมาร์กที่ถูกเนรเทศซึ่งอยู่ใน 826 หนึ่งปีหรือมากกว่านั้น 837 ปีที่ได้รับจากจักรพรรดิ์แห่งแฟรงก์ หลุยส์ผู้เคร่งครัด ศักดินาบนชายฝั่ง Frisian โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ Dorestad ซึ่งถูกโจมตีโดยพวกไวกิ้ง

ต้นกำเนิดสแกนดิเนเวียอีกเวอร์ชันหนึ่งของ Rurik เชื่อมโยงเขากับ Eirik Emundarson กษัตริย์แห่งอุปซอลาแห่งสวีเดน

ต้นกำเนิดของ Rurik เวอร์ชันสลาฟตะวันตกก็มีข้อสันนิษฐานหลายประการเช่นกัน

ดังนั้นนักวิจัยบางคนกล่าวว่า Rurik มาจากชนเผ่าสลาฟตะวันตก ได้แก่ Obodrites, Ruyans และ Pomeranians “The Tale of Bygone Years” กล่าวโดยตรงว่า Rurik ซึ่งเป็นชาว Varangian ไม่ใช่ชาวนอร์มัน หรือชาวสวีเดน หรือชาวอังกฤษ หรือ Gotlander

Sigismund von Herberstein ชาวออสเตรียซึ่งเป็นที่ปรึกษาเอกอัครราชทูตในราชรัฐมอสโกในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 16 คนเดียวเริ่มคุ้นเคยกับพงศาวดารรัสเซียและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับต้นกำเนิดของ Varangians และ Rurik การเชื่อมโยงชื่อของ Varangians กับชนเผ่าสลาฟบอลติกของ Vagr, Herberstein ได้ข้อสรุปว่า: "ชาวรัสเซียเรียกเจ้าชายของพวกเขาจาก Vagr หรือ Varangians แทนที่จะมอบอำนาจให้กับชาวต่างชาติที่แตกต่างจากพวกเขาในเรื่องความศรัทธาประเพณีและ ภาษา”2.

มิคาอิล Vasilyevich Lomonosov อนุมาน Rurik และ Varangians จากปรัสเซียโดยอาศัย toponyms และพงศาวดารต่อมาซึ่งแทนที่คำศัพท์ "Varangians" ด้วยนามแฝง - ชาติพันธุ์ "เยอรมัน"

เอ็มวี โลโมโนซอฟ:

"... ชาว Varangians และ Rurik กับครอบครัวซึ่งมาที่ Novgorod เป็นชนเผ่าสลาฟพูดภาษาสลาฟมาจากรัสเซียโบราณและไม่ได้มาจากสแกนดิเนเวียเลย แต่อาศัยอยู่บนชายฝั่งตะวันออก - ทางใต้ของ Varangian ทะเล ระหว่างแม่น้ำ Vistula และ Dvina... ชื่อ Rus ในสแกนดิเนเวียและบนชายฝั่งทางเหนือของทะเล Varangian ไม่เคยได้ยินมาก่อน... นักประวัติศาสตร์ของเรากล่าวถึงว่า Rurik และครอบครัวของเขามาจากเยอรมนี และบางครั้งก็เขียนไว้ว่า จากปรัสเซีย... ระหว่างแม่น้ำ Vistula และ Dvina แม่น้ำไหลลงสู่ทะเล Varangian จากฝั่งตะวันออก - ใต้ซึ่งทางด้านบนใกล้กับเมือง Grodno เรียกว่า Nemen และที่ปากแม่น้ำเรียกว่า Rusa ที่นี่ เห็นได้ชัดว่า Varangians-Rus อาศัยอยู่ในชายฝั่งตะวันออก - ใต้ของทะเล Varangian ใกล้แม่น้ำ Rusa... และชื่อปรัสเซียนหรือ Porussians แสดงให้เห็นว่าชาวปรัสเซียอาศัยอยู่ตามชาวรัสเซียหรือใกล้กับรัสเซีย" 3.

นอกจากนี้ยังมีตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับ Rurik และพี่น้องของเขาซึ่งตีพิมพ์ในช่วงทศวรรษที่ 30 ของศตวรรษที่ 19 โดยนักเดินทางและนักเขียนชาวฝรั่งเศส Xavier Marmier ในหนังสือ "Northern Letters" เขาบันทึกไว้ในเยอรมนีตอนเหนือในหมู่ชาวนาเมคเลนบูร์กที่อาศัยอยู่ในดินแดนเดิมของ Bodrichi ซึ่งในเวลานั้นได้กลายเป็นชาวเยอรมันอย่างสมบูรณ์ ตำนานเล่าว่าในศตวรรษที่ 8 ชนเผ่า Obodrit ถูกปกครองโดยกษัตริย์ชื่อ Godlav พ่อของชายหนุ่มสามคน คนแรกถูกเรียกว่า Rurik the Peaceful คนที่สอง - Sivar the Victorious คนที่สาม - Truvar the Faithful .

Stepan Aleksandrovich Gedeonov นักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 19 แนะนำว่า Rurik ไม่ใช่ชื่อของเขาเอง แต่เป็นชื่อเล่นทั่วไป Rerek ซึ่งเกิดขึ้นโดยตัวแทนทั้งหมดของราชวงศ์ Obodrit ที่ปกครองอยู่ เพื่อสนับสนุน Gedeonov อ้างถึงเทพนิยายสแกนดิเนเวียของ Snorri Sturluson เกี่ยวกับ Hakon the Good จากวงจร "Earthly Circle" ซึ่งตามความเห็นของเขา Vendians เรียกว่าเหยี่ยว

ตามรายงานของ Joachim Chronicle Rurik เป็นบุตรชายของเจ้าชาย Varangian ที่ไม่รู้จักในฟินแลนด์จาก Umila ลูกสาวคนกลางของ Gostomysl ผู้เฒ่าชาวสลาฟ พงศาวดารไม่ได้บอกว่าเจ้าชายอยู่ในเผ่าใดในฟินแลนด์ แต่บอกว่าเขาเป็นชาว Varangian เท่านั้น ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต Gostomysl ซึ่งครองราชย์ใน "เมืองใหญ่" และสูญเสียลูกชายทั้งหมดของเขาได้ออกคำสั่งให้เรียกบุตรชายของ Umila มาขึ้นครองราชย์ตามคำแนะนำของผู้เผยพระวจนะ

อย่างไรก็ตาม เราจะไม่เจาะลึกรายละเอียดของสมมติฐานต่างๆ เกี่ยวกับต้นกำเนิดของ Rurik โดยมองหาการยืนยันและความไม่สอดคล้องกันของสมมติฐานบางส่วน ปล่อยให้กิจกรรมนี้ตกเป็นของนักวิจัยมืออาชีพ - นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดี เราจะตัดสินรูริคจากการกระทำของเขาที่บันทึกไว้ในพงศาวดาร

ทำเครื่องหมายในประวัติศาสตร์:

