ถามนักบวชว่าการต่อสู้ภายในของวิญญาณคืออะไร เกี่ยวกับสงครามจิตวิญญาณในโลกสมัยใหม่

ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธความรู้
แล้วเราจะปฏิเสธเจ้าจากการเป็นปุโรหิตต่อหน้าเราด้วย
และเมื่อท่านลืมกฎแห่งพระเจ้าของท่านแล้ว ข้าพเจ้าก็จะลืมบุตรธิดาของท่านด้วย(โฮเชยา 4:6)

ผู้เชื่อสามารถเป็นผู้เสพติดไสยศาสตร์ได้หรือไม่?

ในคริสตจักรอีเวนเจลิคัล (แม้ว่าจะไม่ใช่เฉพาะในอีเวนเจลิคัลเท่านั้น) เราสามารถพบกับผู้คนที่มีปัญหาทางจิตวิญญาณบางประเภท ปัญหาทั่วไปเหล่านี้คือปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต "อดีต" (ก่อนชีวิตแห่งศรัทธาในพระเยซูคริสต์) เมื่ออยู่ภายใต้อิทธิพลของพลังปีศาจ ผู้คนกลายเป็นคนติดไสยศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอดีตผู้ติดสุรา ผู้ติดยา และอาชญากรมีจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีหลายคนในหมู่เยาวชนในปัจจุบันซึ่งตั้งแต่อายุยังน้อยได้สัมผัสกับ "เสน่ห์" ของโลกนี้ แน่นอนว่ายังมีกลุ่มอายุอื่นๆ ด้วย คนเหล่านี้คือผู้ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลลึกลับไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ผู้ที่เคยติดต่อกับนักจิตวิทยา หมอดู หมอดู ดูดวงที่เชื่อถือได้ ถูกสะกดจิต ศึกษาเทคนิคไสยศาสตร์ต่างๆ ศาสนาตะวันออก หรือศิลปะการต่อสู้ ได้เข้าร่วมกิจกรรมลึกลับอื่นๆ หรือบางทีอาจเป็นเรื่องเครียดๆ หรือสถานการณ์การเขียนโปรแกรมก็ได้ พึ่งพาพลังวิญญาณที่มืดมิด หากบุคคลใดติดต่อกับโลกฝ่ายวิญญาณที่ตกสู่บาปโดยไม่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ก็ตาม เขาจะเสี่ยงต่ออันตรายที่แท้จริงของการพึ่งพาพลังแห่งความมืด โลกฝ่ายวิญญาณที่มืดมิดไม่ให้อภัยใครสำหรับความผิดพลาดหรือความไม่รู้กฎของมัน

การปฏิบัติของที่ปรึกษาหลายคนยืนยันว่ายังมีวิญญาณที่เฉพาะเจาะจงซึ่งแข็งแกร่งและร้ายกาจมากซึ่งสืบทอดมา: “เจ้าจะไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา อย่าทำรูปเคารพหรือรูปเคารพใดๆ ของสิ่งที่อยู่ในสวรรค์เบื้องบน และสิ่งที่อยู่บนแผ่นดินเบื้องล่าง และสิ่งที่อยู่ในน้ำเบื้องล่างสำหรับตนเอง อย่าบูชาพวกเขาและอย่ารับใช้พวกเขา เพราะเราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า พระเจ้าผู้หวงแหน ผู้ทรงลงโทษเด็กตามความผิดของบิดาจนถึงรุ่นที่สามและสี่ที่เกลียดชังเรา”(อพย. 20:3-5)

ผู้คนในโลกนี้ไม่ได้คิดถึงความจริงที่ว่าพวกเขาสามารถได้รับวิญญาณแห่งการผิดประเวณีและวิญญาณที่มากับมันผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่สำส่อน ไม่ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นอย่างไร น่าเสียดายที่การเสพติดภาพลามกอนาจารและอนาจารเสมือนจริงต่างๆ ได้กลายเป็นที่แพร่หลาย แม้แต่ในแวดวงคริสเตียน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า: “หรือท่านไม่รู้หรือว่าผู้ที่ร่วมประเวณีกับหญิงแพศยากลับเป็นร่างเดียวกันกับนาง?”(1 โครินธ์ 6:16) การผิดประเวณีเสมือนกล่าวอีกนัยหนึ่งคือตัณหาของดวงตาสามารถเปิดทางให้วิญญาณควบคุมบุคคลได้

การเจาะไม่เป็นอันตรายหรือไม่?

อิทธิพลของโลกฝ่ายวิญญาณที่มีต่อคนจำนวนมากยังเกิดขึ้นผ่านร่างกาย เช่น รอยสักและการเจาะที่ดูเหมือนไม่มีอันตราย พระคัมภีร์กล่าวว่า: “เพื่อประโยชน์ของผู้ตาย ห้ามเชือดร่างกาย และอย่าทิ่มแทงตัวเอง ฉันคือพระเจ้า"(เลวี. 19:28). อีกด้วย: “ท่านเป็นบุตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน อย่าเชือดร่างกายของเจ้า และอย่าตัดผมเหนือตาของเจ้าเพื่อคนตาย"(ฉธบ. 14:1)
ตามธรรมเนียมของศาสนานอกรีต รอยสักและบาดแผลบนร่างกายถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่คนตายหรือมีเป้าหมายที่จะเข้าสู่ภวังค์ในระหว่างการประชุมลึกลับและเข้าสู่การสื่อสารกับคนตาย (เรียกวิญญาณ) ซึ่งในตัวมันเองเป็นการหลอกลวงของซาตาน บุคคลที่มีชีวิตไม่สามารถสื่อสารกับคนตายได้ นักไสยศาสตร์ไม่ได้สื่อสารกับเขา แต่เรียกวิญญาณของผู้ตาย แต่กับปีศาจที่รู้จักผู้ตายดีหรืออาศัยอยู่ในเขา หลักคำสอนเรื่องการกลับชาติมาเกิด (การกลับชาติมาเกิดของจิตวิญญาณ) สร้างขึ้นจากการหลอกลวงซ้ำซากจำเจ พระเจ้าพระเจ้าเตือนผู้คนที่พระองค์ทรงเลือกไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับไสยเวทในรูปแบบใด ๆ เรียกสิ่งนี้ว่า "สิ่งที่น่ารังเกียจ"

ดินที่อุดมสมบูรณ์สำหรับการกระทำของวิญญาณแห่งความชั่วร้ายในจิตใจคือความรุนแรงความรู้สึกที่ได้รับบาดเจ็บและอารมณ์ ผู้เสพติดไสยศาสตร์อาจได้ยินเสียงต่างกัน มีบางอย่างผลักดันให้เขาทำบางอย่างซึ่งมักจะไร้เหตุผล เขาอาจประสบกับความแตกแยกหรือบุคลิกที่หลากหลาย ความกลัวที่ไม่มีสาเหตุ และภาวะซึมเศร้าประเภทต่างๆ

การเชื่อมโยงทางไสยศาสตร์เป็นบาปแห่งความน่าสะอิดสะเอียน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่วิญญาณชั่วร้ายได้รับโอกาสให้มีอิทธิพลไม่เพียงต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจิตวิญญาณของบุคคลด้วย พวกเขาใช้ทุกโอกาสเพื่อสร้างความเสียหายให้มากที่สุดและทำลายระบบป้องกันทั้งหมดของบุคคล โดยปกติในคนที่ขึ้นอยู่กับไสยศาสตร์กลไกทางจิตตามธรรมชาติจะได้รับผลกระทบ

น่าเสียดายที่หลายคน รวมทั้งชาวคริสต์ เชื่อว่าสิ่งเหนือธรรมชาติ (นอกโลก) เป็นสิ่งที่ห่างไกลและไม่น่าจะเป็นไปได้ มีทัศนะตามหลักเทววิทยาของลัทธิคาลวินว่า คริสเตียนที่รอดแล้วไม่สามารถถูกครอบงำหรือเสพติดอำนาจแห่งความมืดได้ น่าจะมี "สายเลือด" ที่ซาตานถูกห้ามไม่ให้เข้าไป ฉันเคยได้ยินข้อความที่คล้ายกันจากผู้เผยแพร่ศาสนาที่มีชื่อเสียงระดับโลก แต่ชีวิตจริงไม่ได้ยืนยันสิ่งนี้ เช่นเดียวกับที่เราไม่พบความชอบธรรมในพระคัมภีร์

ผีปอบเป็นความจริงตามวัตถุประสงค์

เนื่องจากความเครียด ตอนอายุยังน้อย ฉันจึงพูดไม่ออก หลังจาก “รักษา” ด้วยความช่วยเหลือของไข่ไก่โดยคุณยายหมอดูจากหมู่บ้านใกล้เคียงคำพูดกลับมาหาฉัน แต่ในไม่ช้าสิ่งแปลกประหลาดก็เริ่มเกิดขึ้นกับฉัน: ฉันฝันร้าย, ผีปอบปรากฏแก่ฉัน; ในช่วงต้นฉันตกเป็นเชลยของการติดสารเคมี เยี่ยมชมความคิดฆ่าตัวตายมีแม้กระทั่งความพยายามในการฆ่าตัวตาย มีญาณทิพย์ปรากฏปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอื่น ๆ เกิดขึ้น

หลังจากหันไปหาพระเจ้า ในปีแห่งการบัพติศมาของรัสเซีย (1988) สหัสวรรษของฉัน สภาพจิตใจของฉันทรุดโทรมลงอย่างมาก เป็นเวลานานฉันไม่สามารถหาความช่วยเหลือที่ฉันต้องการได้ คริสตจักร Evangelical Baptist ยังไม่ประสบปัญหาดังกล่าว ในการประชุมเชิงเทววิทยาที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี 1993 ฉันได้อ่านหนังสือเรื่อง Breaking the Fetters ของเอ็น. แอนเดอร์สัน เมื่อเริ่มอ่าน ฉันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้อยู่คนเดียว เมื่อตระหนักถึงสถานการณ์นั้น เจ็ดปีหลังจากการกลับใจ ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาได้รับอิสรภาพจากการเสพติดไสยศาสตร์ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ฉันต้องปรึกษากับคนที่มีปัญหาเรื่องไสยศาสตร์ อาจมีคนสงสัยว่ามีกี่คนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบคริสเตียน

หลายคนยังไม่เข้าใจว่าโลกรอบตัวเราเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตทางจิตวิญญาณต่าง ๆ มากมายที่คอยติดตามการกระทำของแต่ละคน ซาตานไม่ได้อยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง แต่ในโลกฝ่ายวิญญาณที่มีโครงสร้างแข็งแกร่ง เขามีผู้ช่วยมากมายในระดับต่างๆ - “วิญญาณชั่วร้ายในสวรรค์”(อฟ. 6:12).

เมื่อคนที่ประมาทเลินเล่อและไม่เข้าใจในเรื่องจิตวิญญาณติดต่อกับกองกำลังแห่งความมืดอย่างวางใจพวกเขาทันทีเข้ายึดสถานที่หนึ่งในจิตใต้สำนึกของเขา เมื่อทำลายบาเรียตามธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง พวกเขาจะได้รับโอกาสให้มีผลถาวรต่อจิตสำนึก ดังนั้นจึงมีผลกระทบทางลบต่อจิตวิญญาณมนุษย์ มนุษย์อาศัยอยู่ในสองมิติ บางทีเขาอาจยังไม่ถูกครอบงำ แต่อยู่ในขอบเขตแล้วขึ้นอยู่กับพลังแห่งความชั่วร้าย พยายามควบคุมการกระทำของเขาอย่างสมบูรณ์เพื่อเร่งความตายทางร่างกาย นอกร่างกาย วิญญาณสูญเสียความเป็นไปได้ของความรอด

วิธีเดียวและมีประสิทธิภาพในการปกป้องตนเองจากอิทธิพลลึกลับคือหันไปหาพระเจ้าและยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระเจ้าส่วนตัวของคุณ สิ่งนี้มักเกิดขึ้นหลังจากที่บุคคลหนึ่งตระหนักว่าเขาเป็นคนบาป แต่ถ้าทันทีหลังจากที่หันไปหาพระเจ้าแล้วไม่มีการรับรู้ถึงความบาปของการกระทำที่ลึกลับครั้งก่อน การกลับใจและการเลิกรากับงานแห่งความมืด ซาตานจึงพยายามข่มเหงนักโทษเป็นเวลานาน เขาพยายามหลอกลวงและหลอกลวงพวกเขาแม้ว่าพวกเขาจะเป็นคริสเตียนแล้วก็ตาม

ดังนั้น สำหรับผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่บางคนซึ่งก่อนหน้านี้มีสายสัมพันธ์ลึกลับ หลังจากหันไปหาพระเจ้า สภาพจิตใจของพวกเขาแย่ลงอย่างมาก ซาตานกดดันพวกเขาอย่างหนัก และชีวิตของพวกเขาก็กลายเป็นนรกที่แท้จริง ในการค้นหาการปลดปล่อย พวกเขารีบเร่งจากนิกายหนึ่งไปยังอีกนิกายหนึ่ง เป็นไปไม่ได้เสมอที่พวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และมันเกิดขึ้นที่คนเหล่านี้เสียชีวิตโดยสมัครใจ

ครั้งหนึ่ง คริสเตียนที่ตัดเส้นเลือดของเขาถูกพาไปหาเพื่อนของฉัน รัฐมนตรีของโบสถ์ ECB จาก Rostov เพื่อขอคำปรึกษา ระหว่างสนทนาปรากฏว่าเคยเป็นนักโทษมาก่อน ด้วยวิธีนี้เขาประท้วงการกระทำของเพื่อนร่วมงานในที่ทำงาน ปรากฎว่าก่อนที่จะหันไปหาพระเจ้า เขามีวัยเด็กที่ยากลำบากมากและเขาดำเนินชีวิตต่อต้านสังคม หลังจากสนทนากับรัฐมนตรี ดูเหมือนเขาจะสงบลงและสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายตัวเองอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันต่อมา รัฐมนตรีได้รับแจ้งว่าชายคนนั้นได้แขวนคอตายแล้ว เห็นได้ชัดว่าความขัดแย้งภายในยังคงดำเนินต่อไป และการประท้วงของชายผู้นี้ก็มีรูปแบบที่รุนแรง

ในสงครามเช่นเดียวกับในสงคราม

โดยการวางใจในพระคริสต์ เราอยู่บนเส้นทางของการชำระให้บริสุทธิ์และทำสงครามกับความชั่วร้าย บาป และเนื้อหนังของเราเอง แต่ในสงคราม เช่นเดียวกับในสงคราม อะไรก็เกิดขึ้นได้ ซาตานเป็นศัตรูตัวฉกาจและเจ้าเล่ห์มาก เป็นความคิดของเขาที่ว่าหลังจากการกลับใจและการเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระคริสต์ ผู้เชื่อได้รับการปกป้องจากการหลอกลวง ความคิดนี้เป็นอันตรายในตัวเอง “จงมีสติสัมปชัญญะ จงระแวดระวัง เพราะมารศัตรูของเจ้าเดินไปมาราวกับสิงโตคำราม มองหาใครสักคนที่จะกัดกิน ต่อต้านเขาด้วยศรัทธาอันแน่วแน่"(1 ปต. 5:8,9).

แม้แต่ผู้ที่เปลี่ยนใจเลื่อมใสมาสู่พระคริสต์อย่างจริงใจก็สามารถถูกวิญญาณของมารหลอกหลอกลวงได้ วิญญาณที่ไม่ได้รับการยืนยันไม่ทราบว่าพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเท็จจะเกิดขึ้นจากท่ามกลางคริสเตียนอย่างแม่นยำและนำคนจำนวนมากออกจากเส้นทางที่แท้จริงด้วยเครื่องหมายเหนือธรรมชาติและการอัศจรรย์เท็จ (มัทธิว 24:24; 1 ทธ. 4:1; 2 ปต. 2: 1).

ผู้รับใช้ของซาตาน วิญญาณแห่งความมืดสามารถหลอกลวงบุคคลและปรากฏเป็นทูตสวรรค์แห่งความสว่างได้อย่างง่ายดาย พวกเขามักจะแสร้งทำเป็นเป็นผู้ส่งสารของพระคริสต์หรือแม้แต่ตัวของพระคริสต์เอง (2 โครินธ์ 11:13-15) เหล่านี้คือวิญญาณที่เย้ายวน ผู้นำของคำสอนอื่น วิญญาณอีกดวงหนึ่ง ครูอีกคนหนึ่ง ที่กล่าวคำเท็จโดยเด็ดขาด ในความเขลาทางจิตวิญญาณ ผู้คนที่ไม่สงสัยกลอุบายสกปรก ตกหลุมพรางอันชาญฉลาด

คริสเตียนคนหนึ่งซึ่งต้องการสัมผัสกับวิญญาณแห่งการเผยพระวจนะได้เข้าหาพี่บ่าวจากวินนิตซา หลังจากการสวดอ้อนวอนเพื่อไม่ล่อใจที่ปรึกษา ผู้รับใช้ที่มีประสบการณ์หันไปหาคริสเตียนที่คุกเข่าและถามเป็นภาษาอังกฤษว่า “พระวิญญาณที่พยากรณ์ผ่านทางพี่ชายไวทาลี คุณจำพระบุตรของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ซึ่งเสด็จมาบนแผ่นดินโลกได้หรือไม่ ถูกตรึงกางเขนภายใต้ปอนติอุสปีลาตและลุกขึ้นในวันที่สามเป็นของคุณเองหรือพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด? แทนที่จะตอบ วิญญาณกลับโยนคริสเตียนลงกับพื้น แล้วตอบด้วยภาษารัสเซียล้วนๆ แต่พิมพ์ไม่ได้ทางปาก คริสเตียนสารภาพทันทีและละทิ้งวิญญาณที่โกหก

สำหรับผู้ไม่เชื่อและคริสเตียนส่วนใหญ่ การกระทำของการชี้นำทางจิตวิญญาณนั้นเข้าใจยาก พวกเขาไม่เข้าใจสาระสำคัญของกิจกรรมการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกที่วางแผนไว้อย่างดีซึ่งเกิดขึ้นในระดับโลก ก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์บนโลก ซาตานพยายามหลอกลวง แม้กระทั่งผู้ที่ทรงเลือกไว้ด้วยความโกรธ หากเป็นไปได้

เป้าหมายและความเป็นไปได้ของวิญญาณที่ร่วงหล่น

ของประทานแห่งการหยั่งรู้วิญญาณมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในสภาพปัจจุบัน พระคัมภีร์เรียกให้เราทดสอบวิญญาณ (1 ยอห์น 4:1) วิญญาณชั่วร้ายไม่สามารถทนต่อการทดสอบของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ พวกเขาไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ผู้มาบังเกิดเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อสังเกตการกระทำของคนบางคน จำเป็นต้องวิเคราะห์ให้ถูกต้องว่าพวกเขานำผลฝ่ายวิญญาณอะไรมาในชีวิต (มธ. 7:16) และสรุปผลที่เหมาะสม

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ขุ่นเคืองในกรณีนี้ เพราะพระเจ้าปรารถนาให้เราซึ่งเป็นบุตรธิดาของพระองค์อยู่ในความจริง การสื่อสารในพระวิญญาณอยู่กับวิญญาณของเราเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยจิตวิญญาณหรือร่างกายของเรา ดังนั้น วันนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ (โรม 8:1,2) และใช้ความคิดใหม่อย่างถ่อมใจในการรู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้า (โรม 12:1-3)!

