ชนเผ่าอินเดียนแดงที่ดุร้ายที่สุด ชนพื้นเมืองอเมริกัน

ประวัติศาสตร์ของประชากรพื้นเมืองของทั้งสองทวีปอเมริกานั้นเต็มไปด้วยความลึกลับและความลับ แต่ก็น่าเศร้ามากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอินเดียนแดงที่ดินแดนบรรพบุรุษถูกแปรรูปโดยรัฐบาลสหรัฐมาเป็นเวลานาน มีชนพื้นเมืองกี่คนในทวีปอเมริกาเหนือที่เสียชีวิตจากการถูกบังคับล่าอาณานิคมจนถึงทุกวันนี้ นักวิจัยบางคนอ้างว่าเมื่อต้นศตวรรษที่ 15 มีชาวอินเดียมากถึง 15 ล้านคนอาศัยอยู่ในดินแดนปัจจุบันของสหรัฐอเมริกาและในปี 1900 มีคนเหลืออยู่ไม่เกิน 237,000 คน

ที่น่าสังเกตเป็นพิเศษคือประวัติศาสตร์ของบรรดาผู้ที่เรารู้จักในนาม "อิโรควัวส์" ชาวอินเดียของชนเผ่านี้ตั้งแต่สมัยโบราณเป็นคนที่มีขนาดใหญ่และเข้มแข็ง แต่ตอนนี้มีเหลืออยู่ไม่มากนัก ในอีกด้านหนึ่ง ความช่วยเหลือจากดัตช์และอังกฤษในขั้นต้นทำให้พวกเขาสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของพวกเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ... แต่เมื่อความต้องการอิโรควัวส์หายไป พวกเขาก็เริ่มถูกกำจัดอย่างไร้ความปราณี

ข้อมูลพื้นฐาน

นี่คือชื่อของชาวอินเดียนแดงในอเมริกาเหนือ ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในรัฐทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา คำว่า "Iroku" ในคำศัพท์ของชนเผ่าใกล้เคียงหมายถึง "งูพิษตัวจริง" ซึ่งบ่งบอกถึงความเข้มแข็งดั้งเดิมของ Iroquois ความโน้มเอียงที่จะเล่นกลทางทหารและความรู้เชิงลึกในด้านยุทธวิธีทางทหาร ไม่น่าแปลกใจที่อิโรควัวส์มีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับเพื่อนบ้านตลอดเวลาซึ่งไม่ชอบและกลัวพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา ปัจจุบันตัวแทนของชนเผ่านี้มากถึง 120,000 คนอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

ในขั้นต้น ช่วงของชนเผ่าขยายไปถึงช่องแคบฮัดสัน ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่ได้รับความนิยม ชาวอิโรควัวส์ - ชาวอินเดียไม่เพียงแต่ชอบทำสงคราม แต่ยังทำงานหนักมาก เนื่องจากมีการผลิตพืชผลค่อนข้างสูง จึงมีจุดเริ่มต้นของการเพาะพันธุ์วัว

เป็นไปได้มากว่าชนเผ่านี้เป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่ติดต่อกับชาวยุโรปในศตวรรษที่ 16 ถึงเวลานี้ ชาวอินเดียจำนวนมากในอเมริกาเหนือได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในเปลวเพลิงของสงครามภายในที่ต่อเนื่องกัน อย่างไรก็ตาม ความทรงจำของพวกเขายังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ดังนั้น คำว่า "แคนาดา" จึงมาจากภาษาของลอเรนเชียน อิโรควัวส์

อิโรควัวส์ ไลฟ์สไตล์

การจัดระเบียบทางสังคมของชนเผ่านี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการปกครองแบบชนเผ่าดั้งเดิม แต่ในขณะเดียวกัน เผ่าก็ยังคงเป็นหัวหน้าโดยผู้ชายคนหนึ่ง ครอบครัวนี้อาศัยอยู่ในบ้านทรงยาวซึ่งใช้เป็นที่หลบภัยของคนหลายชั่วอายุคนในคราวเดียว ในบางกรณี ครอบครัวนี้ใช้บ้านเรือนดังกล่าวมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แต่เกิดขึ้นที่อิโรควัวส์อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันเป็นเวลาร้อยปีหรือมากกว่านั้น

อาชีพหลักของอิโรควัวส์คือการล่าสัตว์และตกปลา วันนี้ตัวแทนของชนเผ่ามีส่วนร่วมในการผลิตของที่ระลึกหรือได้รับการว่าจ้าง ตะกร้าแบบดั้งเดิมที่วางขายมีความสวยงามอย่างยิ่ง จึงเป็นที่นิยม (โดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยว)

เมื่อชนเผ่าอิโรควัวส์อยู่ในจุดสูงสุด สมาชิกของชนเผ่าจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านต่างๆ มากมาย ซึ่งสามารถมี "บ้านยาว" ได้ถึง 20 หลัง พวกเขาพยายามจัดวางให้กระชับ โดยเลือกแปลงที่ดินที่ไม่เหมาะแก่การทำการเกษตร แม้จะมีความเข้มแข็งและความโหดร้ายบ่อยครั้ง Iroquois มักเลือกสถานที่ที่งดงามและสวยงามสำหรับหมู่บ้านของพวกเขา

การก่อตัวของสมาพันธ์

ราวปี ค.ศ. 1570 ชนเผ่าอิโรควัวส์ก่อตัวขึ้นอย่างมั่นคงในอาณาเขตใกล้ ๆ ซึ่งต่อมากลายเป็นที่รู้จักในนามสหภาพอิโรควัวส์ อย่างไรก็ตาม ตัวแทนของชนเผ่าเองกล่าวว่าข้อกำหนดเบื้องต้นประการแรกสำหรับการเกิดขึ้นของการศึกษาประเภทนี้เกิดขึ้นเร็วเท่าศตวรรษที่ 12 ในขั้นต้น สมาพันธรัฐได้รวมชนเผ่าอิโรควัวส์ไว้ประมาณเจ็ดเผ่า ผู้นำแต่ละคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในระหว่างการประชุม แต่ "กษัตริย์" ยังคงได้รับเลือกให้เข้าร่วมสงคราม

ในช่วงเวลานี้ การตั้งถิ่นฐานทั้งหมดของอิโรควัวส์ยังคงถูกบังคับให้ต้องปกป้องตนเองจากการโจมตีของเพื่อนบ้าน ล้อมหมู่บ้านด้วยรั้วไม้หนาทึบ บ่อยครั้งสิ่งเหล่านี้เป็นกำแพงขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากท่อนซุงแหลมเป็นสองแถว ช่องว่างระหว่างที่ปกคลุมไปด้วยดิน ในรายงานของมิชชันนารีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง มีการกล่าวถึง "มหานคร" ที่แท้จริงของอิโรควัวส์จากบ้านหลังใหญ่ 50 หลัง ซึ่งแต่ละหลังเป็นป้อมปราการที่แท้จริง ผู้หญิงอิโรควัวส์เลี้ยงลูกผู้ชายล่าสัตว์และต่อสู้

ประชากรนิคม

สามารถอาศัยอยู่ในหมู่บ้านขนาดใหญ่ได้ถึงสี่พันคน เมื่อสิ้นสุดการก่อตัวของสมาพันธ์ ความต้องการการปกป้องก็หายไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากเมื่อถึงเวลานั้น อิโรควัวส์ได้ทำลายล้างเพื่อนบ้านเกือบทั้งหมด ในเวลาเดียวกัน หมู่บ้านต่างๆ ก็เริ่มตั้งอยู่อย่างหนาแน่นมากขึ้น เพื่อที่ว่าหากจำเป็น ก็สามารถรวบรวมนักรบของทั้งเผ่าได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ในศตวรรษที่ 17 อิโรควัวส์ถูกบังคับให้ต้องย้ายถิ่นฐานอยู่บ่อยครั้ง

ความจริงก็คือการจัดการดินที่ผิดพลาดทำให้เกิดการพร่องอย่างรวดเร็ว และเป็นไปไม่ได้เสมอไปที่จะหวังผลของการรณรงค์ทางทหาร

ความสัมพันธ์กับชาวดัตช์

ราวศตวรรษที่ 17 ตัวแทนของบริษัทการค้าชาวดัตช์จำนวนมากปรากฏตัวในภูมิภาคนี้ ก่อตั้งจุดซื้อขายครั้งแรก พวกเขาสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับหลายชนเผ่า แต่ชาวดัตช์สื่อสารกับอิโรควัวส์อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวอาณานิคมยุโรปส่วนใหญ่สนใจขนบีเวอร์ แต่มีปัญหาหนึ่งเกิดขึ้น: เหยื่อของบีเว่อร์กลายเป็นสัตว์กินเนื้อจนในไม่ช้าสัตว์เหล่านี้ก็หายตัวไปทั่วทั้งดินแดนที่ควบคุมโดยอิโรควัวส์

จากนั้นชาวดัตช์ใช้กลอุบายที่ค่อนข้างง่าย แต่ยังซับซ้อน: พวกเขาเริ่มส่งเสริมการขยายอิโรควัวส์ในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ในดินแดนที่ไม่ได้เป็นของพวกเขา

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1630 ถึง ค.ศ. 1700 ด้วยเหตุนี้จึงเกิดสงครามต่อเนื่องที่เรียกว่า "บีเว่อร์" สิ่งนี้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร? ทุกอย่างเรียบง่าย ผู้แทนของฮอลแลนด์ แม้จะมีข้อห้ามอย่างเป็นทางการ แต่ก็ได้จัดหาอาวุธปืน ดินปืน และตะกั่วให้แก่พันธมิตรชาวอินเดียอย่างมากมาย

การขยายตัวของเลือด

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 จำนวนชนเผ่าอิโรควัวส์มีประมาณ 25,000 คน ซึ่งน้อยกว่าจำนวนชนเผ่าที่อยู่ใกล้เคียงมาก สงครามและการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องของอาณานิคมยุโรปทำให้จำนวนลดลงเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ตัวแทนของเผ่าที่พวกเขาพิชิตได้เข้าร่วมสหพันธ์ทันที เพื่อชดเชยความสูญเสียบางส่วน มิชชันนารีจากฝรั่งเศสเขียนว่าในศตวรรษที่ 18 ในหมู่ "อิโรควัวส์" เป็นเรื่องโง่ที่พยายามสั่งสอนโดยใช้ภาษาหลักของชนเผ่า เนื่องจากมีชาวอินเดียเพียงหนึ่งในสาม (ที่ดีที่สุด) เท่านั้นที่เข้าใจเรื่องนี้ สิ่งนี้บ่งชี้ว่าในเวลาเพียงร้อยปีที่อิโรควัวส์ถูกทำลายในทางปฏิบัติ และฮอลแลนด์อย่างเป็นทางการยังคง "สะอาด" อย่างแท้จริง

เนื่องจากชาวอิโรควัวส์เป็นชาวอินเดียนแดงที่ชอบทำสงคราม พวกเขาจึงเกือบจะเป็นคนแรกที่รู้ว่าอำนาจของอาวุธปืนซ่อนอยู่ในตัวพวกเขาเอง พวกเขาชอบที่จะใช้มันในสไตล์ "กองโจร" ที่ทำงานในหน่วยเคลื่อนที่ขนาดเล็ก ศัตรูกล่าวว่ากลุ่มดังกล่าว "เดินผ่านป่าเหมือนงูหรือจิ้งจอก มองไม่เห็นและไม่ได้ยิน แทงข้างหลังอย่างเลวทราม"

ในป่า Iroquois รู้สึกดีมากและยุทธวิธีที่มีความสามารถและการใช้อาวุธปืนอันทรงพลังทำให้ความจริงที่ว่าแม้แต่กองกำลังเล็ก ๆ ของชนเผ่านี้ก็ยังประสบความสำเร็จทางทหารที่โดดเด่น

เดินป่าระยะไกล

ในไม่ช้าหัวหน้าของผู้นำอิโรควัวส์ก็กลายเป็น "ไข้บีเวอร์" และพวกเขาก็เริ่มส่งนักรบไปยังดินแดนที่ห่างไกลมากซึ่งอิโรควัวส์ไม่สามารถมีผลประโยชน์ทางร่างกายได้ แต่พวกเขาอยู่กับผู้อุปถัมภ์ชาวดัตช์ เป็นผลมาจากการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดินแดนของอิโรควัวส์ขยายไปถึงบริเวณใกล้เคียงของเกรตเลกส์ ชนเผ่าเหล่านี้มีส่วนรับผิดชอบต่อความจริงที่ว่าความขัดแย้งเริ่มปะทุขึ้นจำนวนมากในส่วนเหล่านั้นบนพื้นฐานของการมีประชากรมากเกินไป หลังเกิดขึ้นเนื่องจากความจริงที่ว่าชาวอินเดียนแดงของชนเผ่าที่ถูกทำลายโดยอิโรควัวส์หนีจากความกลัวไปยังดินแดนใด ๆ ที่เป็นอิสระจากพวกเขา

ในความเป็นจริง ในเวลานั้น หลายเผ่าถูกทำลาย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีข้อมูลใดได้รับการเก็บรักษาไว้เลย นักวิจัยชาวอินเดียหลายคนเชื่อว่ามีเพียง Hurons เท่านั้นที่รอดชีวิตในเวลานั้น ตลอดเวลานี้ ชาวดัตช์ให้อาหารอิโรควัวส์ด้วยเงิน อาวุธ และดินปืนไม่หยุด

