ตำนานอียิปต์ (โอซิริส เซ็ต ฮอรัส และไอซิส) โอซิริส - เทพเจ้าแห่งตำนานอียิปต์โบราณ เทพเจ้าโอซิริสควบคุมกองกำลังอะไร?

เทพผู้มีอำนาจและมีชื่อเสียงที่สุดองค์หนึ่งบนฝั่งแม่น้ำไนล์คือเทพเจ้าโอซิริสของอียิปต์ ในภาษาอียิปต์ชื่อของเขาฟังดูเหมือน Uzir และในภาษาละตินจะออกเสียงว่า Osiris เราใช้การตีความชื่อนี้ในภาษากรีกโบราณ สัตว์ในตำนานที่ทรงพลังนี้ถือเป็นราชาแห่งยมโลกแห่งความตาย ผู้ตัดสินวิญญาณแห่งความตาย เช่นเดียวกับเทพเจ้าแห่งการฟื้นคืนชีพและการเกิดใหม่

เทพเจ้าโอซิริสนั่งบนบัลลังก์ ข้างหลังเขาคือไอซิสภรรยาของเขา และจากนั้นทางซ้ายสุดคือ Nephthys น้องสาวของเขา ทางด้านขวามีสัตว์ประหลาด Amat อยู่ และด้านหลังเขามีเทพเจ้าแห่งปัญญา Thoth โดยมีหัวเป็นนกไอบิส

ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นการเปลี่ยนไปสู่อีกชีวิตหนึ่ง มีเพียงร่างกายเท่านั้นที่ตาย และพลังชีวิตในนั้นก็ถูกปลดปล่อยออกมาและยังคงมีอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่โอซิริสปกครอง พระองค์คือผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์และประทานความสุขและความสุขชั่วนิรันดร์แก่ผู้สมควร นอกจากนี้เทพเจ้าผู้ทรงพลังยังรับผิดชอบต่อโลกของพืชอีกด้วย ต้องขอบคุณเขามีน้ำท่วมแม่น้ำไนล์ที่อุดมสมบูรณ์และพืชก็เติบโต สิ่งนี้อธิบายถึงความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของเทพองค์นี้สำหรับชาวอียิปต์โบราณ

ตามตำนาน โอซิริสเป็นบุตรชายคนโตของเทพเจ้าแห่งโลกเก๊บ และเทพีแห่งท้องฟ้า นัท- เขามีน้องสาวสองคน ไอซิสและเนฟธีส และน้องชายหนึ่งคน เซธ เขาแต่งงานกับไอซิสน้องสาวของเขา และเซธได้แต่งงานกับเนฟธีส หลังจากที่เก๊บเกษียณอายุ อำนาจบนโลกก็ส่งต่อไปยังโอซิริส พระองค์ทรงกลายเป็นเทพเจ้าองค์ที่สี่ที่ครองราชย์อยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ คนแรกคือ Ra จากนั้นลูกชายของเขา Shu ตามมาด้วย Geb หลานชายของเขาและหลานชายของเขากลายเป็นเทพองค์สุดท้ายที่สั่งการผู้คนโดยตรง ชาวอียิปต์โบราณคนสุดท้ายถือเป็นบุตรชายของโอซิริสเทพฮอรัส หลังจากนั้นอำนาจก็ส่งต่อไปยังฟาโรห์

อานูบิสผู้นำทางสู่อาณาจักรแห่งความตายก็ถือเป็นบุตรของโอซิริสเช่นกัน แต่ไม่ใช่ไอซิสที่ให้กำเนิดเขา แต่เป็นเนฟธีส หลังจากนอกใจเซทสามีของเธอ เธอกลัวความโกรธของเขาจึงโยนเด็กคนนั้นลงไปในต้นอ้อ ที่นั่นไอซิสพบเขา เลี้ยงดูเขา และส่งเขาไปเป็นผู้นำทางสู่อาณาจักรแห่งความตาย แต่การกำเนิดของฮอรัสนำหน้าด้วยเรื่องราวที่ค่อนข้างน่าเศร้า

การครองราชย์ของเทพเจ้าโอซิริสบนฝั่งแม่น้ำไนล์ประสบความสำเร็จอย่างมากจนกระตุ้นความอิจฉาของเซตน้องชายของเขา เขาปกครองทางตอนใต้อันห่างไกลของประเทศซึ่งแทนที่จะมีดินแดนอันอุดมสมบูรณ์กลับมีเพียงทรายสีแดงเท่านั้น และเซทก็ฆ่าโอซิริสหั่นร่างของเขาออกเป็น 14 ชิ้นกระจายไปทั่วอียิปต์และประกาศตัวว่าเป็นผู้ปกครองดินแดนสีดำ (อุดมสมบูรณ์)

ไอซิส ภรรยาของชายที่ถูกฆาตกรรม ค้นพบและเก็บชิ้นส่วนศพสามีของเธอ จากนั้นเธอก็เรียกสุสานอนูบิสซึ่งเป็นผู้สร้างมัมมี่จากซากศพที่ขาดวิ่น ไอซิสกลายเป็นว่าวตัวเมีย กางตัวอยู่เหนือมัมมี่ และตั้งครรภ์ฮอรัสจากเธอ เมื่อเขาเกิดและเติบโตขึ้น เขาได้เข้าสู่การต่อสู้กับฉากที่โหดร้ายและทรยศ หลังจากการต่อสู้ต่อเนื่องยาวนานถึง 80 ปี เซตก็พ่ายแพ้ หลังจากนั้น เทพเจ้าแห่งอียิปต์ทั้งหมดก็มารวมตัวกันและยอมรับว่าฮอรัสเป็นผู้ปกครองดินแดนสีดำ เซธเดินทางไปยังทางใต้อันห่างไกลอีกครั้งเพื่อปกครองทะเลทรายสีแดง

ในระหว่างการต่อสู้กับเซตครั้งหนึ่ง Horus สูญเสียตาซ้ายของเขา สุสานก็รับเขาขึ้นมาฝังไว้กับพื้น และตอนนี้หลังจากชัยชนะก็ถึงเวลาใช้ตาซ้าย ฮอรัสขุดมันขึ้นมา สูดลมหายใจเข้าไป และดวงตาก็กลายเป็นดวงตาวิเศษ เขาถูกมอบให้แม่กิน และมันก็กลายร่างเป็นโอซิริสที่มีชีวิต แต่เทพเจ้าแห่งอียิปต์ที่ฟื้นคืนชีพ โอซิริส ไม่ได้อ้างสิทธิ์ในอำนาจในโลกแห่งสิ่งมีชีวิต เขาไปปกครองอาณาจักรแห่งความตาย และฮอรัสลูกชายของเขายังคงปกครองอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์

การกล่าวถึงโอซิริสครั้งแรกปรากฏขึ้นในกลางรัชสมัยของราชวงศ์ที่ห้าของฟาโรห์(อาณาจักรโบราณ - 2700-2180 ปีก่อนคริสตกาล) นั่นคือหลังการก่อสร้างมหาปิรามิด ในเวลาเดียวกัน นักไอยคุปต์เชื่อว่าเทพเจ้าองค์นี้ได้รับการเคารพสักการะมาก่อนหน้านี้มากแม้ในสมัยราชวงศ์แรกก็ตาม เพียงแต่ว่าข้อมูลส่วนใหญ่เกี่ยวกับโอซิริสนั้นพบได้ในตำราปิรามิดที่เป็นของราชวงศ์ที่ห้า

ในตอนแรก ตำราโบราณบรรยายถึงชีวิตหลังความตายว่าเป็นการเดินทางชั่วนิรันดร์กับเทพแห่งดวงอาทิตย์ท่ามกลางดวงดาว ในตอนต้นของราชวงศ์ที่ 4 วลีทั่วไปคือ: “เครื่องบูชาที่กษัตริย์และสุสานมอบให้” แต่เมื่อสิ้นสุดรัชสมัยของราชวงศ์ที่ 5 พวกเขาเริ่มเขียนในหลุมศพทั้งหมดว่า “เครื่องบูชาที่กษัตริย์และโอซิริสมอบให้”

โอซิริสนั่งบนบัลลังก์ทางขวาและทางซ้ายเทพฮอรัสที่มีหัวเหยี่ยวก็พาผู้ตายมาหาเขาเพื่อพิพากษา

เทพเจ้าแห่งอียิปต์โอซิริสถูกบรรยายว่าเป็นชายที่มีใบหน้าสีเขียวและมีมือที่มีสีเดียวกัน แต่งกายด้วยชุดสีขาว ศีรษะของเขาสวมมงกุฎด้วยมงกุฎสีขาวของอียิปต์ตอนบน แต่มีขนนกกระจอกเทศอีกสองอันที่ด้านข้าง ในมือของเขาเทพถือคทา (ไม้เท้าสั้น) และไม้ตี (ไม้ที่เชื่อมต่อแบบเคลื่อนย้ายได้) - คุณลักษณะของพระราชอำนาจ

ศูนย์กลางการบูชาเทพองค์นี้อยู่ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์- นี่คือศูนย์กลางทางศาสนาของเจดู (Busiris ในภาษากรีกโบราณ) นอกจากนี้ ศูนย์ลัทธิขนาดใหญ่ยังตั้งอยู่ในเมือง Abydos มาตั้งแต่สมัยอาณาจักรเก่า ความเลื่อมใสของเทพเจ้าแห่งการฟื้นคืนชีพและการเกิดใหม่ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงศตวรรษที่ 6 บนเกาะ Philae ซึ่งตามตำนานเล่าว่าสถานที่ฝังศพของ Osiris ตั้งอยู่

เกาะนี้ถือว่าศักดิ์สิทธิ์และมีเพียงนักบวชเท่านั้นที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้ เขายังมีฉายาว่า "ไม่สามารถเข้าถึงได้" ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 วัดนอกรีตทั้งหมดในอียิปต์ถูกทำลาย เนื่องจากศาสนาคริสต์เข้ามาแทนที่ลัทธินอกรีต และมีเพียงกลุ่มวิหารบนเกาะ Philae เท่านั้นที่ยังคงไม่มีใครแตะต้อง เพียง 200 ปีต่อมา ชาวคริสเตียนกล้าที่จะปรากฏตัวบนโครงกระดูกที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ และทำลายศูนย์กลางสุดท้ายของลัทธินอกรีตที่เหลืออยู่ นี่คือจุดที่เรื่องราวของเทพเจ้าโอซิริสแห่งอียิปต์สิ้นสุดลง

ชายผู้หนึ่งซึ่งมีสีหน้าน่ากลัว แต่งกายด้วยเศษผ้ามัมมี่ สร้างความหวาดกลัวและความตกตะลึงแก่ชาวอียิปต์มาเป็นเวลานาน ผู้อาศัยที่ร่ำรวยและยากจนในดินแดนอันอุดมสมบูรณ์เชื่อว่าโอซิริสผู้ปกครองยมโลกเพียงผู้เดียวรู้เรื่องการกระทำผิดของทุกคน และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้จักความรักอันยิ่งใหญ่และความทุกข์ทรมานอันมากมายนับไม่ถ้วนเท่านั้นที่สามารถตัดสินใจได้ว่าใครสมควรที่จะมีชีวิตอยู่และใครจะไม่มีวันจากโลกแห่งความตาย

เรื่องราวต้นกำเนิด

การกล่าวถึงกษัตริย์แห่งยมโลกครั้งแรกถูกค้นพบบนผนังปิรามิด คำจารึกนี้รู้จักกันในชื่อ Pyramid Texts และมีอายุตั้งแต่กลางราชวงศ์ที่ 5 ของอียิปต์โบราณ

ลัทธินี้เจริญรุ่งเรืองเป็นพิเศษในช่วงที่เรียกว่าอาณาจักรกลาง ในเวลานี้ภาพลักษณ์ของโอซิริสในฐานะผู้พิพากษาที่ตัดสินว่ามนุษย์สมควรที่จะกลับมาสู่โลกที่คุ้นเคยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นหรือไม่

ก่อนการยกย่องสถานะประชากรจะมองว่าเทพเป็นผู้อุปถัมภ์การเก็บเกี่ยวและผู้ให้ความอุดมสมบูรณ์ นักวิจัยมักวาดเส้นขนานระหว่างโอซิริสกับ แต่นอกเหนือจากขอบเขตอิทธิพลทั่วไปแล้ว ไม่มีอะไรผูกมัดเหล่าเทพเจ้าได้ ไดโอนีซัสเป็นชายหนุ่มที่ร่าเริงและมีเสน่ห์ ในขณะที่โอซิริสเป็นผู้ใหญ่ เศร้าโศก และหิวกระหายอำนาจ