คริสเตียนทุกคนต้องมีการต่อสู้ระหว่างวิญญาณกับเนื้อหนัง แต่เมื่อลงมือบนเส้นทางแห่งการติดตามพระเจ้า จำเป็นต้องปฏิเสธเนื้อหนังที่เป็นบาปและเดินตามเส้นทางแห่งการเติบโตฝ่ายวิญญาณ “ถึงขนาดสูงสุดของพระคริสต์”(อฟ. 4:12). ปฏิเสธตัวเอง แบกกางเขนและติดตามพระเยซูคริสต์ (ลูกา 9:23, 24)

หากด้วยเหตุผลบางอย่างในธรรมชาติของบุคคล ก่อนหรือหลังจากที่เชื่อ วิญญาณชั่วมีโอกาสที่จะกระทำการ พวกเขาก็จะไม่จากไปโดยอัตโนมัติ จำเป็นต้องทำลายความสัมพันธ์ที่ให้สิทธิ์ในการโน้มน้าวบุคคล สันนิษฐานได้ว่าปีศาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับความล้มเหลวหลายอย่างในชีวิตของเรา เป็นไปได้มากที่พวกเขาจะผลักดัน ล่อใจ และกระตุ้นให้ผู้คนตัดสินใจผิดพลาดหรือไม่ฉลาด พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อทำให้สภาพของผู้ที่ประสบปัญหาบางอย่างแย่ลงไปอีก

จุดประสงค์ของผู้รับใช้ของซาตานคือการทำลายงานของพระเจ้าและขัดขวางพระประสงค์ของพระเจ้า พวกเขาพยายามสร้างฐานที่มั่นทั้งในชีวิตของคริสเตียนแต่ละคนและในคริสตจักรหรือองค์กรคริสเตียน ด้วยฐานที่มั่นดังกล่าว ปีศาจสามารถรวมตัวกันจำนวนมากขึ้น และด้วยเหตุนี้จึงมีอิทธิพลต่อบุคคลหรือกลุ่มคนมากขึ้น

แน่นอน ปีศาจสามารถใส่ความนึกคิดบางอย่างในใจเราได้ แต่ในกรณีนี้ ความรับผิดชอบในการกำจัดความคิดเหล่านี้ตกอยู่กับเรา (2 โครินธ์ 10:4,5) เนื่องจากปิศาจรู้จุดอ่อนของเราเป็นอย่างดี พวกมันจึงปรับความคิดของตนให้เข้ากับวิธีคิดของเราอย่างรอบคอบ ด้วยความหวังว่าจะทำให้ชายคนหนึ่งล้มลง พวกเขาจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อล่อใจเขา พวกเขายึดติดกับปัญหาที่มีอยู่แทนที่จะสร้างปัญหาใหม่ ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถซ่อนอยู่เบื้องหลังได้สำเร็จ หากผู้คนสามารถอธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นในลักษณะ "ธรรมชาติ" ได้ พวกเขาก็ไม่น่าจะมองหาอย่างอื่น

ปีศาจป้องกันไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้พระเจ้าหรือทำในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้พวกเขาทำ พวกเขาป้องกันไม่ให้ผู้ไม่เชื่อเชื่อในพระเจ้า (2 โครินธ์ 4:4) สำหรับผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้เชื่อ พวกเขาทำให้จิตใจมืดบอด (2 คร. 3:14) พวกเขาทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อบ่อนทำลายศรัทธาของคริสเตียน ประการแรก พวกเขารบกวนการนมัสการ การอธิษฐาน การอ่านพระคัมภีร์ การสำแดงความรักและความเมตตา

ฆ่าเหยื่อที่ได้รับบาดเจ็บ

แต่กลยุทธ์หลักของปีศาจคือการหาจุดอ่อนในตัวบุคคลและใช้ประโยชน์จากมัน ยิ่งบุคคลค้นพบจุดอ่อนมากเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นที่จะเป็นสาเหตุของการโจมตีของศัตรู ปีศาจเป็นเหมือนสัตว์นักล่าที่เลวทรามซึ่งครั้งหนึ่งได้กลิ่นเลือดแล้ว ทำทุกอย่างเพื่อกำจัดเหยื่อที่บาดเจ็บ หากพวกเขาล้มเหลวในการฆ่า พวกเขาจะพยายามทำร้ายเธอให้มากที่สุด

โดยปกติปีศาจมักจะทำให้ปัญหารุนแรงขึ้นจนคนเลิกต่อสู้ในความสิ้นหวัง ดังนั้น ซาตานซึ่งผู้เคราะห์ร้ายไม่อาจสงสัยได้ก็ได้รับชัยชนะ ไม่เข้าใจผลกระทบทางจิตวิญญาณ หลายคนสูญเสียความหวังทั้งหมด เชื่อว่าพวกเขาสูญเสียจิตใจ การทำงาน "เบื้องหลัง" ให้กับเหล่าปีศาจนั้นช่างน่ายินดีจริงๆ พวกเขาสนับสนุนให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อแสดงปฏิกิริยาในลักษณะที่เป็นอันตรายต่อพวกเขา และทรมานพวกเขาด้วยความรู้สึกผิด

วิญญาณชั่วร้ายกล่าวหาเสมอและในทุกวิถีทาง กลวิธีที่พบบ่อยที่สุดคือการโน้มน้าวให้คนๆ หนึ่งว่าเขา คนอื่น หรือพระเจ้าถูกตำหนิสำหรับชีวิตที่พังพินาศ สุขภาพไม่ดี ความรักที่ล้มเหลว เนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้ คนๆ หนึ่งจึงเริ่มปฏิเสธและเกลียดตัวเอง พวกปิศาจพร้อมทำงานบนเหตุดังกล่าวเพื่อทำให้การตำหนิตนเองรุนแรงขึ้น พวกเขาสนับสนุนข่าวลือและความคิดเห็นที่เป็นเท็จ หลงระเริงไปกับความเข้าใจผิด แสดงความโกรธและการกล่าวหาพระเจ้า

ความกลัว ความรู้สึกผิด หรือความละอายทำให้ผู้คนไม่หันไปขอความช่วยเหลือจากคริสเตียนที่มีประสบการณ์มากขึ้น วิญญาณแห่งความเท็จทำให้พวกเขาพูดเท็จซึ่งทำลายพวกเขา วันแล้ววันเล่า ผู้คนได้ยินความคิดเชิงลบเกี่ยวกับตนเอง เกี่ยวกับผู้อื่น และเกี่ยวกับพระเจ้าในจิตใจของพวกเขา พวกเขาเคยชินกับการโกหกที่พวกเขาไม่รู้ที่มาของมัน หลังจากหลายปีของการอยู่ร่วมกับวิญญาณที่ไม่สะอาด ผู้คนเริ่มคุ้นเคยกับปฏิกิริยาผิดๆ ของพวกเขาจนพวกเขาคิดว่ามันเป็นธรรมชาติและไม่ได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการขอความช่วยเหลือโดยตรงจากแพทย์สวรรค์

บางครั้งฉันปวดหัวอย่างรุนแรง จากภายในโดยสัญชาตญาณฉันเข้าใจว่าความเจ็บปวดนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากโรค ดูเหมือนว่าสิ่งที่เข้าใจยากบางอย่างฝังอยู่ในหัวของฉัน ซึ่งทำให้สมองของฉันแตกเป็นเสี่ยง ความเจ็บปวดนั้นเหลือทน

โดยปกติในกรณีเช่นนี้ ฉันพยายามโทรหาเพื่อนหรือคนรู้จักที่เป็นคริสเตียนของฉันเพื่อขอให้พวกเขาอธิษฐานเผื่อฉัน ถ้าเป็นไปได้ เพื่อพวกเขาจะได้อธิษฐานในโบสถ์ด้วย ตามกฎแล้วหลังจากนั้นไม่นานความเจ็บปวดก็หายไป เพื่อนศิษยาภิบาลแนะนำให้ฉันต่อต้านการกระทำของวิญญาณชั่วร้ายเป็นการส่วนตัวและประกาศว่าชัยชนะของพระเยซูคริสต์ขยายไปสู่ร่างกายของฉัน

ในไม่ช้าฉันก็รู้สึกปวดหัวที่คุ้นเคยอีกครั้ง ฉันอ่อนแอมากจนลุกจากเตียงไม่ได้แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หลายครั้งที่ฉันพูดเสียงกระซิบนั้นยาก ฉันได้ประกาศชัยชนะของพระเยซูคริสต์ในชีวิตของฉัน โดยเสริมว่าสิ่งนี้ขยายไปถึงเนื้อหนังของฉัน ปีศาจถูกขับออกจากจิตใจของฉันและความเจ็บปวดก็หายไป หลังจากนั้น สถานการณ์ที่คล้ายกันก็เกิดขึ้นซ้ำๆ หลายครั้ง จนกระทั่งมันหายไปอย่างสมบูรณ์

สาเหตุของการเจ็บป่วยและความแตกแยก

เหนือสิ่งอื่นใด ปีศาจทำให้การพึ่งพาอาศัยทั้งดีและชั่วรุนแรงขึ้น เพื่อเพิ่มการพึ่งพาอาศัยกัน พวกเขาใช้จุดอ่อนของบุคคลหรือจุดแข็งของเขา รากเหง้าของข้อจำกัดและการขาดอิสระอยู่ในความกลัว ความสงสัยในตนเอง และความรู้สึกต่ำต้อย เพื่อผูกมัดบุคคล ปีศาจใช้อารมณ์ภายในที่ดีสำหรับพวกเขาอย่างช่ำชอง เพื่อทำให้เขา "แข็งแกร่ง" พวกเขาเสริมความมั่นใจของบุคคลในความนับถือตนเองและความสามารถส่วนบุคคลที่ถูกต้อง ดังนั้น คริสเตียนจึงไม่รู้สึกไวต่อเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และถือว่าการกระทำทางเนื้อหนังของเขาเป็นการทรงนำของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ดับแล้ว และมโนธรรมของบุคคลดังกล่าวจะกลายเป็นสิ่งชั่วร้ายหรือถูกเผา ด้วยเหตุนี้ หากพวกเขาเป็นสมาชิกธรรมดา จะถูกขับออกจากคริสตจักร หากพวกเขาดำรงตำแหน่งผู้นำ คริสตจักรต่างๆ จะประสบกับความแตกแยกที่เจ็บปวด

เป็นเรื่องยากมากที่ผู้คนจะได้รับอิทธิพลจากปีศาจจากการกบฏทางวิญญาณหรือความผิดพลาด บ่อยครั้งที่การติดต่อครั้งแรกกับปีศาจเกิดขึ้นจากความรุนแรงที่กระทำต่อบุคคล เมื่ออยู่ในบุคลิกภาพแล้ว ปีศาจจะเร่งรวบรวมและขยายอาณาเขตที่ถูกยึดครอง ท้ายที่สุดแล้ว วิญญาณที่อยู่ภายในบุคคลนั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของปีศาจที่สูงกว่าภายนอกบุคคล โดยปกติพวกเขาไม่สามารถออกไปได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก "ผู้บังคับบัญชา" ของพวกเขา ดังนั้นเมื่ออธิษฐานเพื่อปลดปล่อยผู้แบกรับภาระ เราควรทำลายแนวดิ่งของพลังวิญญาณทุกแนวเพื่อตัดปีศาจภายในออกจากการสนับสนุนจากภายนอก เป็นการดีที่สุดถ้าคนแบกภาระขอด้วยตัวเอง

ในโบสถ์แห่งหนึ่งใน Zhytomyr มีวัยรุ่นคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกชายของรัฐมนตรีคนหนึ่ง ดูถูกน้องชายของซาตานท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ข้างๆ หลังจากนั้นไม่นาน เด็กวัยรุ่นคนนั้นก็โคม่า และในระหว่างวันเขามีอาการชักมากกว่า 20 ครั้ง คล้ายกับอาการลมบ้าหมู คริสตจักรประกาศอดอาหารและอธิษฐาน พี่น้องจากคริสตจักรอื่นมาอธิษฐานเผื่อเด็กชาย ระหว่างการสวดอ้อนวอน เด็กชายรู้สึกดีขึ้น

สิ่งนี้ดำเนินต่อไปเกือบสองสัปดาห์ ครอบครัวนี้ทำหน้าที่ตลอดเวลาที่ข้างเตียงของเด็ก ระหว่างการสวดอ้อนวอนของเรา พระองค์ทรงลืมตา และข้าพเจ้าเห็นการจ้องมองอย่างมีสติของเขา จากนั้นฉันก็ถามเด็กชายว่า "คุณอยากหายจากโรคไหม" เขาพยักหน้ายืนยัน “จากนั้นขอให้พระเยซูคริสต์ทรงปกป้องและปลดปล่อยคุณ” ข้าพเจ้ากล่าว

เด็กชายกระซิบอย่างยากลำบาก "ฉันขอร้อง พระเยซูคริสต์ โปรดคุ้มครองและช่วยกู้ฉัน" หลังจากนั้นเขาก็ผล็อยหลับไปและหลับไปมากกว่าหนึ่งวัน ฉันบอกพ่อแม่ว่าลูกชายควรอุทิศชีวิตให้พระเยซูคริสต์ ไม่นานเขาก็มาหาฉันและอธิษฐานอย่างตั้งใจเพื่ออุทิศตัวแด่พระเยซูคริสต์

ปีศาจใช้กลยุทธ์ความกลัว ผู้คนมักไม่เข้าใจว่าการมีหรือไม่มีอสูรในตัวพวกเขานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภาวะทางวิญญาณโดยทั่วไปเสมอไป ท้ายที่สุด แม้แต่คริสเตียนที่ "เหนือจิตวิญญาณ" ก็มีอาการน้ำมูกไหลได้! จริงอยู่หากไม่รักษาอาการน้ำมูกไหลอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ดังนั้น ในกรณีที่มีความผิดปกติใดๆ คริสเตียนฝ่ายวิญญาณรู้อยู่เสมอว่าเขามีที่อยู่ของหมอของเขา และเขาสามารถหันไปหาพระองค์ได้ โทรศัพท์ของคุณหมอทำงานตลอดเวลา พระองค์พร้อมเสมอที่จะรับเรา

มีอีกมาก เป็นการสะดวกเสมอที่จะตำหนิปีศาจสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตตามเนื้อหนังและลักษณะนิสัย คริสเตียนเหล่านี้คุ้นเคยกับขยะทางอารมณ์จนไม่อยากเปลี่ยนแปลงและแยกจากกัน แต่คุณควรรู้ว่าการใช้ชีวิตตามเนื้อหนังไม่ได้รับประกันว่าจะหลุดพ้นจากการหลอกลวงของปีศาจ

ควรสังเกตว่าปีศาจสามารถอาศัยอยู่ในบุคคลได้ก็ต่อเมื่อตรงตามเงื่อนไขสองประการ:

ก) พวกเขาต้องหาวิธีที่จะเจาะเข้าไป: ความรู้สึกที่ได้รับบาดเจ็บ (ความรุนแรง), อารมณ์เชิงลบ, บาปทันที, รูปเคารพ, ไสยเวท, ศาสนาเท็จ, การล่อลวง, ซาตาน, ความสามัคคี, วิญญาณของชนเผ่า, คำสาป ฯลฯ อาจมีหลายพันวิธีดังกล่าว

ข) ปีศาจจำเป็นต้องมีพื้นฐานที่บัญญัติไว้สำหรับพวกเขาโดยกฎแห่งจักรวาล ความยินยอมของเหยื่อ ซึ่งช่วยให้พวกเขายังคงอยู่ในร่างมนุษย์

เงื่อนไขทั้งสองนี้จะเป็นไปตามเงื่อนไขหากบุคคลไม่แสวงหาการหลุดพ้นจากบาป ไม่เชื่อฟัง และไม่ต้องการแยกส่วนกับ "ขยะ" ทางจิตใจหรือทางวิญญาณ ขยะทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อและที่พักพิงของวิญญาณชั่วร้าย นั่นคือคนที่ถูกหลอกโดยไม่รู้ตัวไม่ต้องการแยกจากปีศาจ มีหลายกรณีในการปฏิบัติของฉัน เมื่อได้รับการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว ผู้คนไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามเส้นทางแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ในทันที

หลักการและวิธีการปลดปล่อย

หลังจากตระหนักถึงการหลอกลวงและภาระของวิญญาณชั่วร้ายแล้ว บุคคลควรกลับใจและสารภาพบาปลึกลับและบาปอื่นๆ นั่นคือความลับทุกอย่างจะต้องถูกค้นพบและเปิดเผย วิญญาณแห่งความชั่วร้ายในสวรรคสถานไม่สามารถรับความสว่างจากสวรรค์ได้ พวกมันกระทำในความเขลาและในความมืด

การต่อสู้ที่แท้จริงกับผลกระทบที่เกิดขึ้นในระดับของคำ คำพูดและการกระทำของการสละซาตานเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการปกป้องจากการหลอกลวงและการครอบครอง พระวจนะของพระเจ้าสั่งให้ "ต่อต้านมาร" นั่นคือเพื่อต่อต้านพลังภายในและภายนอกทั้งหมดของเรา - วิญญาณ, จิตวิญญาณ, ความคิด, เจตจำนง, ความรู้สึก, คำพูดและการกระทำ ในการเผชิญหน้าครั้งนี้ การสละช่วยทำลายความสัมพันธ์ที่สมัครใจและไม่สมัครใจกับวิญญาณแห่งความชั่วร้าย และช่วยให้บุคคลเข้าถึงแสงสว่างของพระเจ้าได้

ในพันธสัญญาเดิม ภายใต้กฎของโมเสส บาปที่น่าชิงชังมีโทษถึงตาย และไม่มีเครื่องบูชาสำหรับพวกเขา (อิส. 22:18; เลวี. 20:27) บาปดังกล่าวรวมถึงการใช้เวทมนตร์คาถา เวทมนตร์คาถา การทำนายดวงชะตา การสะกดจิต ลัทธิเชื่อผี และรูปแบบต่างๆ มากมายของไสยศาสตร์ (ฉธบ. 18:10,11; วว. 2:23,24; 9:20,21; 21:8)

ความกลัวหายไปเกือบหมดในคนเหล่านั้นที่ตระหนักว่าศัตรูมีกำลังน้อยเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับพระเจ้า ไม่ควรประมาทเพราะอำนาจอยู่ในการหลอกลวง อันที่จริง ศัตรูมีพลังน้อยกว่าคนที่เขาอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ช่วยให้เขามีเหนือเขาได้ การต่อสู้ดำเนินต่อไปจนกว่าความประสงค์ของมนุษย์จะอยู่ฝ่ายพระเจ้า และถ้าคน ๆ หนึ่งตั้งใจชี้นำความประสงค์ของเขาต่อพวกปีศาจพวกเขาจะถูกบังคับให้ออกไป ท้ายที่สุด คนส่วนใหญ่ที่แสวงหาความช่วยเหลือทางวิญญาณจากที่ปรึกษาได้ตัดสินใจหันไปขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าแล้ว

เมื่อชายที่ถูกผีสิงถูกพามาหาพระเยซูเพราะเหล่าสาวกไม่สามารถปลดปล่อยพระองค์ได้ พระเจ้าตรัสว่าคนประเภทนี้ถูกขับไล่โดยการอธิษฐานและการอดอาหารเท่านั้น (มัทธิว 17:14-21) แต่พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและทรงทราบความต้องการของมนุษย์ล่วงหน้า และเราต้องหาข้อมูลระหว่างการปรึกษาหารือ ดังนั้นเมื่อให้คำปรึกษาผู้ป่วยทางวิญญาณ อย่างแรกเลย จำเป็นต้องค้นหาว่าปัญหาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยทางจิตบางประเภทบนพื้นฐานทางสรีรวิทยาหรือด้วยการแสดงออกของธรรมชาติเก่าที่ไม่ถูกตรึงกางเขนหรือไม่ ในกรณีเหล่านี้ งานให้คำปรึกษาจะต้องดำเนินการในลักษณะที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เป็นไปได้ว่าคนที่แบกรับภาระนั้นยังไม่เกิดอีก ดังนั้นในช่วงเริ่มต้นของการวินิจฉัย เขาต้องนำเสนอข่าวประเสริฐด้วยวิธีที่เข้าถึงได้ง่ายมาก

หากปราศจากการกลับใจก็ไม่มีการให้อภัย

พระคำของพระเจ้าไม่ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการชำระอดีตของเราจากภาระของปีศาจ นี่เป็นหนึ่งในความลับของโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเราต้องเข้าใจผ่านการร่วมมือกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าได้ประทานทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับความเป็นพระเจ้าและชีวิตที่ครบบริบูรณ์ ของเขา “การเจิมสอนเราทุกอย่าง”(1 ยอห์น 2:27) พระกิตติคุณเต็มไปด้วยตัวอย่างว่าผู้คนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างไร ที่นี่คุณไม่สามารถใช้คำแนะนำที่เปลี่ยนเป็นพิธีการในที่สุด พระเจ้าไม่ได้ทำตามแบบแผน แต่เฉพาะกับเราแต่ละคนเท่านั้น! และพระองค์ทรงเจิมเราด้วยพระวิญญาณของพระองค์ (ลูกา 10:17,19) ทำให้เรามีสิทธิ์ที่จะเหยียบย่ำพลังของศัตรู ผูกมัดและปลดปล่อย (มัทธิว 16:19; 18:18; ยอห์น 20:23) สร้างพระองค์ ทำงานและทำลายงานของมาร อาวุธแห่งการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณของเรากับพลังแห่งความมืดมีระบุไว้ในสาส์นของอัครสาวกเปาโลถึงชาวเอเฟซัส (6:11-18)