จ่าย

ในศตวรรษที่ 17 ชาวอังกฤษเข้ามายังส่วนเหล่านี้ ขับไล่คู่แข่งในยุโรปอย่างรวดเร็ว พวกเขาเริ่มแสดง "อย่างมีไหวพริบ" อีกเล็กน้อย อังกฤษจัดที่เรียกว่า Conquered League ซึ่งรวมถึงเผ่าที่เหลือทั้งหมดที่ Iroquois ยึดครองก่อนหน้านี้ งานของลีกคือการจัดหาขนบีเวอร์อย่างต่อเนื่อง ชาวอิโรควัวส์-อินเดียนผู้ชอบสงคราม ซึ่งวัฒนธรรมได้เสื่อมโทรมลงอย่างมากในสมัยนั้น ได้กลายมาเป็นผู้ดูแลและนักสะสมเครื่องบรรณาการทั่วไปอย่างรวดเร็ว

ในศตวรรษที่ 17-18 พลังของชนเผ่าของพวกเขาอ่อนแอลงอย่างมากด้วยเหตุนี้ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงเป็นตัวแทนของกองกำลังทหารที่น่าเกรงขามทั่วทั้งภูมิภาค บริเตนใหญ่ใช้ประสบการณ์อันยาวนานในการวางอุบายเพื่อจัดการกับอิโรควัวส์และฝรั่งเศส อดีตสามารถทำงานเกือบทั้งหมดในการขับไล่คู่แข่งของ บริษัท การค้าของอังกฤษออกจากโลกใหม่

ด้วยเหตุนี้ อิโรควัวส์จึงลงนามในใบมรณะบัตรของตนเอง เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้อีกต่อไป พวกเขาถูกโยนออกจากดินแดนที่ถูกยึดครองก่อนหน้านี้โดยเหลือเพียงอาณาเขตดั้งเดิมของพวกเขาใกล้แม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์ที่จะอาศัยอยู่ นอกจากนี้ชนเผ่า Mingo ก็แยกตัวออกจากพวกเขาในศตวรรษที่ 18 ทำให้อิโรควัวส์อ่อนแอลงอีก

ตีล่าสุด

อย่างไรก็ตาม นักการทูตอังกฤษไม่ได้นั่งเฉยๆ และระหว่างทำสงครามกับสหรัฐฯ ที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ พวกเขาได้ชักชวน "พันธมิตร" อดีตของพวกเขาให้เข้าข้างอีกครั้ง นี่เป็นครั้งสุดท้าย แต่เป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของอิโรควัวส์ นายพลซัลลิแวนเดินดินด้วยไฟและดาบ เศษซากของชนเผ่าผู้ยิ่งใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยกระจัดกระจายไปทั่วเขตสงวนในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เฉพาะช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เท่านั้นที่ผู้แทนคนสุดท้ายของชนกลุ่มนี้หยุดตายจากความหิวโหยและโรคระบาดอย่างต่อเนื่อง

ทุกวันนี้ ชาวอิโรควัวส์ - ชาวอินเดียไม่ได้ชอบทำสงครามอีกต่อไป แต่ "ฉลาด" ในเรื่องกฎหมายมาก พวกเขาปกป้องผลประโยชน์ของตนในศาลทุกแห่งอย่างต่อเนื่องโดยแสวงหาการยอมรับการยึดครองของรัฐบาลกลางในที่ดินของตนอย่างผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการเรียกร้องของพวกเขายังคงเป็นข้อสงสัยอย่างมาก

ทำไมเผ่าถึงมีชื่อเสียงที่ไม่ดีเช่นนี้?

Fenimore Cooper ที่กล่าวถึงข้างต้นได้เสนอให้ชาวอิโรควัวส์อินเดียนแดงเป็นคนที่ไร้หลักการและโหดร้ายเป็นพิเศษ โดยต่อต้านพวกเขากับ "ผู้สูงศักดิ์เดลาแวร์" การประเมินดังกล่าวเป็นตัวอย่างของอคติและอธิบายได้ง่าย ความจริงก็คือว่าเดลาแวร์เข้าร่วมในสงครามกับบริเตนใหญ่ทางฝั่งสหรัฐอเมริกา และอิโรควัวส์ต่อสู้โดยฝ่ายอังกฤษ แต่ถึงกระนั้นคูเปอร์ก็พูดถูกในหลาย ๆ ด้าน

มันคืออิโรควัวส์ที่มักจะฝึกฝนการทำลายคู่ต่อสู้อย่างสมบูรณ์รวมถึงการฆ่าทารก นักรบของชนเผ่า "ถูกพาตัวไป" จากการทรมานที่รุนแรงที่สุด ซึ่งได้รับการฝึกฝนมานานก่อนการมาถึงของชาวยุโรป นอกจากนี้ชื่อเสียงที่ไม่ดีของพวกเขาสมควรได้รับอย่างมากเนื่องจาก Iroquois เพิกเฉยต่อแนวคิดเรื่องความซื่อสัตย์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคู่ต่อสู้ที่มีศักยภาพ

การทรยศเป็นวิถีชีวิต

มีหลายกรณีที่พวกเขาสรุปสนธิสัญญาสันติภาพกับชนเผ่าใกล้เคียง และตัดมันออกให้หมดภายใต้ความมืดมิด มักใช้ยาพิษสำหรับสิ่งนี้ ในความเข้าใจของชนเผ่าข้างเคียง การปฏิบัติเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดประเพณีและความไร้ระเบียบอย่างมหันต์

นักประวัติศาสตร์ ฟรานซิส พาร์คแมน ซึ่งมีทัศนคติที่ดีต่อชาวอินเดียนแดง โดยหลักการแล้ว ได้รวบรวมข้อมูลจำนวนมากที่บ่งชี้ถึงการแพร่ระบาดในวงกว้างของการกินเนื้อคนตามพิธีกรรม (ซึ่งเป็นเรื่องปกติของชนเผ่าอินเดียนเกือบทั้งหมด) แต่ยังรวมถึงกรณีของการกิน "ธรรมดา" ด้วย ของคน ไม่น่าแปลกใจเลยที่สมาพันธ์อิโรควัวส์ กล่าวอย่างสุภาพ ไม่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในหมู่เพื่อนบ้าน

อาณาเขต	เผ่า
อเมริกาเหนือ เขตกึ่งอาร์กติก	อัลกอนควิน ครี โอจิบวา ออตตาวา
ป่าตะวันออกเฉียงเหนือ	ฮูรอน, อิโรควัวส์, ไมอามี, โมฮิกัน, ชอว์นี (เทคัมเซห์)
ป่าตะวันออกเฉียงใต้	Cherokee, Choctaw, Lement, Knoopwell, Natchezie, เซมิโนล
ที่ราบใหญ่	แบล็คฟุต, ไซแอนน์, เผ่า, พอว์นี, ซู, ลาโกตา
ชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ	ชีนุก, ทลิงกิต, จิมเซียน
ทะเลทรายทางตะวันตกเฉียงใต้	อาปาเช่, นาวาโฮ, ปวยโบล, โฮปี, โมฮาวี, โชโชน
อเมริกากลาง	มายา, Toltec, Olmec, Aztec, Quiche
อเมริกาใต้	อินคา (เกชัว, ไอมารา), กวารานี, มาปูเช, ชิปิโบ, โคนิโบ

โทมาฮอว์กจากเขากวางตลอดประวัติศาสตร์ของชาวอินเดียนแดงทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญของนักรบชาย นี่คือขวานที่มีด้ามยาว การออกแบบ Tomahawk ได้รับการพัฒนา รูปแบบที่เก่าแก่ที่สุดของอาวุธระยะประชิดนี้คือกวางคาริบูเขากวางโทมาฮอว์ก จุดหินเหล็กไฟถูกแทรกเข้าไปในกระบวนการตัดสั้นของแตรดังกล่าว และต่อมาก็ใช้ใบมีดโลหะ หน่อยาวทำหน้าที่เป็นที่จับ ส่วนล่างตกแต่งด้วยหนังกลับ ต่อมาด้ามจับทำจากไม้ซึ่งตกแต่งด้วยขอบตามประเพณีและใบมีดโลหะถูกสอดเข้าไปที่ปลายด้านบน เมื่อชาวอินเดียนแดงแห่งทุ่งหญ้าแพรรีพบกับชาวยุโรป พวกเขาเริ่มนำเสนอขวานหิน รวมกับท่อสันติภาพ เพื่อเป็นของขวัญให้กับผู้นำ

ท่อสันติภาพ -วัตถุมงคลประดับด้วยขนนกอินทรีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นอยู่ที่ดี พิธีกรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่ใช้ท่อสันติภาพนั้นอุทิศให้กับลัทธิความอุดมสมบูรณ์ ชาวอินเดียรวมตัวกันและนั่งเป็นวงกลม บุคคลที่เคารพนับถือมากที่สุด - ผู้นำทางทหาร ผู้นำหรือผู้เฒ่า - จุดไปป์ศักดิ์สิทธิ์ เป่าสองสามพัฟแล้วส่งต่อให้นักรบที่นั่งอยู่ข้างๆ เขา เขาหยิบพัฟสองสามอันแล้วส่งต่อให้เพื่อนบ้าน ดังนั้นหลอดจึงเดินไปรอบ ๆ ผู้เข้าร่วมทั้งหมดในพิธีเป็นวงกลมรวมกันเป็นหนึ่ง ควันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของเมฆฝนฟ้าคะนอง ผู้เข้าร่วมในพิธีสนับสนุนให้พวกเขาเทฝน ฝน ความเจริญรุ่งเรือง และความสงบสุขเป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด ดังนั้นเมื่อชาวอินเดียนแดงเข้าสู่ข้อตกลงสันติภาพ ยุติการสู้รบ พวกเขาจึงทำพิธีกรรมคล้ายกับการทำฝน ชาวยุโรปที่ต่อสู้กับชาวอินเดียนแดงและสังเกตพิธีกรรมมากกว่าหนึ่งครั้งในระหว่างพิธีการสงบศึกเรียกว่าท่อศักดิ์สิทธิ์ - ท่อแห่งสันติภาพ

ประเภทของบ้านเรือนอินเดียนแดงมีความหลากหลาย: เพิง, สิ่งกีดขวาง, กระท่อมทรงโดม (wigwams ของนักล่าป่าแคนาดา), เต็นท์ทรงกรวย (teepee ของแพรรีอินเดียนส์) ทำจากเสาที่ปกคลุมด้วยกิ่ง, ใบไม้, เสื่อ, ผิวหนัง; กระท่อมดินหรือหินในที่ราบสูงของอเมริกาใต้ ที่อยู่อาศัยของชุมชน - บ้านไม้กระดานทางตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกาเหนือ "เรือนยาว" ที่มีเปลือกหุ้มเปลือกในภูมิภาค Great Lakes; บ้านหินหรืออะโดบี-หมู่บ้าน (ปวยโบล) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ

อรรถพัสกี้- ชื่อเรียกของชาวอินเดียนแดงในพื้นที่กว้างใหญ่นี้ ซึ่งเป็นของชนเผ่าต่างๆ: Kuchins, Tanayna Koyukons, Inaliks และอื่น ๆ อีกมากมาย นักล่าและชาวประมง บรรดาสัตว์ในภูมิภาคนี้มีความหลากหลาย: กวาง กวางคาริบู กวางเอลค์ ฯลฯ ดังนั้นการล่าสัตว์จึงมีชัยเหนือการตกปลา ตามกฎแล้วทางเข้าบ้านหันหน้าไปทางแม่น้ำและการตั้งถิ่นฐานทอดยาวไปตามชายฝั่ง บ้านถูกตัดจากท่อนซุง บ้านพักในฤดูหนาวมีหลังคาโดมฝังลึกลงไปในพื้นดิน และถูกปกคลุมด้วยหนังสัตว์ ตรงกลางมีเตาไฟตามขอบเตียง พื้นปูด้วยกิ่งไม้ และทางเข้าลอดอุโมงค์สั้นๆ จานนี้ทำจากไม้ เขา หญ้า และเปลือกต้นเบิร์ช ชาว Athabaskan สวมชุดหนังกลับอย่างดี ทำจากหนังกวางไม่มีขน เสื้อหนังกลับตกแต่งด้วยหนังกลับและงานปักผมกวางเรนเดียร์ การตัดเสื้อเชิ้ตชายและหญิงเหมือนกัน ชายเสื้อมักมีโครงร่างแหลม ขอบของมันถูกตกแต่งด้วยขอบ ขอบของเสื้อผ้าถูกประดับประดา ขนสัตว์หรือขอบทิ้งไว้ที่นั่น: สิ่งเหล่านี้คือพระเครื่อง เครื่องแต่งกายเสริมด้วยกางเกงหนังกลับและรองเท้าพิเศษ - รองเท้าหนังนิ่ม

ทลิงกิต- ผู้อยู่อาศัยในชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือจาก Yakutat ทางตอนเหนือถึงแม่น้ำโคลัมเบียทางตอนใต้นำวิถีชีวิตของนักล่าและชาวประมง นอกจากชาวทลิงกิตแล้ว ชาว Chugach, Kwakiutl, Tsishman และชนเผ่าอินเดียอื่น ๆ ยังอาศัยอยู่บนชายฝั่งอีกด้วย หมู่บ้านของพวกเขาตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบ ทะเลสาบหรือแม่น้ำ บ้านต่าง ๆ เหมือนกับบ้านของ Algonquins หันหน้าเข้าหาทางน้ำและตั้งเรียงราย ชาวทลิงกิตเป็นนักรบที่มีฝีมือและมีเกราะไม้ด้วย เครื่องมือและอาวุธล่าสัตว์ทำด้วยหิน กระดูก เปลือกหอย ทลิงกิตเป็นที่รู้จักจากการหลอมเย็นของทองแดงพื้นเมือง จากทองแดงพวกเขาทำเครื่องประดับและกริชเป็นหลัก พวกเขาล่าสัตว์ด้วยฉมวก ลูกศร หอก เชี่ยวชาญเทคนิคงานไม้อย่างเชี่ยวชาญ พวกเขามีสว่าน ขวาน ขวานที่ทำด้วยหิน งานไม้ และเครื่องมืออื่นๆ