ในปี พ.ศ. 2418 ก่อนการประสูติของพระคริสต์ stela ของ Ikhernofret ได้รับการติดตั้งในอาณาเขตของ Abydos ซึ่งให้ข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับลัทธิและเทศกาลที่เกี่ยวข้องกับ Osiris การเฉลิมฉลองเกิดขึ้นในช่วงเดือนสุดท้ายของน้ำท่วมไนล์และกินเวลา 5 วัน วันหยุดอันศักดิ์สิทธิ์นี้จัดขึ้นบนดินแดนใกล้แม่น้ำ และในตอนท้ายก็ถูกย้ายไปที่วัดพิเศษ

รัชสมัยของราชวงศ์ Lagid ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของพระเจ้าอย่างเห็นได้ชัด เพื่อสร้างมิตรภาพระหว่างทั้งสองวัฒนธรรม (ชาวอียิปต์และผู้ตั้งถิ่นฐานชาวกรีกที่เข้ามา) ฟาโรห์ได้รวมเทพที่คุ้นเคยและวัว Apis อันศักดิ์สิทธิ์ไว้ในรูปของโอซิริส การผสมผสานระหว่างรูปเคารพของอียิปต์และรูปลักษณ์ของกรีกทำให้เกิดเทพเจ้าองค์ใหม่ - เซราปิส การแทนที่ดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเสื่อมถอยของลัทธิที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความนิยม

โอซิริสในตำนาน

ก่อนที่จะกลายเป็นเทพเจ้าแห่งการเกิดใหม่ โอซิริสเป็นผู้ปกครองอมตะบนโลกมาเป็นเวลานาน ชายผู้นี้เกิดในตระกูลฟาโรห์ หลังจากที่บิดาของเขาเสียชีวิต เขาได้แต่งงานกับไอซิสน้องสาวของเขาเอง และขึ้นครองบัลลังก์แห่งอียิปต์ หนึ่งในที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดที่สุดของพระเจ้าในอนาคตคือน้องชายของโอซิริสชื่อ

ชายหนุ่มเกลียดโอซิริสอย่างเงียบ ๆ แต่ไม่กล้าต่อต้านอย่างแข็งขันเพื่อรอช่วงเวลาที่เหมาะสม นอกเหนือจากการอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์แล้ว Nephthys ภรรยาของ Seth ยังยืนอยู่ระหว่างพี่น้อง หญิงสาวตกหลุมรักฟาโรห์ แต่ชายคนนั้นไม่สนใจพี่สะใภ้ของเขา จากนั้น Nephthys ก็รับร่างภรรยาของ Osiris และล่อลวงญาติของเธอ

จากความสัมพันธ์ชู้สาวมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาซึ่งหญิงสาวผู้ร้ายกาจตั้งชื่อให้ ด้วยความกลัวปฏิกิริยาของเซธ เนฟธีสจึงโยนทารกแรกเกิดเข้าไปในต้นอ้อ ต่อมาไอซิสพบทารกและเลี้ยงดูเด็ก

ไม่รู้ว่า Seth รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้หรือไม่ แต่ความอดทนของชายหนุ่มสิ้นสุดลงแล้ว ชายหนุ่มปรารถนาที่จะได้ราชบัลลังก์ Seth รู้สึกหงุดหงิดกับความรักของผู้คนที่ฟาโรห์ผู้ครองราชย์มี น้องชายจึงคิดแผนฆาตกรรมขึ้นมา

วันหนึ่งเซธมาที่ห้องบัลลังก์และประกาศว่าเขาได้สร้างโลงศพขึ้น ซึ่งเขาจะมอบให้ใครก็ตามที่ใส่โลงศพได้ โลงศพเหมาะกับโอซิริสมากที่สุด ขณะที่พี่ชายของเขากำลังลองโลงศพ เซธก็กระแทกฝาและนำตะกั่วใส่โลงศพจนเต็ม หลังจากนั้นโอซิริสที่มีกำแพงล้อมรอบก็ถูกโยนลงไปในแม่น้ำ ต่อมา เรือนจำของพระเจ้าได้ลงจอดบนชายฝั่งและมีต้นไม้รกเต็มไปหมดในทันที จึงสามารถซ่อนชายคนนั้นจากคนแปลกหน้าได้อย่างน่าเชื่อถือ

ไอซิสกังวลเกี่ยวกับการไม่มีโอซิริสจึงออกตามหาคนรักของเธอ การค้นหาใช้เวลานานเกินไป และหญิงคนนั้นก็พบว่าฟาโรห์สิ้นพระชนม์แล้ว ด้วยความช่วยเหลือของคาถา ไอซิสสามารถฟื้นคืนชีพโอซิริสได้ในช่วงสั้นๆ มีเวลาเพียงพอสำหรับการแสดงความรัก หลังจากนั้นเทพธิดาก็มีลูกชายชื่อฮอรัส

ไอซิสไม่ต้องการแยกทางกับคนที่รัก เธอจึงซ่อนร่างสามีของเธอไว้ในทะเลทราย อนิจจา ที่นั่นเซธกำลังตามล่าอยู่ และบังเอิญไปสะดุดกับน้องชายของเขา ด้วยความเกลียดชัง ชายผู้นี้จึงฉีกซากศพของอดีตฟาโรห์เป็นชิ้นๆ และกระจายส่วนต่างๆ ไปทั่วอียิปต์

ภรรยาของโอซิริสและอานูบิสรวบรวมทุกสิ่งที่เหลืออยู่ของผู้ปกครองอียิปต์ มีเพียงอวัยวะสืบพันธุ์ของเทพเจ้าในอนาคตเท่านั้นที่ไม่ได้รับการเก็บรักษาไว้ ไอซิสปั้นลึงค์จากดินเหนียว (อีกแหล่งหนึ่งมาจากทองคำ) ผู้หญิงคนนั้นร่วมกับลูกศิษย์ของเธอเองรวบรวมและดองศพของคนที่เธอรัก

ลูกคนเล็กของโอซิริสเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วได้แก้แค้นลุงของเขา ในระหว่างการต่อสู้ เซธก็ควักลูกตาของฮอรัสออกมา และชายหนุ่มก็บังคับศพของพ่อให้ดูดซับดวงตา อวัยวะแห่งการมองเห็นที่ให้ชีวิตทำให้โอซิริสกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่ฟาโรห์ตัดสินใจอยู่ในอารามแห่งความตายซึ่งเขาได้รับตำแหน่งกษัตริย์แห่งยมโลก ตอนนี้ความรับผิดชอบของโอซิริสรวมถึงการไต่สวนในศาลเพื่อตัดสินชะตากรรมของมนุษย์ธรรมดา อานูบิส บุตรที่รักของพระเจ้าช่วยเขาแก้ไขและแก้ไขปัญหาในศาล

ตรงกลางห้องบัลลังก์ พระเจ้าทรงติดตั้งตาชั่งเพื่อให้สามารถชั่งน้ำหนักหัวใจของผู้ตายได้ หากอวัยวะนั้นมีน้ำหนักมากกว่าขนของเทพธิดาซึ่งวางอยู่บนชามใกล้ ๆ บุคคลนั้นจะถูกส่งไปยังที่ไม่รู้จัก หัวใจของชายผู้ซื่อสัตย์และไร้ตำหนินั้นมีน้ำหนักพอๆ กับขนนกที่ไม่ธรรมดา ชายผู้ชอบธรรมเช่นนี้ถูกส่งไปยังทุ่งนาจารู และการเกิดใหม่อย่างรวดเร็วกำลังรอชายผู้นั้นอยู่

การดัดแปลงภาพยนตร์

เทพเจ้าผู้ทรงพลังมักปรากฏในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์และภาพยนตร์ซีเรียลลึกลับหลายเรื่อง บ่อยครั้งที่ฮีโร่ปฏิบัติตามบทบาทโดยตรงของเขา - เขาตัดสินชะตากรรมของมนุษย์ธรรมดา

โอซิริสปรากฏตัวผิดปกติในซีรีส์สตาร์เกท วิญญาณเทพผู้ฟื้นคืนชีพสถิตอยู่ในร่างของหญิงสาวและออกเดินทางตามหาไอซิสอันเป็นที่รักของเธอ บทบาทของโอซิริสที่เป็นผู้หญิงแสดงโดย Anna-Louis Palmer

ในปี 2016 ผู้กำกับอเล็กซ์ โพรยาสได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Gods of Egypt ซึ่งสร้างจากตำนานอียิปต์โบราณ ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของฮอรัสที่ตั้งใจจะแก้แค้นลุงของเขาเองที่ฆ่าพ่อแม่ของพระเจ้า บทบาทของโอซิริสตกเป็นของนักแสดงไบรอันบราวน์

• ชาวอียิปต์เชื่อว่าหลังจากการฟื้นคืนชีพครั้งที่สอง โอซิริสมีผิวสีเขียว ซึ่งเป็นตัวตนของโลกพืช
• คุณลักษณะทั้งหมดของพระเจ้าทำจากกระดาษปาปิรัส มงกุฎ เครื่องบินไอพ่น และเรือศักดิ์สิทธิ์ทำจากส่วนต่างๆ ของพืช
• โอซิริสกลายเป็นเทพเจ้าองค์ที่สี่ที่เริ่มต้นอาชีพของเขาในฐานะฟาโรห์
• หลุมศพของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ถูกค้นพบในเมืองโบราณอบีดอส

โอซิริส- เทพเจ้าหลักของยมโลกซึ่งเป็นราชาของมัน หนึ่งในเทพเจ้าที่สำคัญที่สุดในวิหารแห่งเทพเจ้าแห่งอียิปต์ ชาวอียิปต์เรียกเขาว่า Usir และ Osiris ก็เป็นชื่อนี้ที่เป็นภาษากรีกแล้ว เป็นภาพผู้ชาย โดยส่วนล่าง - ลำตัวและขา - มีผ้าพันแผลเหมือนมัมมี่ ในมือของเขาเขาถือคทาสัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรีของราชวงศ์ - ตะขอและไม้ตี

ผ้าโพกศีรษะที่โดดเด่นของเทพคือมงกุฎของเขา - มงกุฎอาเทฟ ประกอบด้วยหมวกทรงกรวยสูง มีขนด้านข้าง 2 อัน

นอกจากนี้บางครั้งผ้าโพกศีรษะของพระเจ้าก็มีเขาแกะด้วย ภาพแรกของโอซิริสที่พบมีอายุย้อนกลับไปในรัชสมัยของฟาโรห์ Djedkara Isesi ราชวงศ์ที่ 5 (ประมาณ 2413 - 2381 ปีก่อนคริสตกาล) บางครั้งผิวหนังของเทพก็เป็นสีเขียว โดยเน้นถึงแง่มุมของเขาในฐานะเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์และความอุดมสมบูรณ์

นักอียิปต์วิทยาไม่มีความเห็นเป็นเอกฉันท์เกี่ยวกับนิรุกติศาสตร์ (เช่น ต้นกำเนิดและความหมาย) ของพระนามของเทพองค์นี้ มุมมองที่พบบ่อยที่สุดคือการเชื่อมโยงชื่อของเขา (Usir) กับคำอียิปต์โบราณ "voser" (ws "ir) ซึ่งสามารถแปลได้ว่า "ผู้ยิ่งใหญ่"

ตำราโอซิริสและปิรามิด

ลำดับวงศ์ตระกูล (ต้นกำเนิด) ของบุคคลศักดิ์สิทธิ์นี้อธิบายไว้ในคำจารึกที่แกะสลักไว้บนผนังด้านในของปิรามิดแห่งราชวงศ์ที่ 5 - "ตำราปิรามิด" ตามข้อความเหล่านี้ ชาวอียิปต์พระเจ้าโอซิริสเป็นลูกคนโตของเด็ก (พร้อมด้วย Isis, Seth, Nephthys) ของเทพเจ้าแห่งโลก Geb และเทพีแห่งท้องฟ้า Nut ซึ่งในทางกลับกันเป็นลูกของ Shu และ Tefnut ซึ่งเป็นบิดาของเทพเจ้า Atum

ดังนั้นเขาจึงเป็นหนึ่งในเก้าเทพเจ้าที่สำคัญที่สุด - "เอนเนด" - ของเมืองเฮลิโอโปลิสซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางเทววิทยาหลักของอียิปต์โบราณ Heliopolitan Ennead เป็นระบบที่เก่าแก่ที่สุดที่อธิบายต้นกำเนิดของเทพเจ้า (ทฤษฎี) และต้นกำเนิดของจักรวาลและมนุษย์ (จักรวาลวิทยา)

ทะเลทรายที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมมฟิสถือเป็นสถานที่เกิดของเขา - ตามที่ชาวอียิปต์โบราณกล่าวไว้ที่นั่นชีวิตหลังความตายเริ่มต้นขึ้น ต่อมา เมื่อรูปเคารพทางศาสนาและลัทธิของภูมิภาคต่างๆ ของอียิปต์ถูกเปลี่ยนให้เป็นระบบศาสนาที่ซับซ้อนมากขึ้น บางครั้งพื้นที่รอบๆ ธีบส์ก็ถือเป็นสถานที่ประสูติของเทพเจ้า 14 เมืองในอียิปต์มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือสุสานที่ได้รับการเคารพนับถือ หลุมศพของโอซิริส.