ในพระไตรปิฎก ผู้คนได้รับคำสั่งให้กลับใจ (กิจการ 17:30,31) แต่ไม่มีขั้นตอนในการทำเช่นนี้โดยละเอียด (ในโบสถ์หรือที่บ้าน ไปที่ธรรมาสน์หรือยืนอธิษฐานอยู่นิ่งๆ มี ไม่มีข้อความมาตรฐานของคำอธิษฐานของการกลับใจ) ตามตัวอักษรของพระคัมภีร์และการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้คนปฏิบัติตามสถานการณ์ แต่ไม่ใช่จดหมายที่ทำงาน แต่เป็นพระวิญญาณ และพระเจ้าชุบชีวิตผู้คนที่กลับใจอย่างจริงใจ แต่หากไม่มีการกลับใจก็ไม่มีการให้อภัย บาปที่ไม่สำนึกผิดไม่สามารถอภัยได้! และบ่อยครั้งที่คนแบกรับภาระด้านไสยเวทไม่รู้เลยว่าพวกเขาต้องกลับใจจากอะไร โดยเฉพาะสิ่งนี้เกิดขึ้นกับฉัน เป็นเวลานานมากที่ฉันไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของบาป รวมทั้งการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการทดแทนและการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ จิตใจของฉันถูกปิดกั้นและการรับรู้ของฉันก็ปัญญาอ่อน นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ติดไสยศาสตร์ การกลับใจโดยทั่วไปสำหรับบาปที่ไม่รู้จักไม่ได้ให้การปลดปล่อยอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นหลังจากการกลับใจ ฉันอ่านคำทำนายดวงชะตาและวรรณกรรมลึกลับ โดยไม่ได้ถือว่ามันเป็นบาปจริงๆ

ความเข้าใจในพระคัมภีร์เรื่องการกลับใจคือการเปลี่ยนความคิด แม้ว่าการบังเกิดใหม่จะเกิดขึ้นทันที แต่การเปลี่ยนใจเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่ยาวนานจากความร่วมมือของมนุษย์กับพระเจ้า ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลง:

ก) โลกทัศน์หรือการรับรู้ภาพของโลก

ข) ระบบค่านิยมส่วนบุคคล

ค) พฤติกรรม

บ่อยครั้งที่นี่เป็นกระบวนการที่ค่อนข้างยืดเยื้อและยากซึ่งบุคคลที่เกิดใหม่จะต้องมีส่วนร่วม หลักการของการกระทำที่ทำงานเหมือนด้ายสีแดงในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด หลักการเดียวกันนี้ใช้กับการทำงานเพิ่มเติมในการปลดปล่อยจากภาระลึกลับ

ทำลายโซ่ตรวนแห่งความเท็จ

โดยอาศัยพระคัมภีร์และการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเป็นอิสระจากอิทธิพลของอำนาจแห่งนรกโดยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าซึ่งดำเนินการในการปลดปล่อยภาระลึกลับ เราเสี่ยงที่จะเป็นเหมือนพวกฟาริสีที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผลที่ตามมาของการปฏิเสธพระเจ้าคือการหลอกลวงและการตาบอดทางวิญญาณ ผู้ให้คำปรึกษาควรตระหนักว่าผู้ที่มีภาระด้านไสยศาสตร์ต้องใช้เวลานานกว่าจะเข้าใจความจริงของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์

พระเจ้าเปิดเผยแก่เราว่าสงครามที่ไม่หยุดยั้งของเราไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้คน แต่กับวิญญาณแห่งความชั่วร้ายในที่สูง (อฟ. 6:12) คำกล่าวอ้างของคริสเตียนว่าพวกเขาไม่ต้องการรู้อะไรเกี่ยวกับซาตานเป็นหลักฐานอยู่แล้วว่าเขาหลอกลวงพวกเขา เนื่องจากซาตานเป็นบุคคลฝ่ายวิญญาณ วิธีจัดการกับมันจึงเป็นทางวิญญาณด้วย (2 โครินธ์ 10:4,5)

โดยผ่านทิตัส อัครสาวกเปาโลสอนหลักคำสอนที่ถูกต้องแก่เรา (ทิตัส 2:1) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเขียนว่า: เพราะพระคุณของพระเจ้าได้ปรากฏแล้ว ทรงช่วยมนุษย์ทุกคน ทรงสอนเราว่า ปฏิเสธความชั่วและราคะทางโลก…” (ทต. 2:11,12) ในต้นฉบับ คำว่า "การปฏิเสธ" หมายถึงการกระทำที่เฉพาะเจาะจง นั่นคือพระคุณของพระเจ้าไม่เพียงช่วยให้รอด แต่ยังสอนบุคคลให้ปฏิเสธงานแห่งความมืดโดยเฉพาะ มีความคมชัดที่นี่: ความชั่วและราคะทางโลก - ชีวิตที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม และชอบธรรม.

โลกฝ่ายวิญญาณสามารถเรียกร้องได้จนกว่าจะเผชิญกับคำกล่าวที่แน่วแน่และมีสติของบุคคลเกี่ยวกับการยุติความสัมพันธ์ทั้งหมดกับเขา มีกฎหมายที่เข้มงวดในโลกฝ่ายวิญญาณ ออกจากอาณาเขตของซาตานบุคคลจะต้องทำลายด้ายทั้งหมดที่ผูกมัดเขาไว้กับเจ้าของเดิมอย่างมีสติ สิทธิในการยุติการบุกรุกทำให้ตระหนักถึงตำแหน่งใหม่ของตน การละทิ้งการกระทำบาปในอดีตเป็นเพียงอีกก้าวหนึ่งบนเส้นทางแห่งการชำระให้บริสุทธิ์

เนื่องจากโลกทั้งโลกเป็นศักดินาของมาร (1 ยอห์น 5:19) ในทางปฏิบัติ ทุกคนจำเป็นต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และชำระให้บริสุทธิ์ นอกจากนี้ยังใช้กับผู้ที่ต่อต้านความจริง คนที่มีจิตใจมืดบอด (2 คร. 3:14) บุคคลสามารถยอมรับความจริงในพระคัมภีร์ได้เท่าที่จิตใจของเขาปราศจากการหลอกลวงของปีศาจ

เพื่อให้ได้ความชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการปลดปล่อย เราต้องมีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับแก่นแท้ของการอธิษฐานที่แท้จริงและการอดอาหารตามพระคัมภีร์ ไม่ใช่แค่อดอาหารและอธิษฐานสองสามวัน ตามอิสยาห์ 58 การถือศีลอดรวมถึงแง่มุมทางวิญญาณมากมาย รวมถึงความจำเป็นในการแก้แอกและทำลายโซ่ตรวนของความชั่วช้า (อิสยาห์ 58:6) เรากำลังพูดถึงความต้องการที่จะยุติสัญญาลึกลับทั้งหมดที่สามารถผูกมัดจิตวิญญาณของภาระไสยไสยแม้ว่าบุคคลที่บันทึกไว้

การได้รับชัยชนะ: พระโลหิตของพระเมษโปดกและพระคำแห่งประจักษ์พยาน

เพื่อให้ได้อิสรภาพที่สมบูรณ์ บุคคลดังกล่าวต้องทูลขอการตรัสรู้ของจิตใจ ความช่วยเหลือและการปกป้องจากพระเจ้า จากนั้นคุณต้องแสดงเจตจำนงที่เข้มแข็งต่อโลกปีศาจฝ่ายวิญญาณเกี่ยวกับการยุติสัญญาและความสัมพันธ์ที่ลึกลับทั้งหมดในอดีต เกี่ยวกับการกลับมาของจิตวิญญาณของคุณจากอำนาจของซาตานและการถ่ายโอนที่สมบูรณ์ไปยังอำนาจของพระคริสต์ ดังนั้น การดูหมิ่นมารร้ายต่อเราจึงถูกปลดอาวุธ (วว. 12:10)

หลักการทางวิญญาณสำหรับการทำงานนี้มีอยู่ในงานเขียนของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ (42:18-23) ด้วย ต่อไปนี้คือความคล้ายคลึงทางวิญญาณที่ชัดเจนและค่อนข้างแน่นอนกับบุคคลที่มีภาระลึกลับ

“พวกเขาเอาชนะมัน (ซาตาน) ด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดกและโดยคำพยานของพวกเขา และพวกเขาไม่ได้รักจิตวิญญาณของพวกเขาจนตาย”(วิ. 12:11). จากข้อนี้ ค่อนข้างชัดเจนว่าชัยชนะเหนือซาตานเกิดขึ้นได้โดยการรับรู้ถึงพลังแห่งการไถ่โดยส่วนตัว โดยศรัทธาในการกระทำของพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ส่วนที่สองของชัยชนะคือ คำพยานของเรา. นี่ไม่ได้หมายความเพียงแค่การเป็นพยานของพระคริสต์ต่อผู้ที่ไม่เชื่อเท่านั้น แต่ยังหมายความถึงโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมดด้วย นี่คือการประกาศถึงการเป็นของพระเจ้าและการสละความสัมพันธ์ในอดีตทั้งหมดกับโลกปีศาจหากพวกเขาเกิดขึ้นในชีวิตของเรา

เราแสดงความปรารถนาดีต่อโลกวิญญาณ ยอมรับว่าเราถูกหลอก และประกาศความตั้งใจแน่วแน่ที่จะรับใช้พระเจ้า ดังนั้นเราจึงปฏิเสธข้อเรียกร้องของศัตรูโดยสมบูรณ์ ยุติความสัมพันธ์ในอดีตกับเขา คำพูดที่เราพูดมีความหมายเฉพาะและดำเนินการจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ คำพูดของพรจะพูดด้วยความดีและความเมตตาต่อบุคคล รู้จักและอานุภาพแห่งคำสาปแช่งในคำปราศรัยของใครบางคน ดังนั้นพวกเขาสามารถเป็นคำสั่งประเภทหนึ่งที่กองกำลังของโลกฝ่ายวิญญาณต้องดำเนินการ ไม่น่าแปลกใจที่พระเจ้าเอาใจใส่ความหมายของคำพูดของเรามาก

พระคัมภีร์ทุกตอนเต็มไปด้วยตัวอย่างของคนที่ปฏิเสธพระเจ้า (ยรม. 9:6; 11:10; สด. 77:10 เป็นต้น) ภายใต้อิทธิพลของวิญญาณของซาตาน ผู้คนของพระเจ้าได้หันหนีจากพระเจ้าของพวกเขา แต่มีตัวอย่างในเชิงบวกในพระคัมภีร์: “...และไม่ปฏิเสธศรัทธาของฉัน”(วิ. 2:13). พระคำของพระเจ้าแสดงให้เห็นว่าแม้ในฐานะผู้เชื่อ ก็เป็นไปได้ที่จะสำแดงวิญญาณแห่งการสละงานของพระเจ้าหรือหน้าที่โดยตรง (1 ทธ. 5:8; 2 ทธ. 3:5)

การสละไม่เพียงแต่ในคำพูด แต่ยังอยู่ในการกระทำด้วย (ทิตัส 1:16)

ในที่สุด ชะตากรรมของมนุษย์ ชะตากรรมนิรันดร์ของเขา ขึ้นอยู่กับการสละหรือข้อตกลงกับพระเจ้า (2 ทธ. 2:12)

จากตัวอย่างเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าหากบุคคลละทิ้งพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ซาตาน การละทิ้งซาตานและผลงานของเขามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพระเจ้าเพียงใด เพราะพระคริสต์ตรัสถึงพระองค์เองว่า “...ผู้ใดปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์ ข้าก็จะสละเขาด้วย”(มัทธิว 10:33) เนื่องจากเราอยู่ในโลกที่ซาตานครอบงำ การกระทำ คำพูด และความคิดของเขาจึงยึดติดกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งอย่างหมกมุ่นจนกลายเป็นธรรมชาติที่สองและไม่จากไปจนกว่าเขาจะปฏิเสธและปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น

ประจักษ์พยานนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?

โรม 10:9-10 พูดว่า: เพราะถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและเชื่อในใจว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด”มันพูดถึงการสารภาพด้วยริมฝีปากของเราของพระเยซูในฐานะพระเจ้าในทุกสถานการณ์ในชีวิต รวมทั้งในโลกของปีศาจ นั่นคือเมื่อมันมาถึงการกำจัดการเสพติดของเขา มีการประกาศเกี่ยวกับการปฏิเสธการรับใช้ของซาตาน ซึ่งมนุษย์ใช้ในสมัยของเขา คำพูดต้องมีสติ หนักแน่น และเต็มไปด้วยศรัทธา จากนั้นพวกเขาก็ทำตัวเหมือนดาบ ฟันโซ่ตรวนและพันธนาการทั้งหมด

นอกจากนี้ยังสามารถปลดปล่อยได้โดยความเชื่อ เมื่อฟิลิปไปเทศนาในเมืองสะมาเรีย วิญญาณชั่วออกมาจากคนมากมายที่เชื่ออย่างแท้จริง และการรักษาก็เกิดขึ้น (กิจการ 8:7) สิ่งที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติศาสนกิจของอัครสาวกเปโตร (กิจการ 5:16)

ต้องบอกว่าหลังจากการกลับใจ พระเจ้าอภัยบาปทั้งหมด พระโลหิตของพระเมษโปดกชำระเราให้พ้นจากความอธรรม (1 ยอห์น 1:9) อย่างไรก็ตาม หากครั้งหนึ่งเราใช้บริการลึกลับของซาตานหรือบูชารูปเคารพในทุกรูปแบบ นี่เป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระพักตร์พระเจ้า ดังนั้นหลังจากการกลับใจใหม่ของเรา ซาตานจึงไม่รีบร้อนที่จะยุติสัญญาของเขา เขานึกถึงการร่วมงานครั้งก่อนๆ กับเขาเป็นระยะๆ

และในบางกรณี นอกเหนือจากการกลับใจแล้ว ยังจำเป็นต้องดำเนินการยุติสัญญาไสยศาสตร์ ซึ่งดำเนินการผ่านคำพูดที่มีสติสัมปชัญญะเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยริมฝีปากของเรา เราพบแบบอย่างในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์: เผารูปเคารพของเทพเจ้าของพวกเขาด้วยไฟ อย่าปรารถนาที่จะเอาเงินหรือทองคำที่ติดอยู่กับตัว เกรงว่ามันจะเป็นบ่วงดักท่าน เพราะเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และอย่านำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนเข้ามาในบ้านของคุณเพื่อไม่ให้ตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดเหมือนที่เธอทำ หันจากสิ่งนี้และเกลียดชังสิ่งนี้ เพราะมันสาป"(ฉธบ. 7:25,26)

งานนี้สังเกตได้ยากสำหรับผู้ที่เพิกเฉยต่อจดหมายของพระคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม มันค่อนข้างชัดเจนเมื่อเราเข้าใกล้พันธกิจของเรา "ด้วยจิตวิญญาณและความจริง" ดังนั้น จากหนังสือกิจการของอัครสาวก เป็นที่ชัดเจนว่าคริสตจักรอัครสาวกในยุคแรกได้ฝึกฝนการปลดปล่อยความสัมพันธ์ที่ลึกลับ บรรดาผู้เชื่อในเมืองเอเฟซัสซึ่งเคยประกอบอาชีพเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถาก่อนที่จะเชื่อ ครั้งหนึ่งเคยรวบรวมหนังสือลึกลับของพวกเขาและเผาทิ้ง จึงสารภาพบาปของตน การสารภาพเป็นรูปแบบของการสละ ดังนั้นพวกเขาจึงแสดงการยกเลิกสัญญากับซาตานและการเปลี่ยนจากภายใต้อำนาจของเขามาสู่อำนาจของพระเจ้า (กิจการ 19:17-19) พวกเขายึดการกระทำของพวกเขาตามตัวอักษรของพระคัมภีร์ พูดได้อย่างปลอดภัยว่าพวกเขามีความรู้ทางวิญญาณว่าการย้ายจากความมืดไปสู่ความสว่างและจากอำนาจของซาตานไปสู่อำนาจของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร (กิจการ 26:17,18)

เราต้องเข้าใจประสบการณ์ของคริสตจักรเอเฟซัส แต่การจะพิจารณาตามตัวอักษรและพิจารณาว่าเพียงพอแล้วสำหรับภาระด้านไสยศาสตร์และในสมัยของเราจะไม่สมบูรณ์ทั้งหมด นี่คือประสบการณ์ของคริสตจักรในสมัยนั้น หลักการของการปลดปล่อยสายสัมพันธ์ลึกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่จิตวิญญาณแห่งยุคสมัยเปลี่ยนไป เราอาศัยอยู่ใน "ครั้งล่าสุด", และนี่ "เวลาเป็นเรื่องยาก"(2 ติโม. 3:1-5) นี้ยิ่งเขียนเฉพาะเจาะจงมากขึ้น: แต่พระวิญญาณตรัสอย่างชัดเจนว่าในวาระสุดท้ายบางคนจะละทิ้งความเชื่อ โดยเอาใจใส่วิญญาณที่ยั่วยวนและคำสอนของปีศาจ(1 ติโม. 4:1).

อันตรายจากการล่อลวงและอำนาจของพระเจ้า

คริสเตียนที่เชื่อคำสอนเท็จทางจิตวิญญาณก็จะต้องได้รับการปล่อยตัวเช่นกันหากพวกเขาไม่ต้องการถูกพระเจ้าพิพากษาพร้อมกับครูของพวกเขา (2 ปต. 2:1-3) เราอยู่ในยุคสมัยที่คล้ายกับยุคก่อนดิลูเวีย พระเยซูคริสต์ทรงเตือนถึงความเป็นไปได้ของการล่อลวง: เพราะพระคริสต์ปลอมและผู้เผยพระวจนะเท็จจะเกิดขึ้นและให้หมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมายเพื่อหลอกลวง แม้แต่ผู้ที่ทรงเลือกไว้ หากเป็นไปได้… แต่ในสมัยของโนอาห์ก็เป็นเช่นนั้น เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น”(มธ. 24:24; 37) ส่วนใหญ่การครอบครองของปีศาจเป็นเรื่องปกติก่อนน้ำท่วมและตอนนี้ก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเจ้า

การกดขี่ข่มเหงทางกายถูกแทนที่ด้วยการเกลี้ยกล่อมทางวิญญาณ ทุก วัน นี้ วิญญาณ ที่ ปฏิบัติการ ใน “บุตร แห่ง การ ไม่ เชื่อ ฟัง” กําลัง แข็งกระด้าง ขึ้น เรื่อย ๆ และ อวดดี ใน อิทธิพล ที่ มี ต่อ คริสเตียน. การกระทำของ "ความลึกลับของความไร้ระเบียบ" นั้นเต็มไปด้วยความผันผวนและไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกำจัดอิทธิพลของซาตาน มักจะเป็นไปไม่ได้ที่จะกำจัดอดีตเพียงแค่ทำลายวรรณกรรมลึกลับ เนื่องจากเราไม่ได้เพิกเฉยต่อเจตนาของมารร้าย บนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า เราจึงใช้หลักการของชีวิตและการทำงานของคริสตจักรแรก

คริสตจักรท้องถิ่นหลายแห่งในปัจจุบันพยายามที่จะส่งวิญญาณ อย่างไรก็ตาม รายละเอียดในทางปฏิบัติของการทำงานนี้ในยุคของเรานั้นแตกต่างกันบ้าง ในขณะที่รักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในสาระสำคัญพื้นฐานของปัญหา ในกิจกรรมเชิงปฏิบัติ จำเป็นต้องปฏิบัติตามตรรกะในพระคัมภีร์ของสามัญสำนึก โดยนำไปใช้เป็นรายบุคคลในแต่ละสถานการณ์ นอกจากนี้เรายังพบความคล้ายคลึงของการกระทำเหล่านี้ในพระคัมภีร์: “... ชนชาติอิสราเอลทั้งหมดมาชุมนุมกัน - ถือศีลอดและนุ่งห่มผ้ากระสอบ และสวมขี้เถ้าบนศีรษะ และพงศ์พันธุ์อิสราเอลก็แยกตัวจากคนต่างด้าวทั้งหมด พวกเขาก็ลุกขึ้นสารภาพบาปและความผิดของบรรพบุรุษของพวกเขา”(เนหะมีย์ 9:1,2).