อย่างที่เราทราบกันใน 862 Rurik มาถึง Novgorod, Sineus ถึง Beloozero ในภูมิภาคของชาวฟินแลนด์ Vesi และ Truvor ถึง Izborsk เมือง Krivichi ดินแดนเหล่านี้รวมตัวกันภายใต้อำนาจของรูริคและพี่น้องของเขา นิโคไล มิคาอิโลวิช คารัมซินเดิมเรียกว่ารัสเซีย ใน 864หลังจากการสิ้นพระชนม์ของ Sineus และ Truvor พี่ชายที่ผนวกภูมิภาคของตนเข้ากับอาณาเขตของเขาได้ก่อตั้งสถาบันกษัตริย์รัสเซีย เมื่อยอมรับระบอบเผด็จการ Rurik ได้มอบอำนาจให้กับพลเมืองที่มีชื่อเสียงของเขา ได้แก่ Belaozero, Polotsk, Rostov และ Murom ซึ่งเขาหรือพี่น้องของเขาได้พิชิตมา ดังนั้นเมื่อรวมกับอำนาจสูงสุดของเจ้าชายแล้ว ระบบศักดินา (appanage) จึงได้ก่อตั้งขึ้นในรัสเซีย

ตามพงศาวดารของ Nestor ในเวลานี้เพื่อนร่วมชาติของ Rurik สองคน - Askold และ Dir ซึ่งอาจไม่พอใจกับเจ้าชายได้ไปพร้อมกับสหายของพวกเขาตั้งแต่ Novgorod ถึง Constantinople ระหว่างทางพวกเขาเห็นเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งบนฝั่งสูงของแม่น้ำ Dniep ​​\u200b\u200bซึ่งก็คือเมืองเคียฟ Askold และ Dir เข้าครอบครองมัน ผนวก Varangians จำนวนมากจาก Novgorod และเริ่มปกครองใน Kyiv ภายใต้ชื่อของชาวรัสเซีย เมื่อรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา เจ้าชายองค์ใหม่ของเคียฟจึงตัดสินใจดำเนินการรณรงค์ต่อต้านคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งถึงแม้จะทำให้ชาวกรีกตกใจอย่างมาก แต่ก็จบลงด้วยความล้มเหลว

ดังนั้นชาว Varangians จึงก่อตั้งภูมิภาคเผด็จการสองแห่งในรัสเซีย: Rurik ทางตอนเหนือ, Askold และ Dir ทางตอนใต้ น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับการกระทำเพิ่มเติมของ Rurik ใน Novgorod อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่ Rurik จะใช้ชีวิตที่เหลือโดยไม่ได้ใช้งาน รายล้อมไปด้วยชาวฟินแลนด์จากตะวันตก เหนือ และตะวันออก เขาจะปล่อยพวกเขาไว้ตามลำพังได้หรือไม่? มีแนวโน้มว่าพื้นที่โดยรอบของทะเลสาบ Peipus และทะเลสาบ Ladoga ก็เป็นพยานถึงการกระทำอันกล้าหาญของเขาเช่นกัน ซึ่งไม่ได้อธิบายและถูกลืม เขาขึ้นครองราชย์ตามระบอบเผด็จการหลังจากการสิ้นพระชนม์ของ Sineus และ Truvor เป็นเวลา 15 ปีใน Novgorod และสิ้นพระชนม์ในปี 879 โดยมอบความไว้วางใจในรัชสมัยและลูกชายคนเล็กของเขา Igor ให้กับ Oleg ญาติของเขา

แม้ว่า Rurik จะไม่ใช่ผู้ปกครองคนแรกของชนเผ่าสลาฟตะวันออก แต่ความทรงจำของเขาในฐานะผู้ปกครองคนแรกของรัฐรัสเซียยังคงเป็นอมตะในประวัติศาสตร์ของเรา ตอนนี้เราเริ่มต้นการนับถอยหลังของประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของปิตุภูมิของเราจาก Rurik

หมายเหตุ:

1. “ The Tale of Bygone Years” แปลโดย D.S. Likhachev;

2. ริดเซฟสกายา อี.เอ. ในประเด็นของประเพณีปากเปล่าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพงศาวดารรัสเซียที่เก่าแก่ที่สุด

3. โลโมโนซอฟ เอ็ม.วี. "การคัดค้านวิทยานิพนธ์ของมิลเลอร์"

รูริคคือใคร? เมื่อตอบคำถามนี้แล้วเราจะตอบคำถามว่า "ดินแดนรัสเซียมาจากไหน" นักประวัติศาสตร์ได้ทำลายหอกในประเด็นนี้มานานหลายศตวรรษ โดยนำเสนอข้อโต้แย้งต่างๆ ที่สนับสนุนทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง

เดน

ตามเวอร์ชันแรก Rurik “ของเรา” คือ Rorik แห่ง Jutland กษัตริย์เดนมาร์กจากราชวงศ์ Skjoldung ซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก Odin เอง การกล่าวถึง Rorik พบได้ใน Chronicles Frankish ซึ่งเขาได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ปกครองของ Dorestad และดินแดน Frisian หลายแห่งในช่วงปี 841-873 ใน Xanten Annals เรียกอีกอย่างว่า "ภัยพิบัติของศาสนาคริสต์"

เวอร์ชันแรกของอัตลักษณ์ของรูริค “ของเรา” และรูริกเดนมาร์กแสดงโดยบาทหลวงเอช. ฮอลแมนในงานของเขา “Rustringia บ้านเกิดดั้งเดิมของแกรนด์ดุ๊กรูริกแห่งรัสเซียคนแรกและพี่น้องของเขา ประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์" ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2359 20 ปีต่อมา ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Dorpat Friedrich Kruse ยังได้ระบุตัว Rurik กับ Rorik แห่ง Jutland อีกด้วย

ในบรรดานักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย Nikolai Timofeevich Belyaev เป็นคนแรกที่เขียนเกี่ยวกับตัวตนของบุคคลในประวัติศาสตร์เหล่านี้ในงานของเขา "Rorik of Jutland และ Rurik of the Initial Chronicle" ซึ่งตีพิมพ์ในกรุงปรากในปี 1929 เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องของทฤษฎี นักวิทยาศาสตร์จึงอ้างถึงช่องว่างชั่วคราวในพงศาวดาร Frisian (863-870) และการกล่าวถึง Rurik of Novgorod ที่เกี่ยวข้องในพงศาวดารรัสเซีย

นอกจากนี้ เพื่อเป็นข้อโต้แย้ง มีการให้ข้อมูลการติดต่ออย่างใกล้ชิดของชั้นทางโบราณคดีของเมือง Jutlandic แห่ง Ribe และ Ladoga แห่ง Rurik
ในบรรดานักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียยุคใหม่ต้นกำเนิดของ Rurik เวอร์ชันภาษาเดนมาร์กได้รับการสนับสนุนจาก Boris Rybakov, Gleb Lebedev, Dmitry Machinsky และคนอื่น ๆ