ตำนานของโอซิริส

เรื่องราวเกี่ยวกับการฆาตกรรมและการฟื้นคืนชีพของเทพองค์นี้ถือเป็นตำนานที่สำคัญที่สุดของอียิปต์โบราณ ระบุไว้อย่างสม่ำเสมอที่สุด ตำนานของโอซิริสพลูทาร์ก นักเขียนชาวกรีก นี่คือบทสรุปของตำนานนี้ ตามเวอร์ชันนี้ เดิมทีเขาเป็นกษัตริย์ทางโลก และปกครองในอียิปต์ร่วมกับภรรยาของเขา (และในเวลาเดียวกันกับน้องสาว) ไอซิส เขาเป็นฟาโรห์อียิปต์องค์ที่สี่ ต่อจากปู่ทวดของเขา Atum (Ra-Atum) ปู่ Shu และพ่อ Geb

พระองค์ทรงสอนให้ผู้คนปลูกพืชผล ปฏิบัติตามกฎหมาย และถวายเกียรติแด่เทพเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ทำด้วยพลังแห่งบทเพลงของเขา ไม่ใช่ด้วยอาวุธ (ซึ่งทำให้ชาวกรีกบางครั้งสามารถระบุโอซิริสว่าเป็นเทพเจ้าไดโอนิซูสของพวกเขา)

กฎเกณฑ์ที่ดีของเขา ความรักที่เขามีในหมู่ผู้คน ปลุกเร้าความอิจฉาและความเกลียดชังให้กับเซธ น้องชายของเขา (พลูทาร์กมีชื่อว่าไทฟอน) เซธประกาศว่าเขาจะมอบโลงศพที่สวยงาม (นั่นคือ โลงศพ) ให้กับใครก็ตามที่มีขนาดเหมาะสม เขาเองก็สร้างโลงศพโดยใช้ขนาดที่วัดล่วงหน้าจากน้องชายของเขาเอง

โอซิริสนอนลงในโลงศพ - และมันก็มีขนาดที่พอเหมาะกับเขา ในขณะที่เขากำลังชื่นชมยินดี Seth ก็มาถึงทันเวลาพร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่น ๆ (มี 72 คน) พวกเขาช่วยกันกระแทกฝาโลงศพ แม้กระทั่งปิดผนึกทุกอย่างด้วยตะกั่ว แล้วโยนมันลงไปในแม่น้ำไนล์ โลงศพไม่ได้จม แต่ลอยไปตามกระแสน้ำ แม่น้ำได้ขนกล่องปิดผนึกไปที่ชายฝั่งใกล้กับบิบลอส ซึ่งมีต้นไม้เติบโตในบริเวณนี้ทันที

ไอซิสผู้ไม่ย่อท้อซึ่งไม่สูญเสียความสามารถในการกระทำอย่างเด็ดขาดและรวดเร็วจากความเศร้าโศกพบโลงศพกับสามีที่เสียชีวิตของเธอ เธอส่งศพของเขากลับไปยังอียิปต์ ไปยังสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ซึ่งเธอตั้งใจจะทำพิธีศพ อย่างไรก็ตาม Seth ที่ร้ายกาจใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่า Isis ออกจากร่างสามีของเธอชั่วคราวตัดผู้เสียชีวิตออกเป็นหลาย ๆ ชิ้นซึ่งเขากระจัดกระจายไปทั่วอียิปต์

และไอซิสก็เริ่มค้นหาสามีของเธออีกครั้ง ทุกที่ในอียิปต์ที่เธอพบชิ้นส่วนศพ จะมีการจัดพิธีศพ หลังจากรวบรวมชิ้นส่วนทั้งหมดของสามีของเธอแล้ว ไอซิสก็กลับมารวมตัวอีกครั้ง และหลังจากนั้นศพก็ถูกมัมมี่

ชิ้นส่วนของตำนานอียิปต์โบราณเกี่ยวกับโอซิริสและไอซิสที่เรารู้ในปัจจุบันมีรายละเอียดบางอย่างที่พลูทาร์กขาดหายไป เป็นไปได้ว่าพลูทาร์กซึ่งนับถือศาสนาอื่นไม่ได้รวมศาสนาเหล่านั้นไว้ในฉบับของเขาด้วย ตัวละครหลักของพลูทาร์กก่อนที่เขาจะเสียชีวิตก็มีลูกชายคนหนึ่งชื่อฮอรัสจากการแต่งงานกับไอซิส

ตำนานอียิปต์กล่าวว่าฮอรัสตั้งครรภ์โดยไอซิสจากสามีของเธอหลังจากการตายของคนรุ่นหลัง มีการอธิบายดังนี้: ด้วยความช่วยเหลือของเวทมนตร์ไอซิสกระพือปีกสร้างอากาศแห่งชีวิตฟื้นแม่ของสามีของเธอชั่วคราวและตั้งครรภ์ฮอรัสจากเขา

ลัทธิโอซิริสในอียิปต์โบราณ

โอซิริสได้รับการบูชาตั้งแต่ยุคแรกๆ ในประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณ สันนิษฐานว่าเดิมทีเขาเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลให้ผลผลิตดี ในตำแหน่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับน้ำท่วมไนล์ เขากลายเป็นเทพเจ้าแห่งการฟื้นคืนพระชนม์อย่างรวดเร็ว

ในอาณาจักรเก่า ฟาโรห์ผู้ล่วงลับถูกระบุตัวว่าเป็นโอซิริส และผู้สืบทอดของเขา ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยมีฮอรัส บุตรของเทพ ต่อมามีความเชื่อกันว่าดังที่เห็นได้จาก "ตำราของโลงศพ" และ "หนังสือแห่งความตาย" ที่ผู้ตายแต่ละคนรับเอาลักษณะของโอซิริสนั่นคือเชื่อกันว่าเขาจะเช่นกัน มีชีวิตหลังความตาย

ศูนย์หลัก ลัทธิโอซิริสในอียิปต์โบราณคือเมืองอบีดอส ซึ่งเป็นเมืองหลวงของกลุ่มคนที่ 8 ในอียิปต์ตอนบน ซึ่งเป็นสถานที่ฝังศพของฟาโรห์ (ดูแผนที่อียิปต์โบราณ) ผู้ปกครองแห่งยมโลก ไอซิสภรรยาของเขา และฮอรัส ลูกชายของพวกเขา ได้ก่อตั้งเทพเจ้าทั้งสามองค์ที่สำคัญที่สุดแห่งอบีดอส สถานที่แสวงบุญที่สำคัญมากคือหลุมฝังศพของกษัตริย์โบราณองค์หนึ่งของราชวงศ์แรก - ฟาโรห์เจอร์ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นที่เคารพนับถือในฐานะสุสานของโอซิริส

เทศกาลที่อุทิศให้กับเทพเจ้าจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่เมืองอบีดอส ในระหว่างการเฉลิมฉลอง เรือของพระเจ้าจะถูกบรรทุกเป็นขบวนใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือศัตรูของเขา เชื่อกันว่าอบีดอสเป็นสถานที่ที่ศีรษะของพระเจ้าถูกฝังหลังจากที่ร่างของเขาถูกตัดเป็นชิ้น ๆ โดยเซ็ต สัญลักษณ์ของเมือง (โนม) เป็นรูปศีรษะที่มีมงกุฎ "atef" - มงกุฎของราชาแห่งยมโลก

ศูนย์กลางที่สำคัญอีกแห่งสำหรับการเคารพสักการะเทพเจ้าคือเมืองเจดู (บูซิริส) ซึ่งอันที่จริงแล้วเป็นสถานที่ที่ลัทธิของเขาเกิดขึ้น แม้จะมีศูนย์กลางที่ชัดเจนเหล่านี้ แต่ลัทธิของโอซิริสในอียิปต์โบราณก็แพร่กระจายไปทั่วประเทศและต่อมาก็แพร่กระจายออกไปนอกขอบเขต - ในลิเบีย, นูเบีย, เมโสโปเตเมีย, กรีซ ฯลฯ

ความตายของโอซิริส จากราชาแห่งโลกสู่ราชาแห่งยมโลก

ตำราพีระมิดระบุว่าโอซิริสเป็นผู้ปกครองอียิปต์ในช่วงก่อนราชวงศ์ อย่างไรก็ตามข้อมูลเกี่ยวกับรัชสมัยนี้ซึ่งจบลงด้วยการฆาตกรรมด้วยน้ำมือของเซตน้องชายของเขานั้นหายากมาก ดูเหมือนว่าชีวิตทางโลกของเทพเจ้าแห่งยมโลกจะรวมอยู่ในวงจรของตำนานเกี่ยวกับโอซิริสเท่านั้นเพื่อทำให้ทัศนคติของพ่อของเขาที่มีต่อกษัตริย์อียิปต์เป็นที่เข้าใจมากขึ้น เพราะหลังจากการตายของเขาฮอรัสบุตรชายของพระเจ้ากลายเป็นผู้ปกครองของอียิปต์โดยเอาชนะเซทได้ดังนั้นจึงรับประกัน "ความศักดิ์สิทธิ์" ของฟาโรห์ในด้านหนึ่งและอีกด้านหนึ่งคือความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโอซิริส ในฐานะบรรพบุรุษของฟาโรห์ทั้งปวง

จากตำรา Sarcophagi แห่งอาณาจักรกลาง ตามมาว่า Seth โจมตีน้องชายของเขาบนดินแดน Gahesty และสังหารเขาที่ชายฝั่ง Nedyet นอกจากนี้ยังมีคำใบ้ของ ความตายของโอซิริสจากการจมน้ำใกล้เมืองเมมฟิส การเชื่อมโยงระหว่างเทพเจ้าแห่งยมโลกกับน้ำนี้ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมในยุคต่อมา เมื่อเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความตายและการฟื้นคืนชีพของเขาเชื่อมโยงกับแม่น้ำไนล์แล้ว

เซทผู้ร้ายกาจไม่เพียง แต่ล่อน้องชายที่ใจง่ายของเขาเข้าไปในหีบ (โลงศพ) ซึ่งถูกโยนลงไปในแม่น้ำแล้ว แต่ยังสับร่างของผู้ตายเป็นชิ้น ๆ ด้วย ตามเวอร์ชันหนึ่งมี 14 ส่วนเหล่านี้ตามลำดับ - 16 และตามอีก - 42 ตัวเลขแรกมีความเกี่ยวข้องอย่างไม่ต้องสงสัยกับจำนวนเมืองและวัดที่อ้างว่าหลุมฝังศพของโอซิริส (หลุมศพของเขา) คือ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของตน ตัวเลขสุดท้ายเกี่ยวข้องกับจำนวนชื่อ - ภูมิภาคของอียิปต์โบราณ

ในอียิปต์ตอนบนมี 22 ชื่อ และ 20 ชื่อในอียิปต์ตอนล่าง รวมเป็น 42 ชื่อ เป็นเรื่องปกติที่ชาวอียิปต์จะเชื่อว่าในแต่ละหน่วยการปกครองของประเทศนั้น (เคย) เป็นส่วนหนึ่งของร่างของเทพเจ้าประจำชาติ สอดคล้องกับอุดมการณ์ของรัฐ ความตระหนักรู้ในตนเองของชาติ และความสามัคคีของประเทศ

ตำนานที่นำเสนอโดยพลูทาร์กได้ถ่ายทอดรายละเอียดบางประการว่าศพอยู่ที่ไหนและส่วนใดตั้งอยู่ (ถูกฝัง):
Sebennutos - ต้นขาและขาส่วนล่าง;
Herakleopolis - ต้นขา, หัว, สองขา;
Athribis - หัวใจ;
อบีดอส - หัว;
เอ็ดฟู - ขา;
เกาะบิ๊กา - ขาซ้าย.

