กองทัพใดแข็งแกร่งกว่า: รัฐในยุโรปยุคกลางหรือญี่ปุ่นยุคกลาง จำนวนกองทัพยุคกลาง

การสู้รบในยุคกลางค่อย ๆ เคลื่อนตัวจากการปะทะกันของหน่วยทหารที่มีการจัดการไม่ดีไปสู่การสู้รบโดยใช้กลยุทธ์และการหลบหลีก ส่วนหนึ่ง วิวัฒนาการนี้เป็นการตอบสนองต่อการพัฒนากองกำลังและอาวุธประเภทต่างๆ และความสามารถในการใช้งาน กองทัพยุคแรกในยุคกลางอันมืดมิดเป็นทหารเดินเท้าจำนวนมาก ด้วยการพัฒนาของทหารม้าหนัก กองทัพที่ดีที่สุดกลายเป็นฝูงอัศวิน ทหารราบถูกใช้เพื่อทำลายพื้นที่เกษตรกรรมและทำงานหนักระหว่างการปิดล้อม อย่างไรก็ตาม ในการต่อสู้ ทหารราบอยู่ภายใต้การคุกคามจากทั้งสองฝ่าย ขณะที่อัศวินพยายามที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูในการดวลกันตัวต่อตัว ทหารราบในยุคแรกนี้ประกอบด้วยผู้เกณฑ์ศักดินาและชาวนาที่ไม่ได้รับการฝึกฝน นักธนูยังมีประโยชน์ในการปิดล้อม แต่พวกเขาก็เสี่ยงที่จะถูกเหยียบย่ำในสนามรบ

ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 15 ผู้นำทางทหารมีความก้าวหน้าอย่างมากในการฝึกฝนอัศวินและสร้างกองทัพที่ทำหน้าที่เป็นทีมเดียว ในกองทัพอังกฤษ อัศวินยอมรับนักธนูอย่างไม่เต็มใจหลังจากที่พวกเขาได้แสดงคุณค่าในการต่อสู้มากมาย ระเบียบวินัยยังเพิ่มขึ้นเมื่ออัศวินเริ่มต่อสู้เพื่อเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ และน้อยลงเรื่อย ๆ เพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรี ทหารรับจ้างในอิตาลีมีชื่อเสียงจากการรณรงค์ที่ยาวนานโดยมีการนองเลือดค่อนข้างน้อย ถึงเวลานี้ ทหารทุกแขนงกลายเป็นทรัพย์สินที่ไม่ควรแยกจากกันโดยง่าย กองทัพศักดินาที่มองหาเกียรติยศได้กลายเป็นกองทัพมืออาชีพ สนใจที่จะอยู่รอดมากขึ้นเพื่อใช้จ่ายเงินที่พวกเขาได้รับ

ยุทธวิธีของทหารม้า

โดยปกติแล้วทหารม้าจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มหรือฝ่ายต่างๆ ซึ่งถูกส่งเข้าสู่สนามรบทีละคน คลื่นลูกแรกควรจะทะลวงแนวของข้าศึกหรือทำลายพวกมันเพื่อให้ระลอกที่สองหรือสามสามารถทะลวงผ่านไปได้ หากศัตรูหนีไป การสังหารหมู่ที่แท้จริงก็เริ่มต้นขึ้น

ในทางปฏิบัติ เหล่าอัศวินได้กระทำการในแบบของตนเพื่อก่อความเสียหายต่อแผนการใดๆ ของผู้บังคับบัญชา อัศวินส่วนใหญ่สนใจในเกียรติและศักดิ์ศรี และไม่อายที่จะมีเงินในระดับแนวหน้าของกองแรก ชัยชนะที่สมบูรณ์ในการต่อสู้เป็นเรื่องรองจากชื่อเสียงส่วนตัว การต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า เหล่าอัศวินโจมตีทันทีที่เห็นศัตรู ทำลายแผนการใดๆ

บางครั้งขุนศึกจะลงจากหลังม้าเพื่อให้ควบคุมได้ดีขึ้น นี่เป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไปในกองทัพขนาดเล็กที่มีโอกาสตอบโต้การโจมตีเพียงเล็กน้อย อัศวินที่ลงจากหลังม้าสนับสนุนพลังการต่อสู้และขวัญกำลังใจของทหารราบทั่วไป อัศวินที่ลงจากหลังม้าและทหารเดินเท้าคนอื่นๆ ต่อสู้เพื่อแย่งชิงเสาหรือฐานทัพอื่นๆ ที่ออกแบบมาเพื่อลดพลังโจมตีของทหารม้า

ตัวอย่างของพฤติกรรมที่ไร้วินัยของอัศวินคือการต่อสู้ที่เครซีในปี 1346 กองทัพฝรั่งเศสมีจำนวนมากกว่าอังกฤษหลายเท่า (สี่หมื่นหนึ่งหมื่น) โดยมีอัศวินขี่ม้ามากกว่ามาก อังกฤษแบ่งนักธนูออกเป็นสามกลุ่ม ป้องกันด้วยเสาที่ปักลงพื้น ระหว่างสามกลุ่มนี้มีกลุ่มอัศวินลงจากหลังม้าสองกลุ่ม อัศวินที่ลงจากหลังม้ากลุ่มที่สามถูกคุมตัวไว้เป็นกองหนุน ทหารรับจ้าง Genoese ถูกส่งโดยกษัตริย์ฝรั่งเศสเพื่อยิงทหารราบอังกฤษ ในขณะที่เขาพยายามจัดอัศวินของเขาออกเป็นสามฝ่าย อย่างไรก็ตาม หน้าไม้เปียกน้ำและไม่ได้ผล อัศวินฝรั่งเศสเพิกเฉยต่อความพยายามของกษัตริย์ในการจัดระเบียบทันทีที่พวกเขาเห็นศัตรูและร้องตะโกนว่า "ฆ่า! ฆ่ามัน! เมื่อหมดความอดทนกับชาว Genoese กษัตริย์ฝรั่งเศสจึงสั่งให้อัศวินโจมตี และพวกเขาก็กระทืบหน้าไม้ระหว่างทาง แม้ว่าการสู้รบดำเนินไปตลอดทั้งวัน อัศวินอังกฤษเดินเท้าและพลธนู (ซึ่งเก็บสายธนูไว้ไม่ให้แห้ง) มีชัยเหนือทหารม้าฝรั่งเศสที่ต่อสู้ท่ามกลางฝูงชนที่ไม่เป็นระเบียบ

ในตอนท้ายของยุคกลาง ความสำคัญของทหารม้าหนักในสนามรบลดลงและมีค่าเท่ากับกองกำลังปืนไรเฟิลและทหารราบโดยประมาณ มาถึงตอนนี้ ความไร้ประโยชน์ของการโจมตีต่อทหารราบที่วางไว้อย่างเหมาะสมและมีระเบียบวินัยได้ชัดเจนขึ้น กฎมีการเปลี่ยนแปลง Palisades หลุมกับม้าและคูน้ำกลายเป็นการป้องกันตามปกติของกองทัพจากการโจมตีของทหารม้า การโจมตีต่อพลหอกและนักธนูหรือมือปืนที่ก่อตัวขึ้นจำนวนมากทำให้เหลือเพียงกองม้าและผู้คนที่ถูกบดขยี้ อัศวินถูกบังคับให้ต่อสู้ด้วยการเดินเท้าหรือไม่ก็รอโอกาสที่เหมาะสมในการโจมตี การโจมตีทำลายล้างยังคงเป็นไปได้ แต่ต่อเมื่อข้าศึกหลบหนีอย่างไม่เป็นระเบียบหรืออยู่นอกการป้องกันของโครงสร้างภาคสนามชั่วคราว

ยุทธวิธีทหารราบ

ในยุคนี้ กองทหารปืนไรเฟิลส่วนใหญ่ประกอบด้วยพลธนูที่ใช้ธนูหลายประเภท เริ่มแรกเป็นธนูสั้น จากนั้นเป็นหน้าไม้และธนูยาว ข้อดีของนักธนูคือความสามารถในการฆ่าหรือทำร้ายศัตรูจากระยะไกลโดยไม่ต้องต่อสู้แบบประชิดตัว ความสำคัญของกองกำลังเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยโบราณ แต่ประสบการณ์นี้สูญหายไปชั่วคราวในยุคของยุคกลางอันมืดมน ในช่วงต้นยุคกลาง นักรบ-อัศวินผู้ควบคุมดินแดนคือกลุ่มหลัก และรหัสของพวกเขาจำเป็นต้องต่อสู้กับศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อ การสังหารด้วยลูกธนูจากระยะไกลเป็นเรื่องน่าละอายจากมุมมองของอัศวิน ดังนั้นชนชั้นปกครองจึงแทบไม่ได้พัฒนาอาวุธประเภทนี้และใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่านักธนูมีประสิทธิภาพและมีประโยชน์อย่างมากทั้งในการปิดล้อมและในสนามรบ แม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่กองทัพจำนวนมากขึ้นก็หลีกทางให้พวกเขา ชัยชนะอย่างเด็ดขาดของวิลเลียมที่ 1 ที่เฮสติงส์ในปี 1066 อาจได้รับชัยชนะโดยพลธนู แม้ว่าตามธรรมเนียมแล้วอัศวินของเขาจะได้รับเกียรติสูงสุดก็ตาม พวกแองโกล-แซกซอนยึดพื้นที่ลาดเขาไว้และได้รับการปกป้องด้วยโล่ปิดมิดชิด ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่อัศวินนอร์มันจะฝ่าเข้าไปได้ การต่อสู้ดำเนินไปตลอดทั้งวัน พวกแองโกล-แซกซอนบุกออกมาจากหลังกำแพงโล่ ส่วนหนึ่งเพื่อไปหาพลธนูนอร์มัน และเมื่อพวกเขาออกมา อัศวินก็ล้มพวกเขาอย่างง่ายดาย ในขณะที่ดูเหมือนว่าพวกนอร์มันควรจะแพ้ แต่หลายคนเชื่อว่าการต่อสู้ชนะโดยนักธนูชาวนอร์มัน ฮาโรลด์ กษัตริย์แห่งแองโกล-แซกซอน ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกระสุนปืน และหลังจากนั้นไม่นาน การสู้รบก็สิ้นสุดลง

นักธนูเท้าต่อสู้ในรูปแบบการต่อสู้มากมายที่มีคนเป็นร้อยหรือเป็นพัน ที่ระยะหนึ่งร้อยหลาจากศัตรู การยิงจากทั้งหน้าไม้และธนูยาวสามารถเจาะเกราะได้ ที่ระยะนี้ นักธนูยิงไปที่เป้าหมายเดี่ยว ศัตรูโกรธมากจากการสูญเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเขาไม่สามารถตอบได้ ในสถานการณ์ที่เหมาะ นักธนูจะสลายกระบวนทัพของศัตรูด้วยการยิงใส่พวกเขาเป็นบางครั้ง ศัตรูสามารถซ่อนตัวจากการโจมตีของทหารม้าหลังรั้ว แต่ไม่สามารถหยุดลูกธนูทั้งหมดที่บินมาที่เขา ถ้าข้าศึกออกมาจากด้านหลังสิ่งกีดขวางและโจมตีพลธนู ทหารม้าหนักที่เป็นมิตรจะก้าวเข้ามาช่วยทันเวลาเพื่อช่วยชีวิตพลธนู หากการก่อตัวของข้าศึกหยุดนิ่ง พวกเขาจะค่อยๆ เคลื่อนตัวเพื่อให้ทหารม้ามีโอกาสโจมตีได้สำเร็จ

พลธนูได้รับการสนับสนุนและอุดหนุนอย่างแข็งขันในอังกฤษ เนื่องจากอังกฤษมีจำนวนมากกว่าเมื่อทำสงครามกับแผ่นดินใหญ่ เมื่ออังกฤษเรียนรู้ที่จะใช้พลธนูจำนวนมาก พวกเขาเริ่มที่จะชนะการต่อสู้ แม้ว่าปกติแล้วศัตรูจะมีจำนวนมากกว่าก็ตาม อังกฤษพัฒนาวิธีการ "ก้านลูกศร" โดยใช้ประโยชน์จากระยะของคันธนู แทนที่จะยิงไปที่เป้าหมายเดี่ยว นักธนูที่มีธนูยาวจะยิงไปยังพื้นที่ที่ข้าศึกยึดครอง ยิงได้สูงสุด 6 นัดต่อนาที นักธนู 3,000 คนพร้อมธนูยาวสามารถยิงธนู 18,000 ลูกใส่ศัตรูจำนวนมาก ผลกระทบของก้านบูมนี้ต่อม้าและผู้คนนั้นรุนแรงมาก อัศวินฝรั่งเศสในช่วงสงครามร้อยปีพูดถึงท้องฟ้าที่มืดมิดด้วยลูกธนูและเสียงกระสุนปืนเหล่านี้ที่เกิดขึ้นเมื่อพวกมันบิน

หน้าไม้กลายเป็นกองกำลังที่โดดเด่นในกองทัพแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกองทหารรักษาการณ์และกองทหารมืออาชีพที่ตั้งขึ้นตามเมืองต่างๆ คนหน้าไม้กลายเป็นทหารที่พร้อมออกปฏิบัติการด้วยการฝึกฝนเพียงเล็กน้อย

เมื่อถึงศตวรรษที่สิบสี่ ปืนพกแบบดั้งเดิมชนิดแรกที่เรียกว่าปืนพก ปรากฏอยู่ในสนามรบ ต่อจากนั้นมันก็มีประสิทธิภาพมากกว่าคันธนู

ความยากลำบากในการใช้พลธนูคือเพื่อให้แน่ใจว่ามีการป้องกันขณะยิง เพื่อให้การยิงได้ผล พวกเขาต้องอยู่ใกล้ศัตรูมาก นักธนูชาวอังกฤษนำเดิมพันมาสู่สนามรบและตอกลงบนพื้นด้วยค้อนทุบหน้าสถานที่ที่พวกเขาต้องการยิง เดิมพันเหล่านี้ทำให้พวกเขาได้รับความคุ้มครองจากทหารม้าของศัตรู และในเรื่องการป้องกันธนูข้าศึกก็อาศัยอาวุธของตน พวกเขาเสียเปรียบเมื่อโจมตีทหารราบของข้าศึก Crossbowmen เข้าสู่การต่อสู้ด้วยโล่ขนาดใหญ่ที่ติดตั้งอุปกรณ์รองรับ โล่เหล่านี้สร้างกำแพงจากด้านหลังซึ่งผู้คนสามารถยิงได้

ในตอนท้ายของยุค พลธนูและพลหอกทำหน้าที่ผสมกัน หอกถือกองกำลังประชิดตัวของศัตรูในขณะที่กองกำลังปืนไรเฟิล (หน้าไม้หรือมือปืนจากอาวุธปืน) ยิงใส่ศัตรู รูปแบบผสมเหล่านี้ได้เรียนรู้ที่จะเคลื่อนที่และโจมตี ทหารม้าของข้าศึกถูกบีบให้ล่าถอยเมื่อเผชิญกับกองกำลังผสมที่มีระเบียบวินัยของพลหอกและพลหน้าไม้หรือพลปืน หากศัตรูไม่สามารถโจมตีกลับด้วยลูกธนูและหอกของตนเอง การสู้รบก็เป็นไปได้ว่าจะแพ้