เห็นได้ชัดว่ามีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่ทำให้ได้รับชัยชนะในการปลดปล่อย และพวกปิศาจอยู่ภายใต้พระองค์เท่านั้น ดังนั้น เราไม่ควรปล่อยให้คิดว่ามีคนพิเศษในหมู่พวกเราที่ถูกเรียกให้ขับผีออก มิฉะนั้น สิ่งเดียวกันอาจเกิดขึ้นกับบุตรของสเกวา ซึ่งทนทุกข์เพราะความอวดดี (กิจการ 19:14-16) ในทางกลับกัน เราไม่ควรกลัวที่จะสั่งกองกำลังที่ไม่สะอาดในพระนามของพระเยซูคริสต์ จำเป็นต้องรู้ว่าสิทธิอำนาจดังกล่าวไม่ได้มอบให้กับอัครสาวกเท่านั้น แต่ยังมอบให้แก่คริสเตียนที่บังเกิดใหม่ซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้าด้วย (ยอห์น 1:12) สิ่งนี้ระบุไว้อย่างชัดเจนในข่าวประเสริฐของมาระโก: และหมายสำคัญเหล่านี้จะติดตามบรรดาผู้ศรัทธา: ในนามของเราพวกเขาจะขับผีออก“(มาระโก 16:17)

สิ่งนี้มาจากความเข้าใจในตำแหน่งที่พระคริสต์ทรงยกสมาชิกทุกคนของศาสนจักรของพระองค์โดยไม่มีข้อยกเว้น ในพระคริสต์ เรานั่งอยู่บนสวรรค์ (อฟ. 2:6) เราทุกคนมีความบริบูรณ์ในพระองค์ (คส. 2:9,10) ความยิ่งใหญ่แห่งอานุภาพของพระองค์ในเรานั้นนับไม่ถ้วน (อฟ. 1:19; คส. 2 :15). พลังนี้ใช้ได้ผลในตัวเรา “ตามการทรงกระทำด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงกระทำในพระคริสต์ ทรงทำให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และประทับที่พระหัตถ์ขวาของพระองค์ในสวรรค์”(อฟ. 1:19,20). กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พลังที่ครั้งหนึ่งทำให้พระคริสต์ฟื้นจากนรก ที่ซึ่งความตายจับเขาไว้ไม่ได้ ฤทธานุภาพที่ยกพระองค์ขึ้นและประทับที่พระหัตถ์ขวาของพระบิดา “เหนือกว่าอาณาเขตใด ๆ และอำนาจและอำนาจและการปกครองและทุกชื่อที่ตั้งชื่อไม่เพียง แต่ในยุคนี้ แต่ในอนาคตด้วย”(อฟ. 1:21,22) พลังที่ครั้งหนึ่งทำให้ลาซารัสตายจากอุโมงค์ฝังศพและทำการอัศจรรย์และการอัศจรรย์มากมายขณะนี้อยู่ในเราโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถเทียบกับพลังที่คิดได้และนึกไม่ถึงอื่น ๆ และมันอยู่ในตัวเราในตอนนี้ "เพราะว่าเราอยู่ เคลื่อนไหว และมีความเป็นตัวของเรา"(กิจการ 17:28).

จากตำแหน่งเหล่านี้ เรายืนยันว่าเราได้รับมอบอำนาจในพระเยซูคริสต์ให้โจมตีพลังของศัตรูทั้งหมด ออกคำสั่งในพระนามของพระองค์ ในฐานะสาวกของพระองค์ เรามั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดมาทำร้ายเราได้ (ลูกา 10:19) เพราะพระคริสต์ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา “...เมื่อวาน วันนี้ และตลอดไป เหมือนเดิม” (ฮีบรู 13:8) การปฏิเสธความจริงที่ชัดเจนอย่างยิ่งนี้ไม่คู่ควรกับตำแหน่งของคริสเตียน พลังและอำนาจเดียวกันกับปีศาจทั้งหมดที่พระเจ้าประทานแก่สาวกของพระองค์ (ลูกา 9:1) อยู่กับเราทุกวันนี้

การปฏิบัติของคริสตจักรแรกและสมัยใหม่

การละทิ้งซาตานและงานของเขาเป็นการปฏิบัติที่บังคับของคริสตจักรยุคแรก เมื่อเวลาผ่านไป มันกลายเป็นเพียงพิธีการและกลายเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมของนิกายดั้งเดิมบางกลุ่ม ไม่สำคัญเท่ากับที่เราเรียกการให้คำปรึกษานี้ว่างานการปลดปล่อยจากพลังแห่งขุมนรก - การเพิกถอน การปลดปล่อย การปฏิเสธ การสิ้นสุดสัญญา หรืออย่างอื่น สิ่งสำคัญคือสิ่งนี้เป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นการแยกแยะความสัมพันธ์ใด ๆ กับโลกปีศาจที่เคยเกิดขึ้น และนี่เป็นเพียงอีกขั้นตอนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากบนเส้นทางแห่งการชำระให้บริสุทธิ์

ในคริสตจักรบางแห่ง การละทิ้งการปฏิบัติไสยศาสตร์จะทำในกระบวนการอธิษฐานถึงพระเจ้า บางทีการแยกประเด็นเหล่านี้อาจมีจริยธรรมมากกว่า หลังจากการกลับใจต่อพระพักตร์พระเจ้าสำหรับบาปที่น่าสะอิดสะเอียน ควรมีการทำถ้อยแถลง (หรือการสละ) ซึ่งกล่าวโทษซาตาน จากนั้น - สวดมนต์ต่อพระเจ้าด้วยการร้องขอความช่วยเหลือในการทำให้บริสุทธิ์ ชำระให้บริสุทธิ์ และปกป้องเพิ่มเติม จำเป็นต้องขอความสว่างจากพระเจ้า แสงสว่างมากสำหรับการฟื้นฟูจิตใจ และความรู้เกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้า (โรม 12:2)

จากจุดยืนของสามัญสำนึก ค่อนข้างชัดเจนว่าถ้าเราต้องการยุติความสัมพันธ์ของเรากับใครสักคน มันก็สมเหตุสมผลกว่าที่จะบอกบุคคลนี้โดยตรงและไม่ส่งต่อผ่านคนกลาง ในทำนองเดียวกันหากในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้เราได้ทำข้อตกลงและใช้บริการของปีศาจก็จำเป็นต้องตัดสินใจกับพวกเขาเกี่ยวกับการยุติความสัมพันธ์ ไม่ว่าในกรณีใดมันเกี่ยวกับการอธิษฐานถึงซาตานหรือการเสวนากับเขา ถ้อยแถลงที่เปล่งออกมาดังๆ เป็นความจริงที่มั่นคงและปลดอาวุธสำหรับโลกปีศาจในชีวิตจริง และทำหน้าที่เป็นเอกสารทางกฎหมายชนิดหนึ่ง

ทุกคนที่สัมผัสกับไสยศาสตร์ต้องการสิ่งนี้ คนที่ยังคงมีปัญหาเฉพาะอยู่หลังจากการกลับใจ ปัญหาดังกล่าวอาจเป็นร่างกฎหมายฝ่ายวิญญาณที่ซาตานนำมาเพื่อบริการของเขา แม้ว่าเขาอาจจะแค่แกล้งโง่ก็ตาม อาจเป็นกรรมพันธุ์ของบรรพบุรุษหรือคำสาปก็ได้ ไม่ว่าในกรณีใด หากเราต้องการได้รับอิสรภาพจริงๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงชี้ทางและจะทรงนำตามนั้น

ต้องเน้นย้ำว่าการประกาศหรือการสละไม่ได้รับประกันการหลุดพ้นจากการโจมตีของซาตานในอนาคต มันเพียงตัดการเชื่อมต่อและภาระลึกลับที่มีอยู่ ยกเลิกการเชื่อมต่อเก่า ซาตานไม่เต็มใจที่จะพรากจากอดีตเชลย ในโอกาสที่น้อยที่สุด เขาพยายามที่จะอ้างสิทธิ์ในพวกเขา

การหลุดพ้นจากการเป็นเชลยไม่ใช่ทั้งหมด

คริสเตียนที่รอดจากการเป็นเชลยของปีศาจต้องจำไว้ว่าชีวิตที่ไม่แยแสนั้นคิดไม่ถึงสำหรับเขา เพราะทุกสิ่งสามารถกลับมาได้ เขาจะต้องมุ่งไปสู่ชีวิตแห่งชัยชนะในจิตวิญญาณเท่านั้น เดินไปตามเส้นทางแห่งสามัคคีธรรมและเดินในวิญญาณ เมื่อถ่อมตัวลงและแสดงความห่วงใยต่อพระเจ้า เขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูด้วยศรัทธาที่มั่นคง (1 ปต. 5:6-9) เป็นเจตคติของการเข้าไปใกล้พระเจ้าอย่างแข็งขันและต่อต้านมารร้ายในทุกด้านของชีวิต (ยากอบ 4:7,8) ในการทำเช่นนั้น เรารู้ว่าการโจมตีเพิ่มเติมจากซาตานนั้นไร้ประโยชน์ เว้นแต่เราจะให้พื้นที่กับบาปใหม่บางอย่างแก่เขา

โดยปกติการเปิดตัวจะไม่เกิดขึ้นทันที นี่เป็นกระบวนการที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วม - วิญญาณ วิญญาณ และร่างกายของเขา ต่างจากคริสเตียนทั่วไป ในชีวิตของผู้ที่มีภาระหนัก ปัญหาในการให้แต่ละคนอยู่ภายใต้วิญญาณแห่งการบังเกิดใหม่นั้นรุนแรงเป็นพิเศษ ยากกว่าสำหรับพวกเขาที่จะเรียนรู้ที่จะควบคุมการกระทำของวิญญาณที่บาดเจ็บและจิตใจที่ยังไม่ได้ต่ออายุไปสู่วิญญาณอิสระที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่แล้ว การฟื้นฟูจิตใจและการร่วมมือกับพระเจ้า ความรู้และการบรรลุพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตควรมีบทบาทสำคัญยิ่ง พระเจ้าต้องการการตัดสินใจโดยตั้งใจและมีสติของบุคคลในเรื่องการเลือกเส้นทางที่จะติดตามพระองค์

หากสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น ซาตานจะพยายามฟื้นป้อมปราการของเขาในระดับจิตวิญญาณและร่างกาย โดยหลอกล่อจิตวิญญาณและปิดกั้นวิญญาณ ปีศาจพยายามทำให้คริสเตียนดังกล่าวไม่มีประโยชน์ต่อพระเจ้า

ด้วยเหตุผลบางอย่าง คริสเตียนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้รับใช้ รู้สึกหวาดกลัวแม้กระทั่งกับคำว่า "การสละ" พวกเขาตอบสนองอย่างเจ็บปวดอย่างมากกับเรื่องนี้ แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ในคำจำกัดความ แต่อยู่ในสาระสำคัญ การสละเป็นความตระหนักอย่างลึกซึ้งถึงความบาปของการกระทำก่อนหน้านี้ การกลับใจและการปฏิเสธการกระทำเหล่านั้นหากปราศจากการตระหนักรู้อย่างเต็มเปี่ยมดังกล่าว ก็จะไม่มีการกลับใจ การอ่านคำอธิษฐานใด ๆ แบบกลไกจะไม่ให้อะไรเลย หลายคนที่มีปัญหาต้องการความตระหนักรู้อย่างเต็มที่ถึงขั้นตอนทั้งหมดบนเส้นทางสู่การปลดปล่อย

ละทิ้งอคติ

น่าเสียดาย ในสภาพแวดล้อมแบบคริสเตียน ความรู้ทางจิตวิญญาณที่แท้จริงมักจะขัดขวางความเชื่อดั้งเดิมในรูปแบบที่ปราศจากความหมายภายใน การขาดการรู้แจ้งของคริสเตียนแต่ละคน และไม่เต็มใจหรือไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงความเข้าใจผิดของความเชื่อที่ได้มานั้นก็เป็นอุปสรรคเช่นกัน

ตามแนวทางปฏิบัติ อคติในทุกระดับของทั้งคริสตจักรและชีวิตสาธารณะและกิจกรรมไม่ได้ถูกขจัดไปโดยเหตุผลและแม้แต่หลักฐาน ท้ายที่สุดแล้ว การยอมรับความจริงที่แท้จริงสามารถสั่นคลอนเสถียรภาพของรากฐานที่พัฒนามาเป็นเวลานานหลายปีของการอยู่รอดในสังคมที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ดังนั้นผู้คนทั่วไปจึงไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับแนวคิดและแนวคิดที่ไม่ถูกต้องซึ่งคุ้นเคยกับพวกเขา ในศาสนาคริสต์สมัยใหม่ วิธีการตามพระคัมภีร์แบบอนุรักษ์นิยมเพื่อชีวิตฝ่ายวิญญาณไม่ได้มีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง บ่อยครั้งไม่มีความหมายเสมอไป รูปแบบที่เยือกแข็งครอบงำ

ทำไมผู้เชื่อยังคงมีความเห็นเช่นนั้น? ความปรารถนาในความสงบสุขในคริสตจักรสมัยใหม่มักจะแข็งแกร่งกว่าความปรารถนาในการค้นหาความจริง “ในทางปฏิบัติของเรา สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้น” ผู้เชื่อบางคนในรุ่นก่อน ๆ กล่าว มันเกิดขึ้นที่หลายคนที่ถือว่าตนเองเป็นผู้มีศรัทธากลายเป็นเหยื่อของการหลอกลวง (มธ. 7:13-23)

บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครั้งล่าสุด ในการสารภาพบาปของคริสเตียนตามประเพณี การไม่แยแสต่อสาระสำคัญของศรัทธาปรากฏออกมา บ่อยครั้งในการกระทำของพวกเขา พวกเขาไม่ได้แสดงความแน่วแน่ของความเชื่อมั่นและความมีสติสัมปชัญญะที่จำเป็นที่จำเป็น แทนที่จะแบกกางเขนของตนทุกวันและดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณที่สมบูรณ์ พวกเขากำลังพยายามหาการประนีประนอมระหว่างพระคำของพระเจ้ากับความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้จึงมีความเสี่ยงที่จะตกอยู่ในความผิดพลาดและความนอกรีต การไม่รักษาพระบัญญัติของพระคริสต์ ทำให้เราเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของเราเอง ในท้ายที่สุด สิ่งนี้อาจนำไปสู่การละทิ้งความเชื่อได้!

เป้าหมายของเราไม่ใช่ความสุขทางโลกระยะสั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวการณ์หลายอย่าง แต่เป็นการชำระให้บริสุทธิ์และพยายามเพื่อความสมบูรณ์ทางวิญญาณอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงเป็นภาพลักษณ์ของพระคริสต์ (2 โครินธ์ 3:18)

ข้าพเจ้าขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าเราแต่ละคนมีเส้นทางไปสู่พระเจ้าเป็นรายบุคคล บางอย่างต้องการการสละ บางอย่างไม่ต้องการ คนหนึ่งพูดกับพระเจ้าเท่านั้น อีกคนพูดกับซาตาน แทบไม่มีสูตรสำเร็จรูปสำหรับการปลดปล่อย พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้สร้างและไม่ทำงานตามแบบแผน สิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับทุกคนคือความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า และพระองค์จะทรงบอกคุณว่าต้องทำอะไรในกรณีของคุณโดยเฉพาะ โดยส่วนตัวแล้ว ฉันต่อต้านแม่แบบและลายฉลุ การแบ่งปันความจริงที่มีร่วมกันสำหรับทุกคน การเริ่มต้นพิเศษของการไล่ผีและการปฏิบัติศาสนกิจพิเศษ ความลึกลับพิเศษบางอย่างและน้ำโคลนที่ซาตานจับปลาได้อย่างสวยงาม พระเจ้าเป็นความสว่างที่ส่องสว่างสำหรับทุกคน เราถูกเรียกให้นำความสว่างของพระองค์มาสู่โลกด้วย

ยิ่งมีความลึกลับในขอบเขตของไสยศาสตร์มากเท่าไหร่ คริสเตียนก็ยิ่งกลัวและเข้าใจผิดมากขึ้นเท่านั้น เราเป็นพระราชวงศ์ เป็นประชาชนที่ถือเอาเองว่าไม่มี (1 ปต. 2:9) และเป็นบุตรของพระเจ้า (ยอห์น 1:12) จริงไม่ใช่ทุกคนและไม่เคยรู้วิธีใช้พลังที่มอบให้เราอย่างเหมาะสม กระบวนการเรียนรู้และการชำระให้บริสุทธิ์คือการได้รับนิมิตฝ่ายวิญญาณและฤทธิ์เดชของพระเจ้า หากอำนาจเป็นบุตรของพระเจ้า มอบให้เราโดยมรดก เราก็จะได้รับอำนาจของพระองค์ผ่านการชำระให้บริสุทธิ์เท่านั้น

การวินิจฉัยทางจิตวิญญาณ

« ประชากรของเราจะถูกทำลายเพราะขาดความรู้ ในเมื่อเจ้าปฏิเสธความรู้ เราจะปฏิเสธไม่รับเจ้าเป็นปุโรหิตต่อหน้าเรา และเช่นเดียวกับที่เจ้าลืมกฎแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมลูกๆ ของเจ้าด้วย” (โฮเชยา 4:6)

ผู้เชื่อหลายคนต้องการได้รับวิธีการปลดปล่อยจากการเสพติดไสยศาสตร์ คุณควรรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่เฉียบแหลมและมีประสิทธิภาพ หากได้รับอิสรภาพแล้ว คริสเตียนไม่ยึดมั่นในวิถีชีวิตฝ่ายวิญญาณ สถานการณ์ก็อาจเลวร้ายลงได้ “เมื่อผีโสโครกออกมาจากบุคคล ย่อมไปในที่ปราศจากน้ำ แสวงหาที่สงบ แต่ไม่พบ แล้วพูดว่า "ฉันจะกลับไปบ้านของฉันจากที่ที่ฉันออกมา" เมื่อมาถึงก็พบว่าเขาว่าง ถูกกวาดและทำความสะอาด แล้วไปรับเอาวิญญาณอื่นอีกเจ็ดตนที่เลวร้ายกว่าเขาเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น และสำหรับคนนั้น คนสุดท้ายเลวร้ายยิ่งกว่าคนแรก”(มัทธิว 12:43-45)

ฉันยังต้องการเตือนคุณว่าจำเป็นต้องยกเว้นความเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจ ในทางปฏิบัติของฉัน มีบางกรณีที่สภาพคล้ายกับโรคลมบ้าหมูหรือโรคจิตเภทเกิดขึ้นเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ บ่อยครั้งที่ความผิดปกติทางประสาทและจิตใจทั่วไปสับสนกับสถานะของการเสพติดลึกลับหรือความหลงใหล สำหรับกรณีดังกล่าว คุณไม่จำเป็นต้องทำสิ่งต่อไปนี้ทั้งหมด ผู้ป่วยเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลือที่แตกต่างออกไป ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะทำการวินิจฉัยที่ถูกต้อง

วิธีการปลดปล่อยจิตวิญญาณของคริสเตียน

คริสเตียนหลายคน รวมทั้งฉันด้วย ได้รับความช่วยเหลือจากวิธีการปลดปล่อยจากการเสพติดไสยศาสตร์นี้ ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐานของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์และปรับให้เข้ากับความเป็นจริงของเรา นี่คือรถพยาบาลทางจิตวิญญาณชนิดหนึ่งซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวนานซึ่งมีอันตรายมากมายรอบุคคลหนึ่งซึ่งสามารถเอาชนะได้ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาสอนเราในกระบวนการของชีวิต

คำอธิษฐานและข้อความต่อไปนี้จะมีผลในชีวิตของคริสเตียนก็ต่อเมื่อเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วเท่านั้น สิ่งนี้ต้องการการแสวงหาความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้าและฝึกฝนวิถีชีวิตแบบคริสเตียน โดยตระหนักและยืนยันจุดยืนของเราในพระคริสต์ เราต่อต้านพลังแห่งความชั่วร้ายไม่ใช่ของเราเอง แต่ด้วยพลังและสิทธิอำนาจของพระองค์ (ยอห์น 1:12)

หลักคำสอนในพระคัมภีร์ไม่ใช่กลุ่มที่จะสลายกองกำลังชั่วร้ายทั้งหมด ความจริงเท่านั้นที่ปลดปล่อยบุคคล และเสรีภาพมาตามที่เป็นจริง เงื่อนไขสำหรับการรู้ความจริงคือการศึกษาและปฏิบัติตามสิ่งที่เขียนไว้ในพระคำของพระเจ้า (ยอห์น 8:31,32) ด้านล่างนี้คือตัวอย่างคำอธิษฐานของที่ปรึกษาที่ช่วยผู้ที่ตกเป็นเหยื่อไสยศาสตร์ หากไม่มีที่ปรึกษา ผู้เสพก็สวดภาวนาด้วยตนเอง

“พระบิดาบนสวรรค์ที่รัก ข้าพระองค์มาหาพระองค์ในพระนามของพระเจ้าพระเยซูคริสต์และการหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ข้าพเจ้ารับทราบการสถิตของพระองค์ ณ ที่แห่งนี้ และในชีวิตของข้าพเจ้า ฉันขอประกาศการพึ่งพาพระองค์โดยสมบูรณ์ เพราะหากไม่มีพระคริสต์ ฉันก็ทำอะไรไม่ได้

ฉันยอมรับตำแหน่งของฉันในพระคริสต์และนั่งกับพระองค์ในสวรรค์ เนื่องจากได้รับสิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกแก่พระองค์ ข้าพเจ้าจึงยอมรับอำนาจเหนือศัตรูทั้งหมดของพระเยซูคริสต์ในที่นี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน (ชื่อวอร์ด)

พระองค์ตรัสว่าที่ใดที่ชุมนุมกันสองหรือสามคนในพระนามของพระองค์ พระองค์ทรงอยู่ท่ามกลางพวกเขา และสิ่งใดที่ผูกไว้บนแผ่นดินโลกก็ผูกไว้ในสวรรค์ ฉันขอความช่วยเหลือจากคุณในการปล่อยตัว (ชื่อวอร์ด) อาเมน"

การปฏิบัติตามกฎความปลอดภัย ก่อนเริ่มทำงานกับวิญญาณลึกลับ ผู้ให้คำปรึกษาต้องขอให้พระเจ้าคุ้มครองครอบครัวของเขาและทุกคนที่พระเจ้าประทานให้เขาเพื่อช่วยจากอิทธิพลของวิญญาณชั่วร้าย จากนั้นคุณต้องออกแถลงการณ์ต่อโลกวิญญาณปีศาจ:

“ข้าพเจ้าขอให้วิญญาณชั่วที่อยู่ข้างในหรือใกล้ (ชื่อ) ถูกสาปให้เงียบ วิญญาณเหล่านี้ไม่สามารถทำร้าย พูดในใจ (ของชื่อ) หรือรบกวนการได้ยินและการพูด (ของชื่อ) ได้ ในนามของพระเยซูคริสตเจ้า ฉันสั่งให้ซาตานและโฮสต์ทั้งหมดของคุณเป็นอิสระและถูกผูกมัดและนิ่งเงียบเพื่อ (ชื่อ) จะเชื่อฟังพระเจ้าได้

ความจริงกับของปลอม

ขั้นตอนแรกของอิสรภาพในพระคริสต์คือการสละความสัมพันธ์ในอดีตหรือปัจจุบันกับการปฏิบัติที่ลึกลับหรือศาสนาเท็จ องค์กรหรือกลุ่มใดๆ ที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ เสนอแนวทางจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่ความจริงแท้ พระคำของพระเจ้า หรือเรียกร้องให้มีการเริ่มต้นอย่างลับๆ ควรละทิ้งไป คริสเตียนไม่ควรร่วมมือกับผู้ที่ไม่เปิดเผยทุกเรื่อง (1 ยอห์น 1:5-7) ให้น้อยกว่านั้นมาก ควรเป็นสมาชิกของกลุ่มดังกล่าว

หากคุณเชื่อในพระเยซูคริสต์แตกต่างไปจากที่ปรากฏในพระคัมภีร์ วิญญาณของคุณจะแตกต่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระกิตติคุณของคุณจะแตกต่างจากพระกิตติคุณแห่งพระคุณ ดังนั้น คุณต้องหันไปหาพระเจ้าร่วมกับการสวดอ้อนวอน: “พระบิดาบนสวรรค์ ข้าพระองค์ขอวิงวอนพระองค์ให้ทรงเปิดเผยการปฏิบัติที่ลึกลับ ศาสนาเท็จ และผู้สอนเท็จซึ่งข้าพระองค์มีความเกี่ยวข้องด้วยโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว”

เขียนทุกสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยแก่คุณในใจของคุณ หลังจากแน่ใจว่ารายการของคุณครบถ้วนแล้ว ทูลขอการอภัยจากพระองค์สำหรับการมีส่วนร่วมในบาปอันน่าสะอิดสะเอียน (รายการของฉันมีบาปและการปฏิบัติลึกลับที่ไม่ได้สติและไม่สำนึกผิดประมาณสามสิบครั้ง)

จากนั้นคุณต้องสร้างคำแถลงโดยเจตนาต่อโลกฝ่ายวิญญาณของปีศาจ แม้ว่าเมื่อกลับใจแล้ว พระเจ้าก็ทรงให้อภัยการมีส่วนในบาปที่น่าสะอิดสะเอียน การปฏิบัติลึกลับที่นำไปสู่การเสพติดจะต้องได้รับการปลดปล่อย สำหรับแต่ละการปฏิบัติ ศาสนา หรือครู ต้องมีการประกาศเฉพาะเพื่อตัดสัมพันธ์และปฏิเสธคำโกหกของซาตาน การประกาศต่อโลกวิญญาณนี้เหมือนกับเอกสารทางกฎหมาย ดังนั้นความถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ

หลังจากนั้น คุณสามารถฉีกรายการของคุณทิ้งและคำนับในคำอธิษฐานต่อพระพักตร์พระเจ้า ขอความคุ้มครองเพิ่มเติมจากพระองค์จากอิทธิพลของโลกปีศาจ แม้แต่การมีส่วนร่วมโดยไม่รู้ตัวในการปฏิบัติที่ลึกลับหรือนอกรีตสามารถนำไปสู่การเชื่อมต่อกับซาตานได้ มาถึงขั้นนี้แล้วที่สามารถตอบสนองการต่อต้านอย่างดุเดือดของเสียงภายในต่างๆ

หลังจากการกลับใจและการยอมรับของพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าให้อภัยบาปของเรา รวมถึงการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติลึกลับใดๆ เฉพาะการกระทำที่นำไปสู่การทำสัญญากับโลกปีศาจและการพึ่งพาอาศัยกันเท่านั้นที่มีความสำคัญ ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ที่ทำนายไว้เป็นจริง หรือหลังจากการบำบัดทางจิต การเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นได้เกิดขึ้นในร่างกาย นั่นคือ โลกปีศาจได้ทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อบุคคล และตอนนี้บุคคลนี้เป็นลูกหนี้ของซาตาน นักจิตวิทยาหรือนักบำบัดบางคนพยายามที่จะให้หรือรับบางสิ่งบางอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามสร้างการเชื่อมต่อที่มองไม่เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อมด "ขั้นสูง" สามารถแทรกแซงธรรมชาติของมนุษย์ได้ในระยะไกล สิ่งนี้มักจะเกิดขึ้นในเวลากลางคืน ในช่วงเวลาที่เรียกว่า "เวลาของแม่มด" แม้ว่าการเชื่อมต่อกับไสยศาสตร์อาจใช้เวลานาน บางทีแม้แต่ในรุ่นต่อๆ ไป บอริส ซูเดอร์มันน์ ครูที่ปรึกษาเซมินารีของฉันเป็นพยานว่าในชีวิตของพี่สาวสูงอายุคนหนึ่งในโบสถ์ของเขา การทำนายดวงชะตาของเด็กผู้หญิงปรากฏขึ้นห้าสิบปีต่อมา

พระเจ้าให้อภัยบาปทั้งหมดของเราต่อพระพักตร์พระองค์ แต่ตามกฎแห่งความยุติธรรม ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหนี้ของเราที่มีต่อผู้คนและซาตาน เราต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง (ลูกา 19:8; กิจการ 19:19) กองกำลังแห่งความมืดเรียกร้องให้ชำระค่าใช้จ่ายตามกฎหมาย แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่พวกเขาเพียงแค่ตบหน้าและโจมตีผู้อ่อนแอและโง่เขลา ความไม่รู้และการขาดความกระจ่างในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโลกฝ่ายวิญญาณเป็นพื้นฐานที่ดีที่สุดสำหรับกิจกรรมของซาตาน

เมื่อบุคคลเชื่อข้อกล่าวหาเท็จ ความเชื่อของเขาในเรื่องคำเท็จจะเป็นตัวเบ็ดสำหรับการดำเนินงานของวิญญาณชั่วร้าย หากคุณไม่ตระหนักและปฏิเสธคำโกหกในเวลานี้ สิ่งนี้จะกลายเป็นพื้นฐานสำหรับการติดต่อกับโลกปีศาจในระยะยาว ดังนั้นหลังจากระบุและตระหนักถึงการติดต่อและการเชื่อมต่อดังกล่าวแล้วจึงจำเป็นต้องทำถ้อยแถลงเกี่ยวกับการยกเลิก

ความจริงกับความหลอกลวง

เราต้องละทิ้งความเท็จและพูดความจริงด้วยความรัก (อฟ. 4:15,25) สุขภาพจิตและจิตใจที่ดีคือผู้ที่ตระหนักถึงความเป็นจริงและค่อนข้างปราศจากความวิตกกังวล นี่เป็นลักษณะของคริสเตียนที่ปฏิเสธการหลอกลวงและยอมรับความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า

“พระบิดาบนสวรรค์ ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงปรารถนาความจริงในตัวตนของฉัน และการรู้ความจริงนี้เป็นหนทางสู่การหลุดพ้น (ยอห์น 8:32) ฉันสารภาพว่าฉันถูกพ่อโกหกหลอก (ยอห์น 8:44) และฉันได้หลอกตัวเอง (1 ยอห์น 1:8) ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้าว่าพระองค์ พระบิดาบนสวรรค์ ขอทรงละวิญญาณที่โกหกทั้งหมดโดยอาศัยการหลั่งโลหิตและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์

โดยความเชื่อ ฉันได้ยอมรับพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งชีวิตของฉัน และฉันนั่งกับพระคริสต์ในสวรรค์ (อฟ. 2:6) ฉันขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำฉันไปสู่เส้นทางแห่งความจริง (ยอห์น 16:13) ในนามของพระเยซูฉันอธิษฐาน อาเมน"

ศรัทธาไม่ได้สร้างความจริง แต่สอดคล้องกับมัน ความเชื่อในความจริงเป็นทางเลือกโดยสมัครใจ ยิ่งใหญ่พอๆ กับที่เราคุ้นเคยกับวัตถุแห่งศรัทธา เรารู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ - เรามีศรัทธาเพียงเล็กน้อย การพยายามดำเนินชีวิตด้วยศรัทธาในสิ่งที่ไม่แน่นอนนั้นไม่สามารถป้องกันได้ หากเราเชื่อแต่ความรู้สึก ชีวิตของเราก็จะอยู่ภายใต้แรงกระตุ้นทางอารมณ์ เส้นทางของการรู้ความจริงเริ่มต้นด้วยการยอมรับความจริงของพระคำของพระเจ้า เชื่อในความจริง - พระเยซูคริสต์ ปฏิบัติตามศรัทธานี้ - และความรู้สึกของคุณจะสอดคล้องกับสิ่งที่คุณคิดและสิ่งที่คุณทำ

ถ้อยแถลงหลักคำสอน

• ข้าพเจ้ารับทราบว่ามีความจริงเพียงหนึ่งเดียวและพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่เพียงองค์เดียว (อพย. 20:2,3) ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระองค์ทรงสมควรได้รับเกียรติทั้งหมด การสรรเสริญและการนมัสการทั้งหมดในฐานะผู้สร้าง ที่มา จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของทุกสิ่ง (วว. 4:11; 5:9,10; อิสยาห์ 43:1,7,21)
• ฉันยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเมสสิยาห์ พระคำได้ทรงสร้างเนื้อหนังและดำรงอยู่ท่ามกลางเรา (ยอห์น 1:1,14) ฉันเชื่อว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อทำลายการงานของซาตาน (1 ยอห์น 3:8) ที่พระองค์ทรงเอาอำนาจไปจากเทพผู้ครองและอำนาจ และทำให้พวกเขาอับอายด้วยการมีชัยเหนือพวกเขา (คส. 2:15)
• ฉันเชื่อว่าพระเจ้าได้พิสูจน์ความรักของพระองค์ที่มีต่อฉัน เพราะเมื่อฉันเป็นคนบาป พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อฉัน ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืดและย้ายข้าพเจ้าไปยังอาณาจักรของพระองค์ และในพระองค์ ข้าพเจ้าได้รับการไถ่และการอภัยบาป (คส. 1:13,14)
• ฉันเชื่อว่าตอนนี้ฉันเป็นลูกของพระเจ้า (1 ยอห์น 3:1-3) และฉันนั่งกับพระคริสต์ในสวรรค์ (อฟ. 2:6) ข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้าได้รับความรอดโดยพระคุณของพระเจ้าโดยทางความเชื่อ ว่าเป็นของประทานและไม่ใช่ผลของการกระทำใดๆ ของข้าพเจ้า (อฟ. 2:8)
• ข้าพเจ้าเลือกกำลังในองค์พระผู้เป็นเจ้าและฤทธิ์เดชแห่งพระกำลังของพระองค์ (อฟ. 6:10) ฉันไม่วางใจในเนื้อหนัง (ฟป. 3:3) เพราะอาวุธสงครามของฉันไม่ใช่เนื้อหนัง (2 คร. 10:4) ฉันสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า (อฟ. 6:13-18) และตั้งใจแน่วแน่ที่จะยืนหยัดในความเชื่อของฉันและต่อต้านความชั่วร้าย
• ฉันเชื่อว่าพระเยซูมีอำนาจทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก (มัทธิว 28:18) และพระองค์ทรงเป็นหัวหน้าของอาณาเขตและสิทธิอำนาจทั้งหมด (คส. 2:10) ฉันเชื่อว่าซาตานและปิศาจของมันอยู่ภายใต้ฉันในพระคริสต์เพราะฉันเป็นอวัยวะในพระกายของพระคริสต์ (อฟ. 1:19-23) ดังนั้นฉันจึงเชื่อฟังคำสั่งให้ต่อต้านมาร (ยากอบ 4:7) และสั่งเขาในพระนามของพระคริสต์ให้จากฉันไป
• ฉันเชื่อว่าหากไม่มีพระคริสต์ ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ (ยอห์น 15:5) ดังนั้นฉันจึงประกาศการพึ่งพาพระองค์ ฉันเลือกความไม่เปลี่ยนรูปในพระคริสต์เพื่อบังเกิดผลมากมายและถวายเกียรติแด่พระเจ้า (ยอห์น 15:8) ฉันประกาศกับซาตานว่าพระเยซูคือพระเจ้าของฉัน (1 โครินธ์ 1:3) และปฏิเสธของประทานฝ่ายวิญญาณปลอมหรืองานของซาตานในชีวิตของฉัน
• ฉันเชื่อว่าความจริงทำให้ฉันเป็นอิสระ (ยอห์น 8:32) และทางในความสว่างเป็นวิธีเดียวที่จะสามัคคีธรรมกับพระเจ้าและต่อกัน (1 ยอห์น 1:7) ฉันต่อต้านการหลอกลวงใดๆ ของซาตาน โดยสนับสนุนความคิดทุกอย่างของฉันต่อพระคริสต์ (2 โครินธ์ 10:5) ฉันยอมรับว่าพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เป็นพระคัมภีร์ที่แท้จริงเพียงฉบับเดียว (2 ทธ. 3:15-17) ฉันเลือกรักความจริง (อฟ. 4:15)
• ฉันนำเสนอร่างกายของฉันเป็นเครื่องมือแห่งความชอบธรรม เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตและศักดิ์สิทธิ์ และต่ออายุจิตใจด้วยชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า เพื่อที่ฉันจะได้ยืนยันว่าพระประสงค์ของพระเจ้านั้นดี เป็นที่ยอมรับ และสมบูรณ์ (โรม 6:13; 12: 1,2).
• ฉันขอให้พระบิดาบนสวรรค์เติมเต็มฉันด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (อฟ. 5:18) นำฉันไปสู่ความจริง (ยอห์น 16:13) และสอนให้ฉันใช้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ดำเนินชีวิตเพื่อเอาชนะความบาปโดยไม่ยอมแพ้ ความต้องการของเนื้อหนัง (กท. 5:13) 16) ฉันปฏิเสธตัวเองและตรึงเนื้อหนัง (กท. 5:24) โดยเลือกเส้นทางแห่งชีวิตในพระวิญญาณ
• ฉันปฏิเสธเป้าหมายที่เห็นแก่ตัวและเลือกเป้าหมายนิรันดร์ของความรัก (1 ทธ. 1:5) ข้าพเจ้าเชื่อฟังพระบัญญัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือให้รักพระเจ้าของข้าพเจ้าด้วยสุดใจ และให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง (มัทธิว 22:37-39)

ข้อความหลักคำสอนต้องการคำอธิบายโดยละเอียด แน่นอน ควรระลึกอีกครั้งว่าการหลุดพ้นโดยสมบูรณ์เกิดขึ้นเมื่อแสงศักดิ์สิทธิ์แทรกซึมเข้าสู่จิตใจของมนุษย์ ในการทำเช่นนี้ จำเป็นต้องอ่านและศึกษาพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์และเข้าร่วมพิธีในโบสถ์เป็นประจำ การอ่านพระคัมภีร์ทุกวันและฝึกฝนในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งสำคัญ พระคำของพระเจ้ามีความสำคัญต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา เช่นเดียวกับอาหารที่มีต่อร่างกาย (1 ปต. 2:2) เมื่อเราเติบโตฝ่ายวิญญาณผ่านการเชื่อฟังพระคำของพระเจ้า เราจะสามารถเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น (ฮีบรู 5:14)

ฉันรู้จากประสบการณ์ส่วนตัวว่าสิ่งนี้ได้ผลในขณะที่เราอยู่ในพระคริสต์เท่านั้น เมื่อออกจากพระองค์ เราไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเองและตกไปอยู่ในขอบเขตของการกระทำของโลกฝ่ายวิญญาณอีกโลกหนึ่ง ดังนั้นผู้ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของพลังแห่งความมืดจึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในความสว่าง อันที่จริง สิ่งนี้จำเป็นสำหรับทุกคน แต่สำหรับอดีตเชลยของซาตาน สิ่งนี้สำคัญเป็นพิเศษ!

การให้อภัยกับความขุ่นเคือง

บ่อยครั้ง การแทรกแซงของซาตานในชีวิตคริสเตียนไม่ได้เกิดจากการให้อภัย เราได้รับคำเตือนว่าเราต้องให้อภัยผู้อื่นเพื่อไม่ให้ซาตานเข้าถึงเราได้ (2 โครินธ์ 2:10,11) เหตุใดการให้อภัยจึงสำคัญต่อเสรีภาพของเรามาก เพราะพระเจ้าได้ยกโทษให้เราในพระคริสต์ “เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างพระองค์ผู้ทรงไม่รู้จักบาปเพื่อเรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมในพระองค์ต่อพระพักตร์พระเจ้า”(2 โครินธ์ 5:21) การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เป็นการเสียสละทำให้การอภัยโทษจากพระเจ้าถูกต้องตามกฎหมายและชอบธรรมทางศีลธรรม เราควรเมตตาพอๆ กับที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงเมตตาเรา (ลูกา 6:36) เราต้องให้อภัยเหมือนที่เราได้รับการอภัย (อฟ. 4:31,32)

การให้อภัยเป็นทางเลือก การทดสอบเจตจำนง พระเจ้าต้องการให้เราให้อภัยเพื่อให้เราทำได้ แต่การให้อภัยเป็นเรื่องยากสำหรับเรา เพราะมันขัดกับแนวคิดเรื่องความยุติธรรมของเรา เราต้องการการแก้แค้น การแก้แค้น แต่เราได้รับบัญชาไม่ให้ล้างแค้นให้ตัวเอง (โรม 12:19)

เราเคยชินกับพวกเขาโดยไม่ให้อภัยผู้กระทำความผิด และนี่หมายถึงความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง หยุดความเจ็บปวด ปลดปล่อยผู้กระทำความผิด คุณยกโทษให้ใครบางคนที่ไม่ได้เห็นแก่พวกเขา คุณทำเพื่อตัวคุณเอง เพื่ออิสรภาพของคุณ เราต้องให้อภัยเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า

การให้อภัยเป็นข้อตกลงที่จะอยู่กับผลที่ตามมาจากบาปของบุคคลอื่น มีค่าใช้จ่ายสูง: เราชดใช้ความบาปที่เรายกโทษให้ ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม เรายังต้องอยู่กับผลของบาป เราได้รับทางเลือก: อยู่ในความขมขื่นที่ไม่ให้อภัยหรือด้วยแสงสว่าง อิสระ และใจที่เปรมปรีดิ์

นี่คือวิธีที่พระเยซูให้อภัย: พระองค์ทรงรับเอาผลที่ตามมาจากบาปของเราที่มีต่อพระองค์ไว้กับพระองค์ อะไรก็ตาม การให้อภัยที่แท้จริงคือการทดแทนเพราะไม่มีการอภัยโทษโดยปราศจากการลงทัณฑ์เพื่อบาปของผู้อื่น

จะให้อภัยจากหัวใจได้อย่างไร? ก่อนอื่น ยอมรับความเจ็บปวดและความเกลียดชังของคุณ หากการให้อภัยไม่ได้แตะต้องแก่นแท้ของอารมณ์ในอดีต มันก็จะไม่สมบูรณ์ คุณไม่จำเป็นต้องซ่อนความเจ็บปวดของคุณ คริสเตียนรู้สึกเจ็บปวดจากการดูถูก แต่มักไม่ยอมรับ ให้พระเจ้านำความเจ็บปวดมาสู่ผิวน้ำเพื่อที่พระองค์จะทรงดับมัน นี่คือวิธีที่การรักษาเกิดขึ้น ขอให้พระเจ้าช่วยให้คุณจำได้ว่าคุณต้องให้อภัยใคร และพูดออกมาดังๆ แบบนี้:

“พระบิดาบนสวรรค์ที่รัก ข้าพระองค์ขอบพระทัยสำหรับขุมทรัพย์แห่งความเมตตา ความเมตตา และความอดทนของพระองค์ ความเมตตาของคุณทำให้ฉันกลับใจ (โรม 2:4) ฉันยอมรับว่าฉันไม่ได้แสดงความอดทนและความเมตตาต่อผู้ที่ทำให้ฉันขุ่นเคือง ตรงกันข้าม ฉันรู้สึกขมขื่นและขุ่นเคือง