ดังนั้นการเคารพสักการะพระธาตุ ซากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และส่วนต่างๆ ของร่างกายของบุคคลศักดิ์สิทธิ์จึงมาหาเราจากอียิปต์โบราณด้วย ความจริงที่ว่าส่วนเดียวกันอยู่คนละที่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อโลกทัศน์ทางศาสนา เช่นเดียวกับการปรากฏตัวของสุสานหลายแห่งของโอซิริส พอจะจำไว้ว่าในคริสต์ศาสนายุคหลังๆ มีโบราณวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนกันหลายอย่าง เช่น ศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมา

ความจงรักภักดีของน้องสาวและภรรยาของเทพคือเทพีไอซิส ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแนวคิดที่ได้รับการพัฒนาอย่างมากในตำนานโอซิริสเวอร์ชันต่อมา มีอยู่แล้วในตำนานเวอร์ชันแรกสุด หลังจากค้นหามานาน เธอก็พบชิ้นส่วนของสามีที่แยกเป็นชิ้นๆ และนำเนื้อของเขากลับคืนมา

หลังจากนั้น พิธีกรรมการดองศพเทพเจ้าก็เกิดขึ้นในเมืองอบีดอส (เทพเจ้าอานูบิสและโธธมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้) ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกวาดภาพเหมือนมัมมี่ โดยมีขาและลำตัว (ไม่รวมแขนและศีรษะ) พันด้วยผ้าลินินอย่างแน่นหนา

แม้ว่าเขาจะฟื้นคืนชีพอย่างอัศจรรย์ แต่โอซิริสก็ไม่ได้อ้างสิทธิ์ในบัลลังก์อียิปต์อีกต่อไป เขากลายเป็นราชาแห่งยมโลก ทิ้งฮอรัส ลูกชายของเขาให้ต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์อียิปต์ร่วมกับเซต

ไอซิสและโอซิริส

เทพฮอรัสเกิดได้อย่างไร? ไอซิสและโอซิริสเป็นคู่สามีภรรยาที่แต่งงานแล้ว แต่ในช่วงชีวิตบนโลกของโอซิริส - ก่อนที่เขาจะถูกฆาตกรรม - พวกเขาไม่มีลูก

นี่คือสิ่งที่ตำนานอียิปต์โบราณพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อไอซิสพบและนำร่างของสามีของเธอมาประกอบเป็นชิ้นๆ เธอก็เริ่มทำพิธีกรรมมหัศจรรย์เพื่อรำลึกถึงสามีที่ถูกฆาตกรรม

ตามตำนานเธอสามารถหายใจเอาชีวิตของผู้ตายได้มากจนเขาสามารถมีเพศสัมพันธ์กับไอซิสและทำให้เธอตั้งท้องได้ ด้วยเหตุนี้ไอซิสจึงตั้งครรภ์และต่อมาได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อฮอรัส

ความน่าพิศวงของเรื่องราวนี้คือตามตำนานฉบับหนึ่ง Seth ได้กระจายร่างของพี่ชายที่ใจง่ายของเขาที่ถูกตัดออกเป็น 14 ส่วนทั่วอียิปต์แล้วโยนลึงค์ของพระเจ้าลงในแม่น้ำไนล์ซึ่งมีปลากินอยู่

ไอซิสใช้เวทมนตร์สร้างลึงค์เทียมให้สามีของเธอ ชาวอียิปต์โบราณมีลัทธิและเทศกาลแยกต่างหากสำหรับงานนี้ ควรสังเกตว่าตามประเพณีในตำนานอื่น ๆ ลึงค์ของพระเจ้าไม่ได้รับความเสียหายและตั้งอยู่ในเมมฟิสซึ่งไอซิสพบมัน

คำพิพากษาของโอซิริส

เมื่อถึงเวลาของอาณาจักรใหม่ แนวคิดทางศาสนาได้ก่อตัวขึ้นและเป็นรูปเป็นร่างตามที่โอซิริสซึ่งเป็นหัวหน้าของเทพเจ้า 42 องค์ดำเนินการพิพากษาวิญญาณของผู้ตาย กษัตริย์แห่งยมโลกกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงแห่งความจริงสองประการ ซึ่งเป็นที่ซึ่งผู้เสียชีวิตทุกคนจะถูกนำตัวมา

ผู้ตายสาบานว่าในช่วงชีวิตบนโลกนี้เขาเป็นคนที่เกรงกลัวพระเจ้าและเชื่อฟังผู้มีอำนาจทางโลก คำสาบานทั้งหมดนี้ขึ้นต้นด้วยคำบุพบท "ไม่": ไม่ฝ่าฝืน, ไม่หลอกลวง, ฯลฯ ดังนั้นจึงเรียกว่า "คำสาบานแห่งการปฏิเสธ"

ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนการชั่งน้ำหนักตาชั่งความจริง ชามใบหนึ่งเป็นหัวใจของผู้ตาย อีกใบเป็นขนนกของเทพธิดามาต ถ้าบาปของคนๆ หนึ่งยิ่งใหญ่ ถ้วยที่มีใจก็มีค่ามากกว่าอีกถ้วยหนึ่ง หากบุคคลนั้นมีความเคร่งครัด ตาชั่งก็จะเท่ากัน

ว่าเขาตัดสินอะไร ศาลแห่งโอซิริสชะตากรรมต่อไปของผู้ตายขึ้นอยู่กับ - ไม่ว่าเขาจะจบลงที่ทุ่งอันอุดมสมบูรณ์ของ Iaru ที่ซึ่งเขาจะอยู่ด้วยความพอใจและมีความสุขหรือหัวใจของเขาจะถูกกินโดยสัตว์ประหลาด Ammut ที่ไร้ความปราณีซึ่งจะทำให้ความตายของเขาเป็นครั้งสุดท้ายและการฟื้นคืนชีพ เป็นไปไม่ได้. ฉากการพิจารณาคดีของโอซิริสเป็นทั้งโครงเรื่องกลางและตอนจบของหนังสือแห่งความตายของอียิปต์ เนื่องจากชาวอียิปต์ทุกคนจะต้องปรากฏตัวต่อหน้าศาลของโอซิริส ลัทธิของเขาจึงมีความโดดเด่นในยุคของอาณาจักรใหม่และผู้ปกครองแห่งยมโลกเองก็ถูกรับรู้และเคารพในฐานะเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ความคิดเหล่านี้เกี่ยวกับเขาในฐานะผู้พิพากษาและผู้ช่วยให้รอดของคนตายที่ยุติธรรมเป็นลักษณะเฉพาะของขั้นตอนสุดท้ายของประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณ แนวคิดนี้มีข้อความที่สร้างความมั่นใจและปลอบโยนให้กับประชากรส่วนใหญ่ ชะตากรรมมรณกรรมของบุคคลไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งและตำแหน่งของเขาบนโลก ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติทางศีลธรรมและการกระทำของบุคคลนั้นเท่านั้นรวมถึงความปรารถนาดีของราชาแห่งยมโลกด้วย

ฉายาของโอซิริส

โอซิริสเป็นหนึ่งในภาพศักดิ์สิทธิ์ที่ซับซ้อนที่สุดของชาวอียิปต์โบราณ จากเทพท้องถิ่นของเมือง Djedu ทางตะวันตกของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำซึ่งเขาได้นำเอาลักษณะของเทพเจ้า Anjeti ในท้องถิ่นมาเป็นส่วนใหญ่ Osiris กลายเป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่เป็นสากลที่สุดของอียิปต์โบราณ เมื่อเวลาผ่านไปภาพนี้เริ่มมีคุณสมบัติและคุณลักษณะของเทพเจ้าอื่น ๆ อีกมากมายและพวกเขาก็กลายเป็นภาวะ hypostases ของเทพองค์นี้

“ผู้ที่ปกป้องการฝังศพ” ทางตะวันตกของแม่น้ำไนล์ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานส่วนใหญ่ ดวงอาทิตย์จมลงสู่ Duat (โลกใต้พิภพหลังความตาย) เขารับบทเป็น Khentiamenti ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสุสาน Abydos

“ผู้ที่อาศัยอยู่ในเจดู (บูซิริส)” ฉายานี้มีความเกี่ยวข้องกับศูนย์กลางลัทธิของเทพ - เมือง Busiris ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ (อียิปต์ตอนล่าง) เชื่อกันว่ามาจากเทพเจ้าประจำท้องถิ่นของสถานที่เหล่านี้ Anjeti ซึ่งมีไม้ตีและตะขออยู่ในมือซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้ส่งต่อไปยัง Osiris

“ผู้ที่อาศัยอยู่ในเฮลิโอโปลิส” ด้วยฉายานี้เขามีความเกี่ยวข้องกับศูนย์กลางการบูชาดวงอาทิตย์โบราณที่สำคัญที่สุด - เทพที่กำลังจะตายและฟื้นคืนชีพ

“ผู้ที่อาศัยอยู่ในกลุ่มดาวนายพราน” ฉายานี้เชื่อมโยงเทพกับกลุ่มดาวฤกษ์ที่สำคัญและแสดงให้เห็นองค์ประกอบของดาวฤกษ์ในกลุ่มนั้น ซึ่งตรงกันข้ามกับลักษณะเด่นใต้ดิน

"ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านของ Serket" Serket (Selket) เป็นเทพีผู้อุปถัมภ์แห่งความตาย ฉายานี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดของผู้ปกครองแห่งยมโลกกับเทพธิดาแมงป่องซึ่งมีบทบาทสำคัญในลัทธิผู้ตายของอียิปต์โบราณในฐานะผู้พิทักษ์ซากศพมนุษย์

“ผู้ที่อยู่ในห้องดองศพ” ในห้องพิเศษ นักดองศพได้เปลี่ยนร่างของผู้ตายให้กลายเป็นมัมมี่ เชื่อกันว่ากระบวนการนี้เกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมโดยตรงและการคุ้มครองกษัตริย์แห่งโลกหลังความตาย ในกรณีนี้ เขารับลักษณะของอนูบิส

"ผู้ที่อยู่ในการรมควัน" การดองศพและการทำมัมมี่จะมาพร้อมกับการรมควันด้วยธูป ด้วยการสร้างบรรยากาศที่มีกลิ่นหอม ชาวอียิปต์โบราณสามารถต่อสู้กับความกลัวว่าความตายเกิดจากการเน่าเปื่อยและเน่าเปื่อยของร่างกาย

“ผู้ที่ถูกวางไว้ในโลงศพ” ฉายานี้เกี่ยวข้องเพียงบางส่วนเท่านั้นกับตำนานที่เรารู้จักจากเวอร์ชันที่พลูทาร์กนักเขียนชาวกรีกมอบให้ว่าเซ ธ ล่อน้องชายของเขาเข้าไปในกล่อง (โลงศพ) ด้วยเล่ห์เหลี่ยม เนื้อหาหลักของฉายาคือการอุปถัมภ์คนตายของโอซิริสซึ่งศพถูกวางไว้ในโลงศพ

ดังนั้นคำคุณศัพท์หลักของเทพจึงเกี่ยวข้องกับขั้นตอนงานศพ ในตอนแรกจะใช้เฉพาะกับงานศพของกษัตริย์ (ฟาโรห์) เท่านั้น แต่ค่อยๆ นำไปใช้อย่างกว้างขวางที่สุด รวมถึงประชากรทั้งหมดของอียิปต์ด้วย โอซิริสกลายเป็นเทพเจ้างานศพหลักและเป็นราชาแห่งยมโลก

โอซิริสและฟาโรห์

ในช่วงอาณาจักรเก่า โอซิริสมีความเกี่ยวข้องกับฟาโรห์เกือบทั้งหมด เมื่อผู้ปกครองแห่งอียิปต์สิ้นพระชนม์ เขาก็กลายเป็นใครไปไม่ได้นอกจากโอซิริส กษัตริย์แห่ง Duat ซึ่งเป็นชีวิตหลังความตาย

ในข้อความที่แกะสลักไว้ในปิรามิดของราชวงศ์ที่ 5 และ 6 บางครั้งมีการเรียกกษัตริย์ผู้สิ้นพระชนม์ด้วยพระนามของเทพเจ้า เช่น Osiris Unas หรือ Osiris Pepi นั่นคือฟาโรห์ไม่ได้ตาย แต่กลายเป็นเทพเจ้า