ยุทธวิธีทหารราบ

ยุทธวิธีของทหารราบในยุคกลางอันมืดมนนั้นเรียบง่าย - เข้าหาศัตรูและเข้าร่วมการต่อสู้ พวกแฟรงก์ขว้างขวานก่อนที่จะเข้ามาฟันข้าศึก นักรบพึ่งพาชัยชนะด้วยพละกำลังและความดุร้าย

การพัฒนาความกล้าหาญได้บดบังทหารราบในสนามรบเป็นการชั่วคราว ส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่มีทหารราบที่มีระเบียบวินัยและได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พลเดินเท้าของกองทัพในยุคกลางตอนต้นส่วนใหญ่เป็นชาวนาที่ติดอาวุธไม่ดีและได้รับการฝึกฝนมาไม่ดี

ชาวแอกซอนและไวกิ้งพัฒนากลยุทธ์การป้องกันที่เรียกว่ากำแพงโล่ เหล่านักรบยืนอยู่ใกล้กัน เคลื่อนโล่ยาวที่ก่อตัวเป็นกำแพงกั้น สิ่งนี้ช่วยให้พวกเขาปกป้องตนเองจากพลธนูและทหารม้าซึ่งไม่ได้อยู่ในกองทัพของพวกเขา

การฟื้นตัวของทหารราบเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ไม่มีทรัพยากรสนับสนุนทหารม้าหนัก ในประเทศที่เป็นเนินเขาอย่างสกอตแลนด์และสวิตเซอร์แลนด์ และในเมืองที่กำลังเติบโต ด้วยความจำเป็น ทั้งสองภาคส่วนนี้พบวิธีที่จะนำกองทัพที่มีประสิทธิภาพเข้าสู่สนามรบโดยมีทหารม้าเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ทั้งสองกลุ่มพบว่าม้าจะไม่โจมตีด้วยหลักแหลมหรือหัวหอก กองทหารหอกที่มีระเบียบวินัยสามารถหยุดหน่วยทหารม้าหนักชั้นยอดของประเทศที่ร่ำรวยกว่าและขุนนางได้ในราคาเพียงเศษเสี้ยวของกองทหารม้าหนัก

รูปแบบการต่อสู้ของ shiltron ซึ่งเป็นวงกลมของพลหอกเริ่มใช้โดยชาวสกอตในช่วงสงครามเพื่ออิสรภาพเมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่สิบสาม (สะท้อนให้เห็นในภาพยนตร์เรื่อง "Braveheart") พวกเขาตระหนักว่า shiltron เป็นรูปแบบการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ โรเบิร์ต เดอะ บรูซ แนะนำว่าอัศวินอังกฤษต่อสู้บนพื้นที่แอ่งน้ำเท่านั้น ซึ่งทำให้ทหารม้าหนักเข้าโจมตีได้ยากมาก

พลหอกชาวสวิสเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาฟื้นฟูกลุ่มชาวกรีกและสร้างความก้าวหน้าอย่างมากในการต่อสู้ด้วยอาวุธยาว พวกเขาสร้างพลหอก แถวด้านนอกทั้งสี่ถือหอกเกือบเป็นแนวนอน เอียงลงเล็กน้อย นี่เป็นอุปสรรคที่มีประสิทธิภาพต่อทหารม้า แนวหลังใช้ใบมีดโจมตีข้าศึกขณะที่พวกเขาเข้าใกล้ขบวน ชาวสวิสได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจนหน่วยของพวกเขาสามารถเคลื่อนที่ได้ค่อนข้างเร็ว ต้องขอบคุณที่พวกเขาสามารถเปลี่ยนรูปแบบการป้องกันให้เป็นรูปแบบการต่อสู้เชิงรุกที่มีประสิทธิภาพ

การตอบสนองต่อการปรากฏตัวของรูปแบบการต่อสู้ของพลหอกคือปืนใหญ่ซึ่งเจาะรูในกองทหารที่หนาแน่น ชาวสเปนเป็นคนแรกที่ใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ถือโล่ของสเปนถือดาบก็ต่อสู้กับพลหอกได้สำเร็จเช่นกัน พวกเขาเป็นทหารเกราะเบาที่สามารถเคลื่อนไหวท่ามกลางหอกได้อย่างง่ายดายและต่อสู้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยดาบสั้น โล่ของพวกเขามีขนาดเล็กและสะดวก ในตอนท้ายของยุคกลาง ชาวสเปนยังเป็นกลุ่มแรกที่ทำการทดลอง โดยผสมผสานพลหอก นักดาบ และอาวุธปืนเข้าด้วยกันในรูปแบบการต่อสู้เดียว มันเป็นกองทัพที่มีประสิทธิภาพที่สามารถใช้อาวุธใด ๆ ในพื้นที่ใด ๆ ทั้งในการป้องกันและการโจมตี ในตอนท้ายของยุคนี้ ชาวสเปนเป็นกองกำลังทางทหารที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในยุโรป

กองทัพญี่ปุ่นซึ่งประกอบด้วยนักรบมืออาชีพเท่านั้น มีความเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาก่อนและหลัง "ยุคแห่งสงคราม" (กลางศตวรรษที่ 15 - ต้นศตวรรษที่ 17) เวลาเหล่านี้มีลักษณะเป็นกองทัพเล็ก ๆ ของขุนนางศักดินาขนาดใหญ่ - ไดเมียวซึ่งประกอบด้วยข้าราชบริพารของพวกเขา - ซามูไรและคนรับใช้ติดอาวุธ ภาพมีความใกล้เคียงกับช่วงยุคกลางสูงของยุโรป (ศตวรรษที่สิบสอง - สิบสาม) และในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 15 ปลายศตวรรษที่ 16 กองทัพของไดเมียวญี่ปุ่น "บวม" อย่างมากเนื่องจากทหารราบ "ไร้ราก" - อาชิการุซึ่งทำหน้าที่เป็นนักธนู (นักธนูและนักธนู) และนักสู้ระยะประชิด (พลหอก - กับ yari และยอดเขายาว , "halberdiers" - กับ naginata). ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับยุโรปในช่วงปลายยุคกลางและสมัยใหม่ตอนต้น

ตอนนี้เป็นเรื่องของปริมาณ แต่เกี่ยวกับคุณภาพของกองทัพเหล่านี้ สถานการณ์แตกต่างออกไป เริ่มต้นด้วย "การเผชิญหน้า" ของซามูไรและอัศวิน มันไร้สาระในมุมมองของทหาร ซามูไรเป็นอย่างแรกคือนักขี่ม้าที่มีอาวุธหนัก (ตามมาตรฐานของญี่ปุ่น) - นักธนูและอัศวิน - พลหอกที่สวมชุดเกราะ นั่นคือการต่อสู้ระหว่างซามูไรกับอัศวินหมายความว่าคนแรกไม่ได้ตระหนักถึงระยะการทำงานของอาวุธของเขา (ธนู) และครั้งที่สองบังคับให้เขาต่อสู้อย่างใกล้ชิดซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง ที่นี่คุณสามารถพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความสำเร็จทางทหารของทหารม้าเช่นพวกมองโกลและพวกตาตาร์ และชัยชนะของพวกเขา รวมถึงอัศวินด้วย อย่างไรก็ตามชัยชนะส่วนใหญ่ของพวกเขาตกในศตวรรษที่ 13 เมื่อพื้นฐานของชุดเกราะของยุโรปคือจดหมายลูกโซ่ซึ่งไม่ได้ให้การป้องกันลูกธนูที่ดีที่สุด และความสำเร็จในภายหลังของพวกเร่ร่อนได้รับการอธิบายโดยการรวมกันของการล่าถอยที่ผิดพลาดของพลธนูบนหลังม้าและการโต้กลับกับกองทหารม้าหนักที่ไล่ตามอัศวิน พวกเร่ร่อนมีทหารม้าหนักเป็นของตนเอง แม้ว่าจะไม่มี "ชุดเกราะ" ที่หนามาก แต่ก็มีอุปกรณ์ครบครัน (ม้าศึกขนาดใหญ่ หอกหนัก และอาวุธทำลายล้าง) สำหรับการปะทะแบบตัวต่อตัวกับอัศวินที่เบื่อหน่ายกับการไล่ล่า ในญี่ปุ่นไม่มีทหารม้า "อัศวิน" ใช่ ซามูไรทำการโจมตีด้วยม้าในระยะประชิดและมีหอกเตรียมพร้อม แต่ด้วยหอกสั้น (ค่อนข้าง) ของพวกเขาและม้าตัวเล็ก (ค่อนข้าง) การโจมตีแบบเปิดหน้าผากจะเป็นการฆ่าตัวตาย และฉันยังไม่ได้พูดถึงชุดเกราะเลย! ชุดเกราะลาเมลลาร์ของญี่ปุ่นสามารถแข่งขันได้อย่างแข็งแกร่งกับจดหมายลูกโซ่ของยุโรปในศตวรรษที่ 12-13 แต่อัศวินในยุคนี้วางการป้องกันหลักไว้บนโล่ซึ่งซามูไรไม่ได้ใช้เลย หากเรากำลังพูดถึงยุคกลางตอนปลาย (ศตวรรษที่ XIV - XVI) ชาวญี่ปุ่นก็ไม่มีโอกาสมาที่นี่ ทหารม้าท้องถิ่นของรัสเซียในศตวรรษที่ 15 - 17 ใช้จดหมายลูกโซ่ที่แข็งแกร่งพอสมควร - แผ่นเกราะ (ที่เรียกว่า "berterets", "colontar" และ "yushman") พยายามที่จะไม่เข้าร่วมการต่อสู้อย่างใกล้ชิดกับอัศวิน, ไรเตอร์และเห็นกลางปีก , เพราะ. แพ้ให้กับพวกเขาในการป้องกัน ฉันแน่ใจว่าซามูไรจะต้องพ่ายแพ้ในการปะทะกับทหารม้าท้องถิ่นของรัสเซีย สำหรับซามูไร ในฐานะนักธนูม้า อาวุธหลักของพวกเขาไม่สามารถเปรียบเทียบได้ ไม่เพียงแต่กับธนูของเอเชียและตะวันออกกลางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโมเดลของยุโรปด้วย (ไม่ต้องพูดถึงหน้าไม้) และการสูญเสียอัศวินชาวยุโรปทั้งหมดต่อมือปืนชาวยุโรป (เช่น การต่อสู้ของ Crecy, Poitiers, Agincourt) เกิดขึ้นระหว่างการโจมตีโดยทหารม้า (หรืออัศวินลงจากหลังม้า) ในตำแหน่งศัตรูที่เตรียมพร้อมอย่างดี ในการรบแบบเคลื่อนที่หรือการรบด้วยทหารม้าล้วน ๆ (การรบของ Grunwald และ Pat) ลูกธนูจะพ่ายแพ้หรือยังคงอยู่ในบทบาทที่สองหรือสาม

หากเราพูดถึงทหารราบ สมมติว่าระดับการฝึกทหารของอาสาสมัครทหารพรานและช่างฝีมือในญี่ปุ่นและยุโรปนั้นใกล้เคียงกันและเพิ่มขึ้นพร้อมกับบทบาทของทหารราบในสนามรบที่เพิ่มขึ้น นั่นคือทั้งที่นี่และที่นั่นต้องการทหารราบ - มืออาชีพ และเขาก็ปรากฏตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ทหารราบยุโรปเป็นนักสู้ที่ต้องหยุดการโจมตีของทหารม้าอัศวินหนัก ต้านทานการระดมยิงของพลธนูและหน้าไม้ และสุดท้าย ต่อสู้กับทหารราบของศัตรูเช่นเดียวกับเขา ดังนั้นทั้งความแข็งแกร่งของอุปกรณ์ป้องกันและ "พลังทำลายล้าง" ของอาวุธของเขาจึงแข็งแกร่งกว่าของ ashigaru มาก

สำหรับ "หวาน" ให้ฉันเตือนคุณเกี่ยวกับปืนใหญ่ หากในยุคกลางสูงและแม้แต่ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่สิบสี่ กองทัพยุโรปในแง่นี้ก็เท่ากับญี่ปุ่น หลังจากนั้นพวกเขาก็ "เอาชนะ" พวกเขาทุกประการ ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงปลายยุคกลางของยุโรป ปืนใหญ่สนามปรากฏขึ้นและได้รับพลังอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งในญี่ปุ่นกลายเป็นกองกำลังต่อสู้ที่แท้จริงเฉพาะในยุคเมจิเท่านั้น

งานนี้เน้นโดยสังเขปประเด็นหลักในการพัฒนากองทัพในยุคกลางในยุโรปตะวันตก: การเปลี่ยนแปลงในหลักการของการเกณฑ์ทหาร โครงสร้างองค์กร หลักการพื้นฐานของกลยุทธ์และกลยุทธ์ และสถานะทางสังคม

คำอธิบายโดยละเอียดของการต่อสู้ครั้งนี้มาถึงเราในการนำเสนอของ Jordanes
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับเราคือคำอธิบายของจอร์แดนเกี่ยวกับรูปแบบการต่อสู้ของกองทหารโรมัน: กองทัพของ Aetius มีศูนย์กลางและปีกสองข้าง และที่สีข้าง Aetius ได้วางกองทหารที่มีประสบการณ์และพิสูจน์แล้วมากที่สุด โดยปล่อยให้พันธมิตรที่อ่อนแอที่สุดอยู่ตรงกลาง Jordanes กระตุ้นการตัดสินใจของ Aetius โดยดูแลไม่ให้พันธมิตรเหล่านี้ทิ้งเขาระหว่างการสู้รบ

หลังจากการสู้รบครั้งนี้ไม่นาน จักรวรรดิโรมันตะวันตกซึ่งไม่สามารถต้านทานหายนะทางทหาร สังคม และเศรษฐกิจได้ล่มสลายลง จากช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของอาณาจักรอนารยชนเริ่มขึ้นในยุโรปตะวันตก และในตะวันออก ประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิโรมันตะวันออกยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งได้รับชื่อไบแซนเทียมจากนักประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบัน

ยุโรปตะวันตก: จากอาณาจักรอนารยชนถึงอาณาจักรคาโรลิงเจียน

ในศตวรรษที่ V-VI อาณาจักรอนารยชนจำนวนหนึ่งก่อตัวขึ้นในดินแดนของยุโรปตะวันตก: ในอิตาลี อาณาจักรของ Ostrogoths ซึ่งปกครองโดย Theodoric บนคาบสมุทรไอบีเรีย อาณาจักรของ Visigoths และในดินแดนของ Roman Gaul อาณาจักรของ แฟรงค์

ในเวลานั้น ความสับสนอลหม่านเกิดขึ้นในแวดวงการทหาร เนื่องจากมีกองกำลังสามกองกำลังอยู่ในพื้นที่เดียวกันพร้อมกัน ในแง่หนึ่ง กองกำลังของราชาอนารยชนซึ่งยังคงจัดรูปแบบติดอาวุธได้ไม่ดี ซึ่งประกอบด้วยคนอิสระเกือบทั้งหมด ของชนเผ่า.
ในทางกลับกัน มีกองทหารโรมันที่เหลืออยู่ นำโดยผู้ว่าการมณฑลโรมัน (ตัวอย่างคลาสสิกของประเภทนี้คือกองทหารโรมันที่เกิดขึ้นในกอลเหนือ นำโดยผู้ว่าการมณฑลนี้ เซียกริอุส และพ่ายแพ้ใน 487 โดยแฟรงก์ภายใต้การนำของโคลวิส)
ในที่สุด ด้านที่สาม มีการปลดประจำการส่วนตัวของพวกเจ้าสัวฆราวาสและนักบวชซึ่งประกอบด้วยทาสติดอาวุธ ( ความไม่ไว้วางใจ) หรือจากนักรบที่ได้รับที่ดินและทองคำจากเจ้าสัวเพื่อรับราชการ ( บัคเซลลาเรีย).