พวกเขารู้วิธีเลื่อยไม้กระดาน ตัดรูปแกะสลักเป็นลอน พวกเขาสร้างบ้านเรือน เรือแคนู เครื่องมือทำงาน และเสาโทเท็มจากไม้ ศิลปะของ Tlingit นั้นโดดเด่นด้วยคุณสมบัติอีกสองประการ: หลายร่าง - การเชื่อมต่อทางกลของภาพที่แตกต่างกันในวัตถุหนึ่งและ poly-eiconic - การไหลที่บางครั้งเข้ารหัสซ่อนโดยอาจารย์ การเปลี่ยนจากภาพหนึ่งไปอีกภาพหนึ่งอย่างราบรื่น . ที่อาศัยอยู่ในสภาพอากาศที่ฝนตกและมีหมอกของชายฝั่งทะเล Tlingit ได้สร้างเสื้อคลุมพิเศษจากเส้นใยหญ้าและไม้สนซีดาร์ซึ่งคล้ายกับเสื้อปอนโช พวกเขาทำหน้าที่เป็นที่พักพิงที่เชื่อถือได้จากสายฝน แนวคิดทางศาสนามีพื้นฐานมาจากแนวคิดเกี่ยวกับวิญญาณผู้ช่วย พวกเขาเชื่อในการดำรงอยู่ของวิญญาณผู้อุปถัมภ์ของงานฝีมือ นักล่า และผู้ช่วยวิญญาณส่วนตัวของหมอผี ชาวอินเดียเชื่อว่าหลังจากความตายวิญญาณของผู้ตายจะเคลื่อนเข้าสู่ร่างของสัตว์ซึ่งได้รับการเคารพเป็นโทเท็ม Totem เป็นแนวคิดของชาวอินเดียที่มาจากคำว่า Ojibwe Indian "oto-te-man" ซึ่งบันทึกโดยมิชชันนารีชาวยุโรป

แพรี่อินเดียนส์(จากจังหวัดอัลเบอร์ตาและซัสแคตเชวันของแคนาดาถึงเท็กซัส) Teton-Dakota, Sioux, Comanche, Kiowa, Mandan - พ่อค้าและนักล่าชาวอเมริกันใน Great Plains เป็นคนแรกที่ได้พบกับตัวแทนของชนเผ่าอินเดียเหล่านี้ ทุกเผ่าพูดภาษาต่างกันและไม่เข้าใจกัน ในการสื่อสาร พวกเขาคิดค้นภาษามือและการเขียนภาพ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชาวแพรรี่อินเดียทุกคนเข้าใจ การล่าสัตว์ส่วนใหญ่เป็นอาชีพของผู้ชาย พวกผู้ชายล่ากวางและกวางเอลค์ ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้หรือในพง ส่วนใหญ่มักจะเป็นการล่าแบบรายบุคคล รวมกลุ่มล่าควายในฤดูร้อน ค่ายนักล่าประกอบด้วยหลายกลุ่มซึ่งสมาชิกมีความเกี่ยวข้องกัน การแต่งงานเกิดขึ้นระหว่างสมาชิกของกลุ่มที่อยู่ห่างไกล เผ่ารวมหลายค่าย

ที่อยู่อาศัยแบบพกพาของพวกเขา - เคล็ดลับ - ชาวค่ายดังกล่าวติดตั้งเป็นวงกลม แต่ละครอบครัววาง tipi ไว้ในที่แห่งหนึ่งในวงแหวนนี้ซึ่งกำหนดโดยระดับการมีส่วนร่วมในชีวิตสาธารณะ Tipi - โครงสร้างรูปกรวยที่ทำจากเสาหุ้มด้วยหนังกระทิง 8-12 ตัว หนังถูกแต่งตัวและเย็บอย่างชำนาญ ด้านนอกของฝาทิปปี้มักจะตกแต่งด้วยภาพวาด นี่เป็นรูปแบบพิเศษของการเขียนช่วยจำ ภาพวาดที่ปิดขอบด้านล่างของหัวทิปปี้เป็นภาพวาดโดยผู้หญิง รูปแบบศิลปะนี้สืบทอดมาจากแม่สู่ลูกและมีความเก่าแก่มาก ภาพวาดนั้นเก่าแก่ระนาบไม่มีมุมมองในการจัดองค์ประกอบภาพที่สำคัญที่สุดนั้นโดดเด่นด้วยขนาดใหญ่

ร่างของพลม้าที่มีหอก สวมผ้าโพกศีรษะขนนกอันงดงาม รูปทหารราบ สุนัข สัตว์ต่างๆ มีลักษณะทั่วไปจนดูเหมือนสัญลักษณ์-สัญลักษณ์ ในใจกลางของทิปีมีเตาไฟ ควันที่ออกมาจากรูควัน รูสามารถปิดด้วยผิวหนังได้ในกรณีที่สภาพอากาศเลวร้าย ขอบยางด้านล่างปูด้วยหินหรือตรึงกับพื้นด้วยกระดูกหรือหมุดไม้ ในฤดูร้อนก็ยกมาตรวจห้อง Tipi นั้นอบอุ่นและอบอุ่นในฤดูหนาว บางครั้งอาจมีกลิ่นอับจากควันเล็กน้อย ระหว่างการย้ายถิ่นฐานของทิปเปียจะพับเป็นรูปตัววีซึ่งถูกลากโดยสุนัขหรือม้า

อำนาจถูกใช้โดยผู้นำระดับล่างและระดับสูง การตัดสินใจถูกกำหนดโดยข้อตกลงระหว่างผู้นำระดับสูง ผู้นำและนักรบผู้มีเกียรติได้ก่อตั้งชุมชนซึ่งเรียกว่าสหภาพชายซึ่งพวกเขายอมรับโดยคำนึงถึงข้อดีทางทหารของผู้สมัคร ความกล้าหาญและความเอื้ออาทรทางทหารมีมูลค่าสูง ชาวอินเดียนแดงในทุ่งหญ้าเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยม หลังจากการมาถึงของชาวยุโรป ชาวแพรรี่อินเดียนแดงเชี่ยวชาญการขี่ม้าอย่างรวดเร็ว ม้าได้กลายเป็นส่วนสำคัญของยุทโธปกรณ์ทางทหาร

นิสัยชอบสงครามและความชำนาญของม้าทำให้ชนเผ่าดาโกต้ากลายเป็นคนก้าวร้าว นักรบมีอาวุธธนูและลูกธนู ความคล่องตัวและความเร็วของการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับมันคือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดในวัฒนธรรมของพวกเขา เนื่องจากความคล่องตัวที่กำหนดโอกาสของพวกเขาในพื้นที่กว้างใหญ่ของ Great Plains การหาประโยชน์จากผู้ชายถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ชาวอินเดียสามารถสะสม "โบนัส" ทางทหารได้ ถือว่ามีเกียรติที่จะมองเข้าไปในดวงตาของศัตรูอย่างกล้าหาญเพื่อหยิบปืนไรเฟิลจากศัตรูที่ตกจากอาน ขโมยม้าของศัตรู ย่องเข้าไปในหมู่บ้านของเขาอย่างเงียบ ๆ เพื่อหนังศีรษะของศัตรูที่พ่ายแพ้

เครื่องปั้นดินเผาหนักเกินไปสำหรับชีวิตเร่ร่อน ดังนั้นหนังสัตว์จึงถูกนำมาใช้ในการปรุงอาหาร ผิวหนังถูกเหยียดบนกิ่งไม้ เทน้ำ และหินร้อนแดงถูกโยนเข้าไปข้างใน ชิ้นเนื้อสดวางในน้ำเดือดซึ่งไม่ต้องต้มนาน

ศิลปะในการแต่งผิวของเสื้อผ้านั้นสืบทอดมาจากแนวของผู้หญิง ผิวหนังของวัวกระทิงสดถูกเหยียดอยู่บนพื้นโดยมีขนลง ด้วยความช่วยเหลือของเครื่องขูดที่ทำจากเขากวางเอลค์ด้วยใบมีดที่ทำจากเหล็กหรือหินผู้หญิงทำความสะอาดพื้นผิวของเมซรา หากผิวหนังมีไว้สำหรับทำเสื้อผ้า ขนจะถูกลบออก ผิวหนังถูกแช่หรือฝังอยู่ในดินชื้น หลังจากนั้นก็ทำให้นิ่มด้วยน้ำมันหรือทาพื้นผิวที่เคลือบด้วยสมองของวัวกระทิง จากนั้นพวกเขาก็ทำความสะอาดซากของเมซดราและรมควันเหนือควัน สกินรมควันมีสีน้ำตาล ชาวอินเดียรู้วิธีการทำและผิวขาวอย่างน่ายินดี ใช้หนังกวางเนื้อนุ่มสำหรับเย็บเสื้อผ้า

เครื่องแต่งกายชายของชาวอินเดียนแดงประกอบด้วยผ้าโพกศีรษะหนัง แจ็กเก็ตแขนกุด กางเกงเลกกิ้งหนังกลับ รองเท้าหนังนิ่ม และเสื้อหนังกระทิง เสริมด้วยทับทรวงที่ทำจากกระดูกปีกนกเหยี่ยว ติดหนังกระทิงชิ้น - การตกแต่งตามพิธี ผู้หญิงสวมเสื้อเชิ้ตทรงตรงถึงเข่า เลกกิ้ง รองเท้าหนังนิ่ม เสื้อถูกเย็บโดยพับหนังกระทิงสองอันโดยเอาหางลง ดังนั้นเสื้อคลุมที่มีลักษณะเฉพาะจึงเกิดขึ้นที่ส่วนล่างของเสื้อเชิ้ตสตรี ส่วนล่างของเสื้อเชิ้ตและตะเข็บดังกล่าวตกแต่งด้วยขอบหนังกลับซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของขนวัวกระทิง

หนังควายที่พาดพาดบ่าของเขานั้นสามารถจดจำได้ง่ายว่าเป็นผู้นำด้วยขนแกะฤดูหนาวอันงดงาม ประดับด้วยขนนกฮูกและจี้ที่มีเสียงดัง ที่คอเป็นเครื่องประดับที่ทำจากกรงเล็บของหมีกริซลี่ ผมของผู้นำเรียบและปกคลุมด้วยสีเหลืองสด (เช่นใบหน้าของเขา) และกล่องคาร์ทริดจ์จากคาร์ทริดจ์ปืนไรเฟิลก็ถูกทอเข้าไป นักรบและผู้นำที่โดดเด่นสวมผ้าโพกศีรษะขนนกสูงซึ่งมักตกแต่งด้วยเขากระทิงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลัง ขนนกอินทรีได้รับการพิจารณาว่ามีพลังวิเศษและถูกมองว่าเป็นเครื่องราง ในผ้าโพกศีรษะของผู้นำซึ่งมีขนยาวถึง 68 ซม. มีขนดังกล่าวหลายสิบชิ้น

Alekseev V.P. การก่อตัวของมนุษย์ ม., 1984.

Alekseev V.P. ชาติพันธุ์วิทยา ม., 1986.

Belik A.A. , Reznik Yu.M. มานุษยวิทยาทางสังคมวัฒนธรรม (บทนำทางประวัติศาสตร์และทฤษฎี). - ม.: "Nauka", 1998.

บองการ์ด-เลวิน G.M. , Gratovsky E.A. จากไซเธียสู่อินเดีย อาเรียสโบราณ: ตำนานและประวัติศาสตร์ - ม.: "ความคิด", 2526.

Bromley Yu., Podolny R. มนุษยชาติคือประชาชาติ - ม.: "ความคิด", 1990.

Vavilov N.I. ห้าทวีป - ม.: "ความคิด", 2530.

ผ่านสายตาของนักชาติพันธุ์วิทยา - ม.: "เนาคา", 2525.

Gumilyov L.N. ชาติพันธุ์วิทยาและชีวมณฑลของโลก ม., 1997.

Gumilyov L.N. จบและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ม., 2002.

ดาร์วิน Ch. กำเนิดของมนุษย์และการเลือกทางเพศ. การแสดงอารมณ์ในคนและสัตว์ ซ., V.5. ม., 2496.

R.F. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับชาติพันธุ์วิทยา ล. 1991

Levi-Strauss K. มานุษยวิทยาโครงสร้าง. ม., 1985.

มินยูเชฟ เอฟ.ไอ. มานุษยวิทยาสังคม (หลักสูตรการบรรยาย). ม., 1997.

Mowat F. ผู้คนในภูมิภาคกวาง. คนสิ้นหวัง. อีร์คุตสค์, 1988.

Sadokhin A.P. , Grushevitskaya T.G. ชาติพันธุ์วิทยา. - ม.: "โรงเรียนมัธยม", 2000.

เซเกดา เอส.พี. พื้นฐานของมานุษยวิทยา. เคียฟ, 1995.

Stingl M. Indians ไม่มี Tomahawks - M.: Progress, 1984

ประเทศและประชาชน (ใน 20 เล่ม) ม.: "ความคิด", 1078-1985.

ไทเลอร์ อี.บี. วัฒนธรรมดั้งเดิม - ม., 1989.

Tokarev S.A. ศาสนาในประวัติศาสตร์ของชาวโลก - ม.: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแห่งรัฐมอสโก 2507

Tokarev S.A. รูปแบบของศาสนาในยุคแรกๆ - ม., 1990.

Falk-Renne A. การเดินทางสู่ยุคหิน - ม.: "เนาคา", 2529.

เฟรเซอร์ ดีดี สาขาทอง. - ม., 1988.

Cheboksarov N.N. , Cheboksarova I.A. ประชาชน. การแข่งขัน วัฒนธรรม. - ม.: "เนาคา", 2528.