ช่วยฉันจำทุกคนที่ยังไม่ยกโทษให้ ตอนนี้ฉันทำได้ (มัทธิว 18:35) ฉันยังอธิษฐาน ถ้าฉันทำให้คนอื่นขุ่นเคือง เพื่อช่วยให้ฉันจดจำทุกคนจากใคร และเพื่อสิ่งที่ฉันควรขอการอภัย (มัทธิว 5:23,24) ฉันถามในพระนามของพระเยซูคริสต์ อาเมน"

เมื่อคุณอธิษฐาน จงเตรียมที่จะจำชื่อที่ลืมไปนาน (หลายคนจำพ่อแม่ของพวกเขาได้) ทำรายชื่อผู้กระทำความผิดของคุณ หันหน้าไปทางไม้กางเขน: สิ่งนี้ทำให้การให้อภัยถูกกฎหมายและถูกต้องตามหลักศีลธรรม บนไม้กางเขน พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เราจากอำนาจของธรรมบัญญัติ พระองค์ทรงเอาอำนาจออกไปจากโลกปีศาจและพิชิตมันด้วยพระองค์เอง (คส. 2:9-15)

พระเจ้าให้อภัยเราแล้ว เราก็ให้อภัยได้เช่นกัน จำเป็นต้องตัดสินใจแบกรับภาระปัญหาโดยไม่โกรธผู้กระทำความผิด นี่ไม่ได้หมายความว่าเราควรอดทนต่อความบาปของพวกเขา เพราะสิ่งนี้จะเปลี่ยนการให้อภัยเป็นการเยาะเย้ย เราต้องพูดต่อต้านความบาปเสมอ

ไม่จำเป็นต้องรอให้มีความปรารถนาพิเศษที่จะให้อภัย มันอาจไม่มีอยู่ หลังจากตัดสินใจให้อภัย ต้องใช้เวลาในการรักษาบาดแผลและซาตานจะสูญเสียอิทธิพลในจิตใจของคุณไป (อฟ. 4:26,27) สำหรับแต่ละบุคคลในรายการ ให้พูดว่า "พระองค์เจ้าข้า ฉันยกโทษให้เขา" พระเจ้าต้องการให้เราเป็นอิสระ การให้อภัยการดูถูก ผู้คนได้รับความรู้สึกอิสระอย่างสุดจะพรรณนา

ไม่จำเป็นต้องพยายามทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้กระทำความผิดเสมอไป การให้อภัยหมายถึงความเจ็บปวดของคุณ ไม่ใช่เขา ควรจำไว้ว่าความรู้สึกในเชิงบวกจะมาพร้อมกับเวลาสิ่งสำคัญคือการกำจัดอดีต

ความอ่อนน้อมถ่อมตนกับความดื้อรั้น

เราเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มปัจเจกนิยมที่คิดว่าตนมีสิทธิที่จะตัดสินผู้ที่มีอำนาจเหนือเรา เรายังถูกล่อลวงให้ไม่เชื่อฟังอำนาจของมนุษย์ด้วย คริสเตียนก็ไม่มีข้อยกเว้น แม้ว่าการไม่เชื่อฟังพระเจ้าจะทำให้เกิดปัญหาเท่านั้น

พระคัมภีร์กล่าวว่าเรามีภาระหน้าที่สองประการต่อผู้ปกครอง: อธิษฐานเผื่อพวกเขาและเชื่อฟังพวกเขา พระผู้เป็นเจ้าทรงยอมให้เราไม่เชื่อฟังผู้มีอำนาจทางโลกก็ต่อเมื่อพวกเขาต้องการให้เรากระทำการขัดต่อพระบัญญัติของพระองค์ พระคัมภีร์ต่อไปนี้พูดถึงความรับผิดชอบต่อพลเมืองของเรา: รม. 13:1-5; 1 ทิม. 2:1-4; 1 สัตว์เลี้ยง 2:13-16; ความรับผิดต่อนายจ้าง : 1 ปต. 2:18-21; ต่อหน้าผู้นำคริสตจักร - ฮีบ 13:17.

การยอมจำนนต่ออำนาจของมนุษย์แสดงให้เห็นถึงศรัทธาของเรา เมื่อเรายอมจำนนต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้า เราวางใจว่าพระองค์จะทรงปกป้องและอวยพรเรา และทุกสิ่งในชีวิตจะสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ ในการกลับใจจากการไม่เชื่อฟังต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า คุณต้องพูดบางอย่างเช่นคำอธิษฐานต่อไปนี้:

“พระบิดาบนสวรรค์ พระองค์ตรัสว่า “...การไม่เชื่อฟังเป็นบาปเช่นเดียวกับเวทมนตร์ และการกบฏก็เหมือนกับการบูชารูปเคารพ” (1 ซมอ. 15:23) ข้าพเจ้าตระหนักว่าข้าพเจ้าได้ทำบาปต่อพระองค์ด้วยใจที่ดื้อรั้น ฉันขอให้คุณยกโทษให้สำหรับการไม่เชื่อฟังของฉันและฉันอธิษฐานว่าโดยการหลั่งโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์ทุกด้านในชีวิตของฉันจะได้รับการชำระจากปีศาจ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าพระองค์จะทรงทำให้กระจ่างในทุกวิถีทางของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ถึงความบริบูรณ์ของการไม่เชื่อฟังของข้าพเจ้า และใช้เส้นทางแห่งการเชื่อฟังและการรับใช้

ในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าของฉัน อาเมน"

ความอ่อนน้อมถ่อมตนกับความเย่อหยิ่ง

ความจองหองคือนักฆ่า มันบอกกับเราว่า “ฉันทำเองได้ ฉันสามารถออกจากสิ่งนี้ได้โดยปราศจากความช่วยเหลือจากพระเจ้า” ไม่เราทำไม่ได้! เราต้องการพระเจ้าอย่างต่อเนื่องและต้องการกันและกัน เปาโลเขียนว่า “เพราะว่าเราเป็นผู้เข้าสุหนัต ผู้รับใช้พระเจ้าในพระวิญญาณ และโอ้อวดในพระเยซูคริสต์ และไม่วางใจในเนื้อหนัง” (ฟป. 3:3) ความจองหองตามมาด้วยความขัดแย้งทางวิญญาณ (ยากอบ 4:6-10; 1 ปต. 5: 1-10)

ใช้คำอธิษฐานดังต่อไปนี้เพื่อแสดงความตั้งใจที่จะดำเนินชีวิตอย่างสุภาพต่อพระพักตร์พระเจ้า:

“พระบิดาบนสวรรค์ พระองค์ตรัสว่า “ความจองหองมาก่อนความพินาศ และความจองหองก่อนการล้ม” (สุภาษิต 16:18) ข้าพเจ้ารับทราบว่าข้าพเจ้าไม่ยอมแพ้และไม่ได้แบกกางเขนตามพระองค์ (มธ. 16:24) ในการทำเช่นนั้น ฉันได้เปิดทางให้ศัตรูเข้ามาในชีวิตของฉัน ฉันเชื่อว่าฉันสามารถประสบความสำเร็จและใช้ชีวิตอย่างมีชัยชนะด้วยกำลังของตัวเอง ข้าพเจ้าสารภาพว่าข้าพเจ้าได้ทำบาปต่อพระองค์โดยวางความประสงค์ของข้าพเจ้าไว้เหนือพระทัยของพระองค์และให้ชีวิตข้าพเจ้าอยู่รอบๆ ตัวข้าพเจ้าเองและไม่ได้อยู่รอบๆ พระองค์ ข้าพเจ้าละทิ้งความเห็นแก่ตัว และในการทำเช่นนั้น ข้าพเจ้าได้นำทุกสิ่งที่ศัตรูของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ได้มาในตัวข้าพเจ้าไป

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอพระองค์จะทรงนำทางข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะไม่กระทำการอย่างเห็นแก่ตัวและให้ที่ว่างสำหรับความหยิ่งทะนง แต่ให้ถือว่าคนอื่นสูงกว่าตัวข้าพเจ้าอย่างสุภาพ (ฟิลิปปี 2:3-5) ช่วยฉันให้รับใช้ผู้อื่นด้วยความรักและสรรเสริญผู้อื่นมากกว่าตัวฉันเอง (รม. 12:6-18)
ข้าพเจ้าทูลขอในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าของข้าพเจ้า อาเมน"

หมายเหตุ ความดื้อรั้นและเย่อหยิ่ง ขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน เจตจำนงในตนเอง ฯลฯ เป็นการแสดงอาการวิกลจริตของเนื้อหนังที่ไม่ถูกตรึง บ่อยครั้งที่เนื้อหนังกลายเป็นพันธมิตรของซาตานและขัดขวางการพัฒนาทางวิญญาณ การหลุดพ้นจากการเสพติดต่าง ๆ นิสัยเชิงลบ และคุณสมบัติของอุปนิสัยเกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากกระบวนการตรึงกางเขนร่วมอันยาวนานและเจ็บปวด การชำระให้บริสุทธิ์เป็นกระบวนการตลอดชีวิต

เสรีภาพกับการเป็นทาส

ในขั้นตอนต่อไปบนเส้นทางสู่อิสรภาพ เราพบกับอุปสรรค - บาปที่ฝังแน่น คนที่ติดอยู่ในวงจรของการกลับใจจากบาป - การกลับใจ - การกลับใจจากบาปอาจต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของยากอบ: “จงสารภาพความผิดต่อกัน และภาวนาให้กันและกันให้หาย: คำอธิษฐานอันแรงกล้าของผู้ชอบธรรมสามารถทำอะไรได้มากมาย”(ยากอบ 5:16)

ตัวอย่างเช่น คนหนุ่มสาวจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มาจากครอบครัวที่ไม่ใช่คริสเตียน ติดเซ็กส์อย่างมาก พวกเขาควรรู้ว่าการจูบ ความคิดเกี่ยวกับกาม และการเบี่ยงเบนทางเพศต่างๆ (การเบี่ยงเบน) นั้นไม่ถูกกฎหมายและผิดธรรมชาติ พระเจ้าเสนอโปรแกรมอื่น: “สิ่งใดที่จริง สิ่งใดที่ซื่อสัตย์ สิ่งใดที่ยุติธรรม สิ่งใดที่บริสุทธิ์ สิ่งใดที่น่ารัก สิ่งใดที่รุ่งโรจน์ สิ่งใดที่เป็นคุณธรรมและสรรเสริญ คิดเกี่ยวกับสิ่งนั้น”(ฟิลิป. 4:8). อ่านคำอธิษฐานต่อไปนี้:

“พระบิดาบนสวรรค์ที่รัก พระองค์ทรงบัญชาให้เราสวมในองค์พระเยซูคริสต์ และไม่กระทำการจัดเตรียมของเนื้อหนังด้วยตัณหา (โรม 13:14) ฉันยอมรับว่าฉันได้ทำเช่นนั้น แต่ตัณหาทำสงครามกับจิตวิญญาณของฉัน (1 ปต. 2:11) ขอบคุณในพระคริสต์ที่บาปของฉันได้รับการอภัย แต่ฉันทำผิดกฎศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์และทำให้ศัตรูทำสงครามในร่างกายของฉันได้ (อฟ. 4:27; ยาส. 4:1; 1 ปต. 5:8)

ข้าพเจ้ามาที่พระองค์เพื่อรับทราบความบาปนี้และขอให้พระองค์ชำระ (1 ยอห์น 1:9) ให้พ้นจากพันธนาการของบาป (กท. 5:1)

ฉันขอให้คุณเปิดทางให้ฉันเพื่อไม่ให้ละเมิดกฎหมายศีลธรรมของคุณและไม่ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย

หลังจากสารภาพบาปที่คุณรู้แล้ว ให้อธิษฐาน:

“พระเจ้า ข้าพเจ้าสารภาพบาปเหล่านี้ต่อพระพักตร์พระองค์ และทูลขอการอภัยโทษและชำระให้บริสุทธิ์จากพระโลหิตของพระองค์จากพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าละทิ้งทุกสิ่งที่วิญญาณชั่วได้บังคับข้าพเจ้าไว้เพราะว่าข้าพเจ้ามีส่วนในบาป ข้าพเจ้าปฏิเสธคำโกหกและปรารถนาจะดำเนินชีวิตในความจริง ฉันถามสิ่งนี้ในพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดที่ยอดเยี่ยมของฉัน อาเมน"

การสละกับการยอมรับ

ขั้นตอนสุดท้ายสู่อิสรภาพคือการละทิ้งบาปของบรรพบุรุษและการสาปแช่งใดๆ ที่อาจตกอยู่กับคุณ โดยให้บัญญัติสิบประการ พระเจ้าตรัสว่า “อย่าสร้างรูปเคารพหรือรูปเคารพใดๆ สำหรับตนสำหรับตนว่าสิ่งใดอยู่ในสวรรค์เบื้องบน และสิ่งที่อยู่บนแผ่นดินเบื้องล่าง และสิ่งที่อยู่ในน้ำเบื้องล่างแผ่นดินโลก อย่าบูชาพวกเขาและอย่ารับใช้พวกเขา เพราะเราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า พระเจ้าผู้ทรงหวงแหน ผู้ทรงลงโทษเด็กตามความผิดของบิดาจนถึงรุ่นที่สามและสี่ที่เกลียดชังเรา” (อพย 20:4,5)

ความจริงที่ว่าการเชื่อฟังต่อปีศาจสามารถส่งต่อจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งได้นั้นได้รับการยืนยันโดยที่ปรึกษาของผู้ติดไสยศาสตร์ (ในทางปฏิบัติของฉัน นี่เป็นเหตุการณ์ปกติ) ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหามากมายถ่ายทอดทางพันธุกรรมและได้มาในสภาพแวดล้อมที่ผิดศีลธรรม เงื่อนไขทั้งหมดเหล่านี้ส่งผลต่อความโน้มเอียงของบุคคลต่อบาปที่เฉพาะเจาะจง

ในขณะที่คุณปลดปล่อยตัวเองจากการปรากฏตัวของซาตานในครอบครัว ให้คาดหวังการต่อต้าน ลูกบุญธรรมมักตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของปีศาจเพราะพ่อแม่ที่แท้จริงของพวกเขา แต่พวกเขาก็เช่นกัน สามารถเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ในพระคริสต์ ละทิ้งการพึ่งพาอาศัยกัน และรับมรดกเป็นบุตรธิดาของพระเจ้า หากพวกเขายังเล็กอยู่ การอุทิศตนเพื่อพระเจ้า พ่อแม่ที่เป็นคริสเตียนใหม่จำเป็นต้องแก้พันธะแห่งความเท็จ

หากคุณได้มีส่วนร่วมในพิธีกรรมของซาตานหรือการปฏิบัติไสยศาสตร์อื่น ๆ (ซึ่งรวมถึงความสามัคคี การเคลื่อนไหวยุคใหม่ เทคนิคการรักษาลึกลับต่างๆ การรักษา การมีญาณทิพย์ ศิลปะการต่อสู้ ฯลฯ) คุณอาจได้รับ "มัคคุเทศก์ทางจิตวิญญาณ" หรือ " ผู้ปกครอง " ความสัมพันธ์ทางวิญญาณเหล่านี้จะต้องถูกปฏิเสธ เช่นเดียวกับสัญญาเลือดใดๆ ที่รวมคุณเข้ากับใครก็ตามที่ไม่ใช่พระเจ้า เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะปฏิเสธและทำลายความฝันและนิมิต "พยากรณ์" การเขียนโปรแกรม "การเปิดเผย" ของมนุษย์ หากคุณตกเป็นเหยื่อของพิธีกรรม คุณต้องขอความช่วยเหลือจากที่ปรึกษาที่เข้าใจป้อมปราการปีศาจ

เพื่อปลดปล่อยตัวคุณเองจากอิทธิพลในอดีต ให้อ่านตัวอย่างคำอธิษฐานต่อไปนี้:

“พระบิดาบนสวรรค์ที่รัก ข้าพระองค์มาในฐานะลูกของพระองค์ ได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าขอสละพันธนาการของปีศาจทั้งหมดที่อาจเกิดจากบาปของบรรพบุรุษข้าพเจ้า และอย่ายอมจำนนต่อสิ่งเหล่านี้ ในฐานะผู้ที่ได้รับการปลดปล่อยจากอำนาจแห่งความมืดและเคลื่อนเข้าสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระเจ้า ข้าพเจ้าขอปฏิเสธการกระทำของปีศาจทั้งหมดที่บรรพบุรุษของข้าพเจ้าตกทอดมาถึงข้าพเจ้า ในฐานะผู้ถูกตรึงกางเขนและฟื้นคืนพระชนม์กับพระคริสต์ ข้าพเจ้าปฏิเสธความพยายามทั้งหมดของซาตานที่จะครอบครองข้าพเจ้า ฉันประกาศตัวเองชั่วนิรันดร์และพึ่งพาพระเจ้าพระเยซูคริสต์อย่างสมบูรณ์

ฉันละทิ้งคำสาปและวิญญาณบรรพบุรุษ ศัตรูทั้งหมดของพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในฉันหรืออยู่ใกล้ฉันและมีอิทธิพลต่อฉัน ฉันขอให้พระองค์พระบิดาบนสวรรค์ทรงเติมเต็มฉันด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เราให้ร่างกายของฉันเป็นเครื่องมือแห่งความชอบธรรม เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต เพื่อฉันจะได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ในนั้น

ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าขอจากท่านในพระนามและสิทธิอำนาจของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ อาเมน"

เมื่อผ่านขั้นตอนทั้งหมดและพบอิสรภาพของคุณแล้ว คุณอาจสังเกตเห็นว่าหลังจากนั้นไม่นาน พวกปิศาจจะพยายามกลับมา ชัยชนะครั้งเดียวไม่ได้หมายความว่าสงครามได้รับชัยชนะ แต่ชัยชนะหลายครั้งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ชนะ คุณต้องรักษาเสรีภาพของคุณ เราจะเป็นอิสระตราบใดที่ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้ายังคงรักษาไว้ แม้ว่าจะมีการล้มลง เราก็รู้วิธีกลับไปหาพระองค์

ควรจำไว้ว่าการปลดปล่อยมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งการสารภาพบาป ในขณะที่การเติบโต (การชำระให้บริสุทธิ์) เป็นกระบวนการตลอดชีวิตของผู้เชื่อ ดังนั้นการหยุดพัฒนาทางจิตวิญญาณจึงเป็นอันตรายจากการที่บุคคลกลับมายังที่เดิมในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เมื่อเราเรียกหาพระคริสต์ เราขอให้พระองค์ขับซาตานออกจากชีวิตเรา แต่เป็นความรับผิดชอบของเราที่จะไม่ปล่อยให้เขากลับเข้าไปอีก (กท. 5:1) ยืนหยัดต่อต้านเขา สงครามของเราได้รับชัยชนะ!

ปีเตอร์ แพฟยูคศิษยาภิบาลของคริสตจักร ECB "แสงแห่งความจริง" (โอเดสซา)

คำนำของอาราม Athos Russian St. Panteleimon ฉบับปี 1904

ในต้นฉบับของหนังสือเล่มนี้ ในชื่อหนังสือเล่มนี้ ปรากฏว่าหนังสือเล่มนี้ถูกรวบรวมโดยบุคคลอื่น ปราชญ์บางคน แต่เอ็ลเดอร์นิโคเดมัสเพียงแก้ไข แก้ไข เสริม และเสริมแต่งด้วยบันทึกและสารสกัดจากบรรพบุรุษผู้ศักดิ์สิทธิ์ , นักพรต. ดังนั้น มันเป็นของเอ็ลเดอร์นิโคเดมัสด้วยจิตวิญญาณมากกว่าในจดหมาย เมื่อแปลหนังสือเล่มนี้ ถือว่าเหมาะสมกว่าที่จะรวมบันทึกและคำให้การจากบรรพบุรุษไว้ในข้อความ และด้วยเหตุนี้ บางครั้งจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนคำในหนังสือเพื่อปรับปรุงรูปแบบ ซึ่งบางครั้งก็ได้รับอนุญาตโดยไม่ได้แปล ดังนั้นหนังสือที่เสนอจึงไม่ควรถือว่าแปลมากเท่ากับการถอดความฟรี

คำนำ (เรียบเรียงโดยเอ็ลเดอร์นิโคเดมัสตามต้นฉบับที่ท่านใช้)

หนังสือเล่มเล็กที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณเล่มนี้ถูกต้องมีชื่อที่กำหนดให้เป็น "Invisible Scolding" หนังสือศักดิ์สิทธิ์และได้รับการดลใจในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่กี่เล่มที่ได้ชื่อมาจากวัตถุที่พวกเขาสอน (เช่น หนังสือปฐมกาล ตั้งชื่ออย่างนั้นเพราะประกาศการทรงสร้างและความเป็นอยู่ที่ดีของสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่จาก ไม่มีอยู่จริง อพยพ - เพราะมันอธิบายการอพยพของบุตรของอิสราเอลจากอียิปต์ เลวีนิติ - เพราะมันมีกฎบัตรของพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์สำหรับเผ่าเลวี; หนังสือของกษัตริย์ - เพราะพวกเขาบอกเกี่ยวกับชีวิตและการกระทำของกษัตริย์; พระวรสาร - เพราะพวกเขาประกาศพระกิตติคุณ ความปิติยินดีอย่างยิ่ง ประหนึ่งว่าพระคริสต์ทรงประสูติ พระผู้ช่วยให้รอดมาสู่โลก(เปรียบเทียบ ลูกา 2:10-11) และแสดงทางไปสู่ความรอดและมรดกแห่งชีวิตอันเป็นนิรันดรแก่บรรดาผู้สัตย์ซื่อ ดังนั้น ใครบ้างจะไม่เห็นด้วยว่าหนังสือเล่มปัจจุบัน ตัดสินจากเนื้อหาและหัวข้อที่เกี่ยวข้อง มีค่าควรกับชื่อ "คำเตือนที่มองไม่เห็น"?