ในขั้นต้นกองทัพได้รับคัดเลือกจากชายอิสระทั้งหมดของเผ่าที่สามารถจับอาวุธได้ สำหรับการรับใช้ พวกเขาได้รับการจัดสรรที่ดินจากกษัตริย์จากดินแดนที่เพิ่งยึดครอง ทุก ๆ ปีในฤดูใบไม้ผลิ กองทัพรวมตัวกันในเมืองหลวงของอาณาจักรเพื่อทบทวนการทหารทั่วไป - "ทุ่งเดือนมีนาคม"
ในการประชุมครั้งนี้ ผู้นำและกษัตริย์ได้ประกาศกฤษฎีกาใหม่ ประกาศการรณรงค์และวันที่ของพวกเขา และตรวจสอบคุณภาพของอาวุธของทหาร ชาวแฟรงก์ต่อสู้ด้วยการเดินเท้าโดยใช้ม้าเพื่อเข้าสู่สนามรบเท่านั้น
รูปแบบการต่อสู้ของทหารราบส่ง "...คัดลอกรูปร่างของกลุ่มโบราณ ค่อย ๆ เพิ่มความลึกของการก่อสร้าง...". อาวุธยุทโธปกรณ์ของพวกเขาประกอบด้วยหอกสั้น ขวานรบ (ฟรานซิสก้า) ดาบสองคมยาว (ถ่มน้ำลายรด) และสแครมาแซ็กซ์ (ดาบสั้นด้ามยาวและมีใบมีดรูปใบไม้ด้านเดียว กว้าง 6.5 ซม. ยาว 45-80 ซม. ). อาวุธ (โดยเฉพาะดาบ) มักจะได้รับการตกแต่งอย่างหรูหรา และรูปลักษณ์ของอาวุธมักเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสูงส่งของเจ้าของ
อย่างไรก็ตามในศตวรรษที่แปด การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญกำลังเกิดขึ้นในโครงสร้างของกองทัพ Frankish ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในกองทัพอื่น ๆ ในยุโรป

ในปี 718 ชาวอาหรับที่เคยยึดคาบสมุทรไอบีเรียและพิชิตอาณาจักรของพวกวิสิกอธได้ข้ามเทือกเขาพิเรนีสและรุกรานกอล
ผู้ปกครองที่แท้จริงของอาณาจักรแฟรงก์ในเวลานั้น พันตรีคาร์ล มาร์เทลล์ ถูกบีบให้ต้องหาทางหยุดยั้งพวกเขา

เขาประสบปัญหาสองประการในคราวเดียว: ประการแรก ที่ดินสำรองของงบประมาณของราชวงศ์หมดลง และไม่มีที่อื่นอีกแล้วที่จะยึดที่ดินเพื่อเป็นรางวัลแก่ทหาร และประการที่สอง ดังที่แสดงให้เห็นในการต่อสู้หลายครั้ง ทหารราบของแฟรงก์ไม่สามารถต้านทานกองทหารม้าอาหรับได้อย่างมีประสิทธิภาพ .
เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ เขาดำเนินการทำให้ที่ดินของโบสถ์เป็นฆราวาส ทำให้ได้รับกองทุนที่ดินที่เพียงพอเพื่อเป็นรางวัลแก่ทหารของเขา และประกาศว่าต่อจากนี้ไป ไม่ใช่กองทหารอาสาสมัครของชาวแฟรงก์เสรีทั้งหมดที่จะทำสงคราม แต่จะมีเฉพาะคนที่สามารถทำสงครามได้ ซื้ออาวุธสำหรับนักขี่ม้าครบชุด: ม้าศึก หอก โล่ ดาบ และชุดเกราะ ซึ่งรวมถึงเลกกิ้ง ชุดเกราะ และหมวกนิรภัย

การทำสงครามเป็นเรื่องธรรมดาในยุคกลาง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในช่วงเวลานี้จึงมีนักรบและกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ รายการนี้ประกอบด้วยทหารที่ดีที่สุดและน่าประทับใจที่สุดในยุคกลาง

สเปียร์แมน (Pikemen)

ทหารหอกยุคกลางหรือพลหอกคือชายถือหอกซึ่งถูกใช้เป็นทหารราบในยุโรประหว่างยุคไวกิ้งและแองโกล-แซกซอน รวมถึงในศตวรรษที่ 14, 15 และ 16 หอกเป็นอาวุธประจำชาติของอังกฤษ แต่ก็มีการใช้ในประเทศอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะในอิตาลี

โบยาร์

ในความหมายที่แคบของคำ ชนชั้นที่สูงที่สุดของสังคมศักดินาในศตวรรษที่ X-XVII ใน Kievan Rus, อาณาเขตของ Galicia-Volyn, อาณาเขตของมอสโก, ราชรัฐลิทัวเนีย, บัลแกเรีย, เซอร์เบีย, โครเอเชีย, สโลวีเนีย, ราชรัฐมอลโดเวีย, Wallachia จากศตวรรษที่ 14 ในโรมาเนีย

รู้จักกันทั่วไปในชื่อ Knights Templar หรือ Order of the Temple เป็นหนึ่งในคำสั่งทางทหารของคริสเตียนตะวันตกที่โด่งดังที่สุด องค์กรนี้มีมาประมาณสองศตวรรษในช่วงยุคกลาง ก่อตั้งขึ้นในช่วงหลังสงครามครูเสดครั้งแรกในปี 1096 เพื่อรับรองความปลอดภัยของชาวคริสต์ที่แสวงบุญไปยังกรุงเยรูซาเล็มหลังจากการพิชิต Templars โดดเด่นด้วยเสื้อคลุมสีขาวที่มีกากบาทสีแดง พวกเขาเป็นหนึ่งในหน่วยรบที่มีประสบการณ์มากที่สุดในสงครามครูเสด

หน้าไม้เป็นอาวุธที่มีพื้นฐานมาจากธนูที่ยิงกระสุนปืน ซึ่งมักจะเรียกว่าลูกธนู หน้าไม้ถูกสร้างขึ้นในประเทศจีน อาวุธดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในสงครามในแอฟริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย

พวกเขาเป็นนักรบส่วนตัวและเทียบได้กับองครักษ์ของขุนนางและกษัตริย์สแกนดิเนเวีย องค์กรทางทหารของ huskerls นั้นโดดเด่นด้วยระดับสูงสุดความภักดีที่แน่นแฟ้นต่อกษัตริย์และจรรยาบรรณพิเศษ

กลุ่มผู้อยู่อาศัยในมาตุภูมิโบราณซึ่งมีเชื้อชาติ อาชีพ หรือสังคม ทำให้เกิดข้อพิพาทและการอภิปรายหลายครั้ง รุ่นดั้งเดิมระบุ Varangians กับผู้อพยพจากภูมิภาค Varangian - สแกนดิเนเวียไวกิ้ง, นักรบรับจ้างหรือพ่อค้าในรัฐรัสเซียเก่า (ศตวรรษที่ IX-XII) และ Byzantium (ศตวรรษที่ XI-XIII) เริ่มต้นด้วย Vladimir the Baptist พวก Varangians ถูกใช้อย่างแข็งขันโดยเจ้าชายรัสเซียในการต่อสู้เพื่ออำนาจ

เหล่านี้เป็นทหารและเจ้าหน้าที่ชาวสวิสซึ่งถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหารในกองทัพของต่างประเทศโดยเฉพาะในกองทัพของกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ถึงศตวรรษที่ 19

Cataphracts ไม่ใช่แค่กองทหารม้าที่มีพลขี่สวมชุดเกราะหนา แต่เป็นหน่วยรบที่ใช้กลยุทธ์ รูปแบบ และเทคนิคพิเศษในสนามรบ บ้านเกิดของทหารม้าประเภทนี้เรียกว่า Scythia (II-I ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราช)

ทหารยุคกลางที่ใช้ง้าวในการต่อสู้ ง้าวเป็นหอกที่มีปลายรวมกัน ประกอบด้วยปลายหอกรูปเข็ม (กลมหรือเหลี่ยมเพชรพลอย) และใบขวานรบที่มีก้นแหลม ง้าวนี้เข้าประจำการกับทหารราบของหลายรัฐในยุโรปตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ถึง 17 มีการใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในศตวรรษที่ 15-16 ในฐานะอาวุธที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับทหารม้าที่ได้รับการปกป้องอย่างดี

เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 ภูมิภาคเดียวที่ผู้คนยังไม่คุ้นเคยกับอาวุธ เช่น คันธนูและลูกธนูมีเพียงออสเตรเลียและโอเชียเนียเท่านั้น นักธนูทหารชาวเวลส์หรืออังกฤษในศตวรรษที่ 14 และ 15 ต้องยิงอย่างน้อย 10 นัดต่อนาที

แบ่งปันบนโซเชียล เครือข่าย

อ.มารีย์

1. ยุคมืด (ศตวรรษที่ V-IX)

การล่มสลายของกองทัพของจักรวรรดิโรมันตะวันตกนั้นเกี่ยวข้องกับการรบสองครั้ง: การต่อสู้ของ Adrianople ในปี 378 และการต่อสู้ของ Frigidus ในปี 394 แน่นอน ไม่อาจโต้แย้งได้ว่าหลังจากความพ่ายแพ้ทั้งสองนี้ กองทัพโรมันก็ยุติลง แต่ต้องยอมรับว่าในศตวรรษที่ 5 กระบวนการแห่งความป่าเถื่อนของกองทัพโรมันได้รับสัดส่วนที่ไม่เคยมีมาก่อน จักรวรรดิโรมันที่เสื่อมโทรมยืนหยัดต่อสู้อีกครั้ง ซึ่งเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายสำหรับตัวมันเอง ซึ่งอย่างไรก็ตาม ในกองทหารของกองทัพโรมันนั้น มีกองกำลังของคนป่าเถื่อนเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว เรากำลังพูดถึงการต่อสู้บนทุ่ง Catalaunian ซึ่งกองทัพรวมของชาวโรมันและคนป่าเถื่อนภายใต้คำสั่งของ Aetius "โรมันตัวสุดท้าย" หยุดการรุกคืบของ Huns ซึ่งนำโดย Attila ผู้นำที่อยู่ยงคงกระพันของพวกเขาก่อนหน้านี้

รายละเอียดของการต่อสู้ครั้งนี้มาถึงเราในเรื่องราวของจอร์แดน สิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับเราคือคำอธิบายของจอร์แดนเกี่ยวกับรูปแบบการต่อสู้ของกองทหารโรมัน: กองทัพของ Aetius มีศูนย์กลางและปีกสองข้าง และที่สีข้าง Aetius ได้วางกองทหารที่มีประสบการณ์และพิสูจน์แล้วมากที่สุด โดยปล่อยให้พันธมิตรที่อ่อนแอที่สุดอยู่ตรงกลาง Jordanes กระตุ้นการตัดสินใจของ Aetius โดยดูแลไม่ให้พันธมิตรเหล่านี้ทิ้งเขาระหว่างการสู้รบ

ยุโรปตะวันตก: จากอาณาจักรอนารยชนถึงอาณาจักรคาโรลิงเจียน

ในศตวรรษที่ V-VI ในดินแดนของยุโรปตะวันตกมีอาณาจักรอนารยชนจำนวนหนึ่งก่อตัวขึ้น: ในอิตาลี - อาณาจักรของ Ostrogoths ปกครองโดย Theodoric บนคาบสมุทรไอบีเรีย - อาณาจักรของ Visigoths และในดินแดนของ Roman Gaul - อาณาจักรของ แฟรงค์

ในเวลานั้น ความสับสนอลหม่านเกิดขึ้นในแวดวงการทหาร เนื่องจากมีกองกำลังสามกองกำลังอยู่ในพื้นที่เดียวกันพร้อมกัน ในแง่หนึ่ง กองกำลังของราชาอนารยชนซึ่งยังคงจัดรูปแบบติดอาวุธได้ไม่ดี ซึ่งประกอบด้วยคนอิสระเกือบทั้งหมด ของเผ่า; ในทางกลับกัน กองทหารโรมันที่เหลืออยู่ นำโดยผู้ว่าการมณฑลโรมัน (ตัวอย่างคลาสสิกของประเภทนี้คือกองทหารโรมันในกอลเหนือ นำโดยผู้ว่าการมณฑลนี้ Syagrius และพ่ายแพ้ในปี 487 โดย พวกแฟรงก์ภายใต้การนำของโคลวิส); ในที่สุด ในด้านที่สาม มีการแยกตัวส่วนตัวของพวกเจ้าสัวฆราวาสและนักบวชซึ่งประกอบด้วยทาสติดอาวุธ (การทะเลาะเบาะแว้ง) หรือทหารที่ได้รับที่ดินและทองคำจากเจ้าสัวเพื่อรับใช้ (buccellarii)

ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ กองทัพประเภทใหม่เริ่มก่อตัวขึ้น ซึ่งรวมถึงสามองค์ประกอบที่กล่าวถึงข้างต้น ตัวอย่างคลาสสิกของกองทัพยุโรปในศตวรรษที่ 6-7 ถือได้ว่าเป็นกองทัพของชาวแฟรงก์ ในขั้นต้นกองทัพได้รับคัดเลือกจากชายอิสระทั้งหมดของเผ่าที่สามารถจับอาวุธได้ สำหรับการรับใช้ พวกเขาได้รับการจัดสรรที่ดินจากกษัตริย์จากดินแดนที่เพิ่งยึดครอง ทุก ๆ ปีในฤดูใบไม้ผลิ กองทัพรวมตัวกันในเมืองหลวงของอาณาจักรเพื่อทบทวนการทหารทั่วไป - "ทุ่งเดือนมีนาคม" ในการประชุมครั้งนี้ ผู้นำและกษัตริย์ได้ประกาศกฤษฎีกาใหม่ ประกาศการรณรงค์และวันที่ของพวกเขา และตรวจสอบคุณภาพของอาวุธของทหาร ชาวแฟรงก์ต่อสู้ด้วยการเดินเท้าโดยใช้ม้าเพื่อเข้าสู่สนามรบเท่านั้น รูปแบบการต่อสู้ของกองทหารราบที่ส่งตรง "... คัดลอกรูปร่างของกลุ่มโบราณ ค่อยๆ เพิ่มความลึกของการก่อสร้าง ... " อาวุธยุทโธปกรณ์ของพวกเขาประกอบด้วยหอกสั้น ขวานรบ (ฟรานซิสก้า) ดาบสองคมยาว (สปาต้า) และสแครมาแซ็กซ์ (ดาบสั้นด้ามยาวและมีใบมีดรูปใบไม้ด้านเดียว กว้าง 6.5 ซม. ยาว 45-80 ซม. ). อาวุธ (โดยเฉพาะดาบ) มักจะได้รับการตกแต่งอย่างหรูหรา และรูปลักษณ์ของอาวุธมักเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสูงส่งของเจ้าของ

อย่างไรก็ตามในศตวรรษที่แปด การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญกำลังเกิดขึ้นในโครงสร้างของกองทัพ Frankish ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในกองทัพอื่น ๆ ในยุโรป ในปี 718 ชาวอาหรับที่เคยยึดคาบสมุทรไอบีเรียและพิชิตอาณาจักรของพวกวิสิกอธได้ข้ามเทือกเขาพิเรนีสและรุกรานกอล ผู้ปกครองที่แท้จริงของอาณาจักรแฟรงก์ในเวลานั้น พันตรีคาร์ล มาร์เทลล์ ถูกบีบให้ต้องหาทางหยุดยั้งพวกเขา เขาประสบปัญหาสองประการในคราวเดียว: ประการแรก ที่ดินสำรองของงบประมาณของราชวงศ์หมดลง และไม่มีที่อื่นอีกแล้วที่จะยึดที่ดินเพื่อเป็นรางวัลแก่ทหาร และประการที่สอง ดังที่แสดงให้เห็นในการต่อสู้หลายครั้ง ทหารราบของแฟรงก์ไม่สามารถต้านทานกองทหารม้าอาหรับได้อย่างมีประสิทธิภาพ . เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ เขาดำเนินการทำให้ที่ดินของโบสถ์เป็นฆราวาส ทำให้ได้รับกองทุนที่ดินที่เพียงพอเพื่อเป็นรางวัลแก่ทหารของเขา และประกาศว่าต่อจากนี้ไป ไม่ใช่กองทหารอาสาสมัครของชาวแฟรงก์เสรีทั้งหมดที่จะทำสงคราม แต่จะมีเฉพาะคนที่สามารถทำสงครามได้ ซื้ออาวุธสำหรับนักขี่ม้าครบชุด: ม้าศึก หอก โล่ ดาบ และชุดเกราะ ซึ่งรวมถึงเลกกิ้ง ชุดเกราะ และหมวกนิรภัย ชุดดังกล่าวอ้างอิงจาก Ripuarskaya Pravda มีราคาแพงมาก: ราคาเต็มเท่ากับราคาวัว 45 ตัว มีน้อยคนมากที่จะใช้จ่ายจำนวนดังกล่าวกับอาวุธ และคนที่ไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ก็จำเป็นต้องจัดหานักรบหนึ่งคนจากห้าครัวเรือน นอกจากนี้ คนยากจนยังถูกเรียกตัวไปรับใช้ โดยมีธนู ขวาน และหอกเป็นอาวุธ Karl Martell แจกจ่ายการจัดสรรให้กับทหารม้าเพื่อรับใช้ แต่ไม่อยู่ในความเป็นเจ้าของเต็มรูปแบบเหมือนเมื่อก่อน แต่เพียงชั่วชีวิตเท่านั้น ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้ขุนนางรับใช้ต่อไป การปฏิรูปของ Charles Martel นี้ถูกเรียกว่า เป็นประโยชน์(ผลประโยชน์ - เช่น ผลประโยชน์ - ที่ดินที่มอบให้เพื่อการบริการ) ที่สมรภูมิปัวตีเย (10/25/732) กองทัพใหม่ของแฟรงก์ภายใต้การนำของชาร์ลส์ มาร์เทล ได้หยุดชาวอาหรับ

นักประวัติศาสตร์หลายคนถือว่าการสู้รบครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์การทหารของยุคกลาง โดยอ้างว่าตั้งแต่นั้นมาทหารราบก็สูญเสียความสำคัญอย่างเด็ดขาด ส่งต่อไปยังทหารม้าหนัก อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงทั้งหมด ทั้งในทางทหารและทางสังคม แม้ว่านับจากนี้เป็นต้นไปการแยกชั้นของทหารม้าจะเริ่มต้นขึ้น ไม่เพียง แต่ในฐานะหน่วยรบชั้นยอดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชนชั้นสูงทางสังคมด้วย - อนาคตของอัศวินยุคกลาง - แต่ก็ต้องระลึกไว้เสมอว่านี่เป็นเวลานาน กระบวนการและเป็นเวลานานทหารม้ามีบทบาทสนับสนุนกับทหารราบเท่านั้นซึ่งรับการโจมตีหลักของศัตรูและทำให้เขาหมดแรง การเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ที่สนับสนุนทหารม้าทั้งในยุโรปตะวันตกและในไบแซนเทียมได้รับการอำนวยความสะดวกโดยข้อเท็จจริงที่ว่าในศตวรรษที่ 7 ชาวยุโรปยืมโกลนที่ไม่รู้จักมาก่อนจากคนเร่ร่อนของอาวาร์ซึ่งในทางกลับกันอาวาร์ก็นำมาจากจีน

กองทัพ Carolingian สร้างเสร็จภายใต้ชาร์ลมาญ กองทัพยังคงประชุมกันเพื่อทบทวนฤดูใบไม้ผลิ อย่างไรก็ตาม เลื่อนจากเดือนมีนาคมเป็นพฤษภาคม เมื่อมีหญ้าจำนวนมากที่ทำหน้าที่เป็นอาหารสำหรับม้า ขนาดกองทัพทั้งหมดตามประวัติศาสตร์มีทหารไม่เกินหนึ่งหมื่นคนและทหารมากกว่า 5-6,000 นายไม่เคยออกไปหาเสียงเนื่องจากกองทัพดังกล่าว "... ถูกยืดออกไปพร้อมกับขบวนเป็นระยะทาง เดินขบวนวันละ 3 ไมล์” . แผลเป็นตั้งอยู่ในเขตชายแดนและในเมืองใหญ่ - การปลดประจำการที่สร้างขึ้นจากนักรบมืออาชีพ รอยแผลเป็นที่คล้ายกันมาพร้อมกับจักรพรรดิและการนับ หลานชายของชาร์ลมาญ จักรพรรดิชาร์ลส์เดอะบอลด์ ออกคำสั่งในปี 847 บังคับให้ผู้มีอิสระทุกคนเลือกลอร์ดและไม่เปลี่ยนเขา สิ่งนี้เป็นการรวมระบบความสัมพันธ์ของข้าราชบริพารและข้าราชบริพารที่จัดตั้งขึ้นแล้วในสังคมและในด้านการจัดกำลังพลและการบังคับบัญชากองทัพ มันนำไปสู่ความจริงที่ว่าตอนนี้เสนาบดีแต่ละคนนำกองกำลังของเขาเข้าสู่สนามรบ คัดเลือกจากข้าราชบริพารของเขา ฝึกฝนและติดตั้งโดย เขา. กองทัพที่เป็นเอกภาพได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการจากกษัตริย์ อันที่จริง เสนาบดีแต่ละคนสามารถออกคำสั่งแก่ประชาชนของตนได้ ซึ่งมักนำไปสู่ความสับสนในสนามรบ ระบบดังกล่าวถึงจุดสุดยอดในเวลาต่อมาในยุคของศักดินานิยมที่พัฒนาแล้ว

2. กองทัพของยุคกลางสูง (ศตวรรษที่ X-XIII)

A) ยุโรปตะวันตกในศตวรรษที่ X-XI

หลังจากการแบ่งแยกจักรวรรดิส่งภายใต้เงื่อนไขของสนธิสัญญาแวร์ดุนปี 843 ซึ่งลงนามระหว่างหลานของชาร์เลอมาญ การพัฒนาทางการเมืองของดินแดนฝรั่งเศสถูกกำหนดโดยปัจจัยหลักสองประการ: ภัยคุกคามจากภายนอกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากโจรสลัดนอร์มันและการลดลง ในความสำคัญของอำนาจของราชวงศ์ไม่สามารถจัดระเบียบการป้องกันประเทศซึ่งส่งผลให้อิทธิพลของหน่วยงานท้องถิ่นเพิ่มขึ้นโดยตรง - เคานต์และดยุคและการแยกตัวออกจากรัฐบาลกลาง การเปลี่ยนแปลงของเคานต์และดยุคเป็นผู้ปกครองมรดกที่สืบทอดอำนาจส่งผลให้ดินแดนฝรั่งเศสมีการแบ่งส่วนศักดินาแบบก้าวหน้า การเพิ่มจำนวนการถือครองที่ดินที่ได้รับอนุญาต ตามสัดส่วนการลดลงของพื้นที่จัดสรรเฉพาะแต่ละแห่ง และ การเปลี่ยนแปลงของผู้รับประโยชน์, ร้องเรียนเพื่อรับบริการ, เป็นทรัพย์สินที่เป็นมรดกตกทอด ในสภาวะที่อำนาจของราชวงศ์อ่อนแอลงอย่างมาก ประเพณีเก่าแก่ของการเลือกกษัตริย์ในสภาขุนนางกำลังฟื้นคืนชีพ นับจากครอบครัวของ Robertins แห่งปารีสกลายเป็นกษัตริย์ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องการต่อสู้กับพวกนอร์มัน

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการเปลี่ยนแปลงด้านการทหารในยุคนั้น การลดลงของความสำคัญของทหารราบทั่วไปและการเข้ามาอยู่ข้างหน้าของทหารม้าอัศวินติดอาวุธหนักนำไปสู่การแบ่งชั้นทางสังคมที่คมชัดของสังคมส่ง ในช่วงเวลานี้เองที่ความคิดในการแบ่งสังคมออกเป็นสามชนชั้นได้ก่อตัวขึ้นและได้รับความนิยมเป็นพิเศษ: "คำอธิษฐาน" (oratores), "นักรบ" (bellatores) และ "คนงาน" (laboratores) ในทางกลับกัน การกระจายตัวของระบบศักดินาที่ก้าวหน้าไม่สามารถส่งผลกระทบต่อการลดขนาดของกองทัพได้ ซึ่งปัจจุบันแทบไม่มีผู้คนเกินสองพันคน กองทหารหนึ่งพันห้าพันคนถือว่าเป็นกองทัพขนาดใหญ่แล้ว: "ดังนั้นจึงมีการคัดเลือกอัศวินเก้าร้อยคน และ [Cid] คัดเลือกสไควร์เท้าอีดัลโกห้าร้อยคน ไม่นับลูกศิษย์ที่เหลือในบ้านของเขา<…>ซิดสั่งให้ออกจากกระโจมและไปตั้งถิ่นฐานในซาน เซอร์วานและบริเวณเนินเขารอบๆ และทุกคนที่เห็นค่ายที่ซิดตั้งขึ้นกล่าวในภายหลังว่าเป็นกองทัพขนาดใหญ่ ... "

กลยุทธ์การต่อสู้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ตอนนี้การต่อสู้เริ่มขึ้นด้วยหอกของทหารม้าหนักที่ประสานกันอย่างดีซึ่งแยกแนวของศัตรู หลังจากการโจมตีครั้งแรกนี้ การต่อสู้ก็แยกออกเป็นการต่อสู้ระหว่างอัศวินกับอัศวิน นอกจากหอกแล้ว อาวุธบังคับของอัศวินแต่ละคนคือดาบสองคม อุปกรณ์ป้องกันตัวของอัศวินแฟรงกิชประกอบด้วยโล่ยาว เกราะหนัก และหมวกสวมทับที่ครอบคอ ทหารราบซึ่งมีบทบาทสนับสนุนในการรบ มักจะติดอาวุธด้วยไม้กระบอง ขวาน และหอกสั้น นักธนูในดินแดน West Frankish ส่วนใหญ่เป็นของพวกเขาเอง ในขณะที่คนใน East Frankish ได้รับการว่าจ้าง ในสเปน แทนที่จะใช้เปลือกหอย จดหมายลูกโซ่ที่ยืมมาจากชาวมัวร์มักจะใช้เสื้อแขนยาวและฮู้ดของจดหมายลูกโซ่ ซึ่งสวมหมวกกันน็อคทับ หมวกกันน็อคและฮู้ดจดหมายลูกโซ่ และครึ่งหัวกะโหลก…”

คุณสมบัติที่โดดเด่นของอาวุธของอัศวินอิตาลีคือความเบา - ดาบแทงสั้น, หอกที่ยืดหยุ่นได้เบาพร้อมปลายแคบพร้อมตะขอเพิ่มเติม, มีดสั้นถูกนำมาใช้ที่นี่ ในบรรดาอาวุธป้องกันในอิตาลี มีการใช้กระสุนเบาและมักเป็นสะเก็ด โล่ทรงกลมขนาดเล็ก และหมวกที่พอดีกับศีรษะ คุณสมบัติเหล่านี้ของอาวุธยังกำหนดความแตกต่างในกลยุทธ์ของอัศวินอิตาลีจากคู่หูชาวฝรั่งเศสและเยอรมัน: ชาวอิตาลีมักจะกระทำอย่างใกล้ชิดกับทหารราบและพลธนู มักจะทำหน้าที่โจมตี แบบดั้งเดิมสำหรับอัศวิน แต่ยัง ฟังก์ชั่นสนับสนุนทหารราบ

เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พูดถึงฝ่ายตรงข้ามหลักของแฟรงค์ตะวันตกในช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ - พวกนอร์มัน (ไวกิ้ง, วารังเจียน) เป็นชาวนอร์มันที่เป็นหนึ่งในนักเดินเรือที่เก่งกาจและรอบรู้ที่สุดในยุโรปยุคกลาง ไม่เหมือนกับประเทศในทวีปยุโรปส่วนใหญ่ พวกเขาใช้กองเรือนี้ไม่เพียงแต่สำหรับการขนส่งสินค้าและผู้คนเท่านั้น แต่สำหรับการปฏิบัติการทางทหารในน้ำด้วย ประเภทหลักของเรือนอร์มันคือ drakkar (พบเรือดังกล่าวหลายลำ ลำแรกพบใน Oseberg ในปี 1904 และจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ในออสโล) - เรือใบและเรือพายยาว 20-23 ม. 4-5 กว้างเมตรตรงกลางมันมีความเสถียรมากเนื่องจากกระดูกงูที่พัฒนามาอย่างดีต้องขอบคุณร่างเล็ก ๆ ที่สามารถเข้าใกล้ชายฝั่งในน้ำตื้นและเจาะเข้าไปในแม่น้ำได้ด้วยความยืดหยุ่นของโครงสร้างที่ทนทานต่อคลื่นทะเล .