อย่างไรก็ตามควรสังเกตว่าแม้ในแหล่งข้อมูลในยุคแรก ๆ เหล่านี้ ยังมีช่วงเวลาที่บ่งชี้ว่าพระมหากษัตริย์ต้องการอยู่กับเทพแห่งดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า และไม่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ไม่รู้จักและมืดมนของ Duat โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความหนึ่งกล่าวว่า Ra จะไม่มอบกษัตริย์ให้กับราชาแห่งยมโลกและอีกข้อความหนึ่งมีคาถาให้เทพเจ้าแห่งยมโลกปล่อยให้หลุมศพของราชวงศ์เป็นอิสระจาก "ความชั่วร้ายของเขา"

ในยุคของอาณาจักรกลางมีคำอธิบายของผู้ปกครองแห่งยมโลกใน "ตำราของโลงศพ" ที่ทำให้เขาเหมือนปีศาจร้ายมากกว่าผู้พิทักษ์และผู้อุปถัมภ์ที่ดี

อย่างไรก็ตาม ด้านมืดของโอซิริสไม่เคยโดดเด่นในคำอธิบายของเทพองค์นี้ และไม่ได้ขจัดบทบาทของเขาในฐานะตัวตนของบุคคลที่ล่วงลับไปแล้วในฐานะกษัตริย์

โอซิริสและรา

โลกทัศน์ของอียิปต์มีลักษณะเป็นทวินิยมซึ่งแสดงออกทั้งในมุมมองของธรรมชาติและในโครงสร้างทางศาสนาและตำนาน

รากเหง้าของความเป็นทวินิยมนี้อยู่ในความเป็นจริงโดยรอบ เช่น บน-ล่าง ชื้น-แห้ง สว่าง-มืด ร้อน-เย็น ฯลฯ และชาวอียิปต์ก็รับรู้ถึงเทพเจ้าแบบคู่ขนาน

พระเจ้าแต่ละองค์มีอีกครึ่งหนึ่งเป็นสองเท่า ราชาแห่งยมโลกมีเทพแห่งดวงอาทิตย์รา

ในอีกด้านหนึ่ง โอซิริสคือแสงสว่างแห่งยมโลก ซึ่งเป็นสำเนาใต้ดินของเทพสุริยะรา ในทางกลับกัน Ra จะมีส่วนร่วมในพิธีศพของ Osiris โดยเรือของ Ra จะแล่นไปตามแม่น้ำไนล์ใต้ดินทุกคืนในอาณาเขตของเทพเจ้าแห่งยมโลก (ชีวิตหลังความตาย) ตามตำราบางเล่มในหนังสือแห่งความตายจากยุคอาณาจักรใหม่หลังจากการตายของโอซิริสในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของคืนวิญญาณของเทพแห่งดวงอาทิตย์ราก็มาถึงถ้ำที่ร่างของผู้ตายนอนอยู่และรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกับ จิตวิญญาณของโอซิริส สิ่งนี้ทำให้โอซิริสและคนตายทั้งหมดตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้ง ตามความเข้าใจของชาวอียิปต์ Osiris และ Ra ทำหน้าที่เป็น Double Soul

อย่างไรก็ตาม มันอยู่ภายในกรอบแนวคิดของลัทธิทวินิยมอย่างชัดเจนว่ามีการแข่งขันระหว่างเทพเจ้าอยู่ตลอดเวลา เรื่องราวในตำนานทั่วไปเป็นเรื่องที่โอซิริสเน้นย้ำถึงความสำคัญของตนเองในฐานะเทพเกษตรกรรมในการผลิตข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ ซึ่งเป็นพืชที่สำคัญที่สุดของอียิปต์โบราณ Ra ในเรื่องนี้กล่าวว่าพืชผลมีอยู่อย่างเป็นอิสระจากเจ้าแห่งยมโลก

เมื่อฮอรัสเข้าสู่การต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์อียิปต์เพื่อต่อสู้กับเซตผู้ฆ่าบิดาของเขา ในตอนแรกราสนับสนุนเซต ไม่ใช่ฮอรัส และหลังจากการแทรกแซงของไอซิสซึ่งบังคับให้ราเปลี่ยนตำแหน่งจริงๆ เขาก็สนับสนุนฮอรัส แต่ในเวลาเดียวกัน Seth ก็ไม่สูญเสียความโปรดปรานของเขา - Ra พาเขาขึ้นเรือและ Seth ก็เริ่มปกป้อง Sun God จากศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของเขาอย่างซื่อสัตย์ -

โอซิริสเป็นกษัตริย์แห่งอียิปต์เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว หลังจากที่เทพเจ้าราออกจากโลกและเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ชาวอียิปต์ยังไม่รู้วิธีเลี้ยงปศุสัตว์ ทำนา เก็บเกี่ยวพืชผล และไม่รู้วิธีรักษาโรคที่ง่ายที่สุด ผู้คนต่างเป็นศัตรูกัน และการต่อสู้นองเลือดก็เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาเป็นระยะๆ

แต่โอซิริสกลายเป็นกษัตริย์แห่งอียิปต์ เขาเรียกเทพเจ้าแห่งปัญญา Thoth และด้วยความช่วยเหลือของเขาสอนชาวอียิปต์ให้หว่านธัญพืช ปลูกองุ่น อบขนมปัง เตรียมเบียร์และไวน์ ขุดและแปรรูปทองแดงและทองคำ รักษาโรค สร้างบ้าน พระราชวัง วัด อ่านและเขียน และมีส่วนร่วมในดาราศาสตร์ (การศึกษาดาวฤกษ์) คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์อื่นๆ พระองค์ทรงสอนกฎหมายและความยุติธรรมแก่ผู้คน มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข เป็นยุค “ทอง” ของชีวิตชาวอียิปต์

โลงศพของชุดโอซิริสเป็นลูกชายคนโตของเทพีนัตแห่งท้องฟ้าและเทพแห่งดินเกบ จากนั้นลูกชายคนที่สองของพวกเขาก็เกิด - เซ็ตเทพผู้ชั่วร้ายแห่งทะเลทราย โอซิริสซึ่งเป็นคนโตกลายเป็นผู้ปกครองอียิปต์ ซึ่งเซธอิจฉามาก ตัวเขาเองต้องการปกครองประเทศและประชาชนมากจนตัดสินใจใช้ไหวพริบในการทำลายพี่ชายของเขา เขาวางแผนต่อต้านโอซิริสและมีปีศาจ 72 ตัวช่วยเขาในเรื่องนี้ เมื่อโอซิริสกลับมาหลังจากการรณรงค์ทางทหารที่ประสบความสำเร็จและตัดสินใจจัดงานเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติแก่ชัยชนะของเขา Seth สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ได้ หลังจากวัดร่างของโอซิริสอย่างลับๆแล้ว เขาก็สั่งให้สร้างโลงศพตามขนาดนี้ และตกแต่งด้วยทองคำ เงิน และอัญมณี เซ็ทได้นำโลงศพนี้ไปร่วมงานเลี้ยงเทพเจ้า ทุกคนต่างชื่นชมยินดีกับสิ่งอัศจรรย์เช่นนี้ ทุกคนอยากจะเป็นเจ้าของมัน

เซธทำให้แผนการชั่วร้ายของเขาบรรลุผล Seth ราวกับเป็นเรื่องตลกแนะนำว่าผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงผลัดกันนอนลงในโลงศพ - ใครก็ตามที่เหมาะสมก็จะได้มัน ทุกคนเริ่มลองสวม แต่โลงศพไม่เหมาะกับใครเลย โอซิริสไม่สงสัยอะไรเลย มองดูสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่สนใจเรื่องความมั่งคั่ง และเขาแทบจะไม่ได้เข้าไปในโลงศพเพียงเพื่อให้ได้มาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม โอซิริสไม่ต้องการทำให้น้องชายของเขาขุ่นเคือง เขาเข้าไปใกล้โลงศพแล้วนอนลงในนั้นเซทและผู้สมรู้ร่วมคิดก็กระแทกฝาอย่างรวดเร็วผลักสลักเกลียวเติมด้วยตะกั่วแล้วโยนโลงศพลงไปในน่านน้ำของแม่น้ำไนล์ โลงศพถูกกระแสน้ำแม่น้ำไนล์พัดพาโลงลงสู่ทะเล และคลื่นก็พัดพามันไปยังเมืองไบบลอส และพวกเขาก็โยนมันขึ้นฝั่งข้างพุ่มไม้เฮเทอร์ ต้นเฮเทอร์เติบโตอย่างรวดเร็วและซ่อนโลงศพไว้ในลำต้น จากนั้นลำต้นนี้ก็ถูกตัดลงตามคำสั่งของกษัตริย์ Byblos และทำเสาสำหรับพระราชวัง

ไอซิสกำลังตามหาศพสามีของเธอไอซิส ภรรยาผู้อุทิศตนและซื่อสัตย์ของโอซิริส ออกตามหาสามีของเธอ เธอร้องไห้และคร่ำครวญ:

“ท้องฟ้าผสานกับพื้นโลก เป็นเงาบนพื้นโลกในวันนี้ ดวงใจของข้าพเจ้าร้อนรุ่มจากการพลัดพรากจากท่านมานาน ข้าแต่ท่านผู้จากไปสู่ดินแดนแห่งความเงียบงัน โปรดกลับมาหาพวกเราในร่างเดิมเถิด”

มัมมี่แห่งโอซิริส ปรุงสุก
เพื่อฝังศพโดยสุสาน

ด้วยความโกรธแค้น เธอจึงเดินและเดิน ถามทุกคนที่เธอพบว่าพวกเขาเคยเห็นโอซิริสหรือไม่ และในที่สุดก็ได้รู้ว่าโลงศพพร้อมศพสามีของเธอเกยตื้นอยู่ที่ชายฝั่งทะเลใกล้เมืองไบบลอส ไอซิสไปที่นั่น ไม่มีใครใน Byblos รู้ว่าเธอเป็นเทพธิดาและเธอไปที่พระราชวังเพื่อทำงานเป็นคนรับใช้ เธอรับใช้ราชินีแห่ง Byblos และเลี้ยงดูลูกชายตัวน้อยของเธอ และในตอนกลางคืน เมื่อทุกคนหลับใหล เธอก็เอาราชโอรสของพระราชาไปเผาไฟและร่ายมนตร์เพื่อทำให้พระองค์เป็นอมตะ แต่วันหนึ่งราชินีไบบลอสเห็นสิ่งนี้จึงกรีดร้องด้วยความกลัว เสียงร้องไห้นี้ทำลายมนต์เสน่ห์ของไอซิส และเธอไม่สามารถทำให้เจ้าชายเป็นอมตะได้ ไอซิสเรียกชื่อจริงของเธอ ตัดเสา หยิบโลงศพพร้อมร่างของโอซิริสออกมา แล้วส่งกลับไปอียิปต์ ที่นั่นเธอซ่อนโลงศพไว้ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์และไปหาน้องสาวของเธอคลุมด้วยกิ่งไม้เพื่อไม่ให้มองเห็นซึ่งเธอต้องการไว้ทุกข์โอซิริสและฝังเขาด้วยเกียรติ

เจ้าแม่ไอซิส
และเทพฮอรัส

ในขณะเดียวกัน Seth ก็ออกไปล่าสัตว์ เขาชอบล่าสัตว์ตอนกลางคืนใต้แสงจันทร์ คนร้ายเจอโลงศพ รู้สึกประหลาดใจที่เห็นศพของน้องชายผู้โชคร้ายของเขา จึงฟันเป็นชิ้น ๆ แล้วกระจัดกระจายไปทั่วอียิปต์ ไม่นานพวกพี่สาวก็กลับมาเปิดโลงศพออกก็ว่างเปล่า ความโศกเศร้าของไอซิสไม่มีขอบเขต เธอค้นหาศพของสามีเป็นเวลาสิบสองวันจนกระทั่งพบและฝังศพเหล่านั้น และเมื่อเธอพบส่วนต่างๆ ของร่างกายของโอซิริส เธอได้สร้างศิลาศิลาขึ้น และจากนี้ไป ความเคารพนับถือของโอซิริสก็เริ่มต้นขึ้นในอียิปต์