ชาวสวีเดน

รุ่นที่สอง: Rurik เป็นชาวสวีเดน สมมติฐานนี้ไม่มีหลักฐานมากไปกว่าสมมติฐานก่อนหน้า ตามที่กล่าวไว้ Rurik คือกษัตริย์แห่งสวีเดน Eirik Emundarson มันถูกกล่าวถึงโดย Snorri Sturluson ชาวไอซ์แลนด์ใน The Circle of the Earth

Skald บรรยายเรื่อง Thing (การรวมตัวระดับชาติ) ในปี 1018 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองอุปซอลา ผู้เข้าร่วมคนหนึ่งนึกถึง King Eirik โดยบอกว่าทุกฤดูร้อนเขาจะออกแคมเปญและพิชิตดินแดนต่างๆ: ฟินแลนด์, Kirjalaland, Eistlaind, Kurland และดินแดนหลายแห่งใน Australland

ในเทพนิยาย ฟินแลนด์ถูกเรียกว่าฟินแลนด์ Kirjalaland คือ Karelia Eistland คือเอสโตเนีย Kurland คือ Courland Austrweg เป็นเส้นทางตะวันออก (“จาก Varangians ถึง Greeks”) และ Austrland เป็นชื่อของดินแดนที่ต่อมากลายเป็นรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม ตามพงศาวดารของรัสเซีย Rurik ถูกเรียกให้ปกครอง และไม่ได้มาเพื่อพิชิต ประการที่สองใน The Tale of Bygone Years ชาวสวีเดนไม่ถือว่าเป็น Varangians “Varyazi” และ “Svei” ถือเป็นคนละชนชาติ: “Afetovo และเผ่านั้น: Varyazi, Svei, Urman, Gote, Rus'...”

ประการที่สาม Eirik และ Rurik ยังคงเป็นชื่อที่แตกต่างกัน มีการแปลที่แตกต่างกัน Eirik (Eric, Erik) แปลว่า แปลจากภาษาเยอรมันโบราณ "ร่ำรวยด้วยเกียรติยศ" Rurik (Ro/rik) - "รุ่งโรจน์ในความสูงส่ง"

ชาวสลาฟ

ตามทฤษฎีต่อต้านนอร์มัน รูริกนั้น "มาจากพวกเรา มาจากชาวสลาฟ" ต้นกำเนิดสลาฟของผู้ก่อตั้งมลรัฐรัสเซียมีสองเวอร์ชัน

ตามเวอร์ชันแรก Rurik เป็นผู้นำของ Obodrit Slavs (Polabian Slavs) บุตรชายของ Gotleib เจ้าชาย Obodrit ที่เสียชีวิตในปี 808 สมมติฐานนี้อธิบายที่มาของแขนเสื้อของ Rurik - tamga ของบรรพบุรุษที่มีเหยี่ยวดำน้ำเนื่องจากสัญลักษณ์ชนเผ่าของ Obodrite Slavs นั้นเป็นเหยี่ยวอย่างแม่นยำ (ในภาษาสลาฟตะวันตก - "rereg/rarog")

ตามลำดับวงศ์ตระกูลของ Friedrich Chemnitz (ศตวรรษที่ 17) Rurik และพี่น้องของเขาก็ถือเป็นบุตรชายของ Gotleib ที่กล่าวถึงแล้วเช่นกัน ที่นั่นมีชื่อ Sivar และ Troir ว่าเป็นพี่น้องของ Rurik สิ่งที่สำคัญคือความทรงจำของ Rurik ลูกชายของ Gotleib ได้รับการเก็บรักษาไว้ในสถานที่เหล่านั้น (เยอรมนีตะวันออกเฉียงเหนือ) มาเป็นเวลานาน ซาเวียร์ มาร์เมียร์ ชาวฝรั่งเศสซึ่งเดินทางในสถานที่เหล่านั้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เขียนเกี่ยวกับเจ้าชายรูริก

เวอร์ชันสลาฟที่สองพูดถึงต้นกำเนิดของ Rurik จากเกาะ Ruyan ในทะเลบอลติกซึ่งปัจจุบันเรียกว่า Rugen ต้นกำเนิดของ Rurik จากที่นี่สามารถอธิบายได้ด้วยชื่อ "มาตุภูมิ" เอง (เวอร์ชันที่มี obodrites ไม่ได้อธิบายสิ่งนี้) ใน "จักรวาลวิทยา" ของ Mercator เดียวกันเกาะ Ruyan เรียกว่า "รัสเซีย"

นักประวัติศาสตร์ Nikolai Trukhachev ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่าในแหล่งตะวันตกชาว Ruyan มักถูกเรียกว่า Ruthenians หรือ Ruthenians
นอกจากนี้ เกาะ Ruyan ยังเป็นลัทธิของม้าขาวอีกด้วย ร่องรอยของมันได้รับการเก็บรักษาไว้ในคติชนของรัสเซีย เช่นเดียวกับในประเพณีการติดตั้ง "ม้า" บนหลังคากระท่อม

เชเชน

ในปี 2550 หนังสือพิมพ์ Chechen Society ตีพิมพ์บทความที่เขียนโดยนักประวัติศาสตร์ Murtazaliev มันบอกว่าพวกแองโกล-แอกซอน กอธ นอร์มัน และมาตุภูมิเป็นพวกเดียวกัน

“มาตุภูมิไม่ใช่แค่ใครก็ตาม แต่เป็นชาวเชเชน ปรากฎว่ารูริกและทีมของเขาหากพวกเขามาจากชนเผ่า Varangian แห่ง Rus จริง ๆ แล้วพวกเขาก็เป็นชาวเชเชนพันธุ์แท้ ยิ่งไปกว่านั้นจากราชวงศ์และพูดภาษาเชเชนพื้นเมืองของพวกเขา”

Murtazaliev จบบทความดังนี้: "แต่ถึงกระนั้นฉันก็อยากให้นักวิทยาศาสตร์ชาวเชเชนไม่หยุดอยู่แค่นั้น แต่เพื่อพัฒนาไปในทิศทางนี้เนื่องจากหลายคนต้องการ "อุ่นมือ" ในประวัติศาสตร์ชาวเชเชนโดยเทียบกับตรรกะโดยไม่สนใจอุปสรรคทางศีลธรรมทั้งหมด ทั้งหมดนี้ทำให้คนของเราย้อนกลับไปปีแล้วปีเล่า หลายสิบปี หรืออาจจะหลายร้อยปีก่อน”

เขาคือใคร?