ชาติพันธุ์วิทยา เอ็ด. ยู.วี. บรอมลีย์, จี.อี. มาร์คอฟ - ม.: "โรงเรียนมัธยม", 2525

Yankovsky N.K. , Borinskaya S.A. ประวัติของเราบันทึกไว้ใน DNA // Priroda, 2001 - No. 6

นานก่อนที่ชนพื้นเมืองของยุโรปจะเหยียบย่ำทวีปอเมริกา ผู้คนก็อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ ชนเผ่าป่าชาวอินเดียครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่และป่าไม้อันกว้างใหญ่ มีค่อนข้างน้อย - บางคนยังคงอยู่ในพงศาวดารลูกหลานของคนอื่นยังคงอาศัยอยู่ในดินแดนของบรรพบุรุษของพวกเขา ใครอาศัยอยู่ในทวีปใหญ่ก่อนที่จะถูกค้นพบ?

รูปถ่าย: Tribalpictures.org

หนึ่งในชนเผ่าที่ใหญ่ที่สุดที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ มีตำนานเล่าขานในหมู่ชาวเชอโรกีว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยอาศัยอยู่ในสถานที่ที่สวยงามในหุบเขาแห่งทะเลสาบ แต่ถูกขับไล่ออกจากที่นั่นโดยเพื่อนบ้านที่ดุร้าย - อิโรควัวส์ ฝ่ายหลังปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ - ไม่มีตำนานดังกล่าวในประวัติศาสตร์ของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวยุโรปเข้าสู่ทวีป เชอโรกีก็อาศัยอยู่ในภูเขา ในตอนแรก ชนชาติทั้งสองได้ต่อสู้กันเอง แต่ภายหลังอินเดียนได้สงบศึกกับพวกล่าอาณานิคม กระทั่งรับเอาความเชื่อและประเพณีบางอย่างของพวกเขา

รูปภาพ: Community.adlandpro.com

ตัวแทนที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Cherokee คือหัวหน้า Sequoyah ผู้พัฒนางานเขียนของเขาเองซึ่งทำหน้าที่เป็นแรงผลักดันในการพัฒนาอย่างรวดเร็วของชนเผ่า พืชชนิดหนึ่งซึ่งมีลักษณะภายนอกคล้ายกับต้นไซเปรสได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา

ปัจจุบันจำนวนลูกหลานของชาวอินเดียนแดงเชอโรคีซึ่งเคยอาศัยอยู่บนเนินเขาของแอปพาเลเชียนถึง 310,000 คน หนังอินเดียนแดงสมัยใหม่เป็นนักธุรกิจที่ค่อนข้างใหญ่ พวกเขามีบ้านเล่นการพนันขนาดใหญ่หกหลัง และทุกๆ ปีพวกเขาจะเพิ่มโชคลาภ

ตัวแทนของสัญชาตินี้มักจะมีเส้นเลือดของผู้ประกอบการ ในศตวรรษที่ 19 ตัวแทนบางคนของชนเผ่าเป็นเจ้าของสวนของตัวเองและแม้กระทั่งเจ้าของทาสที่ใหญ่ที่สุด พวกเขาได้รับความมั่งคั่งในทางที่ค่อนข้างน่าสนใจ - เชอโรกีขายที่ดินที่ชนเผ่าเป็นเจ้าของให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ

รูปถ่าย: Invasionealiena.com

จนถึงกลางศตวรรษที่ 19 ความสัมพันธ์ระหว่างประชากรพื้นเมืองและผู้อพยพจากโลกเก่ามีความเท่าเทียมกัน แต่ดินแดนที่มั่งคั่งที่ชาวอินเดียนแดงเป็นเจ้าของนั้นน่าดึงดูดใจมากขึ้นสำหรับหน่วยงานใหม่ ในท้ายที่สุด รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจนำรถเชอโรกีออกจากดินแดนของตน และส่งพวกเขาไปอาศัยอยู่ที่ Great Plains

การไต่เขาไปยังจุดหมายปลายทางนั้นยาวนานและยากลำบาก ตามตัวเลขอย่างเป็นทางการ ตัวแทนของชนเผ่าประมาณ 6-15,000 คนเสียชีวิตระหว่างการเปลี่ยนแปลง เส้นทางที่ Cherokee ผ่านไปได้รับชื่อ "Road of Tears"

รูปถ่าย: Awesome-b4.space

ชนเผ่าเร่ร่อนที่ทำสงครามกับเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง - นี่คือลักษณะที่ชาวอาปาเช่อินเดียนแดงสามารถกำหนดได้ นักรบที่เก่งกาจและกล้าหาญซึ่งส่วนใหญ่มักใช้กระดูกหรืออาวุธไม้ธรรมดา (พวกเขาเริ่มใช้โลหะเพื่อการผลิตหลังจากการปรากฏตัวของชาวยุโรปเท่านั้น) ทำให้เกิดความกลัวในชนเผ่าที่อยู่ใกล้เคียง

พวกอาปาเช่โหดร้ายกับเชลยเป็นพิเศษ - สมาชิกทุกคนในเผ่า ตั้งแต่เด็กจนถึงสูงอายุ รวมทั้งผู้หญิง มีส่วนร่วมในการทรมาน ตายในสนามรบยังดีกว่าถูกจับ - ฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดคิดอย่างนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะวิ่งหนีหรือซ่อนตัวจากนักรบของเผ่านี้ หากคุณไม่เห็นพวกเขา ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่เห็นคุณเลย

รูปถ่าย: Resimarama.net

ผู้นำที่มีชื่อเสียงที่สุดของชนเผ่าคือ Geronimo ซึ่งทำให้พวกอาณานิคมยุโรปหวาดกลัว เมื่อเขาเข้าใกล้ ผู้คนต่างตะโกนเรียกชื่อเขาและพยายามวิ่งหนีให้ไกลที่สุด บางครั้งถึงกับกระโดดออกจากหน้าต่างบ้าน กองทหารอากาศสหรัฐยังคงมีประเพณีการตะโกนว่า "เจอโรนิโม!" ก่อนกระโดดร่ม

ในสงครามกับผู้พิชิตชาวสเปน อาปาเช่เกือบทั้งหมดถูกทำลายล้าง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเอาชีวิตรอด - ลูกหลานไม่กี่คนของพวกเขาอาศัยอยู่ในนิวยอร์ก

รูปถ่าย: magesquotes-consciousness.rhcloud.com

"ผู้ที่พร้อมจะสู้กับฉันเสมอ" - นี่คือคำแปลโดยประมาณของชื่อชนเผ่าอินเดียนแดงนี้ และไม่น่าแปลกใจเลยที่เผ่า Comanches ได้รับการพิจารณาว่าเป็นคนที่ชอบทำสงครามจริง ๆ และพวกเขาต่อสู้กับทั้งชาวยุโรปที่มาถึงทวีปและกับตัวแทนของสัญชาติเพื่อนบ้าน

เผ่าเพื่อนบ้านเรียกพวกมันว่า "งู" เนื่องจากชื่อแปลก ๆ ดังกล่าวปรากฏขึ้น จึงไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อย่างไรก็ตาม มีหลายตำนาน คนที่มีชื่อเสียงที่สุดกล่าวว่าในระหว่างการอพยพเส้นทางของชาวอินเดียนแดงที่เป็นของชนเผ่านี้ถูกบล็อกโดยภูเขาและแทนที่จะเอาชนะสิ่งกีดขวางอย่างกล้าหาญสงครามก็หันหลังกลับอย่างขี้ขลาด ซึ่งพวกเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหัวหน้าของพวกเขาซึ่งสังเกตเห็นว่าพวกเขาดูเหมือน "งูคลานไปมา"

ภาพถ่าย: “wlp.ninja .”

แต่ความขี้ขลาดนั้นไม่ค่อยปรากฏโดยพวกเผ่าโคมานเชส ในทางตรงกันข้าม ในการต่อสู้ นักรบเหล่านั้นไม่มีใครเทียบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขาเรียนรู้ที่จะขี่ เผ่า Comanches เป็นหายนะที่แท้จริงสำหรับประเทศเพื่อนบ้าน และชาวยุโรปกลัวที่จะเข้าใกล้ดินแดนของตน ชาวอินเดียรับเฉพาะผู้หญิงและเด็กเป็นเชลย และหากหลังมีขนาดเล็กมาก พวกเขาสามารถเป็นที่ยอมรับในเผ่าและได้รับการเลี้ยงดูตามประเพณี

เผ่าเผ่ายังโหดร้ายต่อเพื่อนร่วมเผ่าที่ละเมิดกฎหมายของเผ่า ผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานกบฏถูกฆ่าตายในที่เกิดเหตุ ในบางกรณีที่เธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ถูกตัดจมูก

ภาพถ่าย: “Stoplusjednicka.cz .”

ชนเผ่าอิโรควัวส์ไม่ใช่ชนเผ่าใดเผ่าหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นพันธมิตรของหลาย ๆ คน ซึ่งได้รับการขนานนามว่า "ลีกห้าชาติ" อาชีพหลักคือสงคราม - ด้วยค่าใช้จ่ายของถ้วยรางวัลที่ร่ำรวยชาวอินเดียนแดงเลี้ยงดูครอบครัวของพวกเขา อาชีพอื่นของพวกเขา การค้าขายขนบีเวอร์ ก็นำมาซึ่งผลกำไรมากมายเช่นกัน

ภายในแต่ละเผ่าที่รวมอยู่ในสหภาพ หลายกลุ่มมีความโดดเด่น เป็นที่น่าสังเกตว่าพวกเขามักจะนำโดยผู้หญิง ผู้ชายเป็นนักรบและที่ปรึกษา แต่เป็นเพศที่ยุติธรรมที่ได้รับการโหวตชี้ขาด
รูปถ่าย: whatculture.com

ตัวแทนของผู้ที่ตั้งชื่อให้กับทรงผมที่มีชื่อเสียงนั้นไม่ค่อยได้ใช้วิธีจัดแต่งทรงผมแบบนี้ ยิ่งกว่านั้นชาวอินเดียเกือบทั้งหมดโกนศีรษะโดยเหลือเพียงเส้นใยเล็ก ๆ ไว้บนศีรษะ - "หนังศีรษะ" ซึ่งบอกศัตรูว่านักรบไม่กลัวพวกเขาเลยแม้แต่น้อยและทำให้พวกเขาได้เปรียบในการต่อสู้ หากคุณจับเชือกได้ คุณก็จะเอาชนะนักรบอิโรควัวส์ได้ แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดในแวบแรก

เพื่อป้องกันตนเองจากความโชคร้ายต่าง ๆ - โดยหลักจากโรคภัยไข้เจ็บชาวอินเดียสวมหน้ากากพิเศษซึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่นที่สุดคือจมูกที่ติดยาเสพติด ใครจะรู้ - บางทีอุปกรณ์ดังกล่าวอาจป้องกันการแพร่กระจายของการติดเชื้อได้จริงๆ อย่างน้อยจำนวนชาวอินเดียนแดงก็ไม่ได้ลดลงเนื่องจากการแพร่ระบาด - สงครามที่อิโรควัวส์ทำอย่างต่อเนื่องจะต้องถูกตำหนิในเรื่องนี้

รูปถ่าย: meetup.com

ศัตรูที่สาบานที่สุดของอิโรควัวส์คือ Hurons ซึ่งเป็นชนเผ่าอินเดียนซึ่งมีจำนวนถึง 40,000 คนในยุครุ่งเรือง ส่วนใหญ่เสียชีวิตระหว่างสงครามนองเลือด แต่อีกหลายพันคนยังคงสามารถเอาชีวิตรอดได้ แม้ว่าภาษาฮูรอนจะสูญหายไปตลอดกาลและปัจจุบันถือว่าตายไปแล้ว

พิธีครอบครองสถานที่พิเศษในชีวิตของชาวอินเดียนแดง นอกจากการบูชาสัตว์และองค์ประกอบแล้ว Hurons ยังแสดงความเคารพอย่างสูงต่อวิญญาณของบรรพบุรุษของพวกเขา พวกเขายังทำพิธีกรรมต่างๆ: การทรมานผู้ถูกจองจำถือเป็นพิธีกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด พิธีดังกล่าวจบลงด้วยการกระทำที่ไม่เป็นส่วนตัวที่สุด เนื่องจากพวกฮูรอนเป็นมนุษย์กินคน เชลยที่เหนื่อยล้าจึงถูกฆ่าและกิน

รูปถ่าย: Lacasamorett.com

ชนเผ่าที่หายตัวไปตลอดกาลจากพื้นโลกและลูกหลานที่หายไปในหมู่ชาวอินเดียนแดงอื่น ๆ เป็นชะตากรรมที่น่าเศร้าสำหรับประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น ดินแดนของชนเผ่านี้สูญหายไปในศตวรรษที่ 18 นี่คือจุดเริ่มต้นของจุดจบ ชาว Mohican ค่อยๆ หายไปท่ามกลางชาวอินเดียอื่นๆ ความสำเร็จด้านภาษาและวัฒนธรรมของพวกเขาถูกลืมไปตลอดกาล

มีบทบาทสำคัญในการหายตัวไปอย่างผิดปกติโดยการปรับตัวอย่างรวดเร็วของชาว Mohican ให้เข้ากับสภาพความเป็นอยู่ใหม่ ชนเผ่าที่สงบสุขซึ่งยอมรับศรัทธาของผู้ล่าอาณานิคมและขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของพวกเขาได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของโลกใหม่อย่างรวดเร็วและในที่สุดก็สูญเสียเอกลักษณ์ของตนไป ปัจจุบันไม่มีทายาทสายตรงของชาวโมฮิกัน มีเพียง 150 คนที่อาศัยอยู่ในคอนเนตทิคัตเท่านั้นที่สามารถนำมาประกอบกับพวกเขาได้