ไอซิสให้กำเนิดฮอรัส ผู้ล้างแค้นในอนาคตจากนั้นไอซิสก็เข้าไปในหนองน้ำของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพื่อซ่อนตัวจากการข่มเหงของกลุ่มผู้ทรยศ ฮอรัสลูกชายของเธอเกิดที่นั่น เธอจัดการให้อาหารและช่วยชีวิตทารกได้ วันหนึ่ง เมื่อฮอรัสถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง เขาถูกงูพิษกัด เมื่อกลับมา ไอซิสเห็นร่างไร้ชีวิตของลูกชายตัวน้อยของเธอ มารดาผู้เคราะห์ร้ายส่งเสียงร้องไห้อย่างสาหัส ขอร้องให้เทพเจ้าและผู้คนมาช่วยเหลือเธอ เทพเจ้าแห่งปัญญา Thoth ทำให้เธอสงบลงและรักษาทารกด้วยคาถามหัศจรรย์ของเขา

ฮอรัสเติบโตขึ้น เติบโตเต็มที่ และตัดสินใจล้างแค้นให้กับการตายของบิดา

โอซิริส- บุตรของเทพเจ้าแห่งดินเกบและเทพีแห่งท้องฟ้านุต ภาพของโอซิริสนั้นซับซ้อนและหลากหลายอย่างยิ่ง ชาวอียิปต์โบราณตั้งข้อสังเกตเรื่องนี้เอง เพลงสวดอียิปต์โบราณบทหนึ่งที่อุทิศให้กับโอซิริสกล่าวว่า: “โอซิริสเอ๋ย ธรรมชาติของคุณนั้นมืดมนยิ่งกว่าเทพเจ้าองค์อื่น” ก่อนอื่น Osiris เป็นผู้อุปถัมภ์และผู้พิทักษ์ผู้คน พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์องค์แรกของอียิปต์ สอนชาวอียิปต์ให้เพาะปลูกและอบขนมปัง ปลูกองุ่นและทำไวน์ สกัดแร่จากพื้นดิน สร้างเมือง รักษาโรค เล่นเครื่องดนตรี และบูชาเทพเจ้า แต่นอกจากนี้ โอซิริสยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าแห่งพืชพรรณซึ่งเป็นพลังการผลิตของธรรมชาติ ในวัดที่อุทิศให้กับเขา มีการติดตั้งโครงไม้ตามรูปทรงของร่างกายของเขา ปกคลุมไปด้วยดินที่อุดมสมบูรณ์และหว่านด้วยเมล็ดพืช ในฤดูใบไม้ผลิ "ร่างของโอซิริส" แตกหน่อออกมาด้วยหน่ออ่อน โอซิริสยังเป็นผู้ปกครองยมโลกซึ่งเป็นผู้พิพากษาผู้ตายที่ยุติธรรมและเป็นกลาง ตำนานของโอซิริส, ไอซิสภรรยาผู้ซื่อสัตย์ของเขาและเซทน้องชายที่ชั่วร้ายของเขาเป็นหนึ่งในตำนานที่น่าสนใจและพัฒนาโครงเรื่องมากที่สุดในตำนานอียิปต์ นักตะวันออกชาวรัสเซียผู้โด่งดัง B. A. Turaev (พ.ศ. 2411-2463) เรียกสิ่งนี้ว่า "ตำนานหลักของศาสนาอียิปต์ซึ่งครอบครองศูนย์กลางในวัฒนธรรมทั้งหมดของชาวอียิปต์"

Osiris มีน้องชายหนึ่งคน ซึ่งเป็นเซ็ตที่ชั่วร้ายและทรยศ ผู้อิจฉาโอซิริสจึงตัดสินใจทำลายเขา เขาแอบวัดความสูงของโอซิริสและสั่งทำกล่องตามขนาดของเขาพร้อมการตกแต่งที่สวยงาม จากนั้นเขาก็เชิญโอซิริสมาร่วมงานเลี้ยงของเขา แขกทุกคนในงานเลี้ยงซึ่งเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของ Seth เริ่มชื่นชมกล่องเสียงดัง Seth บอกว่าเขาจะมอบกล่องให้กับคนที่มีขนาดเท่ากับเขา ทุกคนผลัดกันเข้าไปในกล่อง แต่มันก็ไม่เหมาะกับใครเลยยกเว้นโอซิริส เมื่อ Osiris นอนลงในกล่อง Seth ก็กระแทกฝา ล็อคตัวล็อค และพรรคพวกของเขาก็นำกล่องไปที่แม่น้ำไนล์แล้วโยนมันลงไปในน้ำ

ไอซิสภรรยาของโอซิริสเมื่อทราบเรื่องการตายของสามีของเธอจึงออกค้นหาศพของเขาเพื่อฝังศพเขาอย่างสง่างาม

คลื่นซัดกล่องที่มีร่างของโอซิริสขึ้นฝั่งใกล้กับเมืองไบบลอส มีต้นไม้ใหญ่โตอยู่เหนือเขา โดยซ่อนกล่องไว้ข้างในลำต้น กษัตริย์ท้องถิ่นจึงทรงสั่งให้ตัดต้นไม้ดังกล่าวลงแล้วสร้างเป็นเสาประดับพระราชวัง

ไอซิสไปถึงเมืองไบบลอส นำร่างของโอซิริสออกจากเสาแล้วนำไปไว้ที่หัวหน่าวไปยังสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ ที่นั่นอย่างสันโดษท่ามกลางหนองน้ำเธอเริ่มโศกเศร้ากับสามีของเธอ

...ความมืดอยู่รอบตัวเรา แม้ว่าราจะอยู่บนสวรรค์ ท้องฟ้าปนดิน เงาตกลงบนพื้นโลก

ใจของข้าพระองค์เร่าร้อนจากการพลัดพรากจากความชั่วร้าย ใจของข้าพระองค์เร่าร้อนเพราะพระองค์ทรงกั้นรั้วกั้นข้าพระองค์ไว้ด้วย...

(แปลโดย Anna Akhmatova)

ในตอนกลางคืน เมื่อไอซิสหลับไป เซธผู้ชั่วร้ายก็ออกไปล่าภายใต้แสงจันทร์ และบังเอิญบนชายฝั่งร้างเขาเห็นร่างของน้องชายที่เขาเกลียดชัง เซ็ตตัดร่างของโอซิริสออกเป็นสิบสี่ชิ้นแล้วกระจายไปทั่วโลก

ไอซิสผู้โศกเศร้าออกตามหาศพสามีของเธออีกครั้ง ในการเดินทาง ผู้คน สัตว์ต่างๆ งูและนกได้ช่วยเหลือเธอ และแม้แต่จระเข้ก็ไม่ได้ทำร้ายเธอเมื่อเธอล่องเรือกระดาษปาปิรัสไปตามหนองน้ำ ชาวอียิปต์เชื่อว่าเพื่อรำลึกถึงเทพีผู้ยิ่งใหญ่ จระเข้จะไม่แตะต้องใครก็ตามที่แล่นบนเรือที่ทำจากกระดาษปาปิรัส

ในตำนานฉบับหนึ่ง ไอซิสได้ฝังส่วนต่างๆ ของร่างกายของโอซิริสที่พบไว้ในที่ต่างๆ สิ่งนี้อธิบายได้ว่าทำไมจึงมีสุสานของโอซิริสหลายแห่งในอียิปต์ ในอีกทางหนึ่งเธอรวบรวมร่างของเขาเข้าด้วยกันแล้วพูดว่า: "โอซิริสผู้สดใส! กระดูกของคุณถูกรวบรวม ร่างกายของคุณถูกรวบรวม หัวใจของคุณถูกมอบให้กับร่างกายของคุณ!”

เทพเจ้าอานูบิสดองร่างของโอซิริสและสร้างมัมมี่ตัวแรกของโลก ตั้งแต่นั้นมา ชาวอียิปต์ก็มีธรรมเนียมในการมัมมี่ศพ

ไอซิสได้คลอดบุตรชายชื่อฮอรัสอย่างน่าอัศจรรย์จากโอซิริสผู้ล่วงลับ เมื่อครบกำหนดแล้ว ฮอรัสก็ล้างแค้นบิดาของเขา เอาชนะเซตและขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอียิปต์

และโอซิริสก็ไปสู่ชีวิตหลังความตายกลายเป็นผู้ปกครองและผู้ตัดสินเหนือคนตาย

เซ็ตสังหารโอซิริสน้องชายของเขา เทพเจ้าแห่งดินและการเติบโต แต่พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์และครองราชย์ในชีวิตหลังความตาย กลายเป็นผู้ปกครองสุสานและคนตาย ผู้ปกครองแห่งโลกอื่น และผู้นำการฟื้นคืนชีพของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด

ในฐานะกษัตริย์ผู้ล่วงลับและราชาแห่งความตาย โอซิริสได้รับความเคารพนับถือเป็นพิเศษในอียิปต์โบราณ ความรักของไอซิส น้องสาวพาเรดราของเขา ช่วยโอซิริสไว้ และเขาก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เทพเจ้าองค์นี้รวบรวมการเกิดใหม่ ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้ทุกคนที่ผ่านการพิพากษาครั้งสุดท้ายจะได้พบกับชีวิตใหม่ และต่อหน้าชื่อของผู้ที่จะได้รับการประกาศว่า "ชอบธรรม" ในการตัดสินนี้ ชื่อ "โอซิริส" จะปรากฏขึ้น Osiris เป็นเทพเจ้าแห่งความรอด ดังนั้นผู้คนจึงต้องการเขามากที่สุด!

รูปภาพของโอซิริส

โอซิริสเป็นเทพมานุษยวิทยาซึ่งก็คือเทพเจ้าที่มีรูปร่างหน้าตาเป็นมนุษย์ นอกจากนี้ผ้าห่อศพสีขาวที่เขาห่อไว้ยังทำให้เขาดูคล้ายกับมัมมี่อีกด้วย นี่คือสัญญาณของยมโลกที่ปกครองโดยโอซิริส เทพเจ้าองค์นี้มักจะแสดงท่าทางนิ่งๆ เสมอ โดยส่วนใหญ่ยืนบ่อย นั่งน้อย และไม่เคยเดินเลย บางครั้งไอซิสและเนฟธีส น้องสาวของเขา ก็ปรากฏตัวอยู่ข้างๆ เขา

บางครั้งก็มีรูปโอซิริสเอนกายด้วย นี่คือการอ้างอิงถึงตำนานของโอซิริสที่ออกผลซึ่งเราจะพูดถึงรายละเอียดเพิ่มเติมในบทความถัดไป

บ่อยครั้งที่มีภาพสัตว์ที่บูชายัญให้เขาต่อหน้าโอซิริส

โอซิริสสวมมงกุฎเสมอ ตำนานบอกว่าเขาเป็นกษัตริย์องค์แรกของอียิปต์ ในมือของเขาเขาถือสัญลักษณ์แห่งพลัง - แส้และคทา โอซิริส น้องสาวและมเหสีของไอซิส และลูกชายฮอรัส ถือเป็นครอบครัวศักดิ์สิทธิ์หลักของวิหารแพนธีออนของอียิปต์ ซึ่งได้แก่ เทพเจ้า เทพธิดา และบุตรศักดิ์สิทธิ์

พระเจ้าแห่งการต่ออายุ

ผิวของโอซิริสเป็นสีเขียวหรือสีดำ สีดำในอียิปต์ไม่ถือเป็นสัญญาณของการไว้ทุกข์ เป็นสีแห่งการเกิดใหม่ สีแห่งชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับสีเขียว และเนื่องจากความตายเป็นหนทางสู่โลกใหม่ โอซิริสจึงมักจะมาพร้อมกับพืชเสมอ จะเป็นดอกบัว เถา หรือต้นไม้. มงกุฎของโอซิริสเป็นฟ่อนข้าวสาลี ตัวเรือทำจากกระดาษปาปิรัส และเจดทำจากมัดกก

ตำนานเกี่ยวกับโอซิริส

เรื่องราวของโอซิริสนั้นเป็นเรื่องราวของเทพเจ้า แต่มันก็มีความเป็นมนุษย์เช่นกัน มันเต็มไปด้วยคำสัญญาสำหรับคนที่ถึงวาระจะต้องตาย นี่เป็นเรื่องราวความรักด้วย โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ภรรยาของพระเจ้าไอซิส และถึงแม้ว่าตำนานเกี่ยวกับโอซิริสจะบอกเล่าเกี่ยวกับยมโลกซึ่งเขาเป็นกษัตริย์เป็นหลัก แต่เทพเจ้าองค์นี้ก็รวบรวมชีวิตและการเกิดใหม่

ตำนานของโอซิริสเริ่มต้นด้วยเรื่องราวของเทพเจ้าราผู้ให้กำเนิดคู่ศักดิ์สิทธิ์คือชูและเทฟนัท จากการรวมตัวกันของพวกเขาได้กำเนิด Geb ซึ่งเป็นรูปลักษณ์ของโลก และ Nut ซึ่งเป็นรูปลักษณ์ของท้องฟ้า พวกเขาผูกพันกันมากจนดูเหมือนแยกจากกันไม่ได้ ไม่มีอะไรแยกสวรรค์และโลกอีกต่อไป และรา (ดวงอาทิตย์) ไม่สามารถเดินทางข้ามท้องฟ้าได้อีกต่อไป นี่คือการกบฏต่อพลังของเทพเจ้าแห่งเทพเจ้า! Shu พยายามแยกลูกสาวของเขาออกจากสามีของเธอ และอากาศ น้ำ และแสงแดดก็ทะลุเข้าไปในพื้นที่ว่าง แต่ราตัดสินใจลงโทษคู่รักที่ประมาทเลินเล่อ

เมื่อรู้ว่านัทอุ้มทารกห้าคนไว้ในครรภ์ ราจึงออกคำสั่งว่าห้ามไม่ให้เด็กเกิดในช่วงสิบสองเดือนของปีนั้น!