เพราะเธอไม่ได้สอนเกี่ยวกับการทำสงครามที่เย้ายวนและมองเห็นได้ และไม่ได้สอนเกี่ยวกับศัตรูที่มองเห็นได้และทางร่างกาย แต่เกี่ยวกับการทำสงครามทางจิตและมองไม่เห็น ซึ่งคริสเตียนทุกคนจะยอมรับตั้งแต่เวลาที่เขารับบัพติศมาและสาบานต่อพระพักตร์พระเจ้าที่จะต่อสู้เพื่อพระองค์ในพระสิริแห่งพระเจ้าของพระองค์ ชื่อ แม้ตาย (ทำไมมันเขียนไว้ในหนังสือเบอร์กันต์ว่า : ด้วยเหตุนี้จึงมีการกล่าวถึงสงครามขององค์พระผู้เป็นเจ้าในหนังสือว่ามันถูกเขียนเชิงเปรียบเทียบเกี่ยวกับสงครามที่มองไม่เห็นนี้ (กดว. 21:14) และเกี่ยวกับศัตรูที่ไม่มีตัวตนและโดยปริยาย ซึ่งเป็นกิเลสตัณหาและตัณหาต่างๆ ของเนื้อหนัง และความชั่วร้ายและมารร้ายที่ไม่ยอมหยุดต่อสู้กับเราทั้งกลางวันและกลางคืน พอล กล่าวว่า: แบกรับการต่อสู้ของเราเพื่อเลือดและเนื้อ แต่เพื่อจุดเริ่มต้นและกับผู้มีอำนาจและผู้ปกครองของความมืดของโลกนี้เพื่ออาฆาตฝ่ายวิญญาณในที่สูง(อฟ. 6:12).

นักรบที่ต่อสู้ในการต่อสู้ที่มองไม่เห็นนี้ เธอสอน ทุกคนเป็นคริสเตียน พระเยซูคริสตเจ้าของเราถูกพรรณนาว่าเป็นแม่ทัพ ล้อมรอบด้วยผู้บังคับบัญชาของพันและร้อยผู้บังคับบัญชา นั่นคือ หมู่ทูตสวรรค์และธรรมิกชนทั้งหมด สนามรบ สนามรบ สถานที่ที่การต่อสู้เกิดขึ้น คือหัวใจของเราเองและภายในทั้งหมดของมนุษย์; เวลาของการต่อสู้คือทั้งชีวิตของเรา

อะไรคือแก่นแท้ของอาวุธที่การต่อสู้ที่มองไม่เห็นนี้สวมใส่ให้กับนักรบ? ฟัง. หมวกของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและความไม่ไว้วางใจในตัวเองอย่างสมบูรณ์ โล่และจดหมายลูกโซ่ - ศรัทธาอย่างกล้าหาญในพระเจ้าและความหวังที่มั่นคงในพระองค์ เกราะและทับทรวง - สอนในความทุกข์ยากของพระเจ้า; เข็มขัด - ตัดกิเลสตัณหา; รองเท้า - ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความอ่อนแอของการรับรู้และความรู้สึกอย่างต่อเนื่อง เดือย - ความอดทนในการล่อลวงและขับไล่ความประมาท ด้วยดาบที่พวกเขาถือไว้ในมือข้างเดียวอย่างต่อเนื่อง - อธิษฐานทั้งทางวาจาและทางใจ ด้วยหอกสามแฉกที่พวกเขาถืออยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง - ตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่เห็นด้วยกับกิเลสตัณหาที่ดิ้นรนเพื่อฉีกมันออกจากตัวเองด้วยความโกรธและความเกลียดชังด้วยสุดใจ Kosht ​​​​และอาหารที่พวกเขาได้รับการเสริมกำลังเพื่อต่อต้านศัตรู - การมีส่วนร่วมกับพระเจ้าบ่อยครั้งทั้งลึกลับจากการเสียสละลึกลับและจิตใจ บรรยากาศที่สดใสไร้เมฆทำให้พวกเขามีโอกาสเห็นศัตรูจากระยะไกล - การฝึกจิตอย่างต่อเนื่องโดยรู้ว่ามีสิทธิเฉพาะต่อพระพักตร์พระเจ้า, การฝึกฝนตามเจตจำนงอย่างต่อเนื่องในความปรารถนาเฉพาะสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย, สันติสุข และความสงบของหัวใจ

ที่นี่ - ที่นี่ใน "Invisible Warfare" (นั่นคือในหนังสือ) หรือดีกว่าที่จะพูดในนี้ สงครามพระเจ้า- ทหารของพระคริสต์เรียนรู้ที่จะรู้จักเสน่ห์ต่าง ๆ อุบายต่าง ๆ ความฉลาดแกมโกงและไหวพริบของกองทัพที่ศัตรูทางจิตใจใช้โจมตีพวกเขาผ่านความรู้สึกผ่านจินตนาการผ่านการกีดกันความเกรงกลัวพระเจ้าโดยเฉพาะผ่านข้ออ้างสี่ประการที่พวกเขานำมา เข้าสู่หัวใจในเวลาแห่งความตาย - ฉันหมายถึงสิ่งที่แนบมาของความไม่เชื่อความสิ้นหวังความไร้สาระและการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาเป็นเทวดาแห่งแสงสว่าง เรียนรู้ที่จะรับรู้ทั้งหมดนี้ในเวลาเดียวกันพวกเขาจัดการวิธีทำลายความสนใจของศัตรูและต่อต้านพวกเขาและพวกเขาจะรู้ว่ากลยุทธ์ใดและกฎการสงครามที่พวกเขาควรปฏิบัติตามในกรณีใดและความกล้าหาญที่จะเข้าสู่การต่อสู้ . และฉันจะพูดสั้น ๆ ด้วยหนังสือเล่มนี้ว่าทุกคนที่ปรารถนาความรอดเรียนรู้วิธีเอาชนะศัตรูที่มองไม่เห็นของเขาเพื่อที่จะได้รับขุมทรัพย์แห่งคุณธรรมที่แท้จริงและศักดิ์สิทธิ์และได้รับมงกุฎที่ไม่เสื่อมสลายและคำมั่นสัญญานิรันดร์ซึ่งเป็นการรวมตัวกับ พระเจ้าทั้งในศตวรรษนี้และในอนาคต

ยอมรับผู้อ่านที่รักพระคริสต์ หนังสือเล่มนี้อย่างสนุกสนานและเป็นที่ชื่นชอบ และเรียนรู้จากมันเกี่ยวกับศิลปะแห่งสงครามที่มองไม่เห็น พยายามไม่เพียงแต่ต่อสู้เท่านั้น แต่ยังต่อสู้อย่างถูกกฎหมาย ต่อสู้อย่างที่ควรจะเป็น เพื่อที่คุณจะได้สวมมงกุฎ เพราะตามที่อัครสาวกกล่าวไว้ แม้ว่าบางคนจะดิ้นรน แต่เขายังไม่แต่งงานถ้าเขาต่อสู้อย่างผิดกฎหมาย (ดู: 2 ทธ. 2, 5) สวมอาวุธที่เธอชี้ให้คุณเห็นเพื่อฆ่าศัตรูที่มองไม่เห็นทางจิตใจและมองไม่เห็นซึ่งเป็นกิเลสตัณหาที่ทำลายจิตวิญญาณ ตัวจัดระเบียบและตัวกระตุ้นของพวกมันคือปีศาจ สวมอาวุธทั้งหมดของพระเจ้าราวกับว่าคุณสามารถช่วยให้ฉันกลายเป็นอุบายของมารได้(อฟ. 6:11). จำไว้ว่าในการรับบัพติศมาศักดิ์สิทธิ์ คุณสัญญาว่าจะยังคงละทิ้งซาตาน การกระทำทั้งหมดของเขา และพันธกิจทั้งหมดของเขา และความเย่อหยิ่งทั้งหมดของเขา นั่นคือ ความยั่วยวน ความรักในสง่าราศี ความรักเงิน และความปรารถนาอื่นๆ จากนั้นพยายามให้มากที่สุดเพื่อหันหลังให้เขา อับอายและพิชิตในความสมบูรณ์แบบทั้งหมด

และรางวัลและรางวัลอะไรที่คุณต้องได้รับสำหรับชัยชนะของคุณเช่นนี้! มากมายและยิ่งใหญ่ และได้ยินเกี่ยวกับพวกเขาจากพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเอง ผู้ทรงสัญญาแก่ท่านในพระวจนะศักดิ์สิทธิ์สำหรับพระวจนะดังนี้ ... แก่ผู้ที่ชนะ เราจะให้อาหารจากต้นไม้ของสัตว์ซึ่งอยู่ตรงกลาง ของพระเจ้า ... พิชิตอย่าได้รับอันตรายจากความตายครั้งที่สอง แก่ผู้มีชัยชนะ เราจะให้อาหารจากมานาที่ซ่อนอยู่ และสำหรับผู้ที่มีชัยและรักษาผลงานของเราจนถึงที่สุด ฉันจะให้อำนาจแก่เขาทางลิ้น... และฉันจะให้ดาวแห่งรุ่งอรุณแก่เขา ผู้ที่เอาชนะเขาจะสวมเสื้อคลุมสีขาว ... และเราจะสารภาพชื่อของเขาต่อหน้าพระบิดาของฉันและต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระองค์ ผู้ที่เอาชนะฉันจะสร้างเสาหลักในคริสตจักรของพระเจ้าของฉัน สำหรับผู้ที่เอาชนะฉันจะให้นั่งกับฉันบนบัลลังก์ของฉัน ... ผู้ที่ชนะจะได้รับทุกสิ่งและพระเจ้าจะทรงอยู่กับเขาและเขาจะเป็นลูกชายของฉัน (วิวรณ์ 2, 7, 11, 17, 26- 28; 3, 5, 12, 21; 21, 7)

ดูเป็นเกียรติอะไร! ดูว่ามีรางวัลอะไรบ้าง! ดูมงกุฎที่ไม่มีวันเสื่อมสลายที่มีแปดเหลี่ยมและหลากสีนี้ หรือดีกว่า มงกุฎเหล่านี้ที่สานเข้าด้วยกันเพื่อคุณ พี่น้อง หากคุณเอาชนะมารได้! บัดนี้จงวิตกกังวลเพราะสิ่งนี้ พยายามและงดเว้นจากทุกสิ่ง ใช่ว่าจะไม่มีใครส่งมงกุฎมาของคุณ (วว. 3:11) แท้จริงแล้ว เป็นเรื่องน่าละอายอย่างยิ่งที่บรรดาผู้ต่อสู้ในสนามด้วยการออกแรงกายและงานภายนอก ละเว้นจากทุกสิ่งมากกว่าห้าเท่า เพื่อจะได้มงกุฏที่เน่าเปื่อยจากต้นมะกอกป่า หรือจากกิ่งปาล์ม หรือจากต้นอินทผาลัม หรือจากลอเรลหรือจากไมร์เทิลหรือจากพืชอื่น แต่ท่านผู้ต้องได้รับมงกุฎที่ไม่มีวันเสื่อมสลายเช่นนั้น จงใช้ชีวิตอย่างประมาทเลินเล่อและประมาทเลินเล่อ คำพูดของนักบุญพอลจะไม่ปลุกคุณให้ตื่นจากการหลับใหลซึ่งพูดว่า: ไม่รู้เหมือนไหลไปสู่ความอัปยศ, ทั้งหมดไหล, คนเดียวที่ยอมรับเกียรติ; ดังนั้น tezit ที่คุณเข้าใจทุกคนที่พยายามจากทั้งหมดจะละเว้น: และพวกเขาแม้จะเสียหายจะได้รับมงกุฎ แต่เราไม่เน่าเปื่อย (1 โครินธ์ 9, 24-25)

หากได้รับแรงบันดาลใจจากความกระตือรือร้น คุณคู่ควรกับชัยชนะและมงกุฎที่สดใสเช่นนั้น อย่าลืมพี่น้องของฉันที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อการอภัยบาปและผู้ที่ช่วยให้คุณได้รับพรดังกล่าวผ่านหนังสือเล่มนี้ . ก่อนอื่นอย่าลืมแหงนหน้าขึ้นสู่สวรรค์และขอบคุณและสง่าราศีแก่พระเจ้าและผู้นำของพระเยซูผู้เป็นแหล่งกำเนิดและผู้บรรลุชัยชนะคนแรกของคุณ โดยกล่าวถ้อยคำของเศรุบบาเบลแต่ละคำต่อพระองค์: จากพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า คือชัยชนะ... และสง่าราศีของพระองค์คือ; ฉันเป็นคนรับใช้ของคุณ(cf.: 2 Ezra. 4, 59) และอีกอันที่ผู้เผยพระวจนะเดวิดพูด: ... พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ ความแข็งแกร่ง สง่าราศี การเอาชนะ คำสารภาพ และความแข็งแกร่ง ...(1 โคร. 29:11) เดี๋ยวนี้และตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน

ส่วนที่ 1

บทที่ก่อน
ความสมบูรณ์แบบของคริสเตียนคืออะไร เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเป็นสิ่งจำเป็น สี่สิ่งที่คุณต้องประสบความสำเร็จในการต่อสู้ครั้งนี้

เราทุกคนล้วนปรารถนาและได้รับบัญชาให้สมบูรณ์แบบ พระเจ้ารับสั่งว่า ...ฉะนั้นท่านจึงดีพร้อม ดังที่พระบิดาบนสวรรค์ของท่านสมบูรณ์แบบ(มธ. 5:48) นักบุญเปาโลปลอบว่า ... เป็นเด็กในความอาฆาตพยาบาท แต่จิตใจที่สมบูรณ์(1 โครินธ์ 14, 20) ในอีกที่หนึ่งที่เราอ่านจากเขา: …คุณจะมุ่งมั่น และเติมเต็ม...(Col. 4:12) และอีกครั้ง: ...ไปทำธุระกัน...(ฮีบรู 6:1) พระบัญญัตินี้มีไว้ล่วงหน้าในพันธสัญญาเดิมเช่นกัน พระเจ้าจึงตรัสกับอิสราเอลในเฉลยธรรมบัญญัติว่า คุณสมบูรณ์แบบต่อพระพักตร์พระเจ้าของคุณ(ฉธบ. 18, 13). และนักบุญเดวิดก็สั่งโซโลมอนลูกชายของเขาเช่นเดียวกัน: ... และ บัดนี้ โซโลมอน ลูกเอ๋ย ที่เจ้ารู้จักพระเจ้า บรรพบุรุษของเจ้า และปรนนิบัติพระองค์ด้วยใจที่สมบูรณ์และเจตจำนงทางวิญญาณ ...(1 พงศาวดาร 28, 9) หลังจากนี้ เราไม่สามารถพลาดที่จะเห็นว่าพระเจ้าเรียกร้องความสมบูรณ์ของความสมบูรณ์แบบจากคริสเตียน นั่นคือ พระองค์ต้องการให้เราสมบูรณ์แบบในคุณธรรมทั้งหมด

แต่ถ้าคุณผู้อ่านที่รักของข้าพเจ้าในพระคริสต์ ต้องการบรรลุความสูงดังกล่าว คุณต้องรู้ล่วงหน้าว่าความสมบูรณ์แบบของคริสเตียนประกอบด้วยอะไร เพราะเมื่อไม่รู้สิ่งนี้ คุณสามารถเบี่ยงเบนไปจากเส้นทางที่แท้จริงและคิดว่าคุณกำลังไหลไปสู่ความสมบูรณ์แบบ มุ่งหน้าไปในทิศทางที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ฉันจะพูดอย่างตรงไปตรงมา สิ่งที่สมบูรณ์แบบและยิ่งใหญ่ที่สุดที่บุคคลหนึ่งสามารถปรารถนาและบรรลุได้คือการเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นและเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์

แต่มีเพียงไม่กี่คนที่กล่าวว่าความสมบูรณ์แบบของชีวิตคริสเตียนประกอบด้วยการถือศีลอด การเฝ้า คุกเข่า การนอนบนพื้นดินเปล่า และความเข้มงวดทางร่างกายอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน บางคนบอกว่าเป็นการอธิษฐานที่บ้านและยืนขึ้นเพื่อไปโบสถ์เป็นเวลานาน และมีผู้ที่เชื่อว่าความสมบูรณ์แบบของเราประกอบด้วยการอธิษฐานจิต ในความสันโดษ อาศรม และความเงียบ ส่วนที่ใหญ่ที่สุดจำกัดความสมบูรณ์แบบนี้ไว้ที่การบรรลุผลที่แท้จริงของการบำเพ็ญตบะทั้งหมดที่กำหนดไว้ในกฎไม่เบี่ยงเบนไปจนเกินหรือขาดสิ่งใด แต่ยึดมั่นในค่าเฉลี่ยสีทอง อย่างไรก็ตาม คุณธรรมทั้งหมดเหล่านี้เพียงอย่างเดียวไม่ได้ประกอบขึ้นเป็นความสมบูรณ์แบบของคริสเตียนที่ต้องการ แต่เป็นเพียงวิธีการและวิธีที่จะบรรลุผลสำเร็จเท่านั้น

ว่าพวกเขาเป็นวิถีทางและวิธีที่มีประสิทธิภาพในการบรรลุความสมบูรณ์ในชีวิตคริสเตียน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้ เพราะเราเห็นบุรุษผู้ประพฤติดีมากมายที่ผ่านคุณธรรมเหล่านี้ตามที่ควรโดยมุ่งหมายให้ได้มาซึ่งกำลังและอำนาจจากบาปและความชั่วของตนด้วยวิธีนี้ เพื่อดึงความกล้าจากพวกเขาในการต่อต้านการล่อลวงและการล่อลวงของศัตรูหลักทั้งสามของเรา : เนื้อหนัง โลก และมาร เพื่อตุนไว้ในตัวพวกเขาและผ่านความช่วยเหลือทางวิญญาณ จำเป็นสำหรับผู้รับใช้ทุกคนของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เริ่มต้น พวกเขาอดอาหารเพื่อปราบเนื้อหนังที่โหดเหี้ยม พวกเขาเฝ้าระแวดระวังเพื่อลับตาที่ชาญฉลาด พวกเขานอนบนพื้นดินเปล่าเพื่อไม่ให้ง่วงนอน พวกเขาผูกลิ้นของตนด้วยความเงียบและแยกตัวออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุผลแม้แต่น้อยที่จะทำบางสิ่งที่ทำให้พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ขุ่นเคือง พวกเขาสวดอ้อนวอน รับใช้ในโบสถ์ และคนอื่น ๆ ปฏิบัติด้วยความนับถือเพื่อที่ความสนใจของพวกเขาจะไม่พรากจากสิ่งสวรรค์ พวกเขาอ่านเรื่องราวชีวิตและความทุกข์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราโดยไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากการรู้จักความชั่วของตนเองและพระเมตตาของพระเจ้าให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเรียนรู้และตั้งหลักแหล่งที่จะติดตามองค์พระเยซูคริสต์ด้วยการปฏิเสธตนเองและตรึงกางเขนบนตน ไหล่และเพื่อที่จะอบอุ่นในตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ รักพระเจ้าและความเกลียดชังในตัวเอง

แต่ในทางกลับกัน คุณธรรมเดียวกันนี้สามารถทำร้ายผู้ที่วางรากฐานทั้งชีวิตและความหวังไว้ในตัวมากกว่าการละเลยที่เห็นได้ชัด ไม่ใช่ในตัวพวกเขา เพราะพวกเขาเคร่งศาสนาและศักดิ์สิทธิ์ แต่โดยความผิดของ บรรดาผู้ไม่ใช้ตามที่ควรจะเป็น แท้จริงเมื่อสนใจแต่คุณธรรมภายนอกเหล่านี้เท่านั้น พวกเขาจึงละหัวใจของแม่ผัวของตนไว้ในพระราชกฤษฎีกาของตนและตามความประสงค์ของมารซึ่งเห็นว่าตน ได้หลงไปจากทางที่ถูกต้อง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกเขา ไม่เพียงแต่ทำงานด้วยความปิติยินดีในการหาประโยชน์ทางกายนี้เท่านั้น แต่ยังขยายและเพิ่มพูนขึ้นอีกตามความคิดอันไร้สาระของพวกเขาด้วย ประสบการเคลื่อนไหวและการปลอบประโลมฝ่ายวิญญาณในเวลาเดียวกัน คนงานเหล่านี้เริ่มคิดว่าตนเองได้ขึ้นสู่สถานะเทวทูตแล้ว และรู้สึกถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าในตัวเอง บางครั้ง พวกเขาก็ฝันถึงตัวเองโดยลึกเข้าไปในการไตร่ตรองถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมและเป็นนามธรรม ราวกับว่าพวกเขาได้ก้าวออกจากดินแดนแห่งโลกนี้อย่างสมบูรณ์และถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นที่สาม