รูปถ่าย: Artchive.com

ชาวแอซเท็กไม่ใช่ชนเผ่า นี่คืออาณาจักรทั้งหมดที่ทิ้งไว้เบื้องหลังมรดกทางสถาปัตยกรรมอันยาวนานและตำนานที่มีโครงสร้างดี บนเว็บไซต์ของเมืองหลักของ Aztecs, Tenochtitlan เป็นเมืองหลวงของประเทศที่พัฒนาแล้วมากที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาใต้ - เม็กซิโก

รูปถ่าย: Ruri-subs.info

ชาวอินเดียทิ้งความลึกลับไว้มากมาย ในหมู่พวกเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ:

• Sun Stone เป็นหินเสาหินแปลกตาที่ดูเหมือนปฏิทิน เขาแสดงความคิดทั้งหมดของชาวแอซเท็กเกี่ยวกับระเบียบโลก อดีตและอนาคตของมนุษยชาติ นักวิจัยบางคนแนะนำว่าหินก้อนนี้ยังใช้ในการเสียสละ
• ปิรามิดแห่ง Teotihuacan ในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบในอาณาเขตของซีกโลกตะวันตก วัตถุลึกลับถูกสร้างขึ้น - ปิรามิดหิน พวกเขามุ่งเน้นไปที่ด้านใดด้านหนึ่งของโลกและตำแหน่งของพวกมันก็คัดลอกโครงสร้างของระบบสุริยะอย่างสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ระยะห่างระหว่างวัตถุจะเหมือนกับระหว่างดาวเคราะห์ เว้นเสียแต่ว่าจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วน 100 ล้านเท่า
• เครื่องมือออบซิเดียน ชาวแอซเท็กแทบไม่ได้ใช้โลหะ - มันถูกแทนที่ด้วยออบซิเดียน อาวุธทำมาจากวัสดุนี้ เช่นเดียวกับเครื่องมือผ่าตัดที่มีความแม่นยำสูงซึ่งทำให้สามารถดำเนินการที่ซับซ้อนได้ คุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของออบซิเดียนทำให้ไม่ต้องกลัวการติดเชื้อ - เป็นยาฆ่าเชื้อตามธรรมชาติ อีกคำถามหนึ่งคือวิธีที่ชาวอินเดียสร้างเครื่องมือ - ตอนนี้เครื่องมือดังกล่าวสามารถตัดเฉือนได้โดยใช้ใบมีดเพชรเท่านั้น

แม้จะมีความลึกลับทั้งหมด แต่ชาวแอซเท็กได้ทิ้งมรดกของสิ่งหนึ่งที่คนสมัยใหม่เข้าใจและเป็นที่รัก - ช็อคโกแลต

ภาพถ่าย: Photographyblogger.net

ขุมทรัพย์ในตำนานของชาวอินคาได้ผลักดันให้นักล่าสมบัติผู้สิ้นหวังค้นหามานานหลายศตวรรษ แต่ไม่เพียงแต่ชนเผ่านี้มีชื่อเสียงในด้านทองคำเท่านั้น ความสำเร็จทางวัฒนธรรมของพวกเขาสมควรได้รับความสนใจมากขึ้น

สิ่งแรกที่ดินแดนที่ชาวอินคาอาศัยอยู่มีชื่อเสียงคือถนนที่สวยงาม ชาวอินเดียนแดงไม่เพียงแต่สร้างทางหลวงที่กว้างและมีคุณภาพดีเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังสร้างสะพานแขวนที่แข็งแรงจนสามารถต้านทานผู้ขี่ที่สวมชุดเกราะหนักได้ และไม่น่าแปลกใจเลย - อาณาจักรอินคาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภูเขาซึ่งมีแม่น้ำไหลเชี่ยวไหลผ่าน ซึ่งในช่วงน้ำท่วมสามารถทำลายโครงสร้างที่เปราะบางได้ง่าย เพื่อไม่ให้งานก่อสร้างอีกจำเป็นต้องสร้างมานานหลายศตวรรษ

รูปถ่าย: Hanshendriksen.net

ชาวอินคาเป็นหนึ่งในชนเผ่าอินเดียนไม่กี่เผ่าที่มีภาษาเขียนเป็นของตัวเองและเขียนประวัติศาสตร์ของผู้คน น่าเสียดายที่มันไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ - ชาวสเปนเผาผืนผ้าใบยึดเมือง Inca ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม

ชาวอินเดียได้ทิ้งความลับไว้มากมาย เมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดคือเมือง Machu Picchu ที่สวยงามตระการตา ซึ่งดูเหมือนว่าชาวบ้านจะหายตัวไปอย่างง่ายดาย

รูปถ่าย: Turkcealtyazi.org

อารยธรรมที่ได้รับการพัฒนาอย่างสูง ซึ่งทำให้เกิดการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ในด้านดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการแพทย์มานานก่อนที่ชาวยุโรปจะสร้างเมืองใหญ่แห่งแรกขึ้น ปิรามิดและวัดอันสง่างาม หนึ่งในปฏิทินที่แม่นยำที่สุด ระบบการนับที่ไม่เหมือนใคร นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสำเร็จของอาณาจักรมายา

แต่ในช่วงเวลาที่ดี ชาวบ้านออกจากเมืองและไป ... ที่ไหน? ไม่ทราบ แต่เมื่อชาวยุโรปไปถึงถิ่นที่อยู่ของชนเผ่ามายา ชนเผ่าสองสามเผ่าก็ปรากฏต่อสายตาของพวกเขา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่สามารถสร้างโครงสร้างที่สง่างามทั้งหมดที่พบในป่าได้

รูปถ่าย: stockfresh.com

มีหลายฉบับที่อธิบายถึงการหายตัวไปของอารยธรรมที่พัฒนาแล้วมากที่สุดแห่งหนึ่ง ได้แก่ โรคระบาด สงครามภายใน ภัยแล้ง นักวิชาการบางคนแนะนำว่ามายาเพียงเสื่อมโทรมและเสื่อมโทรม

อย่างไรก็ตาม ความลึกลับนี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่นเดียวกับความลึกลับมากมายที่อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

นั่นคือทั้งหมดที่เรามี. เราดีใจมากที่คุณได้ดูเว็บไซต์ของเราและใช้เวลาบางส่วนในการเสริมสร้างความรู้ใหม่ให้กับตัวเอง

เข้าร่วมกับเรา

มีพื้นที่กว้างขวางมากและเป็นผลให้ชื่อที่แตกต่างกันสำหรับชนเผ่าอินเดียนแดงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง มีหลายคนแม้ว่ากะลาสีชาวยุโรปจะใช้คำเดียวสำหรับชาวพื้นเมืองของอเมริกา - พวกอินเดียนแดง

ความเข้าใจผิดและผลที่ตามมาของโคลัมบัส

เมื่อเวลาผ่านไป ความผิดพลาดก็ชัดเจนขึ้น นั่นคือ ชนพื้นเมืองเป็นชนพื้นเมืองของอเมริกา จนกระทั่งถึงจุดเริ่มต้นของการล่าอาณานิคมของยุโรปในศตวรรษที่ 15 ผู้อยู่อาศัยได้มาถึงขั้นตอนต่าง ๆ ของระบบชุมชนและชนเผ่า บางเผ่าถูกครอบงำโดยกลุ่มบิดาในขณะที่บางเผ่าถูกครอบงำโดยการปกครองแบบมีครอบครัว

ระดับของการพัฒนาขึ้นอยู่กับสถานที่และสภาพอากาศเป็นหลัก ในกระบวนการที่ตามมา ประเทศต่างๆ ในยุโรปใช้เฉพาะชื่อสามัญของชนเผ่าอินเดียนแดงสำหรับชนเผ่าที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมทั้งกลุ่ม ด้านล่างเราพิจารณารายละเอียดบางส่วน

ความเชี่ยวชาญและการใช้ชีวิตของชาวอินเดียนแดงในอเมริกา

เป็นที่น่าสังเกตว่าชาวอินเดียนแดงในอเมริกาผลิตผลิตภัณฑ์เซรามิกต่างๆ ประเพณีนี้มีมายาวนานก่อนที่จะติดต่อกับชาวยุโรป ในการทำงานด้วยตนเองมีการใช้เทคโนโลยีหลายอย่าง

ใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การขึ้นรูปแบบเฟรมและรูปทรง การขึ้นรูปแบบไม้พาย การขึ้นรูปแบบสายดินเหนียว และแม้กระทั่งการสร้างแบบจำลองประติมากรรม ลักษณะเด่นของชาวอินเดียนแดงคือการผลิตหน้ากาก หุ่นดินเผา และวัตถุพิธีกรรม

ชื่อของชนเผ่าอินเดียนแตกต่างกันมาก เพราะพวกเขาพูดภาษาต่างๆ กันและแทบไม่มีภาษาเขียนเลย มีกลุ่มชาติพันธุ์มากมายในอเมริกา ลองดูที่มีชื่อเสียงที่สุดของพวกเขา

ชื่อของชนเผ่าอินเดียนแดงและบทบาทของพวกเขาในประวัติศาสตร์อเมริกา

เราจะดู Hurons, Iroquois, Apaches, Mohicans, Incas, Mayans และ Aztecs ที่มีชื่อเสียงที่สุด บางคนมีระดับการพัฒนาค่อนข้างต่ำ ในขณะที่บางคนประทับใจกับสังคมที่พัฒนาแล้วอย่างสูง ระดับนี้ไม่สามารถกำหนดระดับได้ง่ายๆ ด้วยคำว่า "ชนเผ่า" ที่มีความรู้และสถาปัตยกรรมที่กว้างขวางเช่นนี้

ชาวแอซเท็กก่อนการพิชิตสเปนได้รักษาประเพณีเก่าแก่ไว้ จำนวนของพวกเขามีประมาณ 60,000 อาชีพหลักคือการล่าสัตว์และตกปลา นอกจากนี้ ชนเผ่ายังถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ส่วยถูกถอนออกจากเมืองเรื่อง

ชาวแอซเท็กมีความโดดเด่นจากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเป็นผู้นำรัฐบาลที่รวมศูนย์ที่เข้มงวดและโครงสร้างแบบลำดับชั้น ที่ระดับสูงสุดจักรพรรดิและนักบวชยืนอยู่และที่ต่ำสุด - ทาส ชาวแอซเท็กยังใช้โทษประหารชีวิตและการสังเวยมนุษย์

สังคมอินคาที่พัฒนาแล้วสูง

ชนเผ่าอินคาที่ลึกลับที่สุดเป็นของอารยธรรมโบราณที่ใหญ่ที่สุด ชนเผ่านี้อาศัยอยู่ที่ระดับความสูง 4.5 พันเมตรในโคลัมเบีย สภาพโบราณนี้มีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11-16

รวมอาณาเขตทั้งหมดของรัฐโบลิเวีย เปรู และเอกวาดอร์ เช่นเดียวกับบางส่วนของอาร์เจนตินา โคลอมเบีย และชิลีในปัจจุบัน แม้ว่าในปี ค.ศ. 1533 จักรวรรดิได้สูญเสียดินแดนส่วนใหญ่ไปแล้ว จนถึงปี ค.ศ. 1572 กลุ่มสามารถต้านทานการโจมตีของผู้พิชิตซึ่งมีความสนใจในดินแดนใหม่มาก

สังคมอินคาถูกครอบงำโดยเศรษฐกิจการเกษตรที่มีการเกษตรแบบขั้นบันได เป็นสังคมที่มีการพัฒนาค่อนข้างสูงซึ่งใช้ท่อระบายน้ำและสร้างระบบชลประทาน

ทุกวันนี้ นักประวัติศาสตร์หลายคนสนใจในคำถามว่าเหตุใดชนเผ่าที่พัฒนาแล้วอย่างสูงจึงหายตัวไป

"มรดก" จากชนเผ่าอินเดียนแดงอเมริกา

เป็นที่ชัดเจนว่าชาวอินเดียนแดงในอเมริกามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาอารยธรรมโลก ชาวยุโรปยืมการเพาะปลูกและการเพาะปลูกข้าวโพดและทานตะวันเช่นเดียวกับพืชผักบางชนิด: มันฝรั่ง, มะเขือเทศ, พริก นอกจากนี้ยังมีการแนะนำพืชตระกูลถั่วผลโกโก้และยาสูบ เราได้รับทั้งหมดนี้มาจากชาวอินเดียนแดง

พืชผลเหล่านี้มีส่วนช่วยลดความหิวโหยในยูเรเซียในคราวเดียว ต่อมาข้าวโพดกลายเป็นแหล่งอาหารสัตว์ที่ขาดไม่ได้สำหรับการเลี้ยงสัตว์ อาหารบนโต๊ะของเราเป็นหนี้บุญคุณชาวอินเดียนแดงและโคลัมบัส ผู้ซึ่งนำ "ความอยากรู้อยากเห็น" ในยุคนั้นมาสู่ยุโรป