คำถามที่ว่าจริงๆ แล้วรูริคเป็นใคร (และไม่ว่าเขาจะมีอยู่จริงหรือไม่) เป็นหนึ่งในคำถาม "นิรันดร์" ของประวัติศาสตร์รัสเซีย การถกเถียงทางวิทยาศาสตร์ระหว่างชาวนอร์มานิสต์และผู้ต่อต้านนอร์มานิสต์ยังคงดำเนินต่อไป แต่ตามที่นักประวัติศาสตร์ Igor Danilevsky กล่าวโดยรวม มันไม่มีความหมาย เนื่องจาก Rurik เป็นตัวละครในตำนานอยู่แล้ว

จนถึงสิ้นศตวรรษที่ 15 ไม่มีเจ้าชายรัสเซียคนใดเรียกตัวเองว่า "Rurikovich" และประวัติศาสตร์ของการถกเถียงทางวิทยาศาสตร์ในหัวข้อการสร้างเอกลักษณ์ของ Rurik ย้อนกลับไปในเวลาต่อมา - จนถึงศตวรรษที่ 18 เมื่อนักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมัน นำโดยเจอราร์ด มิลเลอร์ ซึ่งทำงานในรัสเซียตามคำเชิญของรัฐบาล สิ่งที่เรียกว่า "ทฤษฎีนอร์มัน" ถูกหยิบยกขึ้นมา

มิคาอิล โลโมโนซอฟ วิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎีนี้อย่างรุนแรง ในปี 1761 เขาเขียนบันทึกถึงรัฐสภาของ Academy of Sciences ซึ่งเขาเขียนว่าไม่มีหลักฐานว่า Rurik และผู้ติดตามของเขามาจากสแกนดิเนเวีย และไม่ได้มาจากภูมิภาคอื่นใกล้กับ Novgorod

ตามข้อมูลของ Lomonosov ชนเผ่าผู้คนของ Rus ไม่สามารถมีต้นกำเนิดมาจากสแกนดิเนเวียได้ภายใต้อิทธิพลของการขยายตัวของนอร์มันไวกิ้ง ประการแรก Lomonosov คัดค้านวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับความล้าหลังของชาวสลาฟและการไม่สามารถจัดตั้งรัฐได้อย่างอิสระ

เจ้าชายรูริก (830 - 879) เป็นหนึ่งในบุคคลที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์รัสเซียโบราณ กษัตริย์นอร์มัน (Varangian) ในตำนาน (ผู้นำทีม) ตามตำนานที่ถูกเรียกให้มาตุภูมิโดยชาวสลาฟโบราณ (Novgorod Slovenes) และชนเผ่า Finno-Ugric (Krivichi, Chudyu และทั้งหมด) เขาเป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์รูริก ซึ่งปกครองรัสเซีย และต่อมาคือรัสเซียตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 12 ถึงปลายศตวรรษที่ 16 (ราชวงศ์สุดท้ายคือซาร์ฟีโอดอร์อิวาโนวิช)

ในพงศาวดารรัสเซีย ชื่อ Rurik ฟังดูเหมือนกับที่ฟังใน Celtic Gaul ชื่อนี้อาจย้อนกลับไปเป็นชื่อของชนเผ่าเซลติกกลุ่มหนึ่ง - "รูริก", "เราริก" และชื่อชนเผ่าอาจเกี่ยวข้องกับแม่น้ำรูห์ร

ชนเผ่านี้แม้จะอยู่ในช่วงเปลี่ยนยุคของเรา ก็ยังทิ้งกองทหารที่บุกกอล และทำได้เพียงไปทางทิศตะวันออกเท่านั้น ในเวลาต่อมา ผู้คนจากริมฝั่งแม่น้ำรูห์รก็ได้รับชื่อ (หรือชื่อเล่น) รูริกเช่นกัน ชื่อของพี่น้องของ Rurik ยังพบคำอธิบายในภาษาเซลติกด้วย ชื่อ Sineus น่าจะมาจากคำเซลติก "sinu" - "elder" ชื่อ Truvor ยังอธิบายได้จากภาษาเซลติก ซึ่งชื่อ Trevor แปลว่า "คนที่สามโดยกำเนิด"

Rurik เป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์ Rurik ซึ่งเป็นราชวงศ์ของเจ้าชายรัสเซียและกษัตริย์ในเวลาต่อมาซึ่งปกครองมา 736 ปีตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 9 ถึงศตวรรษที่ 16 รูริค ผู้นำชนเผ่าวารังเกียน "โรส" หรือ "มาตุภูมิ" ในช่วงรัชสมัยของ Rurik ดินแดนของชนเผ่า Merya, Ves และ Murom ถูกผนวกเข้ากับดินแดนของชาวสลาฟ ตามพงศาวดาร Rurik แต่งงานกับเจ้าหญิง Efand แห่ง Urmansk และมีลูกชายคนหนึ่งชื่อ Igor จากข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยันในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 - ต้นศตวรรษที่ 17 รูริกเสียชีวิตในโคเรลในปี 879 โดยให้โอเล็ก ญาติห่าง ๆ ของเขาควบคุมรัฐและลูกชายคนเล็กของเขา

ต้นกำเนิดของ Rurik มีหลายเวอร์ชัน

ตามเวอร์ชันหนึ่งเขาเป็นตัวแทนของตระกูล Skioldung ชาวเดนมาร์กผู้สูงศักดิ์ซึ่งเป็นเจ้าของเมือง Doresnad ใน Friesland ในปี 837-850 ในแหล่งที่มาของเดนมาร์กชื่อของเขาถูกเรียกว่า "Rorik" ด้วยทีมของเขา Rerik ได้บุกโจมตีในเยอรมนีฝรั่งเศสอังกฤษและสวีเดนจนถึงปี 860 เมื่อเขาถูก "เรียกจากชาวเยอรมันข้ามทะเล" (ตามรายงานในพงศาวดาร) และตั้งรกรากใน "เมืองแห่งสลาฟ" - ลาโดกา จากจุดที่เขามาถึงโนฟโกรอด

ตามเวอร์ชันอื่น Rurik เป็นบุตรชายของเจ้าชาย Bodrich Godoslav (เสียชีวิตปี 808) และ Umila ลูกสาวของผู้เฒ่า Novgorod Gostomysl ตาม Ipatiev Chronicle และตาม V. Klyuchevsky Rurik อาศัยอยู่ใน Ladoga ตั้งแต่สมัยโบราณจากที่ที่เขาถูกเรียกโดยชาวสลาฟถึงโนฟโกรอด ในกรณีนี้ ไม่มี "การเรียกของชาว Varangians จากต่างประเทศ" เนื่องจาก Slav Rurik เป็นผู้นำของทีม Varangian ที่ได้รับการว่าจ้างใน Ladoga

ได้รับเชิญจากผู้เฒ่า Novgorod ให้หยุดความบาดหมางภายในเมืองร่วมกับพี่น้อง Sineus และ Truvor เขาแต่งงานใน Novgorod ผู้สูงศักดิ์ Novgorod Efand (Edvinda) ซึ่งเขามีลูกชาย Igor และลูกสาวสองคน พี่น้องของ Rurik - Sineus และ Truvor - มาถึงเมืองพร้อมกับเขาและหลังจากการตายของพวกเขา Rurik ได้ผนวกที่ดินของ Sineus Beloozero เข้ากับ Novgorod (เต็มไปด้วยปาฏิหาริย์และทั้งหมด) และที่ดินของ Truvor Izborsk (เมือง Krivichi) หลังจากนั้นเขาก็ ประกาศให้โนฟโกรอดเป็นเมืองหลวงของดินแดนรัสเซียทั้งหมดในปี 864