การเกิดที่ยากลำบาก

พระเจ้าโธธกบฏต่อการตัดสินใจอันโหดร้าย เขาไปที่ดวงจันทร์และได้รับชัยชนะจากห้าวันพิเศษของเธอซึ่งเพิ่มเข้าไปในปฏิทินในช่วงปลายปี (นี่คือวันพิเศษ "วันพิเศษ") โอซิริสเกิดเป็นทารกคนแรกในจำนวนห้าคน ดังนั้นวันแรกของวันนี้จึงอุทิศให้กับเขา จากนั้นพี่น้องของเขาก็เกิด: Horus, Seth (นักฆ่าพระเจ้าในอนาคต), Nephthys และ Isis (ภรรยาในอนาคตของเขา)

ในไม่ช้าโอซิริสก็ได้รับอำนาจเหนือโลกและฟาโรห์แห่งราชวงศ์แรกก็อุทิศลัทธิให้กับเขา “ทันทีที่พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของโลก พระองค์ทรงนำชาวอียิปต์ออกจากสภาพของสัตว์ป่าทันทีและช่วยเหลือพวกเขาตามความจำเป็น แสดงให้พวกเขาเห็นวิธีเพาะปลูกในดินแดน ให้กฎหมาย และสอนให้พวกเขาถวายเกียรติแด่เทพเจ้า จากนั้นเขาก็เดินทางไปทั่วโลกเพื่อแนะนำวัฒนธรรมนี้” ตำราโบราณกล่าวถึงการเริ่มต้นรัชสมัยของกษัตริย์พระเจ้าองค์นี้ดังนี้

ครอบครัวโอซิริส

ตำนานการสร้างซึ่งพบได้ทั่วไปในเฮลิโอโปลิสเมืองของเทพเจ้ารากล่าวว่าโอซิริสเป็นบุตรของเก๊บ (โลก) และนัท (สวรรค์) เขาถือกำเนิดโดยการแทรกแซงของโธธ เทพเจ้าแห่งกาลเวลาและการนับ พร้อมด้วยเซต ไอซิส เนฟธีส และฮอรัส แต่ทุกอย่างไม่ดีในครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ โอซิริสมีความบาดหมางกับเซตน้องชายของเขาอย่างเปิดเผย ความสัมพันธ์กับไอซิสก็ยากเช่นกัน: พระเจ้าไม่เพียงต้องการเป็นพี่ชายของเธอเท่านั้น แต่ยังต้องการเป็นสามีของเธอด้วย

เซธ น้องชายขี้อิจฉา

แต่ความรักและเกียรติที่ผู้คนมอบให้กับโอซิริสสำหรับการทำความดีของเขาทำให้เกิดความอิจฉาและความริษยาของเทพเจ้าองค์อื่น ๆ และประการแรกคือเซ็ตน้องชายของเขา เพื่อกำจัดโอซิริส เซทจึงคิดแผนการร้ายกาจ ตำนานเล่าว่าเทพเจ้าแอบวัดส่วนสูงของน้องชาย จากนั้น เขาจึงสร้างหีบไม้อันวิจิตรงดงามโดยใช้การวัดเหล่านี้ ในตอนเย็นเซ็ธนำมันมาในงานฉลองและสัญญาติดตลกว่าเขาจะมอบหีบให้คนที่อยากได้ ในตอนแรก ทุกคนต่างก็พยายาม... เมื่อถึงคราวของโอซิริส เขาก็นอนลงข้างในอย่างง่ายดาย จากนั้นผู้ช่วยของเซธก็วิ่งเข้ามา ทุบหน้าอกอย่างรวดเร็ว และโยนมันลงไปในแม่น้ำไนล์ ในขณะนี้เองที่ Isis น้องสาวและภรรยาของ Osiris เข้ามามีบทบาท และการค้นหาโอซิริสก็เริ่มต้นขึ้น

การแยกส่วนของโอซิริส

ตำนานเกี่ยวกับการฆาตกรรมโอซิริสโดยเซตน้องชายของเขา "การแยกส่วนของโอซิริส" กลายเป็นพื้นฐานของลัทธิของเทพเจ้าองค์นี้ เซ็ตผู้ค้นพบที่ซ่อนซึ่งไอซิสซ่อนร่างของพี่ชายและสามีผู้ล่วงลับของเธอได้ตัดโอซิริสออกเป็น 14 ชิ้นทันทีซึ่งเขากระจัดกระจายไปตามมุมทั้งสี่ของอียิปต์ การค้นหาของไอซิสใช้เวลานาน เธอตัดสินใจว่าแต่ละชิ้นจะถูกฝังในสถานที่ที่พบ ตำนานนี้อธิบายว่าพระธาตุของโอซิริสถูกเก็บไว้ในวัดต่างๆ ดังนั้น ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลักในเมืองอบีดอส ศีรษะของเทพเจ้าจึงถูกเก็บไว้

ภารกิจตามหาโอซิริส

ตำนานการค้นหาโอซิริสมีหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นบอกว่าไอซิสและเนฟธีสไปตามหาร่างของโอซิริส และไม่นานก็พบมันบนฝั่งแม่น้ำไนล์

อีกประการหนึ่งที่เรียกกันทั่วไปว่า "การแยกส่วนของโอซิริส" ไอซิสค้นพบศพของสามีของเธอซึ่งอยู่ไกลออกไปมากในเมืองบิบลอสของชาวฟินีเซียน (ในเลบานอนสมัยใหม่) นางจึงนำมันกลับไปยังอียิปต์และซ่อนไว้ แต่เซธเมื่อทราบเรื่องที่ซ่อนนี้แล้ว จึงแยกชิ้นส่วนศพและกระจายส่วนต่างๆ ไปในทิศทางต่างๆ จากนั้นพี่สาวทั้งสองก็ร้องร่ำไห้ต่อเทพเจ้าด้วยความคร่ำครวญในงานศพโดยขอร้องให้ Ra, Thoth และ Anubis เอาใจใส่คำขอของพวกเขาและชุบชีวิตพระเจ้า

ไอซิสได้คลอดบุตรชายชื่อฮอรัสอย่างน่าอัศจรรย์จากโอซิริสผู้ล่วงลับ เมื่อเกิดมาฮอรัสตัวน้อยก็ไม่พลาดที่จะแก้แค้นเซธเพื่อพ่อของเขา และโอซิริสฟื้นคืนชีพด้วยความรักอันไร้ขอบเขตของภรรยาของเขา กลายเป็นผู้ปกครองแห่งรัตติกาลและทุกสิ่งในโลกอื่น ครองราชย์ในชีวิตหลังความตาย พระองค์ทรงมอบอำนาจเหนือวันและโลกแห่งสิ่งมีชีวิตให้แก่เทพเจ้ารา

ลัทธิแห่งโอซิริส

ดังที่มักเกิดขึ้นในความเชื่อโบราณ ภาพของโอซิริสปรากฏขึ้นอันเป็นผลมาจากการรวมตัวของลัทธิเทพเจ้าในท้องถิ่น นักวิจัยเชื่อว่าหนึ่งในนั้นคือ Anjeti แห่ง Busiris และอีกคนคือ Hentamentiou แห่ง Abydos ในสองเมืองนี้โอซิริสได้รับความเคารพนับถือมากที่สุด

จาก Angenti อาจเป็นกษัตริย์ของ Osiris (ซึ่งเขาไม่มีวันแพ้) และจากเทพองค์ที่สองเขาได้รับฉายาว่า "เจ้าแห่งทิศตะวันตก" นั่นคือเจ้าแห่งความตาย โอซิริสในฐานะเทพเจ้าแห่งพิธีกรรมงานศพและเป็นผู้ปกครองยมโลกได้รับการบูชาอย่างเป็นเอกฉันท์จากชาวอียิปต์ทุกคน ความกระตือรือร้นที่เขาได้รับการยกย่องนั้นอธิบายได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าโอซิริสเป็นคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ตัดสินคนสุดท้ายของผู้คน เพื่อนพระเจ้าคนใหม่นี้คุ้มค่ากับสองคนเก่าอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเขาคือผู้ที่จะเผชิญหน้ากับธรณีประตูแห่งชีวิตใหม่!

อบีดอส : เมืองโอซิริส
ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ทั้งหมด รวมถึงราชวงศ์แรกๆ ปฏิบัติต่ออบีดอสอย่างดี เนื่องจากเป็นเมืองเฮนตาเมนทิว ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของโอซิริส ตัวแทนของราชวงศ์ที่ 1 และ 2 ถูกฝังอยู่ที่นี่ เมื่อถึงราชวงศ์ที่ 5 และ 6 เคนตาเมนทิวก็ค่อยๆ ถูกระบุตัวว่าเป็นโอซิริสแห่งอียิปต์ตอนล่าง เมื่อถึงเวลานั้นลัทธิก็ได้รับสัดส่วนที่น่าประทับใจ ในช่วงอาณาจักรกลาง อบีดอสกลายเป็นสถานที่สักการะที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ผู้แสวงบุญจากทั่วอียิปต์มาที่นี่ และนักบวชประกาศว่าศีรษะของเทพเจ้าถูกเก็บไว้ในเมือง ชาวอียิปต์จำนวนมากพยายามเอาใจโอซิริสโดยเฉพาะในวัยชรา พวกเขาสร้างอนุสาวรีย์อิฐขนาดเล็ก (อนุสาวรีย์งานศพ) และศิลาหินระหว่างวิหารโอซิริสและสุสานแบบดั้งเดิม เดิมทีวัดนี้อุทิศให้กับ Hentamentiu แต่ตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 12 เป็นต้นมา วัดนี้ก็กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของ Osiris อาคารโบราณหลังนี้สร้างด้วยอิฐ มีเพียงกรอบช่องหน้าต่างและประตูเท่านั้นที่ทำจากหิน สิ่งนี้อธิบายการหายตัวไปของซากปรักหักพังของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เกือบทั้งหมด เนื่องจากความเชื่อในการสถิตอยู่อย่างลึกลับของพระเจ้า ฟาโรห์จำนวนมากจึงสร้างวิหารเก็บศพของตนที่อบีดอส แห่งแรกคือวิหารของ Sesostris III

การฝังศพใด ๆ ก็ตามเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิของโอซิริส

ไอซิสตั้งครรภ์ฮอรัสซึ่งเกิดหลังจากการสิ้นพระชนม์ของโอซิริสและกลายเป็นทายาทของเขา ฮอรัสต่อสู้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยกับเซตลุงของเขาเพื่อทวงบัลลังก์คืนมา แต่ราชสำนักแห่งสวรรค์ได้เข้ามาแทรกแซงการต่อสู้ของพวกเขา และเหล่าเทพเจ้าก็รับฮอรัสเข้าสู่วงล้อมของพวกเขา โดยการเปรียบเทียบ ฟาโรห์ที่ครองราชย์ทุกองค์ตลอดช่วงชีวิตของเขาจะถูกระบุว่าเป็นเทพฮอรัส เมื่อตายเขาก็กลายเป็นโอซิริส