โจเซฟ แบรนต์ - หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง เจ้าหน้าที่ในกองทัพอังกฤษ
Hugo Chavez เป็นประธานาธิบดีของเวเนซุเอลา
Evo Morales เป็นประธานาธิบดีของโบลิเวีย
Alejandro Toledo - อดีตประธานาธิบดีแห่งเปรู
Ollanta Humala เป็นประธานาธิบดีของเปรู
ซิตติ้งบูลล์เป็นหัวหน้าของ Hunkpapa Sioux
Sequoyah - ผู้นำของชนเผ่า Cherokee ผู้ประดิษฐ์พยางค์ Cherokee (1826) ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ Cherokee Phoenix ในภาษา Cherokee (1828)
Geronimo เป็น "ผู้นำ" ทางทหารของ Apaches
กัปตันแจ็คเป็นผู้นำของชนเผ่าอินเดียนโมดอค
เครซี่ฮอร์ส (Crazy Horse) เป็นผู้นำของชาวลาโกตาอินเดียนแดง หยุดการรุกของนายพลครุกในฤดูร้อนปี 2419 เอาชนะทหารม้าของนายพลคัสเตอร์ในหุบเขาลิตเติ้ลบิ๊กฮอร์น
Mary Smith-Jones เป็นนักภาษาศาสตร์และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวอเมริกันอินเดียนทางตอนใต้ของอลาสก้า
Jim Thorpe - นักกีฬากรีฑารอบด้าน, แชมป์โอลิมปิก 2 สมัยในปี 1912
เสมียนรหัสนาวาโฮเป็นกลุ่มของชาวนาวาโฮอินเดียนแดงที่ทำงานเป็นผู้ดำเนินการวิทยุเข้ารหัสในกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
Dan George เป็นนักแสดง กวี และนักเขียนภาพยนตร์ชาวแคนาดาและอเมริกัน
มอนเตซูมา
Cuauhtemoc
Quanah Parker - หัวหน้าเผ่า
เทคัมเซห์
รถปอนเตี๊ยกเป็นผู้นำของชนเผ่าอินเดียนออตตาวาจากกลุ่มอัลกอนควินในอเมริกาเหนือ
Osceola - ผู้นำและผู้นำทางทหารของชนเผ่า Seminole Indian (ฟลอริดา)
Pushmataha
Joey Beladonna - นักร้องแอนแทรกซ์
Robert Trujillo - มือกีต้าร์เบสของ Metallica
หิมพานต์-ยะลากิจ (หัวหน้าโจเซฟ) - หัวหน้าคนสำคัญที่ไม่ใช่ชาวเปอร์เซีย
โวโวก้า
เมฆแดง
วาซากิ
Sat-Ok - ขนยาว, ชนเผ่า Shevanez; Stanislaw Suplatowicz, 1920-2003, นักเขียน, ผู้แต่งเรื่อง The Land of the Salt Rocks and The Mysterious Footprints
Sampson, Will - นักแสดงและศิลปินภาพยนตร์ชาวอเมริกัน, แชมป์ปศุสัตว์รุ่นเยาว์
Youngblood, Rudy - นักแสดงชาวอเมริกัน
Buffy Sainte Marie - นักร้องลูกทุ่งชาวแคนาดา
Martinez, Esther - นักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกัน
Hayes, Ira - American Marine, ผู้เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่สอง
Fox, Vivica - นักแสดงชาวอเมริกัน
Pelletier, Bronson - นักแสดงชาวแคนาดา
Chichu, Jonathan - นักกีฬาฮ็อกกี้น้ำแข็งชาวแคนาดา
Osman, Dan - นักปีนเขาชาวอเมริกันและนักกีฬาผาดโผน
Wallis, Velma - นักเขียนชาวอเมริกัน
ฮวน มาตุสเป็นหมอผีชาวยากีชาวอินเดีย ซึ่งส่วนใหญ่รู้จักจากงานเขียนของคาร์ลอส กัสตาเนดา
Studi, Wes เป็นนักแสดงภาพยนตร์ชาวอเมริกัน
หมายถึง, รัสเซล - บุคคลสาธารณะชาวอเมริกัน, นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชาวอินเดีย, นักแสดงภาพยนตร์

ชีวประวัติของผู้นำทางทหารที่มีชื่อเสียง

โคชิ

(เนื้อหาจากวิกิพีเดีย)
Cochis (1805 – 8 มิถุนายน 1874) เป็นผู้นำของ Chokonen กลุ่ม Chiricahua Apaches และผู้นำของกลุ่มกบฏที่ปะทุขึ้นในปี 1861 Kochis เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกาในศตวรรษที่ 19 และเป็นหนึ่งในผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่ชาวอินเดียนแดงในอเมริกาเหนือ Cochis County ในรัฐแอริโซนาตั้งชื่อตามเขา
อาชีพ: หัวหน้าของ Chokonen
วันเกิด: 1805
บ้านเกิด: นิวเม็กซิโก
วันที่เสียชีวิต: 8 มิถุนายน พ.ศ. 2417
สถานที่แห่งความตาย: ดินแดนนิวเม็กซิโก

ปีแรก
Kochis เกิดเมื่อราวปี 1805 ในชุมชน Chokonen แห่งหนึ่ง ในช่วงเวลานั้น ความสัมพันธ์ระหว่าง Chiricahua กับชาวเม็กซิกันนั้นสงบสุข เมื่ออายุประมาณหกขวบ Kochis ก็ได้ล่าสัตว์และนกตัวเล็ก ๆ ด้วยธนูและลูกธนู ในวัยนี้ เด็กชาย Chiricahua แยกจากเด็กผู้หญิงและเริ่มเล่นเกมที่พัฒนาความอดทน ความเร็ว และความแข็งแกร่ง เช่น การแข่งรถ ชักเย่อ มวยปล้ำ และอื่นๆ นอกจากนี้ ตั้งแต่อายุ 6-7 ขวบ พวกเขาเรียนรู้ที่จะขี่
พัฒนาการด้านร่างกาย ความมีวินัยในตนเอง และความเป็นอิสระครอบงำในขั้นต่อไปของการเติบโต เมื่อเด็กชายจากเผ่า Chiricahua อายุได้ 10 ขวบ เขาก็ทำหน้าที่ผู้คุมค่ายและหน่วยสอดแนม เมื่ออายุได้ 14 ปี เยาวชนชาวชิริกาวาเริ่มเรียนศิลปะการต่อสู้ นักรบชิริคาวาได้รับการทดสอบที่พวกเขาเรียนรู้ที่จะอดทนต่อความยากลำบากอันโหดร้ายของสงคราม Kochis แสดงตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อยว่าเป็นชายหนุ่มที่มีระเบียบวินัยและมีพัฒนาการทางร่างกายพร้อมที่จะเข้าร่วมในการสู้รบ
หลังจากได้รับเอกราชของเม็กซิโก ความสัมพันธ์ระหว่างชาวเม็กซิกันและชิริกาวาก็แย่ลงและนำไปสู่การปะทะกันด้วยอาวุธ รัฐบาลเม็กซิกันเพิกเฉยต่อความไม่พอใจของพวกอาปาเช่ ในการตอบโต้ พวกอินเดียนแดงได้บุกเข้าไปในนิคมของชาวเม็กซิกันหลายครั้ง เมื่ออายุได้ 20 ปี Kochis เป็นหนึ่งในผู้นำทางทหารของ Chokonen เขาสูง 5 ฟุต 10 นิ้ว และหนัก 75 กก. ระหว่างทำสงครามกับชาวเม็กซิกัน พ่อของโคชิถูกฆ่าตาย ในปี ค.ศ. 1848 ชาวเม็กซิกันจับโคชิสเอง เขาถูกจำคุกประมาณหกสัปดาห์ ในช่วงเวลานี้ โชโคเน็นได้จับชาวเม็กซิกันมากกว่า 20 คนและแลกเปลี่ยนเป็นหัวหน้าของพวกเขา

สงครามกับชาวอเมริกัน
หลังจากที่สหรัฐอเมริกาชนะสงครามเม็กซิกัน-อเมริกัน พวกเขาได้ควบคุมนิวเม็กซิโกและแอริโซนา
ในปี ค.ศ. 1858 โคชิกลายเป็นผู้นำทางทหารหลักของโชโคเนนทั้งหมด ในปีเดียวกันนั้น เขาได้พบกับตัวแทนของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ความสัมพันธ์ที่สงบสุขระหว่าง Chiricahua และชาวอเมริกันยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 1861 เมื่อกลุ่ม Apaches โจมตีทุ่งของผู้ตั้งถิ่นฐานผิวขาว Kochis ถูกตำหนิสำหรับการโจมตีครั้งนี้ นายจอร์จ บาสคอม เจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯ เชิญเขาพร้อมกับญาติๆ ไปที่ค่ายทหาร พวกเขาพยายามจับกุม Kochis ที่ไม่สงสัย แต่เขาก็สามารถหลบหนีได้ ญาติของเขาถูกจับ คนหนึ่งถูกฆ่าตาย ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาผู้นำของ Chokonen กลับมาและพยายามคุยกับชาวอเมริกัน Bascom สั่งให้เปิดฉากยิงใส่เขา ต่อมาโคจิจับคนผิวขาวหลายคนเป็นตัวประกัน ซึ่งเขาต้องการแลกกับโชโคเน็น แต่การเจรจาล้มเหลว ส่วนใหญ่เป็นเพราะการกระทำของบาสคอม ตัวประกันทั้งสองฝ่ายส่วนใหญ่ถูกฆ่าตาย
ด้วยความโกรธแค้นจากการทรยศของ Bascom ผู้นำของ Chokonen สัญญาว่าจะแก้แค้นชาวอเมริกัน ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขาเป็นผู้นำการโจมตี chokonen ชาวอินเดียสังหารตามแหล่งต่างๆ จากคนผิวขาวไม่กี่ร้อยถึง 5,000 คน

ปีสุดท้ายของชีวิต
ภูเขามังกร.
กองทัพอเมริกันค่อยๆ ขับกลุ่ม Kochis เข้าสู่พื้นที่ของ Dragoon Mountains ผู้นำของ Chokonen ยังคงทำสงครามต่อไปจนถึงปี 1872 เมื่อการเจรจาเริ่มขึ้นอีกครั้งระหว่างทางการอเมริกันกับ Chiricahua สนธิสัญญาสันติภาพได้ข้อสรุปโดย Tom Jeffords หนึ่งในเพื่อนผิวขาวไม่กี่คนของ Kochis
หลังจากการสิ้นสุดของสันติภาพ ผู้นำของ Chokonen ไปที่เขตสงวนพร้อมกับ Jeffords เพื่อนของเขาซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนชาวอินเดีย Kochis เสียชีวิตในปี 1874 และถูกฝังอยู่ในเทือกเขา Dragoon เฉพาะคนใกล้ชิดของผู้นำเท่านั้นที่รู้สถานที่ฝังศพของเขาซึ่งไม่เป็นที่รู้จักในปัจจุบัน

ชีวประวัติที่ละเอียดมาก:
http://www.proza.ru/2012/02/16/1475เจอโรนิโม
Geronimo เป็นชื่อของ Chiricahua Apache Goyatlay (Guyaale)
ผู้นำทางทหาร Chiricahua Apache ซึ่งเป็นผู้นำการต่อสู้กับการบุกรุกของสหรัฐฯในดินแดนของชนเผ่าเป็นเวลา 25 ปี ในชีวิตและในประวัติศาสตร์เขามีชื่อเสียงในด้านความกล้าหาญที่ประมาทโดยพุ่งเข้าใส่ปืนไรเฟิลด้วยหน้าอกของเขาเขายังคงไม่บุบสลายและคงกระพันต่อกระสุน มีตำนานเกี่ยวกับเขาชื่อของเขา ... ใช่ท่านลอร์ดจำละครทีวีเรื่อง "Doctor Who" ที่เสียงร้อง "Geronimo!" หมอมักจะร้องว่า "เจอโรนิโม!" ใช้ในกองทัพอากาศสหรัฐโดยพลร่มในระหว่างการกระโดดจากเครื่องบิน

วันเกิด: 16 มิถุนายน 1829
สถานที่เกิด: แอริโซนา
วันที่เสียชีวิต: 17 กุมภาพันธ์ 2452 (อายุ 79 ปี)
สถานที่เสียชีวิต: Fort Sill, Oklahoma

Goyatlay (Geronimo) เกิดในเผ่าที่ยากจนซึ่งหมายถึง Chiricahua ใกล้แม่น้ำ Gila ในอาณาเขตของรัฐแอริโซนาสมัยใหม่ในขณะนั้นอยู่ในความครอบครองของเม็กซิโก แต่ครอบครัว Geronimo ถือว่าดินแดนนี้เป็นของพวกเขาเสมอ.