นักประวัติศาสตร์บางคนสืบย้อนถึงต้นกำเนิดของรูริกถึงปรัส น้องชายของจักรพรรดิออกุสตุส

มีอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ตามที่พี่น้อง Rurik Sineus และ Truvor ไม่มีอยู่เลยนักประวัติศาสตร์ชาวรัสเซียก็ไม่เข้าใจและบิดเบือนข้อความต่างประเทศที่เล่าเกี่ยวกับการมาถึงของ Rurik ถึง Rus พร้อมบ้านของเขา (sine-khus) และ ทีมภักดี (tru-vor) ). นักวิจัยที่ยึดมั่นในมุมมองนี้เชื่อว่าไม่มีคำเชิญจาก Novgorod Slavs แต่ในทางกลับกันกษัตริย์ที่ปกครองใน Ladoga ใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งภายในในเมืองและตัวเขาเองก็มาถึง Novgorod

และในพงศาวดารฉบับหนึ่งในเรื่องนี้มีรายงานเกี่ยวกับการลุกฮือของผู้ที่ไม่พอใจ Rurik ในเมืองซึ่งนำโดย Vadim the Brave ซึ่งถูกปราบปราม วาดิมถูกสังหาร ผู้สนับสนุนของเขาหนีไปทางใต้สู่เคียฟ ตามเรื่องราวในพงศาวดารนี้ นักรบของ Rurik ชื่อ Askold และ Dir ก็ไปที่นั่นเช่นกัน และสามารถยึดอำนาจใน Kyiv ประมาณปี 866 ตามเวอร์ชันนี้ มีสองรัฐแรกเกิดขึ้น: เหนือและใต้ของมาตุภูมิ และทั้งสองรัฐนำโดย Varangians

อาจเป็นไปได้ว่าในขณะที่ปกครอง Novgorod นั้น Rurik ได้ขยายอิทธิพลของเขาไปทางเหนือและตะวันออกของเมืองสามารถผนวกดินแดนของชนเผ่า Merya, Murom ทั้งหมดและด้วยเหตุนี้จึงขยายอาณาเขต Novgorod จาก Volkhov ไปที่ปาก ของโอกะ

การก่อตัวของรัฐรัสเซียเก่า รูริค ทรูเวอร์ และซิเนอุส

ชาวนอร์มันบังคับให้ชาวโนฟโกโรเดียนและชนเผ่าสลาฟอีกเผ่าหนึ่ง และชนเผ่าฟินแลนด์สามเผ่าต้องถวายส่วยพวกเขา แต่ชาวสลาฟและฟินน์จัดการกับมันและไล่แขกที่ไม่ได้รับเชิญออกไป แต่พวกเขาไม่ได้อยู่แบบนี้นาน เกิดความไม่สงบมากมายแต่ความจริงไม่ได้รับการเคารพ ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นในหมู่คนจากตระกูลต่างๆ ผู้เฒ่าจะรวมตัวกันเพื่อตัดสินพวกเขา แต่ละคนจะยืนหยัดเพื่อญาติของตน และครอบครัวก็เริ่มทะเลาะกัน แล้วก็มีธรรมเนียม หากมีเรื่องสำคัญ ผู้เฒ่าของทั้งเผ่าหรือแม้แต่จากหลายเผ่าที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างฉันมิตรก็จะรวมตัวกันในที่เดียว ดังนั้นผู้เฒ่าของชนเผ่าที่ขับไล่ Varangians จึงรวมตัวกันและเริ่มคิดว่าพวกเขาจะหยุดความไม่สงบได้อย่างไร วิธีการทำเช่นนี้?

ปัญหาเกิดจากการไม่มีผู้พิพากษาที่ซื่อสัตย์ หากมีผู้พิพากษาเช่นนี้ชาวสลาฟก็จะเริ่มอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่ฉันจะหามันได้ที่ไหน? คุณไม่สามารถเลือกผู้พิพากษาจากชาวสลาฟหรือฟินน์ได้: ความอยุติธรรมจะเกิดขึ้นอีกครั้ง คุณต้องมีผู้พิพากษาจากคนแปลกหน้า - เขาจะตัดสินได้แม่นยำยิ่งขึ้น และผู้พิพากษาเช่นนี้ก็จำเป็นเช่นกันเพื่อให้เขามีอำนาจ เพื่อว่าถ้าจำเลยดื้อรั้นเขาจะบังคับเขาให้เชื่อฟัง และชาวสลาฟตัดสินใจมองหาผู้พิพากษาด้วยตนเองในต่างแดน ได้แก่ ในหมู่ชาว Varangians พวกเขาได้ยินมาว่าในตระกูล Varangian แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่ารัสเซียมีเจ้าชายสามคนที่ตัดสินอย่างยุติธรรมและเป็นนักรบที่ดีเพื่อที่พวกเขาจะได้บังคับให้อาสาสมัครเชื่อฟังและจะไม่ทำให้ใครขุ่นเคือง

พี่น้องเหล่านี้ชื่อ: Rurik, Sineus และ Truvor ชาวสลาฟจึงส่งทูตไปพบพวกเขา ราชทูตมาโค้งคำนับเจ้าชายเหล่านี้แล้วกล่าวว่า “แผ่นดินของเรายิ่งใหญ่และอุดมสมบูรณ์ แต่เราไม่มีคำสั่ง ให้มาปกครองและปกครองเรา” เจ้าชายเหล่านี้ก็เห็นด้วยกับคำขอของพวกเขา และเข้ามาหาพวกเขาพร้อมทั้งครอบครัวและบริวารของพวกเขา

ผู้ที่ติดตามเจ้าชายหรือผู้นำทางทหารเพื่อทำสงครามเรียกว่าหน่วย พวกเขาไม่ใช่ญาติของเขา ดังนั้นพวกเขาจึงรับใช้เพราะพวกเขาหวังว่าจะได้ของโจรมากกว่านี้ และแท้จริงแล้ว เจ้าชายผู้แสนดีรักกลุ่มของเขามากและดูแลมัน

รูริกและพี่น้องของเขามาถึงดินแดนสลาฟและพาครอบครัวชาวรัสเซียทั้งหมดมาด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมดินแดนที่พวกเขาเริ่มครองราชย์จึงถูกเรียกว่ารัสเซีย เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 862 นับตั้งแต่การประสูติของพระคริสต์ ซึ่งหมายความว่าเมื่อกว่า 1,000 ปีที่แล้วรัฐรัสเซียก็เริ่มต้นขึ้น Rurik, Sineus และ Truvor เริ่มตัดสินชาวสลาฟและฟินน์ที่เรียกพวกเขาปกป้องพวกเขาจากศัตรูและพวกเขาก็จ่ายส่วยให้พวกเขาสำหรับสิ่งนี้ พวกเขาถวายส่วยเท่าที่เจ้าชายสั่ง เขาเองก็ไปหาเธอทุกปี