การปล้นของโจรสลัดชาวนอร์มันปลูกฝังความสยองขวัญในหัวใจของชาวยุโรปจนเมื่อปลายศตวรรษที่ 10 มีการร้องขอต่อพระเจ้าให้ปลดปล่อย “จากความโกรธแค้นของชาวนอร์มัน” (“De furore Normannorum libera nos, Domine”) รวมอยู่ด้วย ในคำอธิษฐานของคริสตจักรเพื่อการปลดปล่อยจากภัยพิบัติ ในกองทัพภาคพื้นดินของชาวนอร์มันบทบาทหลักคือ "ทหารราบ" เช่น ทหารราบทำการเปลี่ยนบนหลังม้าซึ่งทำให้พวกเขาได้รับความคล่องตัวอย่างมาก คุณลักษณะที่โดดเด่นของอาวุธของชาวนอร์มันคือหมวกที่ชี้ขึ้นพร้อมกับส่วนจมูก เปลือกที่รัดแน่น และโล่ยาวที่ยื่นลงมาด้านล่าง ทหารราบหนักของชาวนอร์มันติดอาวุธด้วยหอกยาว ขวาน และโล่ยาวแบบเดียวกัน ในบรรดาอาวุธที่ใช้ขว้างนั้น ชาวนอร์มันชอบใช้สลิงมากกว่า

หากกลุ่มขุนนางสแกนดิเนเวียส่วนใหญ่ (ที่เรียกว่า "ราชาทะเล") ออกรณรงค์ไปยังยุโรปตะวันตกจากนั้นที่บ้านลักษณะเด่นของโครงสร้างทางสังคมและกิจการทางทหารของสแกนดิเนเวียคือการรักษาชาวนาเสรี (พันธบัตร) และ บทบาทสำคัญของกองทหารอาสาสมัครชาวนา (โดยเฉพาะในนอร์เวย์) กษัตริย์ Hakon the Good ของนอร์เวย์ (ค.ศ. 960) ตามเทพนิยายได้ปรับปรุงการรวบรวมกองทหารรักษาการณ์ทางเรือ: ประเทศถูกแบ่งออกเป็นเขตการเดินเรือไกลจากทะเล "เมื่อปลาแซลมอนขึ้น" และกำหนดจำนวนเรือในแต่ละเขต พึงตั้งรับไว้เมื่อยกทัพมาตีบ้านเมือง. สำหรับการแจ้งเตือน ระบบสัญญาณไฟถูกสร้างขึ้นซึ่งทำให้สามารถส่งข้อความไปทั่วนอร์เวย์ในหนึ่งสัปดาห์

ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของกิจการทหารในศตวรรษที่ 10-11 คือความเฟื่องฟูของป้อมปราการปราสาท ในดินแดนฝรั่งเศส ความคิดริเริ่มในการก่อสร้างเป็นของขุนนางท้องถิ่นซึ่งพยายามเสริมอำนาจในดินแดนของตน ในภูมิภาคเยอรมันซึ่งอำนาจของกษัตริย์ยังคงแข็งแกร่ง กษัตริย์กำลังสร้างป้อมปราการอย่างแข็งขันในช่วงเวลาที่ดินแดนเยอรมันถูกตรวจสอบสร้าง เมืองที่มีป้อมปราการทั้งชุด - burgs) อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถพูดได้ว่าในช่วงเวลานี้มีทักษะการปิดล้อมของกองทัพยุโรปตะวันตกที่เฟื่องฟูและถอดออก - อาวุธปิดล้อมเพิ่มขึ้นในเชิงปริมาณ แต่ในทางปฏิบัติจะไม่เปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ เมืองถูกยึดครองด้วยความอดอยากหรือโดยการขุดใต้กำแพง การจู่โจมที่ด้านหน้านั้นหาได้ยาก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการสูญเสียอย่างหนักสำหรับผู้โจมตี และประสบความสำเร็จในบางกรณีเท่านั้น

สรุปการพัฒนากองทัพและกิจการทหารในประเทศยุโรปตะวันตกในช่วงเวลานี้ คุณสมบัติที่สำคัญอีกประการหนึ่งของกระบวนการนี้สามารถสังเกตได้: ในเวลาภายใต้การพิจารณา เทคนิคทางยุทธวิธีและกลยุทธ์ ส่วนของชุดเกราะหรืออาวุธจากกองทัพ ศิลปะของชนชาติอื่นเริ่มถูกยืมอย่างแข็งขันในศิลปะการทหารของตะวันตกซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นของคนตะวันออก กระบวนการนี้จะมีขอบเขตมากขึ้นในช่วงหน้าของประวัติศาสตร์ยุโรป นั่นคือช่วงสงครามครูเสด

B) ยุโรปตะวันตกในศตวรรษที่ XII-XIII: สงครามครูเสด

ปลายศตวรรษที่ 11 ในยุโรปตะวันตกถูกทำเครื่องหมายโดยจุดเริ่มต้นของสงครามครูเสดนั่นคือ การรณรงค์เพื่อปลดปล่อยสุสานศักดิ์สิทธิ์ในกรุงเยรูซาเล็ม เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าสงครามครูเสดเริ่มขึ้นในปี 1096 เมื่อการรณรงค์ครั้งแรกของอัศวินคริสเตียนในปาเลสไตน์เริ่มขึ้น ซึ่งนำไปสู่การพิชิตกรุงเยรูซาเล็ม และสิ้นสุดในปี 1291 ด้วยการสูญเสียเมือง Acre ซึ่งเป็นป้อมปราการสุดท้ายของพวกครูเสดใน ปาเลสไตน์. สงครามครูเสดมีผลกระทบอย่างมากต่อประวัติศาสตร์ทั้งหมดของยุโรปยุคกลางที่นับถือศาสนาคริสต์ แต่อิทธิพลของพวกเขาเห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษในแวดวงการทหาร

ประการแรก ในตะวันออก อัศวินคริสเตียนเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่รู้จักมาก่อน: ทหารม้าตุรกีติดอาวุธเบาหลบการโจมตีของกองเรืออัศวินหุ้มเกราะอย่างใจเย็น และยิงธนูใส่ชาวยุโรปจากระยะที่ปลอดภัย และทหารราบตุรกีที่ใช้หน้าไม้ยังไม่รู้จัก ชาวยุโรปในสนามรบ แกนกลางเจาะเกราะอัศวิน สร้างความเสียหายอย่างมากในกลุ่มทหารม้าคริสเตียน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเติร์กซึ่งด้อยกว่าอัศวินในการต่อสู้เดี่ยว มีจำนวนมากกว่าชาวคริสต์และโจมตีทั้งหมดในคราวเดียว ไม่ใช่ทีละคน คล่องตัวกว่ามาก เนื่องจากการเคลื่อนไหวของพวกเขาไม่ได้ถูกจำกัดด้วยชุดเกราะ พวกเขาจึงวนไปรอบๆ อัศวิน โจมตีจากทิศทางต่างๆ และบ่อยครั้งก็ประสบความสำเร็จ เห็นได้ชัดว่าจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับวิธีการทำสงครามแบบใหม่ วิวัฒนาการของกองทัพคริสเตียนในตะวันออก โครงสร้าง อาวุธ และด้วยเหตุนี้ ยุทธวิธีในการทำสงครามจึงดำเนินไปตามเส้นทางหลักสองทาง

ในอีกด้านหนึ่ง บทบาทของทหารราบและพลธนูในการปฏิบัติการทางทหารกำลังเพิ่มขึ้น (แน่นอนว่าธนูเป็นที่รู้จักในยุโรปมานานก่อนสงครามครูเสด แต่ชาวยุโรปพบการใช้อาวุธนี้เป็นจำนวนมากเป็นครั้งแรกในปาเลสไตน์) หน้าไม้ยืมมา การใช้พลธนูและทหารราบจำนวนมากโดยพวกเติร์กทำให้เกิดความประทับใจว่ากษัตริย์เฮนรี่ที่ 2 ของอังกฤษถึงกับดำเนินการปฏิรูปการทหารในอังกฤษแทนที่การรับราชการทหารของขุนนางศักดินาหลายคนด้วยการเก็บภาษี (ที่เรียกว่า "เงินโล่" ) และการสร้างกองทหารรักษาการณ์จากประชาชนที่เป็นอิสระซึ่งมีหน้าที่ต้องอยู่ในกองทัพตามการเรียกครั้งแรกของกษัตริย์ อัศวินหลายคนพยายามที่จะไล่ตามพวกเติร์กในความคล่องตัวขอยืมอาวุธเบาจากพวกเขา: จดหมายลูกโซ่, หมวกนิรภัย, โล่ทหารม้าทรงกลม, หอกเบาและดาบโค้ง โดยธรรมชาติแล้ว อัศวินที่ติดอาวุธในลักษณะนี้ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้อีกต่อไป และถูกบังคับให้ต้องร่วมมือกับหน่วยทหารราบและหน่วยปืนไรเฟิลอย่างแข็งขัน

ในทางกลับกัน อาวุธยุทโธปกรณ์ของอัศวินส่วนใหญ่กำลังพัฒนาไปสู่การถ่วงน้ำหนัก: ขนาดและความหนาของหอกเพิ่มขึ้นจนเป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมด้วยมือเปล่า - ตอนนี้เพื่อที่จะโจมตี มันจะต้องมี วางอยู่บนรอยบากของแผ่นรองไหล่ น้ำหนักของดาบจะเพิ่มขึ้น หม้อหมวกกันน็อคปรากฏขึ้นในชุดเกราะ ปกคลุมทั้งศีรษะและเหลือเพียงร่องแคบๆ สำหรับดวงตา กระสุนจะหนักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งขัดขวางการเคลื่อนไหวของอัศวิน ม้าที่มีความยากลำบากอย่างยิ่งสามารถบรรทุกคนขี่ได้ซึ่งนำไปสู่ความจริงที่ว่าในอีกด้านหนึ่งพวกเติร์กที่มีอาวุธเบาของเขาไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ ต่ออัศวินที่หุ้มด้วยเหล็กได้และในทางกลับกันอัศวินก็บรรทุก ด้วยชุดเกราะก็สู้พวกเติร์กไม่ได้ ด้วยอาวุธประเภทนี้ การโจมตีด้วยหอกของอัศวินที่มีชื่อเสียงจึงเป็นไปไม่ได้ - อัศวินแต่ละคน อันดับแรก ใช้พื้นที่มากเกินไป และประการที่สอง เงอะงะเกินไป - ดังนั้น การต่อสู้จึงกลายเป็นการต่อสู้มากมายในทันที ซึ่งอัศวินแต่ละคน เลือกคู่ต่อสู้ของเขาและพยายามต่อสู้กับเขา ทิศทางในการพัฒนาอาวุธนี้กลายเป็นแนวทางหลักสำหรับกิจการทางทหารของยุโรปตลอดศตวรรษที่ 13

ประการที่สอง สงครามครูเสดมีอิทธิพลอย่างมากในการเพิ่มความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของกลุ่มอัศวินยุโรป ซึ่งจู่ ๆ ก็ตระหนักว่าตัวเองเป็นกองทัพเดียวของพระคริสต์ ความตระหนักรู้นี้แสดงออกมาในรูปแบบหลักหลายประการ ซึ่งเราสามารถกล่าวถึงการก่อตัวและการกระจายคำสั่งทางสงฆ์ทางทหารในวงกว้างและการเกิดขึ้นของการแข่งขัน

คำสั่งสงฆ์ทางทหารเป็นองค์กรประเภทสงฆ์ซึ่งมีกฎบัตรและที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง คำสั่งนำโดยปรมาจารย์ สมาชิกของคำสั่งใช้คำสาบานของสงฆ์ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็อาศัยอยู่ในโลกและยิ่งไปกว่านั้นก็ต่อสู้ คำสั่งของอัศวินเทมพลาร์เกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1118 ในเวลาเดียวกันคำสั่งของ Johnnites หรือ Hospitallers ก็ปรากฏขึ้น ในสเปนในปี ค.ศ. 1158 คำสั่งของ Calatrava ก็ปรากฏขึ้น และในปี 1170 คำสั่งของ Santiago de Compostela ในปี 1199 คำสั่งเต็มตัว ของดาบก่อตั้งขึ้น ภารกิจหลักของคำสั่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือการคุ้มครองผู้แสวงบุญ การปกป้องป้อมปราการของชาวคริสต์ส่วนใหญ่ และการทำสงครามกับชาวมุสลิม ในความเป็นจริง คำสั่งดังกล่าวได้กลายเป็นกองทัพอาชีพปกติแห่งแรกของยุโรปที่นับถือศาสนาคริสต์

ดังนั้นเมื่อสรุปการพัฒนากิจการทางทหารในยุโรปในศตวรรษที่ 12-13 แนวโน้มหลักหลายประการสามารถสังเกตได้: การเพิ่มขึ้นของบทบาทของทหารราบและการก่อตัวของปืนไรเฟิลและการปิดชั้นเรียนอัศวินในเวลาเดียวกันซึ่งแสดงออกมา ในแง่หนึ่ง ในชุดเกราะที่มีน้ำหนักมากขึ้น ซึ่งเปลี่ยนอัศวินคนเดียวให้กลายเป็นป้อมปราการต่อสู้ ทั้งในแง่ของความน่าเกรงขามและความคล่องตัว และในทางกลับกัน ในการจัดกลุ่มอัศวินด้วยตนเองให้เป็นคำสั่งทางทหาร-วัด ใน การปรากฏตัวของระบบเสื้อคลุมแขนที่พัฒนาขึ้นซึ่งความหมายนั้นชัดเจนสำหรับผู้เริ่มต้นเท่านั้น ฯลฯ การโต้เถียงที่เพิ่มขึ้นนี้นำไปสู่ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่หลายครั้งที่เกิดขึ้นกับอัศวินโดยสามัญชน (เช่น ที่คอร์ทไรในปี 1302 ที่มอร์การ์เทินในปี 1315) และทำให้บทบาทอัศวินทางทหารลดลงไปอีก