ที่มาของชื่อเล่นของ Geronimo ไม่เป็นที่รู้จัก บางคนเชื่อว่ามันมาจากนักบุญเจอโรม (ในการออกเสียงแบบตะวันตกเจอโรม) ซึ่งศัตรูชาวเม็กซิกันของโกยาตเลย์ขอความช่วยเหลือระหว่างการต่อสู้ ตามเวอร์ชั่นอื่น ชื่อเล่นของ Geronimo เป็นการถอดความว่าพ่อค้าชาวเม็กซิกันที่เป็นมิตรออกเสียงชื่อจริงของ Goyatlay อย่างไร

พ่อแม่ของ Geronimo ได้ฝึกฝนเขาในประเพณี Apache เขาแต่งงานกับผู้หญิงชิริคาวาและมีลูกสามคน เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1851 กองทหารเม็กซิกัน 400 นายออกจากรัฐโซโนรา นำโดยพันเอก José María Carrasco โจมตีค่ายของ Geronimo ใกล้ Janos ในขณะที่คนของชนเผ่าส่วนใหญ่ไปที่เมืองเพื่อทำการค้า ในบรรดาผู้เสียชีวิต ได้แก่ ภรรยา ลูก และแม่ของเจอโรนิโม หัวหน้าเผ่า Mangas Coloradas ตัดสินใจแก้แค้นชาวเม็กซิกันและส่ง Goyatlay ไปที่ Kochis เพื่อขอความช่วยเหลือ แม้ว่าตามคำบอกเล่าของ Geronimo เขาไม่เคยเป็นผู้นำของเผ่า แต่นับจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็กลายเป็นผู้นำทางทหาร สำหรับ Chiricahua นี่หมายความว่าเขาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณด้วย ตามตำแหน่งของเขา Geronimo เป็นผู้นำการโจมตีชาวเม็กซิกันหลายครั้งและต่อมากับกองทัพสหรัฐฯ

Geronimo มักมีทหารมากกว่าในการสู้รบกับกองทหารเม็กซิกันและอเมริกัน เขามีชื่อเสียงในด้านความกล้าหาญและความคล่องแคล่ว ซึ่งเขาแสดงให้เห็นตั้งแต่ปี 1858 ถึง 1886 ในตอนท้ายของอาชีพทหาร เขาได้นำกองกำลังเล็กๆ 38 คน ผู้หญิง และเด็ก ตลอดทั้งปี ทหารกองทัพสหรัฐฯ 5,000 นายตามล่าเขา (หนึ่งในสี่ของกองทัพอเมริกันทั้งหมดในขณะนั้น) และกองทหารเม็กซิกันหลายกอง

คนของเจอโรนิโมเป็นหนึ่งในนักรบอิสระชาวอินเดียกลุ่มสุดท้ายที่ปฏิเสธที่จะยอมรับอำนาจของรัฐบาลสหรัฐฯ ในฝั่งตะวันตกของอเมริกา การสิ้นสุดของการต่อต้านเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2429 เมื่อเจอโรนิโมถูกบังคับให้ยอมจำนนต่อนายพลเนลสัน ไมล์ส ในรัฐแอริโซนาของอเมริกา
Geronimo และนักรบคนอื่นๆ ถูกส่งไปยัง Fort Pickens, Florida และครอบครัวของเขาไปที่ Fort Marion พวกเขากลับมาพบกันอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2430 เมื่อพวกเขาทั้งหมดย้ายไปอยู่ที่ค่ายทหารเมาท์เวอร์นอนในรัฐแอละแบมาเป็นเวลาห้าปี ในปี 1894 Geronimo ถูกย้ายไปที่ Fort Sill ในโอคลาโฮมา

เจโรนิโม (1898)ในวัยชราเขากลายเป็นคนดังเขาปรากฏตัวในนิทรรศการต่างๆ รวมทั้งงาน World's Fair ปี 1904 ในเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี ซึ่งเขาขายของที่ระลึกและรูปถ่ายของตัวเอง อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปยังดินแดนของบรรพบุรุษของเขา Geronimo เข้าร่วมในขบวนพาเหรดเพื่อฉลองการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ Theodore Roosevelt ในปี 1905 เขาเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมที่ Fort Sill เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2452 และถูกฝังอยู่ในสุสานท้องถิ่นของชาวอาปาเช่ที่ถูกจับ

ในปี ค.ศ. 1905 Geronimo ตกลงที่จะเล่าเรื่องของเขาให้ S. M. Barrett หัวหน้าแผนกการศึกษาในลอว์ตัน มณฑลโอคลาโฮมาฟัง บาร์เร็ตต์ขออนุญาตจากประธานาธิบดีเพื่อเผยแพร่หนังสือ Geronimo บอกเฉพาะสิ่งที่เขาต้องการบอก ไม่ตอบคำถาม และไม่เปลี่ยนแปลงอะไรในการบรรยายของเขา สันนิษฐานว่า Barrett ไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องราวของ Geronimo เฟรเดอริก เทิร์นเนอร์ได้ตีพิมพ์ซ้ำอัตชีวประวัตินี้ โดยลบบันทึกของบาร์เร็ตต์และเขียนคำนำสำหรับผู้ที่ไม่ใช่อาปาเช่

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ
ร้อง "เจอโรนิโม!" ใช้ในกองทัพอากาศสหรัฐโดยพลร่มในระหว่างการกระโดดจากเครื่องบิน ในปีพ.ศ. 2483 เอกชนชื่อเอเบอร์ฮาร์ดจากกรมทหารราบที่ 501 เสนอว่าสหายใช้ชื่ออินเดียนแดงจากภาพยนตร์ที่เขาดูเมื่อวันก่อนเป็นเสียงร้องของการต่อสู้ หลังจากนั้นไม่นาน หมวดทั้งหมดก็ตะโกนโวยวายว่า "เจอโรนิโม!" ลงจากเครื่องบิน และวันนี้เสียงร้องนี้เป็นธรรมเนียมของกองทัพอากาศสหรัฐฯ แล้ว เป็นการร้องเพื่อการต่อสู้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความโกรธ ความกล้าหาญ และศรัทธาในชัยชนะ (คล้ายกับในความหมายของรัสเซีย "ฮูราห์!" และ "บันไซ!" ของญี่ปุ่น) เสียงร้อง "เจอโรนิโม!" ที่กล่าวถึงในงานวรรณกรรม ภาพยนตร์ เกมคอมพิวเตอร์ต่างๆ
ร้อง "เจอโรนิโม!" ใช้ The Doctor ฮีโร่ของซีรีย์นิยายวิทยาศาสตร์อังกฤษ Doctor Who Agent Johnny English ฮีโร่ของภาพยนตร์ชื่อเดียวกันกระโดดร่มจากเฮลิคอปเตอร์รวมถึงหมีขั้วโลกกระโดดลงทะเลสาบน้ำแข็งจากภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง "Balto ".

การดัดแปลงหน้าจอ
ในปีพ. ศ. 2505 ภาพยนตร์เมโทรโกลด์วิน - เมเยอร์ Geronimo ได้รับการปล่อยตัวในสหรัฐอเมริกา ในปี 1993 Columbia Pictures สร้างภาพยนตร์เรื่อง Geronimo: An American Legend ในปี 1993 เดียวกัน Turner Pictures ได้เปิดตัวภาพยนตร์ Geronimo ของ Roger Young
ภาพยนตร์ Geronimo ทั้งหมด (และภาพยนตร์ Apache อื่น ๆ )เรามี Apache Indians ในคอลเล็กชันของเรา

กระทิงนั่ง
“ฉันเป็นคนสีแดง หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องการให้ฉันเป็นคนผิวขาว พระองค์คงทรงสร้างฉันให้เป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่แรก พระองค์ทรงวางแผนการบางอย่างไว้ในใจท่าน ข้าพเจ้าได้วางแผนการอื่นและแตกต่างกันในข้าพเจ้า ทุกคนมีดีอยู่ในที่ของตน Eagles ไม่จำเป็นต้องเป็น Ravens เรายากจนแต่เรามีอิสระ ไม่มีชายผิวขาวชี้นำขั้นตอนของเรา หากเราต้องตาย เราจะตายเพื่อปกป้องสิทธิของเรา”

กระทิงนั่ง(เกิดประมาณ พ.ศ. 2374 - เสียชีวิต 15 ธันวาคม พ.ศ. 2433) - ผู้นำของชนเผ่าอินเดียน Hunkpapa (Hunkpapa เป็นชนเผ่าอินเดียนในตระกูลภาษาซู)
ชื่อของเขาในภาษาลาโกตาพื้นเมืองของเขาคือ Tatanka Iyotake ควายนั่งอยู่บนพื้น

ชีวประวัติ
ลูกชายของเขาถูกเรียกว่าช้า (Khunkeshni) เพราะเขาช้า เมื่ออายุได้สิบสี่ปี เขาได้สัมผัสอีกาที่ถูกฆ่าด้วยไม้เท้าคุ เพื่อเป็นเกียรติแก่สิ่งนี้ พ่อของเขาจึงตั้งชื่อให้เด็กชายเอง ต่อมาซิตติ้งบูลกลายเป็นนักรบที่มีชื่อเสียง
วัวนั่งเป็นผู้นำชนเผ่าอินเดียนแดงที่ต่อต้านการตั้งถิ่นฐานใหม่ในเขตสงวน เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2419 กองกำลังผสมของชาวซูและไชแอนน์อินเดียนซึ่งนำโดยซิตติ้งบูลล์เอาชนะทหารม้าของนายพลคัสเตอร์ในการรบที่ลิตเติ้ลบิ๊กฮอร์น มันเป็นหนึ่งในชัยชนะที่สำคัญที่สุดของชาวอินเดียในสงครามเพื่อดินแดนของพวกเขา

หัวหน้าใหญ่ของ hunkpapa ที่โดดเด่นมีผู้ติดตามจำนวนมากในบรรดาชนเผ่าลาโกตาทั้งหมดในฐานะที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการย้ายไปยังเขตสงวนและลงนามในสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2406 เขาต่อสู้กับกองทัพอเมริกัน ในค่ายรวมของชาวอินเดียนแดงที่เอาชนะทหารในการต่อสู้ของ Rosebud และ Little Bighorn ในปี 1876 เขาได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้นำสูงสุด หลังจากความพ่ายแพ้ของนายพลคัสเตอร์ กองทัพก็เริ่มออกตามล่าชาวอินเดียที่ดื้อรั้นอย่างแท้จริง ค่ายใหญ่แตกออกเป็นกลุ่มๆ ซึ่งกระจัดกระจายไป พยายามหลีกเลี่ยงการปักหลักในเขตสงวนและต่อต้านกองทัพ กลุ่มของซิตติ้งบูลล์ไปแคนาดา แต่ในปี พ.ศ. 2424 พวกเขาถูกบังคับให้ยอมจำนน ซิตติ้ง บูลล์ ถูกคุมขังที่ฟอร์ท แรนดอลล์ หลังจากได้รับการปล่อยตัวในปี 2426 เขาได้คัดค้านการขายที่ดินสงวนอย่างแข็งขัน ในปี 1890 เมื่อลัทธิ Messianic แห่ง Spirit Dance เติบโตขึ้นท่ามกลางชนเผ่า Sioux และสิ่งต่างๆ อยู่เหนือการควบคุม จึงมีการตัดสินใจจับกุมซิตติ้ง บูลล์ ผู้นำที่ไม่เชื่อฟังมากที่สุดตั้งแต่แรก แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่ได้เป็นหนึ่งในผู้นำของลัทธิ แต่เขาก็ยังคงเป็นศัตรูกับคนผิวขาวและเตรียมพร้อมสำหรับการจลาจล ขณะพยายามจับกุมเขา มีการยิงกันและหัวหน้าถูกฆ่าโดยจ่าตำรวจอินเดีย Red Tomahawk ซิตติ้งบูลล์ ความสามารถในการเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมของเขาแสดงให้เห็นอย่างงดงามในภาพยนตร์เรื่อง "Sitting Bull" 1954 ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในคอลเลคชัน Indian Wars บนดิสก์ 1

ม้าบ้า

เครซี่ฮอร์ส (หรือเครซี่ฮอร์ส)
ภาษาอังกฤษ Crazy Horse ในภาษา Lakota - Thasunka Witko (Tashunka Vitko) สว่างขึ้น "ม้าของเขาบ้า"
(ปีเกิดโดยประมาณ พ.ศ. 2383 - 5 กันยายน พ.ศ. 2420) - ผู้นำทางทหารของชนเผ่า Oglala ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรวมตัวของชนเผ่าลาโกตาทั้งเจ็ด

สันนิษฐานว่าเกิดในปี 1840 ซึ่งปัจจุบันคือเซาท์ดาโคตา ใกล้ Rapid Creek พ่อของเขาเป็นหมอผี มารดาผู้ให้กำเนิดของเครซี่ฮอร์สเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก และถูกแทนที่โดยผู้หญิงบรูลซึ่งเป็นน้องสาวของผู้นำที่มีชื่อเสียง Spotted Tail เขาได้เห็นการปะทะกันที่รุนแรงครั้งแรกระหว่างลาโกตากับกองทัพอเมริกัน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2397 ตอนนั้น Crazy Horse อายุ 14 ปีและอยู่ในค่ายของ Chief Brule Charge Bear เมื่อมีการสังหารหมู่ Grattan ที่นั่น ซึ่งทหารทั้งหมดถูกสังหาร

อยู่ในกลุ่มของชาวอินเดียนแดงที่ไม่สามารถปรองดองกันได้ ต่อสู้กับรัฐบาลสหรัฐ ปฏิเสธที่จะลงนามในสนธิสัญญาใดๆ กับรัฐบาลสหรัฐฯ

หยุดการรุกของนายพลครุกในฤดูร้อนปี 2419 เอาชนะทหารม้าของนายพลคัสเตอร์ในหุบเขาลิตเติ้ลบิ๊กฮอร์น

การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายกับทหารม้าอเมริกันเกิดขึ้นที่มอนทานาเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2420 ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2420 เขายอมจำนน

Crazy Horse หลีกเลี่ยงคนผิวขาวยังคงปิดอยู่ เมื่อนายพลจอร์จ ครุกแนะนำให้ไปวอชิงตันเพื่อพบกับประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา เขาปฏิเสธ การปรากฏตัวของผู้นำที่เป็นที่รู้จักของชาวอินเดียนแดงที่เป็นศัตรูในเขตสงวน Red Cloud ทำให้กองบัญชาการกองทัพต้องสงสัยอย่างต่อเนื่อง เมื่อค่ายที่เขาอยู่ แพร่กระจายข่าวลือเกี่ยวกับความปรารถนาที่จะกลับไปสู่สนามรบ นายพลครุกจึงตัดสินใจจับกุมเครซี่ฮอร์สอย่างฉ้อฉล หัวหน้าถูกนำตัวไปที่ป้อมโรบินสันซึ่งเขาตระหนักว่าคนผิวขาวกำลังจะกักขังเขา เขาชักมีด แต่ชายร่างเล็กคว้ามือหัวหน้า ครู่ต่อมา ทหารอเมริกันคนหนึ่งหอบเครซี่ฮอร์สด้วยดาบปลายปืน