Sineus เริ่มครองราชย์ในเมือง Beloozero, Truvor - ใน Izborsk และ Rurik - ครั้งแรกใน Ladoga จากนั้นใน Novgorod พี่ชายของเขาเสียชีวิต และเขาเริ่มปกครองรัสเซียทั้งหมด แต่เธอไม่ใหญ่ ในปัจจุบันนี้เรามีจังหวัดที่ใหญ่กว่าแคว้นมาตุภูมิทั้งหมดในขณะนั้น อย่างไรก็ตามเจ้าชายนอร์มันเริ่มเพิ่มดินแดนและยึดครองเมืองต่างๆ ทันที: Polotsk, Murom, Rostov ทุกอย่างดีขึ้นสำหรับชาวสลาฟภายใต้การปกครองของเจ้าชายความวุ่นวายก็จบลง บรรดาเจ้านายเริ่มพิพากษาตามความเป็นจริง และถ้าใครไม่เชื่อฟัง จะถูกลงโทษ ชาว Novgorodians ตัดสินใจที่จะจงใจ แต่ Rurik ก็ทำให้พวกเขาสงบลง และไม่มีเพื่อนบ้านคนใดเริ่มรุกรานพวกเขา

อย่างไรก็ตามตัวเขาเองตัดสินเฉพาะใน Novgorod และในเมืองอื่น ๆ เขาได้แต่งตั้งโบยาร์ซึ่งเริ่มตัดสินแทนเจ้าชายซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงถูกเรียกว่าผู้ว่าราชการ โบยาร์เหล่านี้มาจากกลุ่มเจ้าชาย ในนั้นผู้ที่มีอายุมากกว่าและสำคัญที่สุดเรียกว่าโบยาร์และคนที่เล็กกว่านั้นเรียกว่ากริดนี่และเสียงหอน คนรับใช้ของเจ้าชายถูกเรียกว่าเยาวชน ทุกคนสามารถสมัครเข้าร่วมทีมเจ้าชายและบางทีอาจขึ้นสู่ตำแหน่งโบยาร์ โบยาร์ที่รุ่งโรจน์ที่สุดก็มีทีมของตัวเองเช่นกัน และเมื่อสงครามเริ่มขึ้น ผู้เฒ่าจากแต่ละตระกูลก็ติดอาวุธเข้าเฝ้าเจ้าชาย ส่วนผู้เยาว์ยังคงอยู่ที่บ้าน ผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับผลประโยชน์มากมาย

จากทีมของ Rurik มีนักรบสองคนคือ Askold และ Dir ซึ่งต้องการเป็นผู้ว่าการรัฐด้วย แต่เขาไม่ได้ให้เมืองแก่พวกเขา พวกเขาขอให้เขาไปที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลเพื่อรับใช้จักรพรรดิกรีก รูริคปล่อยพวกเขาไป ดังนั้นพวกเขาและครอบครัวจึงล่องเรือไปตามแม่น้ำนีเปอร์และพบกับเคียฟ พวกเขาถามว่าเมืองนี้เป็นของใคร และพบว่าเมืองนี้เป็นที่สดุดีชาวคาซาร์ พวกเขาหยุดที่นี่ Varangians สองสามคนรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ พวกเขาซึ่งยังคงไปคอนสแตนติโนเปิลเพื่อรับบริการด้วยวิธีนี้ ชาวเคียฟเริ่มแสดงความเคารพต่อพวกเขาแทนคาซาร์ พวกเขาเอาชนะชาวสลาฟที่อยู่ใกล้เคียงและเริ่มครองราชย์ในเคียฟ

เมื่อ Askold และ Dir แข็งแกร่งขึ้นที่นั่น พวกเขาตัดสินใจไปที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ไม่ใช่เพื่อรับใช้ แต่เพื่อต่อสู้ และล่องเรือ 200 ลำไปที่นั่น และกองทัพกรีกในขณะนั้นก็กำลังสู้รบอยู่ที่อื่น ชาวรัสเซียเริ่มปล้นบริเวณชานเมืองคอนสแตนติโนเปิลและทำให้เมืองหวาดกลัว มีโบสถ์ Blachernae อยู่ในนั้นซึ่งเก็บเสื้อคลุมของพระมารดาของพระเจ้าไว้ หัวหน้าบาทหลวงชาวกรีกซึ่งเรียกว่าผู้เฒ่าได้ประกอบพิธีสวดมนต์และถือเสื้อคลุมนี้ไว้รอบกำแพงเมือง พายุเกิดขึ้น เรือรัสเซียแตก พวกเขาแทบไม่รอดเข้าฝั่งและเริ่มขอความสงบสุข และเมื่อพวกเขารู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็อยากเป็นคริสเตียน

ชาวกรีกพอใจกับสิ่งนี้มาก โดยให้บัพติศมา Askold และ Dir และสมาชิกคนอื่น ๆ ในทีม มอบทองคำ เงิน ผ้าไหมให้พวกเขา แล้วพวกเขาก็กลับไปยังเคียฟ พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยเงื่อนไขที่เป็นมิตรกับ Rurik โจมตีดินแดนทางใต้ของเขาและรับผู้ที่ออกจาก Novgorod ไว้สำหรับพวกเขา แต่ในไม่ช้ารูริคก็เสียชีวิต อิกอร์ลูกชายของเขาอายุเพียงสองขวบ แน่นอนว่าทารกไม่สามารถปกครองรัฐได้ ดังนั้นรูริคจึงโอนอำนาจไปให้โอเล็กซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพื่อนร่วมงานของเขา

โอเล็กและอิกอร์

ต่อมามีเวอร์ชันที่เชื่อมโยง Oleg กับตระกูล Rurik ตามที่พวกเขากล่าวไว้ Oleg เป็นน้องชายของภรรยาของ Rurik นั่นคือลุงของอิกอร์ ควรสังเกตว่าความสำคัญของสายเลือดเครือญาติของมารดามีความสำคัญในเวลานั้น และลุงของมารดาถือได้ว่าเป็นญาติที่ใกล้ชิดกว่าญาติของบิดา และยังสามารถเลี้ยงดูหลานชายได้อีกด้วย โอเล็กกลายเป็น "คนหาเลี้ยงครอบครัว" ให้กับอิกอร์ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในช่วงวัยเด็กของเขา อย่างไรก็ตามถึงแม้เมื่ออิกอร์โตขึ้น Oleg ก็ไม่ยอมละทิ้งอำนาจของเจ้าชาย ในไม่ช้าอิกอร์ผู้พิทักษ์คนนี้ก็มีชื่อเสียงในด้านความกล้าหาญ ชัยชนะ ความรอบคอบ และความรักต่ออาสาสมัครของเขา