อย่างไรก็ตาม มนุษย์ธรรมดาพบความหวังสำหรับชีวิตใหม่ในยุคของอาณาจักรกลางเท่านั้น ดังที่นักอียิปต์วิทยา Serge Soneron (IFAO) เขียนว่า: "ก่อนอาณาจักรกลาง คนตายทั้งหมดเริ่มถูกมองว่าเป็นโอซิริส และด้วยเหตุนี้ มนุษยชาติ ซึ่งครั้งหนึ่งสามารถมีส่วนร่วมในการพิชิตสวรรค์โดยอ้อมเท่านั้น โดยผ่านทางผู้ปกครองผู้ล่วงลับซึ่งเป็นตัวเป็นตนของภาพลักษณ์ที่คลุมเครือและไร้ใบหน้าของผู้คนของเขาได้รับโอกาสในการติดตามโอซิริสไปสู่อีกโลกหนึ่งซึ่งเปิดกว้างให้กับทุกคนตามระบอบประชาธิปไตย” การเป็นโอซิริสหมายความว่าอย่างไร? เส้นทางชีวิตของเขาและความรักของไอซิสภรรยาของเขา ทำให้เทพเจ้าองค์นี้ใกล้ชิดและเข้าใจได้กับชาวอียิปต์ทุกคน หลังจากเปิดทางสู่ชีวิตใหม่ Osiris ได้มอบกุญแจสู่อาณาจักรใหม่ให้กับผู้คน - ชีวิตหลังความตาย ดังนั้นโอซิริสจึงถูกกล่าวถึงในขั้นตอนต่าง ๆ ของพิธีกรรมฝังศพ: ระหว่างการดองศพ, การเปิดปากพิธีกรรม (ซึ่งส่งลมหายใจกลับคืนสู่ผู้ตาย), ระหว่างขบวนแห่ ฯลฯ ฟาโรห์ผู้ตายและดองศพทั้งหมดพรรณนาถึงโอซิริส: พวกเขาถูกห่อด้วย ผ้าห่อศพสีขาว สวมมงกุฎเอเทฟ ถือสัญลักษณ์แห่งอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ ภาพวาดในสุสานของพวกเขายังประกาศถึงบทบาทใหม่ของฟาโรห์ด้วย

สัญลักษณ์แห่งอำนาจที่โอซิริสถืออยู่ในมือของเขาโดยพื้นฐานแล้วเตือนเราว่าเทพเจ้าองค์นี้เป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรอียิปต์ แต่ต้นกำเนิดของพวกมันนั้นชัดเจนสำหรับคนทั่วไป ปลายโค้งของคทาเฮก้าเรียกว่า Magic Rod (เฮก้าแปลว่า "เวทมนตร์") มีรูปร่างคล้ายกับข้อพับของคนเลี้ยงแกะ อะแฟลเจลลัม (หรือเนเฮห์) มีลักษณะคล้ายแส้ที่ใช้เก็บธูป มงกุฎเอเทฟเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ของดินแดนอียิปต์ โครงร่างของมันคล้ายกับรวงข้าวสาลีที่รวบอยู่ด้านบน สิ่งนี้บ่งชี้ว่าตามตำนานโอซิริสสอนให้ผู้คนปลูกฝังดินแดน ขนสองข้าง (อาจเป็นนกกระจอกเทศ) ที่ด้านข้างของผ้าโพกศีรษะบ่งบอกถึงตำแหน่งสูงสุดของพระเจ้า โอซิริสเป็นเทพผู้รวบรวมเกษตรกรรมและการเลี้ยงโค ซึ่งเป็นรากฐานของอารยธรรมอียิปต์โบราณ

เทศกาลเมมฟิส

ในเมมฟิส มีการเฉลิมฉลองวันหยุดอันเป็นเอกลักษณ์เพื่อเป็นเกียรติแก่โอซิริส: "การก่อสร้างเสา Djed" พิธีกรรมนี้เชื่อมโยงโอซิริสเข้ากับอำนาจของกษัตริย์ซึ่งเขามอบให้ด้วยพลังอันศักดิ์สิทธิ์ ในวันราชาภิเษกและวันครบรอบ ฟาโรห์เองก็ดูแลการติดตั้งเสา djed อนุสาวรีย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงและอายุยืนยาวที่โอซิริสรวบรวมไว้

วันหยุดและงานพิธีต่างๆ

วันหยุดหลักของลัทธิโอซิริสมีการเฉลิมฉลองในเดือนโคยัก (ตุลาคม - พฤศจิกายน) ระหว่างภาวะถดถอยของน้ำไนล์และจุดเริ่มต้นของการหว่าน ดินที่ปฏิสนธิด้วยตะกอนที่เข้ามาในช่วงน้ำท่วม ก็สามารถหว่านได้ในไม่ช้า สัญลักษณ์แห่งการเกิดใหม่ทางโลกซึ่งมนุษยชาติทั้งมวลใฝ่ฝันเป็นพื้นฐานของพิธีกรรมบูชาโอซิริส

การเฉลิมฉลองเริ่มต้นด้วยพิธีกรรมสาธารณะที่เกิดขึ้นนอกวัด (ปิดเฉพาะมนุษย์ปุถุชน) พระเจ้าถูกนำออกมาหาผู้คนด้วยเรือเนคเมต พร้อมด้วยรูปปั้นอูปุวต์ เทพหมาจิ้งจอกองค์นี้ “ผู้เปิดเส้นทาง” รับบทเป็นไซโคปอมป์ (ผู้นำทางดวงวิญญาณ) เขาติดตามคนตายไปที่หลุมศพและช่วยให้พวกเขาได้เกิดใหม่ ชัยชนะของ Upuaut เหนือปีศาจร้ายก็เป็นชัยชนะของ Osiris ที่ต่อสู้กับมัมมี่ตลอดขบวนแห่เทศกาล

จากนั้นก็มาถึง "ทางออกอันยิ่งใหญ่" ซึ่งเป็นการแสดงที่สมจริงและบางครั้งก็ค่อนข้างโหดร้ายที่สร้างการต่อสู้ระหว่างสหายและศัตรูของโอซิริสขึ้นมาใหม่ แน่นอนว่าเทพเจ้าได้รับชัยชนะจากการต่อสู้และกลับมาที่วิหารของเขาพร้อมกับฝูงชนที่ร่าเริง

คอลัมน์ Djed

คอลัมน์ Djed เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่พบบ่อยที่สุดของอียิปต์โบราณ เธอถูกวาดบนผนังสุสาน รูปของเธอถูกสวมรอบคอเพื่อเป็นเครื่องรางสำหรับทั้งคนเป็นและมัมมี่ โครงร่างของมันสะท้อนให้เห็นในการเขียนอักษรอียิปต์โบราณ: "คอลัมน์" ของอักษรอียิปต์โบราณหมายถึง "ความมั่นคง" และ "ความทนทาน" เครื่องรางนี้มีต้นกำเนิดที่เก่าแก่มาก นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า djed เดิมเป็นต้นไม้ บทที่ 155 ของหนังสือแห่งความตายเชื่อมโยงเขาเข้ากับกระดูกสันหลังของโอซิริสและนำไปสู่ความตาย ดังนั้นสัญลักษณ์นี้จึงมักปรากฏอยู่ในโลงศพ บางคนมองว่าเป็นเครื่องวัดระดับน้ำไนล์ซึ่งเป็นเสาหลักที่ใช้วัดระดับน้ำท่วมในแม่น้ำไนล์ การขึ้นน้ำมากเกินไปหรือน้อยเกินไปส่งผลเสียต่อพืชผล และไม้วัดช่วยให้คุณรู้ว่าต้องเตรียมอะไร

โอซิริสมีผล

พิธีกรรมอื่นๆ จะดำเนินการอย่างลับๆ ในวัด ห่างไกลจากฝูงชน ท่ามกลางนักบวชระดับสูง และบางครั้งต่อหน้าฟาโรห์เอง เป้าหมายของพวกเขาคือเพื่อให้แน่ใจว่าโอซิริสฟื้นคืนชีพอย่างลึกลับ

พิธีกรรมนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ขั้นแรกให้วาดภาพโอซิริสในโคลนที่นำมาจากแม่น้ำ ขณะที่ยังเปียกอยู่ ก็มีเมล็ดพืชหว่านไว้ และให้รดน้ำอีกเก้าวัน เมื่อหน่อปรากฏขึ้นบนพื้นผิว "โอซิริสที่มีผล" นี้ถูกย้ายไปยังเรืออย่างเคร่งขรึมพร้อมกับขบวนแห่ที่มีคบเพลิง 365 อัน

เรือแล่นผ่านผืนน้ำศักดิ์สิทธิ์ของทะเลสาบวัดไปถึงเกาะซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเนินดินที่ฝังเทพเจ้าไว้ เมื่อเธอเทียบท่า โอซิริสที่แตกหน่อก็ถูกนำออกไปจากเธอ รูปแห้งของปีที่แล้วถูกลบออก และเทพเจ้าสีเขียวก็ถูกวางไว้ที่เดิม

ดังนั้นรอบการต่ออายุประจำปีจึงถูกปิดลง พลังแห่งธรรมชาติที่ให้ชีวิตได้รับการฟื้นฟู และเริ่มวงจรใหม่ได้ รดน้ำเก้าวัน ตะกอนที่เมล็ดงอก... ความเชื่อมโยงกับการตั้งครรภ์และการกำเนิดชีวิตใหม่ชัดเจน นี่คือชีวิตของโอซิริสในอีกโลกหนึ่ง! ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ในเวลาต่อมาเทพเจ้าแห่งอียิปต์ถูกระบุด้วยเทพเจ้ากรีกโบราณ ไดโอนีซุส เทพเจ้าแห่งการผลิตไวน์ พลังการผลิตแห่งธรรมชาติ และพรีพัส เทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ ทุ่งนา และสวน

ชื่อของโอซิริส

ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าชื่อเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับความเป็นพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นฟาโรห์หรือเทพเจ้าก็ตาม ดังนั้นโอซิริสจึงได้รับตำแหน่งมากมาย

เขาเป็นผู้ปกครองของตะวันตก: ทะเลทรายเริ่มไปทางตะวันตกของแม่น้ำไนล์ซึ่งดวงอาทิตย์ตกทุกเย็น และพระอาทิตย์ตกก็เป็นภาพสัญลักษณ์แห่งความตาย ชาวอียิปต์เชื่อว่าทางทิศตะวันตกใต้ดินมียมโลก (duat) และดวงอาทิตย์ต้องข้ามมันทุกคืน โอซิริสผู้ซึ่งสามารถเกิดใหม่ได้หลังความตายถูกมองว่าเป็นผู้ปกครองโลกนี้ผู้ปกครองแห่งตะวันตกหรืออีกนัยหนึ่งคือราชาแห่งความตาย!

พระองค์คือ "เจ้าแห่งมาต" คำว่ามาต แปลว่า "ความจริงและความยุติธรรม" คุณธรรมเหล่านี้รวบรวมโดยเทพธิดามาต ผู้คนที่ดำเนินชีวิต "ตามคำกล่าวของมาต" อาจหวังว่าพวกเขาจะพ้นผิดในการพิจารณาคดีครั้งสุดท้าย การตัดสินนี้ดำเนินการโดยโอซิริสเอง และเมื่อมีการชั่งน้ำหนักหัวใจของผู้ตาย (ที่นั่งของดวงวิญญาณ) Maat ก็จะปรากฏในรูปแบบของน้ำหนักที่อีกด้านหนึ่งของตาชั่ง หากน้ำหนักของมาตมีมากกว่า แสดงว่าภาระของความผิดพลาดนั้นไม่มากจนเกินไป จากนั้นผู้ตายก็พบกับชีวิตใหม่ในอาณาจักรโอซิริส
พระองค์คือ "พระเจ้าแห่งนิรันดร์" สิ่งนี้ดูเป็นธรรมชาติ เพราะพลังของโอซิริสขยายออกไปตลอดชีวิตหลังความตาย และสัญญาชั่วนิรันดร์แก่ผู้เสียชีวิตทุกคนที่ยอมรับในนั้น ไม่ว่าบุคคลจะคู่ควรหรือไม่ - ดังที่เราได้กล่าวไปแล้วนั้นถูกกำหนดโดยศาลของโอซิริส

พระองค์ทรงเป็น “คนดี” (ไม่นับ) ชื่อนี้ทำให้เรานึกถึงการตรัสรู้ที่โอซิริสมอบให้กับคนกลุ่มแรก และพระองค์เป็นผู้ทรงไถนาครั้งแรกและสอนผู้คนทำนาและทำสวน