ได้รับบาดเจ็บจากดาบปลายปืนผู้นำถูกย้ายไปที่สำนักงานผู้ช่วยของป้อม ผ้าห่มของเขาปูบนพื้น และบนนั้นเขานอนหมดสติเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยมีเลือดออกภายใน ผู้นำเริ่มร้องเพลงแห่งความตายด้วยเสียงที่อ่อนลง คนอินเดียข้างนอกได้ยินเขาร้องเพลง และเกือบจะในทันทีพ่อแม่ของเครซี่ฮอร์สขอร้องให้ไปหาลูกชายของพวกเขา หลังจากที่หัวหน้าเสียชีวิต พวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไป

ไม่มีภาพเหมือนของผู้นำที่มีชื่อเสียงคนนี้ได้รับการเก็บรักษาไว้ (ภาพที่คุณเห็นเป็นตัวบ่งชี้ตามคำอธิบาย) ในศตวรรษที่ 20 อนุสรณ์ Crazy Horse เริ่มถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา (สถาปนิก K. Zyulkowski)
ภาพยนตร์ม้าบ้าอยู่ในคอลเลกชัน Indian Wars บนดิสก์ 4

หม้อดำ
Black Cauldron เกิดเมื่อราวปี 1803 ใน Black Hills
หม้อดำดำเนินตามนโยบายที่สงบสุข เขาเชื่อว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่ชาวอินเดียนแดงจะรับมือกับกองทัพคนผิวขาวและพยายามทุกวิถีทางเพื่อสรุปสันติภาพ ผลที่ตามมาคือ ไซแอนน์ตอนใต้ถูกจองจำในการจองขนาดเล็กบนแซนด์ครีก

แม้จะมีสนธิสัญญาในปี พ.ศ. 2404 การปะทะกันระหว่างไซแอนน์ใต้กับคนผิวขาวยังคงดำเนินต่อไป หลังจากการเจรจากับทางการโคโลราโด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของไชแอนน์และอาราปาโฮทางตอนใต้ ซึ่งต้องการอยู่อย่างสันติกับคนผิวขาว ได้ตั้งค่ายของพวกเขาในที่ที่ชาวอเมริกันระบุ เพื่อไม่ให้พวกเขาสับสนกับชาวอินเดียนแดงที่เป็นศัตรู อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2407 ค่ายไซแอนน์และอาราปาโฮที่สงบสุขแห่งนี้ถูกทหารของพันเอกจอห์น ชิวิงตันโจมตี การโจมตีครั้งนี้สร้างความประหลาดใจให้กับชาวอินเดียนแดงอย่างสมบูรณ์ ทหารกระทำการอย่างโหดเหี้ยม ฆ่าผู้หญิงและเด็ก ทำลายศพจนจำไม่ได้และถลกหนัง เหตุการณ์นี้กลายเป็นที่รู้จักในนามการสังหารหมู่ที่แซนด์ครีก

แม้จะมีโศกนาฏกรรมที่เลวร้าย แต่ Black Cauldron ยังคงคิดถึงสันติภาพกับคนผิวขาว เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2408 มีการลงนามสนธิสัญญาใหม่ใกล้แม่น้ำอาร์คันซอเล็กน้อย รัฐบาลสหรัฐยอมรับความรับผิดชอบสำหรับเหตุการณ์ที่แซนด์ครีกและสัญญาว่าจะจ่ายค่าชดเชยให้กับไซแอนน์และอาราปาโฮที่รอดชีวิต ในปี พ.ศ. 2410 ชนเผ่าอินเดียนทางตอนใต้ของ Great Plains ได้ลงนามในสนธิสัญญาอื่นที่ Medicine Lodge Creek หลังจากนั้น Black Kettle ได้นำคนของเขาไปยังเขตสงวน

การต่อสู้กันเล็กน้อยระหว่างชาวไซแอนน์และชาวอเมริกันยังคงดำเนินต่อไป แต่ Black Kettle ทำให้ชุมชนของเขาสงบสุขกับคนผิวขาว ในช่วงกลางเดือนตุลาคม พ.ศ. 2411 นายพลฟิลิปเชอริแดนเริ่มวางแผนการสำรวจเพื่อลงโทษทางตอนใต้ของไซแอนน์ เมื่อ Black Kettle ไปเยี่ยม Fort Cobb ซึ่งอยู่ห่างจากที่ตั้งแคมป์ประมาณ 100 ไมล์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บัญชาการป้อมว่าเขาต้องการอยู่อย่างสงบสุขกับคนผิวขาว เขาได้รับแจ้งว่ากองทัพสหรัฐฯ ได้เริ่มปฏิบัติการทางทหารกับชนเผ่าอินเดียนที่เป็นศัตรู . ตัวแทนชาวอินเดียบอกเขาว่าสถานที่ปลอดภัยแห่งเดียวสำหรับผู้คนของเขาคือบริเวณรอบๆ ป้อมปราการ Black Kettle รีบกลับไปที่ค่ายและเริ่มเตรียมที่จะย้ายไปยังป้อมปราการ เช้าตรู่ของวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 ทหารของพันเอกจอร์จ คัสเตอร์โจมตีหมู่บ้านแบล็กเคตเทิลบนแม่น้ำวาชิตา เหตุการณ์นี้กลายเป็นที่รู้จักในนาม Battle of Washita ขณะพยายามข้ามหม้อดำและภรรยาของเขาถูกยิงที่ด้านหลังและเสียชีวิต

น้ำดี
น้ำดี (Lakota Phizi, ถุงน้ำดี) - หัวหน้าสงคราม hunkpapa หนึ่งในผู้นำของชาวอินเดียนแดงที่ Battle of the Little Bighorn
ชื่อเกิด: Phizi
อาชีพ : หัวหน้าเผ่า hunkpapa
วันเกิด: 1840
สถานที่เกิด: เซาท์ดาโคตา
วันที่เสียชีวิต: 5 ธันวาคม พ.ศ. 2437
สถานที่แห่งความตาย: Standing Rock

Bile เกิดที่ริมฝั่งแม่น้ำ Moro ใน South Dakota ราวปี 1840. ได้รับชื่อจากแม่ของเขา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยพบลูกชายของเธอเมื่อได้ลิ้มรสถุงน้ำดีของสัตว์ที่ตายแล้ว เขายังเป็นที่รู้จักในนามเรดวอล์คเกอร์

เมื่อตอนเป็นเด็ก เขาเข้าร่วมในสงครามเมฆแดง
ถูกกล่าวหาว่าฆ่าคนผิวขาวอย่างผิดๆในฤดูหนาวปี 1865-66 ใกล้ป้อม Berthold ถูกทหารจับกุมและถูกทิ้งให้ตายด้วยบาดแผลจากดาบปลายปืนอย่างรุนแรง น้ำดีสามารถเอาชีวิตรอดและเกลียดคนผิวขาวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขามีส่วนร่วมในการต่อสู้กับกองทัพสหรัฐหลายครั้ง สูญเสียภรรยาสองคนและลูกสามคนในช่วงเริ่มต้นของการต่อสู้ของลิตเติ้ลบิ๊กฮอร์น

ในการจอง
หลังจากที่เจ้าบิ๊กฮอร์นติดตามซิตติ้งบูลล์ไปแคนาดา ในตอนท้ายของปี 1880 เขากลับมายังสหรัฐอเมริกาและยอมจำนนต่อกองทัพ โดยตั้งรกรากอยู่ในเขตสงวน Standing Rock กลุ่มของเขาประกอบด้วย 230 คน
เมื่อตกลงบนพื้นที่สงวนแล้ว Bile เริ่มเรียกเพื่อนร่วมเผ่าของเขาให้มีชีวิตที่สงบสุขในขณะที่เขาสรุปได้ว่าสงครามกับคนผิวขาวนั้นไร้ประโยชน์ เขาเป็นเพื่อนกับตัวแทนชาวอินเดีย James McLaughlin ความขัดแย้งและความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างเขากับซิตติ้งบูล ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการแสดงบัฟฟาโลบิล แม้แต่ในวัยที่โตแล้ว Bile ยังเป็นชายที่มีพลังระเบิดมหาศาลและหนักถึง 260 ปอนด์ เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2437 และถูกฝังไว้ที่ Standing Rock

เท้าใหญ่

(1824 - 29 ธันวาคม พ.ศ. 2433)
บิ๊กฟุต (ดู Tanka) หรือที่เรียกว่า Spotted Elkผู้นำเผ่าอินเดียนมินเนคอนชู
เขาเป็นบุตรชายของหัวหน้า Longhorn หลังจากที่เขาเสียชีวิตเขาก็กลายเป็นผู้นำของเผ่า
เขาถูกสังหารในปี พ.ศ. 2433 ในรัฐเซาท์ดาโคตา พร้อมด้วยชาวเผ่าอีกกว่า 300 คน ในการเผชิญหน้ากับกองทัพสหรัฐฯ ที่รู้จักกันในชื่อ Wounded Knee Massacre

ปีแรกเป็นหัวหน้า
Si Tanka เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2363 ถึง พ.ศ. 2368 ในเผ่า Minneconjou ของ Sioux ในวัยหนุ่ม เขาไม่ได้มีชื่อเสียงในด้านใดๆ แต่หลังจากการเสียชีวิตของหัวหน้า Longhorn ในปี 1875 Big Foot ก็กลายเป็นหัวหน้าของ minneconjou ในบรรดาผู้แทนราษฎรของเขา ในไม่ช้าเขาก็กลายเป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมืองและนักการทูตที่มีทักษะ
ในปีพ.ศ. 2419 บิ๊กฟุตได้เข้าร่วมกับซิตติ้งบูลล์และเครซี่ฮอร์สในสงครามกับกองทัพสหรัฐฯ แต่เขาไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการสู้รบ หลังจากสงครามซู รัฐบาลส่งมินเนคองไปยังเขตสงวนไชแอนน์ของอินเดียนในเซาท์ดาโคตา บิ๊กฟุตตัดสินใจว่าจะเป็นการดีที่สุดสำหรับชนเผ่าของเขาในการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในเขตสงวนและนำวิถีชีวิตของคนผิวขาวไปพร้อมกับรักษาภาษาและประเพณีวัฒนธรรมของลาโกตา Minneconjou ทำการเกษตรแบบตั้งรกราก พวกเขาเริ่มปลูกข้าวโพดในหมู่ชาวอเมริกันอินเดียนกลุ่มแรกๆ ตามมาตรฐานของรัฐบาล บิ๊กฟุตส่งเสริมสันติภาพระหว่างประชาชนของเขาและผู้ตั้งถิ่นฐานผิวขาว เขาไปเยือนวอชิงตันในฐานะตัวแทนของชนเผ่า และพยายามจัดตั้งโรงเรียนในอาณาเขตของซู

การมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหว "Dance of the Spirits"
ขบวนการศาสนาใหม่
เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ดีในการจอง ชาวอินเดียลาโกตาจึงสิ้นหวังอย่างยิ่ง ในปี พ.ศ. 2432 พวกเขากำลังมองหาวิธีแก้ไขอย่างสุดโต่งสำหรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นขบวนการที่เรียกว่า Spirit Dance ซึ่งเป็นศาสนาใหม่ที่สร้างขึ้นโดยผู้เผยพระวจนะ Wovoka จากเผ่า Paiute ใต้ บิ๊กฟุตและเผ่าของเขามีความกระตือรือร้นอย่างมากเกี่ยวกับพิธีร่ายรำวิญญาณ
แม้ว่ากฎการจองจะห้ามการนับถือศาสนา การเคลื่อนไหวก็แผ่ขยายไปทั่วค่ายอินเดีย ทำให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของอินเดียส่งเสียงเตือน ตัวแทนบางคนสามารถฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยได้ด้วยตนเอง คนอื่น ๆ ถูกบังคับให้ต้องขอความช่วยเหลือจากกองกำลังของรัฐบาลกลาง

คำเชิญของหัวหน้าเมฆแดง
หลังจากซิตติ้งบูลถูกฆ่าตายในเขตสงวน Standing Rock ในปี 1890 คนของเขาตัดสินใจขอความคุ้มครองจากบิ๊กฟุต ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2433 บิ๊กฟุตนำชนเผ่าไปทางใต้ไปยังเขตสงวนไพน์ริดจ์ซึ่งเขาได้รับเชิญจากหัวหน้าเมฆแดง Red Cloud หวังว่า Big Foot ผู้นำที่มีอำนาจจะช่วยให้เขาสร้างสันติภาพ และบิ๊กฟุตก็หวังที่จะหาที่หลบภัยที่ไพน์ริดจ์ คนของเขาจะไม่สู้รบกับทหารและกำลังเดินทัพด้วยธงขาว

การสังหารหมู่ที่หัวเข่าที่ได้รับบาดเจ็บ
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ทหารม้าที่ 7 ได้สกัดกั้นชนเผ่าของ Big Foot ระหว่างทางไปยัง Pine Ridge ผู้นำป่วยหนักด้วยโรคปอดบวม ยอมจำนนโดยไม่มีการต่อต้าน ทหารม้าพาชาวอินเดียนไปที่ Wounded Knee ซึ่งเป็นที่ตั้งของค่าย ในตอนกลางคืน บิ๊กฟุตและคนของเขาตั้งค่ายและล้อมรอบด้วยทหารติดอาวุธอย่างดี พันเอกเจมส์ ฟอร์ซิธมาถึงในตอนเช้าและเข้าบัญชาการกองทัพ ก่อนออกเดินทาง เขาสั่งให้นำอาวุธออกจากชาวอินเดียนแดง แต่หลังจากการยิงโดยบังเอิญ ทหารได้เปิดฉากยิงใส่ชาวซูที่ปราศจากอาวุธด้วยปืนใหญ่ ปืนไรเฟิล และปืนพก 153 ชายหญิงและเด็กเสียชีวิตในการสังหารหมู่
ในหมู่พวกเขาคือบิ๊กฟุต