3. ยุโรปในศตวรรษที่ XIV-XV: ฤดูใบไม้ร่วงของยุคกลาง

คุณค่าของศตวรรษที่ XIV-XV สำหรับประวัติศาสตร์การทหารของยุโรปเทียบได้กับศตวรรษที่ VIII-X เท่านั้น จากนั้นเราเฝ้าดูการกำเนิดของอัศวิน บัดนี้ - การลดลงของมัน นี่เป็นเพราะปัจจัยหลายประการ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดมีดังต่อไปนี้ ประการแรก ในช่วงเวลานี้ในรัฐต่างๆ ในยุโรปส่วนใหญ่ ระบอบราชาธิปไตยที่รวมศูนย์อำนาจเดียวได้ก่อตัวขึ้นแทนที่การแตกแยกของระบบศักดินา ซึ่งส่งผลให้ข้าราชบริพารที่ค่อยๆ ประการที่สอง คนธรรมดาที่กลับมาจากสงครามครูเสดเข้าใจว่าอัศวินไม่ได้อยู่ยงคงกระพันอย่างที่เห็น พวกเขาเข้าใจว่าหลายสิ่งหลายอย่างสามารถบรรลุผลสำเร็จได้จากการปฏิบัติการร่วมกันของทหารราบ และสุดท้าย ประการที่สาม ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่มีอาวุธปืน และเหนือสิ่งอื่นใด ปืนใหญ่ ซึ่งแม้แต่ชุดเกราะอัศวินที่ดีที่สุดก็ไม่รอดอีกต่อไป

สิ่งเหล่านี้และปัจจัยอื่น ๆ แสดงให้เห็นอย่างเต็มที่ในช่วงความขัดแย้งทางทหารที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของยุโรปซึ่งเกิดขึ้นระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส เรากำลังพูดถึงสงครามร้อยปีในปี 1337-1453 สงครามเริ่มขึ้นเนื่องจากการอ้างสิทธิ์ของกษัตริย์อังกฤษ Edward III ต่อบัลลังก์ฝรั่งเศส

ในช่วงปีแรก ๆ ของสงคราม ฝรั่งเศสประสบความพ่ายแพ้อย่างร้ายแรงหลายครั้ง: ในการรบทางเรือของ Sluys (1346) กองเรือฝรั่งเศสทั้งหมดถูกสังหารและอยู่บนบกแล้วใน Battle of Crecy (1346) อัศวินชาวฝรั่งเศสเผชิญหน้ากับนักธนูชาวอังกฤษประสบความพ่ายแพ้อย่างน่าสยดสยอง ในความเป็นจริง ในการรบครั้งนี้ ชาวฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต่อความเชื่อของพวกเขาเองในการอยู่ยงคงกระพันของทหารม้าอัศวิน และการที่ทหารราบไม่สามารถต้านทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเลือกสนามรบแล้ว ผู้บัญชาการอังกฤษก็วางพลธนูและอัศวินลงจากหลังม้าไว้บนเนินเขา อัศวินที่ลงจากหลังม้าไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่พวกเขายืนขึ้นโดยมีกำแพงเหล็กบังนักธนูไว้ ในทางตรงกันข้ามชาวฝรั่งเศสโยนอัศวินของพวกเขาเข้าโจมตีบนเนินเขาทันทีจากการเดินทัพ ไม่อนุญาตให้พวกเขาพักหรือเข้าแถว สิ่งนี้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าเศร้าสำหรับพวกเขา - ลูกธนูของนักธนูชาวอังกฤษไม่สามารถเจาะเกราะของอัศวินได้ แต่พวกเขาพบเส้นทางในชุดเกราะม้าหรือในกระบังหน้าของหมวกนิรภัย เป็นผลให้อัศวินฝรั่งเศสเพียงหนึ่งในสามขึ้นไปถึงยอดเขา ได้รับบาดเจ็บและอ่อนเพลีย ที่นั่นพวกเขาได้พบกับอัศวินอังกฤษที่พักผ่อนพร้อมดาบและขวานรบ การทำลายล้างเสร็จสมบูรณ์

สิบปีต่อมา ที่สมรภูมิปัวตีเย (ค.ศ. 1356) ฝรั่งเศสประสบความพ่ายแพ้อีกครั้ง ครั้งนี้ชัยชนะของอังกฤษโดดเด่นในผลลัพธ์ - กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส John II the Good ถูกพวกเขาจับตัวไป ท่ามกลางการสู้รบ ข้าราชบริพารของกษัตริย์ฝรั่งเศสเห็นว่าโชคชะตาทางทหารทรยศพวกเขา จึงเลือกที่จะถอนทหารออกจากสนามรบ ทิ้งให้กษัตริย์ต้องต่อสู้ตามลำพังแทบสิ้นเชิง - มีเพียงพระโอรสเท่านั้นที่ยังคงอยู่กับเขา ความพ่ายแพ้ครั้งนี้แสดงให้เห็นอีกครั้งว่ากองทัพศักดินาหมดประโยชน์แล้ว และไม่สามารถต้านทานกองทหารอาสาสมัครที่มาจากประชาชนทั่วไปได้เพียงพอ

สถานการณ์แย่ลงด้วยการเริ่มใช้อาวุธปืนอย่างแข็งขัน อันดับแรกเป็นอาวุธปิดล้อม จากนั้นเป็นปืนใหญ่สนาม สถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสทั้งในด้านการเมืองและด้านการทหารในต้นศตวรรษที่ 15 ทำให้กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 7 ดำเนินการปฏิรูปทางทหารซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าของฝรั่งเศสอย่างรุนแรงและจากนั้นกองทัพยุโรป ตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกในปี ค.ศ. 1445 กองทหารประจำการถูกสร้างขึ้นในฝรั่งเศส เขาได้รับคัดเลือกจากขุนนางและเป็นทหารม้าติดอาวุธหนัก ทหารม้านี้แบ่งออกเป็นกองหรือกองร้อยซึ่งประกอบด้วย "หอก" "หอก" มักจะรวม 6 คน: ทหารม้าหนึ่งคนติดอาวุธด้วยหอกและนักรบม้าเสริมห้าคน นอกจากกองทหารม้านี้ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "แบน" (เช่น "ธง") และได้รับคัดเลือกจากข้าราชบริพารโดยตรงของกษัตริย์แล้ว กองทหารนี้ยังรวมถึงหน่วยปืนใหญ่ หน่วยยิงธนู และทหารราบด้วย ในกรณีฉุกเฉิน กษัตริย์สามารถเรียกประชุมอาร์เจอร์บันได้ เช่น กองทหารอาสาสมัครของข้าราชบริพารของพวกเขา

ตามการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของกองทัพ อัลกอริธึมของการปฏิบัติการทางทหารก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ตอนนี้เมื่อกองกำลังสงครามสองกองมาพบกัน การปลอกกระสุนเริ่มขึ้นเป็นอันดับแรก พร้อมกับการขุดป้อมปราการสำหรับปืนและที่กำบังจากนิวเคลียสของศัตรู: "เคานต์ชาโรเลส์ตั้งขึ้น ตั้งค่ายตามลำน้ำโดยมีเกวียนและปืนใหญ่ล้อมรอบพระองค์…”; “ประชาชนของกษัตริย์เริ่มขุดคูน้ำและสร้างเชิงเทินจากดินและไม้ พวกเขาวางปืนใหญ่ทรงพลังไว้ข้างหลังเธอ<…>พวกเราหลายคนขุดสนามเพลาะใกล้บ้าน…” หน่วยลาดตระเวนถูกส่งออกไปทุกทิศทุกทางจากค่าย บางครั้งถึงห้าสิบหอก นั่นคือจำนวนสามร้อยคน ในการสู้รบ ฝ่ายที่ต่อสู้กันพยายามหาตำแหน่งปืนใหญ่ของกันและกันเพื่อยึดปืน โดยทั่วไปแล้วเราสามารถสังเกตได้ว่าสงครามคลาสสิกของยุคใหม่เริ่มต้นขึ้น การทบทวนซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตของงานนี้

บรรณานุกรมประกอบ

I. สิ่งพิมพ์ของแหล่งที่มา (ในภาษารัสเซีย)

เช่นเดียวกับบทความที่แล้วในฉบับนี้ การเลือกแหล่งที่มาของงานนี้ทำได้ยากด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรก เป็นเรื่องยากมากที่จะหาแหล่งข้อมูลอย่างน้อยหนึ่งแหล่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคกลาง ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อสงคราม ประการที่สอง ตรงกันข้ามกับสมัยโบราณ ในยุคกลางแทบไม่มีงานใดที่อุทิศให้กับกิจการทหารโดยเฉพาะหรือประวัติศาสตร์ของสงครามใด ๆ โดยเฉพาะ (ข้อยกเว้นคือประเพณีไบแซนไทน์ซึ่งภายใน "สงคราม" ของ Procopius of Caesarea ถูกสร้างขึ้น เช่นเดียวกับงานเกี่ยวกับกลยุทธ์และกลยุทธ์ของหลอกมอริเชียส, Kekavmen และอื่น ๆ ); ในที่สุด ประการที่สาม สถานการณ์ที่มีแหล่งที่มาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคกลางซึ่งแปลเป็นภาษารัสเซียเป็นที่ต้องการอย่างมาก ทั้งหมดนี้นำไปสู่ความจริงที่ว่าด้านล่างนี้เป็นเพียงแหล่งข้อมูลเล็ก ๆ ที่เราสามารถแนะนำให้อ่านในหัวข้อของบทความ ลักษณะของแหล่งที่มาจะได้รับจากมุมมองของประวัติศาสตร์การทหารเท่านั้น สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมดู: Lyublinskaya ค.ศ.ที่มาศึกษาประวัติศาสตร์ยุคกลาง. - ล. 2498; บิบิคอฟ เอ็ม.วี.วรรณคดีประวัติศาสตร์ของไบแซนเทียม - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2541 - (ห้องสมุดไบแซนไทน์)

1. อกาธิอุสแห่งมิรีนในรัชสมัยของจัสติเนียน / Per. เอ็ม.วี. เลฟเชนโก - M. , 1996 งานของผู้สืบทอดของ Procopius of Caesarea อุทิศให้กับคำอธิบายของสงครามของผู้บัญชาการ Narses กับ Goths, Vandals, Franks และ Persians และมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับศิลปะการทหารไบแซนไทน์ในช่วงครึ่งหลังของ ศตวรรษที่ 6 อย่างไรก็ตาม อกาธิอุสไม่ใช่ทหาร และบางครั้งการนำเสนอเหตุการณ์ทางทหารของเขาก็ประสบความไม่ถูกต้อง

2. แอนนา คมนีนา.อเล็กเซียด/ต่อ. จากภาษากรีก ยา.น. ลูบาร์สกี้. - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2539 - (ห้องสมุดไบแซนไทน์) แม้จะมีรูปแบบโวหารและผู้เขียนเองไม่มีประสบการณ์ด้านการทหาร แต่งานนี้ยังคงเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในประวัติศาสตร์การทหารของไบแซนเทียมในยุคของ Komnenos

3. วิดูคินด์แห่งคอร์วีย์การกระทำของชาวแอกซอน - M. , 1975 ฤดูใบไม้ผลิถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 10 โดยพระภิกษุสงฆ์แห่งอาราม Novokorveysky มีการให้ข้อมูลที่มีลักษณะเด่นทางการเมือง สงครามถูกอธิบายโดยสังเขป (ในรูปแบบ เวนิวีดิ,วิชี) อย่างไรก็ตาม มีคำอธิบายเกี่ยวกับอาวุธและเครื่องแต่งกายทางการทหารของชาวแอกซอน มีข้อมูลเกี่ยวกับหลักการจัดทัพของกองทัพแซกซอน เกี่ยวกับการมีอยู่ของกองทัพเรือ ทหารม้า และอาวุธปิดล้อมในหมู่ชาวแอกซอน

4. บียาร์ดูอิน, เจฟฟรีย์ เด.การพิชิตคอนสแตนติโนเปิล / แปล ศิลปะ ความคิดเห็น ศศ.ม. ซาโบโรวา. - M. , 1993. - (อนุสรณ์สถานแห่งความคิดทางประวัติศาสตร์). บันทึกของหนึ่งในผู้นำของ IV Crusade มีข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร จำนวน และอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพครูเสด

5. โพลีออร์คีติกส์ของกรีก Flavius Vegetius Renat / คำนำ. เอ.วี. มิชูลิน; ความคิดเห็น อ. โนวิคอฟ - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2539 - (ห้องสมุดโบราณ) สำหรับคำอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลนี้ โปรดดูด้านบนในบรรณานุกรมของบทความเกี่ยวกับกองทัพโบราณ เราสามารถเพิ่มได้เพียงว่างานของ Vegetius เป็นบทความที่น่าเชื่อถือที่สุดเกี่ยวกับโครงสร้างของกองทัพสำหรับนักคิดในยุคกลาง - ในกองทหารในอุดมคติของ Vegetius พวกเขาเห็นรูปแบบที่เหมาะสำหรับการสร้างกองทัพอัศวินยุคกลาง

6. บทสรุปของจัสติเนียน จอง XLIX ติตัส XVI เกี่ยวกับกิจการทหาร / ต่อ. ครั้งที่สอง Yakovkina // อนุสาวรีย์กฎหมายโรมัน: กฎหมายของตาราง XII สถาบัน Guyanese ไดเจสต์ของจัสติเนียน - ม., 2540. - ส.591-598. สำหรับคำอธิบายเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลนี้ โปรดดูบรรณานุกรมสำหรับบทความเกี่ยวกับกองทัพโบราณ อาจกล่าวเพิ่มเติมได้ว่ากฎหมายทหาร "ไดเจสท์" ไม่เพียงรักษาความเกี่ยวข้องไว้ในสมัยของจัสติเนียนเท่านั้น แต่ยังได้รับการยอมรับและใช้ในภายหลังโดยสมาชิกสภานิติบัญญัติของยุโรปหลายคนในยุคกลาง (เช่น กษัตริย์แห่งคาสตีลและลีออง อัลฟองโซที่ 10 ฉลาด) ในการร่างกฎหมายของตน

7. จอร์แดน.เกี่ยวกับที่มาและการกระทำของ Getae “Getica” / ผู้แปล บทนำ ศิลปะ. ความคิดเห็น. อี. ช. สครินสกายา. - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2540 - (ห้องสมุดไบแซนไทน์) – ส.98-102. จากงานนี้ เราสามารถแนะนำได้เฉพาะคำอธิบายของจอร์แดนเกี่ยวกับการสู้รบที่มีชื่อเสียงในทุ่ง Catalaunian ซึ่งกลายเป็นแบบอย่างสำหรับนักประวัติศาสตร์ยุคกลางหลายคนในการอธิบายการสู้รบ

8. คลารี, โรเบิร์ต เดอ.การพิชิตคอนสแตนติโนเปิล / แปล ศิลปะ ความคิดเห็น ศศ.ม. ซาโบโรวา. - M. , 1986. - (อนุสรณ์สถานแห่งความคิดทางประวัติศาสตร์). ผู้เขียนเป็นหนึ่งในอัศวินที่เรียบง่ายซึ่งอยู่ในกองทัพของพวกครูเสดที่บุกโจมตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี 1204 ซึ่งอธิบายถึงความไม่สมบูรณ์และความเป็นตัวตนของข้อมูลของแหล่งที่มา อย่างไรก็ตาม ข้อความในพงศาวดารมีข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนกองทหารอัศวิน ค่าใช้จ่ายในการจ้างเรือขนส่งทหาร และโครงสร้างของกองทัพอัศวิน