Oleg เป็นคนเจ้าเล่ห์ ในตอนแรกเขายึดเมือง Smolensk และ Lyubech ซึ่งตั้งอยู่บนถนนจาก Novgorod ไปยัง Kyiv; จากนั้นเขาก็รวบรวมกองทัพขนาดใหญ่จากทุกชนชาติภายใต้การควบคุมของเขาและลงเรือไปยังเคียฟ มีเพียงเขาเท่านั้นที่ทิ้งเรือส่วนใหญ่ไว้ข้างหลัง และซ่อนทหารไว้บนเรือที่เหลือ แล่นไปยังเคียฟและส่งพวกเขาไปบอก Askold และ Dir ว่าพ่อค้า Varangian มาถึงแล้ว แต่พวกเขารู้สึกไม่สบายนั่นคือสาเหตุที่พวกเขาขอให้เจ้าชายมา ไปยังเรือของพวกเขา เจ้าชายเชื่อว่าพาคนสองสามคนไปด้วยมาที่เรือของ Oleg แล้วเขาก็ออกมาหาพวกเขาพร้อมกับอิกอร์หนุ่มในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า:

“คุณไม่ใช่เจ้าชาย แต่นี่คือลูกชายของรูริค” และในขณะนั้นนักรบของเขาก็ออกมาจากใต้ดาดฟ้าเรือแล้วรีบไปที่ Askold และ Dir และสังหารพวกเขา เขาชอบมันมากในเคียฟ: ในเคียฟอบอุ่นกว่าและทุกอย่างจะดีและแผ่นดินก็อุดมสมบูรณ์ Oleg กล่าวว่า: "ให้ Kyiv เป็นแม่ของเมืองรัสเซีย" และเริ่มอาศัยอยู่ในนั้นและออกจากผู้ว่าการใน Novgorod แต่ระหว่างโนฟโกรอดและเคียฟยังมีชนเผ่าสลาฟที่ยังไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของโอเล็ก เขาพิชิตพวกเขาทั้งหมดแม้ว่า Drevlyans และชาวเหนือจะต่อสู้กับเขาอย่างกล้าหาญก็ตาม

Oleg ทั้งก่อนและหลังการรณรงค์พยายามอย่างมากเพื่อหาวิธีจัดระเบียบดินแดนรัสเซียเดินทางไปรอบ ๆ ดำเนินการยุติธรรมและการตอบโต้และสร้างส่วย ประชาชนทุกคนรักเขามาก นี่คือสิ่งที่พูดเกี่ยวกับการตายของเขา สมัยนั้นมีหมอผีหรือหมอผีอยู่มากมาย Oleg ถามหนึ่งในนั้นว่าเขาจะตายด้วยอะไร? และหมอผีก็ตอบว่า: "จากม้าที่รักของคุณ" Oleg หยุดขี่ม้าตัวนี้และสั่งให้มันพักผ่อนและดูแลเป็นอย่างดี

เมื่อกลับจากการรณรงค์กรุงคอนสแตนติโนเปิลเขาถามว่าม้าของเขาอยู่ที่ไหน? พวกเขาบอกว่าม้าตายแล้ว เจ้าชายรู้สึกสงสารม้าตัวนั้น อยากเห็นกระดูกของมัน มาถึงที่ที่พวกมันนอนอยู่ เหยียบหัวกระโหลกแล้วพูดว่า: "ทำไมฉันถึงฟังนักมายากลคนนี้ด้วย? เขาเอาแต่โกหก: เขาบอกว่าฉันจะตายเพราะม้า แต่ม้าตายแล้ว และฉันยังมีชีวิตอยู่และสบายดี” ขณะที่เจ้าชายกล่าวเช่นนี้ งูก็คลานออกมาจากกระโหลกม้า แล้วพันรอบขาของเจ้าชายแล้วกัดเขา โอเล็กเสียชีวิตจากสิ่งนี้ อิกอร์เข้ายึดอำนาจเหนือรัสเซียหลังจากการตายของโอเล็ก

Igor Rurikovich - แกรนด์ดุ๊กแห่งเคียฟลูกชายคนเดียวของ Rurik เกิดในปี 877 เสียชีวิตในปี 945 พงศาวดารให้ข้อมูลค่อนข้างน้อยเกี่ยวกับชีวิตของอิกอร์ก่อนรัชสมัยของเขา: ในปี 903 เมื่ออิกอร์ยังอยู่ภายใต้การดูแลของโอเล็กภรรยาของเขา ถูกนำมาจาก Pskov มาหาเขาซึ่งตั้งชื่อตาม Olga; ในปี 907 Oleg ออกเดินทางรณรงค์ต่อต้าน Byzantium ออกจาก Igor ใน Kyiv ราวกับว่าเป็นผู้ว่าราชการของเขา ในปี 912 Oleg เสียชีวิตและภารกิจแรกของ Igor ซึ่งครองราชย์ใน Kyiv คือการปลอบขวัญ Drevlyans ที่กบฏซึ่งเขาลงโทษด้วยการเพิ่มบรรณาการ (914)

ในเวลาเดียวกันชนเผ่า Uglich ซึ่งอาศัยอยู่ติดกับ Tivertsy ก็ถูกปราบปรามหรือกลับสู่การยอมจำนน อิกอร์ส่งส่วยให้กับชาว Uglich ซึ่งเขามอบให้กับ Sveneld ผู้ว่าราชการอันเป็นที่รักของเขา นอกจากนี้เขายังส่งส่วย Drevlyan ให้เขาด้วย ซึ่งทำให้เกิดเสียงบ่นในทีมของเขา ในปี 915 ชาว Pechenegs มาถึงดินแดนรัสเซียเป็นครั้งแรกและเจ้าชายเคียฟก็สงบศึกกับพวกเขา อย่างไรก็ตามในปี 920 อิกอร์มีโอกาสทำสงครามกับชาวบริภาษเหล่านี้ สถานการณ์ของเธอไม่เป็นที่รู้จัก

935 - เรือและกองทหารของอิกอร์แล่นไปพร้อมกับกองเรือกรีกไปยังอิตาลี แต่ในปี 941 ความสัมพันธ์อันสงบสุขของพวกเขาถูกทำลายลง และอิกอร์พร้อมกับกองเรือขนาดใหญ่ - ตามพงศาวดารที่ประกอบด้วยเรือ 10,000 ลำ - ได้ไปที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล จักรพรรดิได้รับแจ้งถึงการมาถึงของชาวรัสเซียโดยชาวบัลแกเรีย แต่อิกอร์สามารถขึ้นฝั่งและทำลายล้างสภาพแวดล้อมของบอสฟอรัสได้ กองเรือรัสเซียจอดทอดสมออยู่ใกล้ฟารา