9. คอมมิน, ฟิลิปป์ เด.บันทึกความทรงจำ / ทรานส์, ศิลปะ., หมายเหตุ. ได้. มาลิน. - M. , 1986. - (อนุสรณ์สถานแห่งความคิดทางประวัติศาสตร์). ผู้เขียนซึ่งเป็นทหารอาชีพและนักการทูต รับใช้ครั้งแรกภายใต้ดยุกแห่งเบอร์กันดี ชาร์ลส์ผู้กล้า จากนั้นไปอยู่ข้างพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 และกลายเป็นที่ปรึกษาของเขาเกี่ยวกับสงครามกับเบอร์กันดี งานของเขามีข้อมูลจำนวนมากที่จำเป็นสำหรับการศึกษากองทัพฝรั่งเศส Ser. - ชั้น 2 ศตวรรษที่ 15 โครงสร้าง อาวุธ ยุทธวิธีและกลยุทธ์

10.คอนสแตนติน พอร์ไฟโรเจนิทัสเกี่ยวกับการจัดการของจักรวรรดิ / ต่อ จี.จี. ทิมปานี - M. , 1991. - (แหล่งที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันออก). งานเขียนของจักรพรรดิไบแซนไทน์ในปี ค.ศ. 913-959 ประกอบด้วยข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการทูตของไบแซนไทน์ องค์กรทางทหาร ความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ตลอดจนยุทโธปกรณ์ทางทหาร (คำอธิบายของการยิงของกรีก)

11.คูลาคอฟสกี้ ยู.เอ.ค่ายไบแซนไทน์ในปลายศตวรรษที่ 10 // อารยธรรมไบแซนไทน์ในการรายงานข่าวของนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย พ.ศ. 2437-2470 - ม., 2542. - ส.189-216. สิ่งพิมพ์ที่มีคำอธิบายประกอบของบทความไบแซนไทน์เล็ก ๆ ที่เขียนอย่างระมัดระวังจากศตวรรษที่ 10 "De castrametatione" ("ในการตั้งค่าย") พร้อมกับไดอะแกรมของค่าย Byzantine เผยแพร่ครั้งแรก: Byzantine Vremennik - ต.10 - ม., 2446. - ส.63-90.

12.มอริเชียสกลยุทธ์และกลยุทธ์: Op. แหล่งที่มาหลัก เกี่ยวกับทหาร อิมป์ศิลปะ สิงห์ นักปรัชญา และ เอ็น. มาคิอาเวลลี / Per. จากลาดพร้าว ไซบีเชฟ; คำนำ บน. ไกส์แมน - SPb., 1903 บทความไบแซนไทน์พื้นฐานเกี่ยวกับกลยุทธ์ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 5-6 การระบุแหล่งที่มาของจักรพรรดิมอริเชียส (582-602) นั้นถูกโต้แย้งโดยนักวิชาการสมัยใหม่ สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือการกล่าวถึงโกลนครั้งแรกในวรรณกรรมทางทหารของยุโรปรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับกิจการทางทหารของชาวสลาฟโบราณ มีฉบับย่อที่เข้าถึงได้มากขึ้น: หลอกมอริเชียสสเตทเกคอน/ต่อ. Tsybyshev เอ็ด อาร์.วี. Svetlova // ศิลปะแห่งสงคราม: กวีนิพนธ์แห่งความคิดทางทหาร - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2543 - T.1 -หน้า285-378.

13.ปีเตอร์จากDoesburgพงศาวดารแห่งดินแดนปรัสเซีย / เอ็ด เตรียมไว้ ในและ มาตูโซวา - M. , 1997 บทความที่บอกเล่าเกี่ยวกับสงครามของ Teutonic Order ในปรัสเซียจากมุมมองของพวกครูเสด แหล่งข้อมูลที่มีค่าอย่างยิ่งเกี่ยวกับคำสั่งอัศวินฝ่ายวิญญาณ แปลและแสดงความคิดเห็นอย่างดีเยี่ยม

14. บทเพลงแห่ง Nibelungs: มหากาพย์ / ต่อ ยุ. กรณีวา ; บทนำ ศิลปะ. ความคิดเห็น. และฉัน. กูเรวิช. - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2543 มหากาพย์เยอรมันเก่าที่มีชื่อเสียง จากที่นี่ คุณจะได้รับทั้งข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธและกลยุทธ์ของกองทัพยุคกลาง (โดยเฉพาะ เกี่ยวกับการใช้ข่าวกรอง)

15. เพลงของ Roland: ตามข้อความของ Oxford / Per บี.ไอ. ยาร์โค - ม. - ล.: "สถาบันการศึกษา", 2477 จากข้อความนี้เราสามารถรับข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ของอัศวินเกี่ยวกับกลยุทธ์การต่อสู้ (การจัดซุ่มโจมตี ฯลฯ ) รวมถึงโครงสร้างของกองทัพ ไม่ต้องสนใจจำนวนทหารที่ระบุใน "เพลง ... "

16.Song of Side: มหากาพย์วีรบุรุษเก่าของสเปน / ต่อ. บี.ไอ. ยาร์โค, ยู.บี. กรนีวา ; เอ็ด เตรียมไว้ อ. สเมียร์นอฟ - ม.-ล., 2502. - (จากเอกสาร อนุเสาวรีย์). ข้อความของแหล่งที่มามีอายุย้อนไปถึงกลางศตวรรษที่ 12 และมีข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับศิลปะการทหารในศตวรรษที่ 11-12 เกี่ยวกับวิธีการดำเนินการปิดล้อม เกี่ยวกับจำนวนทหาร (ไม่เหมือนกับเพลงของโรแลนด์ อนุสาวรีย์ให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ในเรื่องนี้ซึ่งได้รับการยืนยันจากข้อมูลจากแหล่งอื่น) เกี่ยวกับอาวุธและอุปกรณ์ของอัศวิน

17.Procopius แห่งซีซาเรีย War with the Goths: ใน 2 เล่ม / ต่อ เอส.พี. Kondratiev - ม., 2539. - อ.1-2.

18.Procopius แห่งซีซาเรียทำสงครามกับชาวเปอร์เซีย ทำสงครามกับคนป่าเถื่อน ประวัติความลับ / ทรานส์, ศิลปะ, ความคิดเห็น อ. เชคาโลวา. - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2541 - (ห้องสมุดไบแซนไทน์) Procopius of Caesarea เป็นนักประวัติศาสตร์มืออาชีพในยุคของจักรพรรดิจัสติเนียน ผู้สร้างวงจรของงานประวัติศาสตร์ "History of Wars" ที่อุทิศให้กับสงครามของจักรวรรดิไบแซนไทน์ภายใต้จักรพรรดิองค์นี้ รอบนี้รวมถึงผลงานที่กล่าวถึงข้างต้น "สงครามกับ Goths", "สงครามกับเปอร์เซีย" และ "สงครามกับป่าเถื่อน" คุณลักษณะเฉพาะของงานเหล่านี้คือความรู้เชิงลึกของ Procopius เกี่ยวกับเรื่องที่อธิบายไว้ - เป็นเวลาหลายปีที่เขาเป็นเลขานุการส่วนตัวของผู้บัญชาการที่ใหญ่ที่สุด Justinian, Belisarius และติดตามเขาในการรณรงค์ดังนั้นจึงมีโอกาสโดยตรงในการสังเกตเส้นทางการสู้รบ . ที่ประสบความสำเร็จเป็นพิเศษคือคำอธิบายของ Procopius เกี่ยวกับการปิดล้อมเมือง (ทั้งจากมุมมองของผู้ปิดล้อมและจากมุมมองของผู้ถูกปิดล้อม) ข้อมูลของผู้เขียนเกี่ยวกับขนาดและโครงสร้างของกองทัพไบแซนไทน์ได้รับการยืนยันจากแหล่งข้อมูลอื่น ดังนั้นจึงถือว่าเชื่อถือได้

19.Procopius แห่งซีซาเรียเกี่ยวกับอาคาร/ต่อ. เอส.พี. Kondratiev // เขา สงครามกับ Goths: ใน 2 เล่ม - M. , 1996 - V.2 -หน้า 138-288. ผลงานชิ้นนี้ของ Procopius มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับนโยบายการก่อสร้างของจักรพรรดิจัสติเนียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการก่อสร้างทางทหารในยุคนั้น หลักการของป้อมปราการไบแซนไทน์นั้นครอบคลุมในรายละเอียด ป้อมปราการเกือบทั้งหมดที่สร้างขึ้นภายใต้จัสติเนียนได้รับการตั้งชื่อ

20.ริชเชอร์แห่งแร็งส์ประวัติ / ผู้แปล อรรถกถา ศิลปะ เอ.วี. ทาราโซวา. - M. , 1997 จากงานนี้คุณจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทหารและวิธีการทำสงครามในศตวรรษที่ X-XI เกี่ยวกับการใช้ข่าวกรองในการปฏิบัติการทางทหาร ในทางกลับกัน ข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างของกองทัพ Frankish จาก Rycher นั้นไม่สามารถเรียกได้ว่าน่าเชื่อถือ - Rycher ยืมการแบ่งกองทัพออกเป็นพยุหเสนาและหมู่คณะอย่างชัดเจนจากนักเขียนชาวโรมัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก Sallust อันเป็นที่รักของเขา

21. เทพนิยายของ Sverrier / เอ็ด เตรียมไว้ M.I. Steblin-Kamensky และอื่น ๆ - M. , 1988. - (จากเอกสาร, อนุเสาวรีย์). ประวัติสงครามระหว่างประเทศในนอร์เวย์ในศตวรรษที่ 12-13 สานต่อ "วงกลมแห่งโลก" โดย Snorri Sturluson (ดูด้านล่าง) ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับการทหาร ซึ่งแม้หลังจากสิ้นสุดยุคไวกิ้งแล้ว นอร์เวย์ก็ยังคงแตกต่างอย่างมากจากส่วนอื่นๆ ของยุโรปตะวันตก

22. กระจกแซกซอน / ตัวแทน เอ็ด วี.เอ็ม. โคเร็ตสกี้. - ม., 2528.

23. ความจริงของซาลิก / ต่อ เอ็น.พี. กราเซียนสกี้. - M. , 1950 อนุสาวรีย์ทั้งสองนี้ของกฎหมายจารีตประเพณีลายลักษณ์อักษรของชาวเยอรมันรวมอยู่ในรายการแหล่งที่มาในฐานะตัวแทนทั่วไปของ "ปราฟดาป่าเถื่อน" ตามกฎแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะดึงข้อมูลจริงเกี่ยวกับการทหาร แต่ในทางกลับกันมีข้อมูลเกี่ยวกับค่าเกราะและอาวุธซึ่งสร้างแนวคิดเกี่ยวกับตำแหน่งทางสังคมของนักรบในภาษาเยอรมัน สังคมอนารยชน

24.สนอร์รี สเตอร์ลูสัน.วงกลมของโลก / เอ็ด เตรียมไว้ และฉัน. Gurevich และอื่น ๆ - M. , 1980. - (จากบทความ, อนุสาวรีย์). คอลเลกชันคลาสสิกของเทพนิยายเกี่ยวกับ "ผู้ปกครองที่อยู่ในกลุ่มประเทศนอร์ดิกและพูดภาษาเดนมาร์ก" ซึ่งสร้างขึ้นในไอซ์แลนด์ในช่วงครึ่งแรก ศตวรรษที่ 13 นำเสนอตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปี ค.ศ. 1177 ในส่วนที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การทหาร เนื้อหาประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับกิจการทางทหารของชาวไวกิ้ง การรณรงค์เพื่อพิชิต กลอุบายทางทหารและอาวุธ และกลไกในการเกณฑ์กองทัพนอร์มัน

25. เคล็ดลับและเรื่องราวของ Kekavmen ผลงานของผู้บัญชาการไบแซนไทน์ในศตวรรษที่ 11 / เตรียม ข้อความ บทนำ คำแปล ความคิดเห็น จี.จี. ทิมปานี - M. , 1972. - (อนุสรณ์สถานแห่งประวัติศาสตร์ยุคกลางของผู้คนในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก) แหล่งที่มาเขียนขึ้นในปี 1070 มันมีคำแนะนำเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของกองทัพ (ประมาณหนึ่งในสี่ของเล่ม) รวมถึงคำแนะนำในชีวิตประจำวันที่ให้แนวคิดเกี่ยวกับขุนนางทางทหารของไบแซนไทน์และยิ่งไปกว่านั้นมักจะแสดงตัวอย่างจากด้านการทหาร หนึ่งในแหล่งข้อมูลหลักเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การทหารของไบแซนไทน์ ต้นฉบับเพียงฉบับเดียวถูกเก็บไว้ในแผนกต้นฉบับของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งรัฐในมอสโก

ครั้งที่สอง วรรณกรรม.

ด้านล่างนี้คือวรรณกรรมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กองทัพยุคกลางที่แนะนำให้อ่าน เราได้เลือกเฉพาะผลงานทั่วไปซึ่งอธิบายได้จากสองปัจจัยหลัก: ความอุดมสมบูรณ์ของผลงานที่อุทิศให้กับประเด็นเฉพาะของศิลปะการทหารของยุโรปยุคกลาง ในแง่หนึ่งตีพิมพ์ในตะวันตก และงานระดับชาติที่มีอยู่น้อย ประวัติศาสตร์การทหารของประเทศยุโรปตะวันตกสำหรับผู้อ่านในประเทศ. งานเกือบทั้งหมดที่นำเสนอด้านล่างมีบรรณานุกรมที่ดีทำให้ผู้อ่านสามารถค้นหาวรรณกรรมเพิ่มเติมได้อย่างง่ายดาย

26.Winkler P. ฟอนอาวุธ: คำแนะนำเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ คำอธิบาย และการพรรณนาถึงอาวุธมือตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงต้นศตวรรษที่ 19 - M. , 1992 หนังสืออ้างอิงที่ดีเกี่ยวกับอาวุธในยุคกลาง ชุดภาพประกอบที่คัดสรรมาอย่างดี พร้อมด้วยคำบรรยายระดับมืออาชีพ

27.Gurevich A.Ya.การเดินทางของชาวไวกิ้ง - M. , 1966. - (ชุดวิทยาศาสตร์ยอดนิยมของ Academy of Sciences of the USSR) แม้ว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เขียนโดยนักประวัติศาสตร์การทหาร แต่ก็มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการทหารและองค์กรทางทหารของชาวไวกิ้ง ตลอดจนรูปถ่ายของเรือและอาวุธ ผู้เขียนเป็นหนึ่งในชาวสแกนดิเนเวียในประเทศที่ใหญ่ที่สุด

28.Delbruck G.ประวัติศาสตร์ศิลปะการทหารภายใต้กรอบประวัติศาสตร์การเมือง: ใน 4 เล่ม - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2537-2539 - V.2-3. สำหรับฉบับนี้ โปรดดูคำอธิบายประกอบที่ให้ไว้ในบทความก่อนหน้า

29.Dupuy R.E., Dupuy T.N.ประวัติศาสตร์สงครามโลก: สารานุกรมประวัติศาสตร์การทหารของฮาร์เปอร์ - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก; ม., 2540. - เล่ม 1-2. สิ่งพิมพ์นี้สามารถใช้เพื่อรับข้อมูลขั้นต่ำเบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจเท่านั้น ข้อมูลที่รวบรวมที่นี่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ของกองทัพยุคกลางในตัวอย่างการต่อสู้ที่มีชื่อเสียง เอกสารเผยแพร่ประกอบด้วยแผนภาพการรบและสื่อภาพประกอบอื่นๆ

30. ประวัติศาสตร์สงครามครูเสด / เอ็ด ดี. ไรลีย์-สมิธ. - M. , 1998 สิ่งพิมพ์นี้แปลเป็นภาษารัสเซียซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสงครามครูเสดซึ่งจัดทำขึ้นที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด แยกจากกันมีความจำเป็นต้องสังเกตบทที่อุทิศให้กับคำสั่งสงฆ์ทางทหารซึ่งไม่เพียง แต่วิเคราะห์ศิลปะทางทหารของคำสั่งโดยละเอียด แต่ยังรวมถึงองค์กรภายในสถานที่ในสังคมและการเมืองด้วย ควรกล่าวด้วยว่าหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาแยกกันเกี่ยวกับประเด็นการจัดหาและการขนส่งกองทัพในช่วงสงครามครูเสดซึ่งก่อนหน้านี้มีการศึกษาค่อนข้างน้อย คุณลักษณะที่โดดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือเนื้อหาที่มีภาพประกอบมากมาย

31.คาร์ดินี่ เอฟ.ต้นกำเนิดของอัศวินยุคกลาง - Sretensk, 2000 ในงานนี้ ดูเหมือนว่าเป็นไปได้ที่จะแนะนำให้อ่านส่วนที่สองและสาม ซึ่งอุทิศให้กับการก่อตัวของอุดมการณ์ของอัศวินคริสเตียนยุคกลางและศิลปะการทหารของชาวยุโรป (ส่วนใหญ่เป็นชาวแฟรงก์ ไบแซนไทน์ และพันธมิตรของพวกเขา) ช่วงเวลาของศตวรรษที่ VI-IX เนื่องจาก มุมมองของผู้เขียนเกี่ยวกับยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอัศวินและโดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปะการทหารของเขาซึ่งกำหนดไว้ในส่วนแรกของหนังสือนั้นมีความขัดแย้งและคลุมเครืออย่างมาก น่าเสียดายที่ควรสังเกตว่าการแปลภาษารัสเซียของหนังสือเล่มนี้ได้ลบเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การโต้เถียงทางวิทยาศาสตร์ และการอ้างอิงถึงแหล่งที่มาทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าทำให้คำแถลงของผู้แต่งขาดหลักฐานจำนวนมากพอสมควร

32.Litavrin G.G.สังคมไบแซนไทน์และรัฐในศตวรรษที่ X-XI - ม. 2520. - ส.236-259.

33.เขาคือ.ชาวไบแซนไทน์อาศัยอยู่อย่างไร? - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2540 - (ห้องสมุดไบแซนไทน์) - น.120-143. บทความเกี่ยวกับการทหารใน Byzantium ของช่วงเวลากลางของประวัติศาสตร์ (ศตวรรษที่ IX-XII) ซึ่งเขียนโดย Byzantinists ในประเทศที่ใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง (เล่มที่สองของสองเล่มนี้คือวิทยาศาสตร์ยอดนิยม)

34.เมลวิลล์ ม.ประวัติอัศวินเทมพลาร์ / Per. จาก fr. จี.เอฟ. ซึบุลโก. - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2542 - (คลีโอ) การศึกษาประวัติศาสตร์ของหนึ่งในคำสั่งทางจิตวิญญาณและอัศวินที่มีชื่อเสียงที่สุด

35.ราซิน อี.เอ.ประวัติศิลปะการทหาร - สพป., 2542. - V.2. - (หอสมุดประวัติศาสตร์การทหาร). งานนี้ทำอย่างละเอียดถี่ถ้วนและหากคุณไม่ใส่ใจกับแสตมป์โซเวียตจำนวนมากคุณสามารถเรียกมันว่าหนึ่งในผลงานที่สมบูรณ์ที่สุดในประวัติศาสตร์การทหารของยุคกลางในรัสเซีย หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาภาพประกอบมากมายซึ่งโครงร่างของการต่อสู้หลักในยุคกลางนั้นน่าสนใจที่สุด

36.ฟลอรี เจอุดมการณ์ของดาบ: ยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอัศวิน - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2542 - (คลีโอ) ตามชื่อเรื่อง งานนี้ทุ่มเทให้กับการก่อร่างสร้างอุดมการณ์ของอัศวินคริสเตียนและการก่อตัวของโครงสร้างทางสังคม หนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดเกี่ยวกับอุดมการณ์ของอัศวินพร้อมด้วยบรรณานุกรมที่ค่อนข้างสมบูรณ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การทหารของยุคกลาง

37.ยาโคฟเลฟ วี.วี.ประวัติของป้อมปราการ: วิวัฒนาการของป้อมปราการระยะยาว - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2538 - ช. IV-XII ฉบับนี้ควรได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด - การศึกษาอย่างมืออาชีพเกี่ยวกับป้อมปราการของศตวรรษที่ 9-17 พร้อมด้วยคำอธิบายทางประวัติศาสตร์ที่น่าสงสัย

38.บีเลอร์เจสงครามในระบบศักดินายุโรป: 730 - 1200 - Ithaca (N.Y.), 1971 ผลงานของนักวิจัยชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงได้ตรวจสอบกิจการทางทหารของยุโรปตะวันตกตั้งแต่ยุค Carolingian จนถึงยุครุ่งเรืองของศักดินาทางทหาร บทที่แยกต่างหากอุทิศให้กับการพัฒนาและลักษณะของศิลปะการทหารในนอร์มันอิตาลี ฝรั่งเศสตอนใต้ และคริสเตียนสเปน คุณสมบัติที่โดดเด่นของงานคือความพร้อมในการนำเสนอเนื้อหาซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อความสมบูรณ์

39.ปนเปื้อน Ph. La guerre au Moyen Age. – ป. 2523; 2542. - (Nouvelle Clio: L'histoire et ses problems). เป็นเวลาหลายปีที่งานนี้ได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้องว่าเป็นงานคลาสสิกในการศึกษาประวัติศาสตร์การทหารในยุคกลาง หนังสือเล่มนี้เน้นการพัฒนากองทัพและศิลปะการทหารในประเทศยุโรปตะวันตกและในรัฐละตินตะวันออกในช่วงศตวรรษที่ 5 ถึงศตวรรษที่ 15 ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับวิวัฒนาการของอาวุธ การเกิดขึ้นและการพัฒนาของปืนใหญ่ ตลอดจนความเชื่อมโยงของสงครามกับแง่มุมต่างๆ ของชีวิตในสังคมยุคกลาง เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และการอ้างอิงที่ยอดเยี่ยมซึ่งเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดซึ่งมีรายชื่อแหล่งข้อมูลและวรรณกรรมที่มีปริมาณรวมมากกว่าหนึ่งร้อยหน้าให้เหตุผลในการแนะนำงานนี้ให้กับทุกคนที่ต้องการทำความคุ้นเคยกับประวัติของ กิจการทหารในยุคกลาง

40.ล็อตเอฟ L'art militaire et les armées au Moyen Age en Europe และ dans le Proche Orient: 2 ฉบับ - P. , 1946 งานคลาสสิกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะการทหารซึ่งผ่านมาแล้วหลายฉบับและยังคงไม่สูญเสียความเกี่ยวข้อง สถานที่พิเศษในหนังสือเล่มนี้คือการเปรียบเทียบศิลปะการทหารของกองทัพคริสเตียนและชาวมุสลิมในช่วงสงครามครูเสด

41. สงครามยุคกลาง: ประวัติศาสตร์ / เอ็ด โดย มอริซ คีน. – ออกซ์ฟอร์ด ปี 1999 หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ส่วนแรกเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การทหารของยุโรปและละตินตะวันออกตามลำดับเวลา จาก Carolingians ถึงสงครามร้อยปี และส่วนที่สองประกอบด้วยหลายส่วน บทที่อุทิศให้กับการพิจารณาแต่ละประเด็น: ศิลปะการปิดล้อมในยุคกลาง, อาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพยุคกลาง, ทหารรับจ้าง, กองทัพเรือในยุคกลางและการเกิดขึ้นของปืนใหญ่ดินปืนและกองทัพปกติ หนังสือเล่มนี้มีภาพประกอบที่สมบูรณ์พร้อมตารางตามลำดับเวลาและดัชนีบรรณานุกรมที่ยอดเยี่ยม

42.เมเนนเดซ พีดาล ร. La España del Cid: 2 ฉบับ – มาดริด, 1929 ผลงานที่ยอดเยี่ยมของนักปรัชญาชาวสเปนที่อุทิศตนเพื่อสเปนในช่วงศตวรรษที่ 11-13 กองทัพถือเป็นส่วนสำคัญของสังคมยุคกลางของสเปน, โครงสร้าง, รากฐานของศิลปะการทหาร, อาวุธยุทโธปกรณ์ ตรงกันข้ามกับชื่อ ผลงานไม่ได้อิงจากเนื้อหาของบทเพลงแห่งซิดเท่านั้น แต่ยังอ้างอิงจากแหล่งอื่นด้วย

43.นิโคล ดี.สงครามยุคกลาง: Sourcebook: ใน 2 ฉบับ – ล., 2538-2539. – เล่มที่ 1-2. งานสรุปทั่วไปที่อุทิศให้กับกิจการทางทหารของยุโรปยุคกลาง ตั้งแต่ยุคการอพยพครั้งใหญ่ของประชาชาติจนถึงยุคเริ่มต้นของการค้นพบทางภูมิศาสตร์ครั้งใหญ่ เล่มแรกกล่าวถึงกิจการทางทหารในยุโรป เล่มที่สองกล่าวถึงกิจกรรมทางทหารของชาวยุโรปในประเทศอื่นๆ คุณลักษณะเฉพาะของงานคือ ประการแรก โครงสร้างที่ชัดเจน และประการที่สอง สื่อภาพประกอบที่สมบูรณ์ที่สุด (แต่ละเล่มมีภาพประกอบ 200 ภาพต่อข้อความ 320 หน้า) ซึ่งทำให้หนังสือเล่มนี้แทบจะขาดไม่ได้สำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์การทหารในยุคกลาง

44.โอมาน C.W.C.ศิลปะการสงครามในยุคกลาง: ค.ศ. 378 - 1515 / รายได้ เอ็ด โดย J.H. บีเลอร์. – Ithaca (NY), 1963 ฉบับที่ห้าของหนังสือประวัติศาสตร์การทหารที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเล่มหนึ่งในยุโรป สร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 แต่ยังคงดึงดูดผู้อ่านด้วยความสามารถในการเข้าถึงและความนิยมในการนำเสนอในความหมายที่ดี หนังสือเล่มนี้มุ่งเน้นไปที่ด้านการทหารของการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน, การอพยพครั้งใหญ่ของประชาชาติ, บทที่แยกต่างหากอุทิศให้กับการพัฒนาทางทหารของไบแซนเทียมในศตวรรษที่ VI-XI, สวิตเซอร์แลนด์ ใน พ.ศ. 1315-1515 และอังกฤษในศตวรรษที่สิบสาม - สิบห้า โดยสรุปผู้เขียนเขียนเกี่ยวกับกิจการทางทหารของรัฐในยุโรปตะวันออกในศตวรรษที่ 15 รวมถึง Ottoman Porte หนังสือเล่มนี้มีตารางตามลำดับเวลา

45.เพรสท์วิช ม.กองทัพและสงครามในยุคกลาง: ประสบการณ์ภาษาอังกฤษ – นิวเฮเวน; L. , 1996 หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจตรงที่ผู้เขียนมุ่งเน้นไปที่บทบาทของทหารราบในยุคกลางโดยพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาของการสื่อสารทางทหารปัญหาของกลยุทธ์ (โดยเฉพาะการใช้ข่าวกรองในยุคกลาง อายุ). ข้อสรุปหลักประการหนึ่งของผู้เขียนก็น่าสนใจเช่นกัน เขาสงสัยในความเป็นจริงของสิ่งที่เรียกว่า "การปฏิวัติทางทหารในยุคกลาง" ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มบทบาทของทหารม้าในการสู้รบ และเชื่อว่าบทบาทของทหารราบในกองทัพยุคกลางคือ ถูกประเมินโดยนักประวัติศาสตร์รุ่นก่อนต่ำไปมาก หนังสือเล่มนี้มีภาพประกอบมากมาย

จอร์แดน. เกี่ยวกับที่มาและการกระทำของ Getae เก็ติก้า. - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2540 - ส. 98-102

ราซิน อี.เอ.ประวัติศิลปะการทหาร - สพป., 2542. - V.2. - (หอสมุดประวัติศาสตร์การทหาร). – หน้า 137

Winkler P. ฟอนอาวุธ: คำแนะนำเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ คำอธิบาย และการพรรณนาถึงอาวุธมือตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงต้นศตวรรษที่ 19 - ม., 2535. - ส. 73-74.

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปฏิรูปของ Martell โปรดดูบทเกี่ยวกับความแข็งแกร่งและจุดอ่อนของกองทัพ Carolingian ใน: ปนเปื้อนภ. La guerre au Moyen Age. – พ., 2542.

ไฟแนนเชี่ยล Ripuaria, XXXVI, 11 // MGH LL. - โทรทัศน์. – หน้า 231 ซิท โดย: Delbruck G.ประวัติศาสตร์ศิลปะการทหารภายใต้กรอบของประวัติศาสตร์การเมือง - สพป., 2537. - V.2. - หน้า 7

สำหรับคำถามเกี่ยวกับขนาดของกองทัพ Carolingian โปรดดูบทที่เกี่ยวข้องใน: Delbruck G.ประวัติศาสตร์ศิลปะการทหาร ... - V.2. - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2537; ปนเปื้อนภ. La guerre au Moyen Age. – ป., 2542; โอมาน C.W.C.ศิลปะการสงครามในยุคกลาง: ค.ศ. 378 - 1515 / รายได้ เอ็ด โดย J.H. บีเลอร์. – อิทาคา (นิวยอร์ก), 1963

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาปืนใหญ่ โปรดดูบทที่เกี่ยวข้องใน: ปนเปื้อนภ. La guerre au Moyen Age. – ป., 2542; สงครามยุคกลาง: ประวัติศาสตร์ / เอ็ด โดย มอริซ คีน. – ออกซ์ฟอร์ด 2542