เมื่อกองเรือกรีกโจมตีเธอ อิกอร์มั่นใจในชัยชนะมากจนออกคำสั่งให้ทหารไว้ชีวิตศัตรูและจับพวกเขาทั้งเป็น แต่ในการสู้รบที่เกิดขึ้น ไฟกรีกซึ่งชาวรัสเซียเห็นที่นี่เป็นครั้งแรก สร้างความหวาดกลัวให้กับอิกอร์และทหารของเขาจนพวกเขารีบล่าถอยไปยังชายฝั่งของเอเชียไมเนอร์ ที่นั่นพวกเขาพยายามจะขึ้นฝั่งใน Bithynia แต่ Patrick Bardas และ Domestic John บังคับให้พวกเขาออกจากเรือ รัสเซียนอกชายฝั่งเทรซต่อสู้กับชาวกรีกในทะเลอีกครั้งและกลับบ้านด้วยความเสียหายใหญ่หลวง อย่างไรก็ตามอิกอร์เริ่มรวบรวมกองทัพขนาดใหญ่อีกครั้ง: ชาว Varangians ถูกเรียกจากต่างประเทศและ Pechenegs ได้รับการว่าจ้างซึ่งถูกจับเป็นตัวประกัน

944 - อิกอร์เริ่มการรณรงค์ครั้งใหม่เพื่อต่อต้านกรีซด้วยกองเรือและทหารม้า ชาว Korsuns และบัลแกเรียแจ้งให้จักรพรรดิทราบอีกครั้งเกี่ยวกับการมาถึงของชาวรัสเซียและเขาก็ส่งทูตไปยังอิกอร์ทันทีซึ่งพบเจ้าชายใกล้ปากแม่น้ำดานูบและถวายเครื่องบรรณาการแก่เขาที่โอเล็กเคยได้รับยิ่งกว่านั้นอีกหากเขาตกลง ความสงบ. เมื่อไปถึงแม่น้ำดานูบแล้ว Igor หลังจากปรึกษากับทีมของเขาแล้วเขาก็รับของขวัญจากชาวกรีกสำหรับทหารทั้งหมดของเขาและสั่งให้ Pechenegs ที่ได้รับการว่าจ้างทำลายล้างบัลแกเรียแล้วกลับไปที่เคียฟ ปีหน้าจักรพรรดิส่งทูตไปยังอิกอร์และฝ่ายหลังส่งทูตของเขาไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิลซึ่งมีการสรุปสนธิสัญญาสันติภาพ“ ตลอดทั้งปีในขณะที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงและสันติภาพคงอยู่” แต่ในแง่ที่เป็นที่ชื่นชอบของมาตุภูมิน้อยกว่า ภายใต้โอเล็ก

จักรพรรดิยืนยันสนธิสัญญาด้วยคำสาบานและส่งเอกอัครราชทูตของเขาไปยังเคียฟอีกครั้งซึ่งก่อนหน้านี้อิกอร์บนเนินเขาที่ตีน Perun สาบานอย่างจริงจังว่าจะรักษามิตรภาพกับจักรวรรดิ นักรบของพระองค์วางอาวุธ โล่ และทองคำไว้ที่เชิงเทวรูป เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งคำสาบาน และบรรดานักรบที่เป็นคริสเตียนก็สาบานในโบสถ์เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เอลียาห์. อิกอร์ปล่อยเอกอัครราชทูตชาวกรีกโดยมอบขนอันล้ำค่า ขี้ผึ้ง และนักโทษให้พวกเขา ทีมของอิกอร์อิจฉาเด็ก ๆ ของสเวเนลด์เพราะพวกเขาอุดมไปด้วยอาวุธและเสื้อผ้าทุกประเภท ในขณะที่พวกเขาซึ่งเป็นทีมของเจ้าชายเดินเท้าเปล่าและเปลือยเปล่า นักรบจึงเรียกร้องให้อิกอร์ไปด้วยเพื่อเก็บภาษีจากชนเผ่าที่อยู่ภายใต้การปกครองและแบ่งปันกับพวกเขา

เมื่อเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วงปี 945 อิกอร์ก็ไปกับทีมของเขาไปยังดินแดน Drevlyan และรวบรวมบรรณาการจากที่นั่น จากนั้นทิ้งส่วนเล็ก ๆ ของทีมไว้กับเขาและส่งส่วนที่เหลือกลับบ้านเจ้าชายก็ต้องการส่งส่วยจากดินแดน Drevlyansky แต่สิ่งนี้ทำให้ Drevlyans โกรธเคือง: จำเป็นต้องฆ่าหมาป่านักล่าพวกเขาตัดสินใจไม่เช่นนั้นมันจะทำลายทุกสิ่ง พวกเขาติดอาวุธภายใต้การบังคับบัญชาของเจ้าชาย Mal ในท้องถิ่น ออกจาก Korosten ฆ่า Igor และฝังเขาไว้ไม่ไกลจากเมืองของพวกเขา และสังหารทีมของเขา ตามข่าวไบเซนไทน์ Drevlyans มัดอิกอร์ไว้กับต้นไม้สองต้นที่โค้งงอกับพื้นแล้วปล่อยต้นไม้ฉีกเขาออกเป็นสองท่อน

รัชสมัยของอิกอร์หมายถึงเรื่องราวของนักเขียนชาวอาหรับ Abulfed ที่ในปี 944 ชาวรัสเซียยึดเมืองหลวงของ Arran Barda และกลับสู่ดินแดนของพวกเขา คูร์และทะเลแคสเปียน อาบุลฟาราก นักประวัติศาสตร์ตะวันออกอีกคน กล่าวถึงการโจมตีครั้งนี้ว่าเป็นของชาวอลัน เลซกิน และสลาฟ สำหรับการจัดตั้งภายใต้อิกอร์แห่งการครอบงำของรัสเซียบนฝั่งของ Cimmerian Bosphorus และการอยู่ใต้บังคับบัญชาที่เด็ดขาดยิ่งขึ้นของชาวบัลแกเรียผิวดำต่อเจ้าชายรัสเซีย ปัญหานี้ยังคงต้องมีการวิจัยโดยละเอียดเพิ่มเติม

ดังนั้นเขาจึงเป็นเจ้าชาย Rurikovich คนแรกบนบัลลังก์เคียฟ รัชสมัยของอิกอร์โดดเด่นด้วยการรณรงค์ทางทหารที่สำคัญหลายครั้ง ไม่เพียงแต่ในภาคใต้เท่านั้น แต่ยังอยู่ในทิศทางตะวันออกด้วย นอกจากไบแซนเทียมแล้ว Rus ยังถูกดึงดูดโดยชายฝั่งทะเลแคสเปียนซึ่งกวักมือเรียกด้วยความร่ำรวยเพราะเส้นทางการค้าที่มีชื่อเสียงที่เชื่อมโยง Rus 'กับประเทศในแถบอาหรับตะวันออกผ่านแม่น้ำโวลก้าข้ามทะเล บนชายฝั่งทะเลแคสเปียนมีดินแดนและเมืองที่อุดมสมบูรณ์จมอยู่ในความหรูหราและความเจริญรุ่งเรือง