แต่พวกเขาประพฤติตนผิดพลาดเพียงใดและพวกเขาหลงทางจากความสมบูรณ์แบบที่แท้จริงเพียงใด ทุกคนสามารถเข้าใจสิ่งนี้ได้โดยพิจารณาจากชีวิตและอารมณ์ของพวกเขา พวกเขามักจะต้องการเป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่นในทุกกรณี พวกเขาชอบที่จะดำเนินชีวิตตามความประสงค์และมักจะดื้อรั้นในการตัดสินใจ พวกเขาตาบอดในทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง แต่ระมัดระวังและขยันหมั่นเพียรในการตรวจสอบการกระทำและคำพูดของผู้อื่น ถ้าใครเริ่มชื่นชมในเกียรติของผู้อื่น ซึ่งเขาคิดว่าตนมี เขาไม่สามารถทนกับสิ่งนี้ได้ และกลายเป็นความไม่สงบต่อเขาอย่างชัดเจน ถ้าใครขัดขวางพวกเขาในการแสวงหาความศักดิ์สิทธิ์และการบำเพ็ญตบะโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าผู้อื่น พระเจ้าช่วย! - พวกเขาขุ่นเคืองทันทีโกรธทันทีและกลายเป็นคนที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงไม่เหมือนตัวเอง

หากพระเจ้าประสงค์จะนำพวกเขาไปสู่ความรู้ของตนเองและชี้นำพวกเขาบนเส้นทางที่แท้จริงสู่ความสมบูรณ์ ส่งความเศร้าโศกและความเจ็บป่วยหรือปล่อยให้พวกเขาถูกข่มเหงซึ่งมักจะประสบซึ่งเป็นผู้รับใช้ที่แท้จริงและแท้จริงของพระองค์ มันจะถูกเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจพวกเขา และพวกเขาหยิ่งทะนงตนย่ำแย่เพียงใด เพราะไม่ว่าจะเกิดความเศร้าโศกอะไรขึ้น พวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะงอคอภายใต้แอกแห่งพระประสงค์ของพระเจ้า อยู่บนการพิพากษาอันชอบธรรมและซ่อนเร้นของพระองค์ และไม่ต้องการทำตามแบบอย่างขององค์พระเยซูคริสต์พระบุตรของเรา ของพระเจ้าผู้ถ่อมพระองค์ลงเพื่อเราและทนทุกข์ ที่จะนอบน้อมถ่อมตนมากกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ถือว่าผู้ข่มเหงของพระองค์เป็นเพื่อนที่ใจดีเป็นเครื่องมือแห่งพระพรอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีต่อพวกเขาและเร่งความรอดของพวกเขา

เหตุใดจึงชัดเจนว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง มีตาชั้นใน คือ ใจมืดมัว มองตัวเองแล้วมองผิด เมื่อนึกถึงความกตัญญูกตเวทีภายนอกของตน เห็นว่าตนดีกับตน คิดว่าบรรลุถึงความสมบูรณ์แล้ว และด้วยความภาคภูมิใจในสิ่งนี้ จึงเริ่มประณามผู้อื่น หลังจากนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้อีกต่อไปที่คนใดจะเปลี่ยนใจเลื่อมใสคนดังกล่าว ยกเว้นอิทธิพลพิเศษของพระเจ้า จะสะดวกกว่าที่จะเปลี่ยนเป็นความดีสำหรับคนบาปที่เห็นได้ชัดกว่าความลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้คุณธรรมที่มองเห็นได้

ตอนนี้ การรู้อย่างชัดเจนและแน่นอนว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณและความสมบูรณ์แบบไม่ได้ประกอบด้วยคุณธรรมที่มองเห็นได้ซึ่งเราพูดไปแล้วเท่านั้น เรียนรู้ด้วยว่ามันไม่ประกอบด้วยสิ่งอื่นใด ยกเว้นในการเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นและรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ , ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่า - ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสารภาพบาปจากใจจริงถึงความดีและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและจิตสำนึกในความไม่สำคัญและความโน้มเอียงของเราต่อความชั่วร้ายทั้งหมด รักพระเจ้าและไม่ชอบตัวเอง การยอมจำนนของตนเองไม่เพียงต่อพระเจ้าเท่านั้น แต่ต่อสิ่งมีชีวิตทั้งปวงด้วยความรักต่อพระเจ้าด้วย การปฏิเสธเจตจำนงทั้งหมดของเราและการเชื่อฟังพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ยิ่งกว่านั้น ความปรารถนาทั้งหมดนี้และความสำเร็จจากใจที่บริสุทธิ์ไปสู่สง่าราศีของพระเจ้า (ดู: 1 คร. 10, 31) เพื่อความพอพระทัยของพระเจ้าเพียงผู้เดียว เพียงเพราะพระองค์เองต้องการมันและที่เป็นอยู่ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องรักพระองค์และทำงานเพื่อพระองค์

นี่คือกฎแห่งความรักที่ประทับด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้าเองในหัวใจของผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์! นี่คือการปฏิเสธตนเองที่พระเจ้าต้องการจากเรา! ดูแอกที่ดีของพระเยซูคริสต์และภาระอันเบาของพระองค์! นี่คือการเชื่อฟังพระประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งพระผู้ไถ่และครูของเราเรียกร้องจากเรา ทั้งโดยแบบอย่างของพระองค์และโดยพระวจนะของพระองค์! เพราะพระเจ้าพระเยซูหัวหน้าและผู้พิชิตความรอดของเราไม่ได้ทรงบัญชาให้กล่าวคำอธิษฐานถึงพระบิดาบนสวรรค์ว่า: ... พ่อของเรา ... น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จดังในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก(มัทธิว 6:10)? และพระองค์เองที่เข้าสู่ความทุกข์ยากไม่ได้ประกาศ: ไม่ใช่ของเรา, พระบิดา แต่พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ(เปรียบเทียบ ลูกา 22:42)? และเขาไม่ได้พูดถึงงานทั้งหมดของเขา: ... ลงมาจากสวรรค์อย่าให้ฉันทำตามความประสงค์ของฉัน แต่ตามพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงส่งฉันมา(ยอห์น 6:38)?

เห็นว่าไงพี่ ฉันคิดว่าคุณพร้อมและกระตือรือร้นที่จะบรรลุจุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบดังกล่าว อวยพรความกระตือรือร้นของคุณ! แต่จงเตรียมพร้อมสำหรับงานหนัก เหงื่อออก และความยากลำบากตั้งแต่ก้าวแรกในหลักสูตรของคุณ คุณต้องเสียสละทุกอย่างเพื่อพระเจ้าและทำตามพระประสงค์ของพระองค์เท่านั้น แต่คุณจะพบกับความปรารถนามากมายในตัวคุณเมื่อคุณมีกำลังและความต้องการ ซึ่งทั้งหมดต้องการความพึงพอใจ โดยไม่คำนึงว่าเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่ ดังนั้น เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่คุณต้องการ ก่อนอื่นคุณต้องระงับความตั้งใจของคุณเอง และสุดท้ายดับไฟและฆ่าพวกมันให้หมด และเพื่อที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ คุณต้องต่อต้านตัวเองในความชั่วอย่างต่อเนื่องและบังคับตัวเองให้ทำดี มิฉะนั้น คุณจะต้องต่อสู้กับตัวเองและทุกสิ่งที่เอื้อต่อเจตจำนงของคุณ ตื่นเต้น และสนับสนุนพวกเขาตลอดเวลา เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้และการต่อสู้ และรู้ว่ามงกุฎ - ความสำเร็จของเป้าหมายที่คุณต้องการ - ไม่ได้มอบให้ใครเลย ยกเว้นนักรบผู้กล้าหาญและนักสู้

แต่การต่อสู้ครั้งนี้ยากยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เนื่องจากการทำสงครามกับตัวเอง เราจึงพบกับคู่ต่อสู้ในตัวเอง ชัยชนะในนั้นช่างรุ่งโรจน์กว่าสิ่งอื่นใด และที่สำคัญที่สุดคือพระเจ้าพอพระทัยที่สุด เพราะหากได้รับแรงบันดาลใจจากความกระตือรือร้น พิชิตและฆ่าราคะตัณหา ตัณหาและความปรารถนาอันยุ่งเหยิงของคุณ แล้วคุณจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยมากขึ้นและทำงานเพื่อพระองค์ได้งดงามยิ่งกว่าการทุบตีตัวเองจนเลือดสาดและอดอาหารอดอาหารมากกว่า ฤาษีโบราณทั้งหมด แม้ว่าการไถ่ทาสคริสเตียนหลายร้อยคนจากการเป็นทาสไปสู่คนอธรรมแล้ว คุณได้ให้อิสรภาพแก่พวกเขาแล้ว มันจะไม่ช่วยให้คุณรอด ถ้าในขณะเดียวกัน ตัวคุณเองก็เป็นทาสของกิเลสตัณหา และไม่ว่ากรรมใดจะยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณทำและด้วยความยากลำบากและการเสียสละใดที่คุณทำมันจะไม่นำมันไปสู่เป้าหมายที่คุณต้องการบรรลุหากยิ่งคุณละทิ้งกิเลสตัณหาโดยไม่สนใจการให้ พวกเขาเป็นอิสระ ใช้ชีวิตและกระทำในตัวคุณ

ในที่สุด หลังจากที่คุณได้เรียนรู้ว่าความสมบูรณ์แบบของคริสเตียนประกอบด้วยอะไร และเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น คุณต้องทำสงครามที่โหดร้ายและไม่หยุดหย่อนกับตัวเอง มันขึ้นอยู่กับคุณแล้ว หากคุณต้องการเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ที่มองไม่เห็นและมีค่าควรอย่างแท้จริง ของมงกุฎที่คู่ควรสำหรับสิ่งนั้น ในหัวใจของคุณ อุปนิสัยสี่ประการต่อไปนี้และการกระทำทางจิตวิญญาณ ราวกับว่าสวมอาวุธที่มองไม่เห็น ที่น่าเชื่อถือที่สุดและพิชิตได้ทั้งหมด กล่าวคือ:

ก) อย่าพึ่งพาตัวเองในสิ่งใดเลย

ข) นำความหวังที่เต็มเปี่ยมและกล้าหาญไว้ในหัวใจเสมอในพระเจ้าองค์เดียว c) พยายามอย่างไม่หยุดยั้ง และ d) อยู่ในการอธิษฐานเสมอ

บทที่สอง
อย่าเชื่อในตัวเองและพึ่งพาตนเองในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ไม่ต้องพึ่งตัวเอง น้องชายสุดที่รัก จำเป็นมากในการต่อสู้ของเรา หากไม่มีสิ่งนี้ จงแน่ใจในสิ่งนี้ ไม่เพียงแต่คุณจะไม่สามารถได้รับชัยชนะตามที่ต้องการ คุณจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้แม้แต่น้อย โดยศัตรู พิมพ์มันลึกลงไปในจิตใจและหัวใจของคุณ

ตั้งแต่เวลาที่บรรพบุรุษของเราก่ออาชญากรรม ถึงแม้ว่าเราจะผ่อนคลายกองกำลังทางจิตวิญญาณและศีลธรรมของเรา มักจะคิดถึงตัวเองอย่างสูง แม้ว่าประสบการณ์ในชีวิตประจำวันจะโน้มน้าวใจเราอย่างน่าประทับใจถึงความไม่ถูกต้องของความคิดเห็นเกี่ยวกับตนเองเช่นนี้ แต่เราไม่หยุดที่จะเชื่อว่าเราเป็นบางสิ่งและมีความสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความอ่อนแอทางวิญญาณของเรา ซึ่งสังเกตได้ยากและสังเกตได้ยาก ส่วนใหญ่ตรงกันข้ามกับพระเจ้าในตัวเราในฐานะลูกคนแรกของความเห็นแก่ตัวและการรักตนเอง และแหล่งที่มา รากเหง้า และสาเหตุของกิเลสตัณหาและทั้งหมดของเรา น้ำตกและความลามก มันปิดประตูนั้นในจิตใจหรือวิญญาณ ซึ่งโดยทางนั้นพระคุณของพระเจ้ามักจะเข้ามาหาเราโดยทางเดียว ไม่ยอมให้พระคุณนี้เข้าสู่ภายในและบริบูรณ์ในตัวบุคคล เธอถอยห่างจากเขา พระคุณสำหรับการตรัสรู้และช่วยให้เข้าสู่บุคคลที่คิดว่าตัวเองเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไรที่ตัวเขาเองรู้ทุกอย่างและไม่ต้องการความช่วยเหลือจากภายนอก? ขอพระเจ้าช่วยเราให้พ้นจากความเจ็บป่วยและความหลงใหลใน Luciferian! ผู้ที่มีความปรารถนาในตัวเองและเห็นคุณค่าในตนเอง พระเจ้าตำหนิอย่างรุนแรงผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า:

วิบัติ จงฉลาดในตัวเองและจงฉลาดต่อหน้าตัวเอง (อิสยาห์ 5:21) นั่นคือเหตุผลที่อัครสาวกสร้างแรงบันดาลใจให้เรา: ... อย่าฉลาดเกี่ยวกับตัวเอง (โรม 12:16)

ตรงกันข้าม พระเจ้าเกลียดชังความชั่วร้ายในตัวเรา ตรงกันข้าม พระเจ้าไม่ทรงรักสิ่งใดมาก และไม่เต็มใจที่จะมองเราว่าเป็นจิตสำนึกที่จริงใจในความไม่สำคัญของพระองค์ ความเชื่อมั่นและความรู้สึกว่าทุกสิ่งที่ดีในตัวเรา ในธรรมชาติของเรา และของเรา ชีวิตมาจากพระองค์ผู้เดียวเป็นบ่อเกิดแห่งความดีทั้งสิ้น และไม่มีอะไรดีแท้จริงจากเราได้ ทั้งความคิดดีและการกระทำดี นี่คือเหตุผลที่พระองค์เองทรงห่วงใยที่จะปลูกต้นกล้าสวรรค์นี้ไว้ในใจของเพื่อนอันเป็นที่รักของพระองค์ ปลุกเร้าความไม่ยอมรับในตนเองและยืนยันการไม่พึ่งพาตนเอง บางครั้งด้วยอิทธิพลที่เป็นประโยชน์และการส่องสว่างภายใน บางครั้งก็เกิดจากการพัดพาและความเศร้าโศกจากภายนอก บางครั้งโดยการทดลองที่ไม่คาดคิดและเกือบจะต้านทานไม่ได้ และบางครั้งในลักษณะอื่นๆ ก็ไม่ชัดเจนสำหรับเราเสมอไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับทั้งหมดนั้น ถึงแม้ว่าสิ่งนี้ไม่ได้คาดหวังสิ่งดีจากตัวเราและไม่หวังพึ่งตนเองเป็นงานของพระเจ้าในตัวเรา แต่ในส่วนของเรา เราต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอุปนิสัยเช่นนี้ ทำทุกอย่างที่ทำได้และ สิ่งที่อยู่ในหน่วยงานของเรา และฉัน น้องชายของฉัน ขอสรุปการกระทำสี่ประการสำหรับคุณ โดยอาศัยความช่วยเหลือจากพระเจ้า ในที่สุด คุณจะสามารถปรับปรุงความไม่เชื่อในตัวเองหรือไม่ต้องพึ่งพาตนเองในสิ่งใดๆ เลย:

ก) รู้ถึงความไม่สำคัญของคุณ และจำไว้เสมอว่าตัวคุณเองไม่สามารถทำความดีใดๆ ที่คุณคู่ควรกับอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ ฟังสิ่งที่บรรพบุรุษของพระเจ้าพูด เปโตรแห่งดามัสกัสรับรองว่า “ไม่มีอะไรดีไปกว่าการรู้จักความอ่อนแอและความเขลาของตัวเอง และไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการไม่รับรู้สิ่งนี้” (Greek Philokalia, p. 611) Saint Maximus the Confessor สอนว่า “พื้นฐานของคุณธรรมทั้งหมดคือความรู้เกี่ยวกับความอ่อนแอของมนุษย์” (Ibid., p. 403) Saint Chrysostom ยืนยันว่า "เขาคนเดียวที่รู้จักตัวเองดีที่สุดที่คิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไร"

ข) ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าในเรื่องนี้ด้วยการสวดอ้อนวอนที่อบอุ่นและนอบน้อม เพราะนี่คือของขวัญจากพระองค์ และถ้าคุณต้องการที่จะได้รับมัน ก่อนอื่นคุณต้องสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองว่า ไม่เพียงแต่คุณไม่มีจิตสำนึกเกี่ยวกับตัวเองเท่านั้น แต่คุณไม่สามารถได้มาซึ่งมันด้วยตัวของคุณเอง จากนั้นยืนอย่างกล้าหาญต่อหน้าความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและเชื่อมั่นว่าโดยความเมตตาอันหาค่ามิได้ของพระองค์พระองค์จะประทานความรู้เกี่ยวกับพระองค์เองแก่คุณอย่างแน่นอนเมื่อไรและอย่างไรที่พระองค์ทรงรู้ อย่าปล่อยให้สงสัยเพียงเล็กน้อยว่าคุณจะได้รับมันจริงๆ

ค) ชินกับการกลัวตัวเองอยู่เสมอและกลัวศัตรูนับไม่ถ้วนซึ่งคุณไม่สามารถต้านทานได้แม้ในช่วงเวลาสั้น ๆ จงกลัวทักษะอันยาวนานของพวกเขาในการต่อสู้กับเรา การมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งและการซุ่มโจมตี การเปลี่ยนแปลงของพวกเขาเป็นเทวดาแห่งแสงสว่าง กลอุบายและเครือข่ายนับไม่ถ้วนที่พวกเขาแอบซ่อนไว้บนเส้นทางแห่งชีวิตที่ดีงามของคุณ

ง) หากคุณตกอยู่ในบาปใด ๆ ให้หันไปพิจารณาความอ่อนแอของคุณและสำนึกในบาปนั้นให้ชัดเจนที่สุด พระเจ้าอนุญาตให้คุณล้มลงสู่จุดจบนั้น เพื่อที่คุณจะรู้ความอ่อนแอของคุณได้ดีขึ้น และด้วยเหตุนี้จึงไม่เพียงเรียนรู้ที่จะดูหมิ่นตัวเองเท่านั้น แต่ยังปรารถนาที่จะถูกผู้อื่นดูหมิ่นเพราะความอ่อนแอของคุณเองด้วย โดยปราศจากความปรารถนาเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดใหม่ในตัวคุณและหยั่งรากในความไม่เชื่อในตัวเองอันเป็นประโยชน์ ซึ่งเป็นพื้นฐานและจุดเริ่มต้นของความถ่อมตนอย่างแท้จริง และซึ่งตัวมันเองมีพื้นฐานในความรู้การทดลองดังกล่าวเกี่ยวกับความอ่อนแอและความอ่อนแอของตนเอง ไม่น่าเชื่อถือ

จากนี้ทุกคนเห็นว่าจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมกับความสว่างแห่งสวรรค์ที่จะรู้จักตัวเองและความดีงามของพระเจ้ามักจะนำผู้จองหองและอวดดีไปสู่ความรู้ดังกล่าวด้วยการตกสู่บาปอย่างไรโดยชอบธรรมทำให้พวกเขาสามารถ ตกลงไปในบาปนั้นเองที่ตนคิดว่าตนเองมีมากพอที่จะป้องกันตนได้ เข้มแข็ง ให้รู้จุดอ่อนของตนและไม่กล้าที่จะพึ่งพาตนเองอีกต่อไปทั้งในด้านนี้และในเรื่องอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม นี่หมายความว่าถึงแม้จะจริงมาก แต่ก็ไม่ปลอดภัย พระเจ้าไม่ได้ทรงใช้เสมอไป แต่เมื่อวิธีการอื่น ๆ ที่ง่ายกว่าและอิสระกว่าที่เราได้กล่าวไปแล้วนั้นไม่ทรงชักนำบุคคลให้รู้จักตนเอง จากนั้นในที่สุด พระองค์ยอมให้บุคคลตกอยู่ในบาปไม่ว่าจะมากหรือน้อย โดยพิจารณาจากความยิ่งใหญ่หรือความเล็กน้อยของความเย่อหยิ่ง ความหยิ่งทะนง และความจองหองของเขา เพื่อว่าที่ใดไม่มีความหยิ่งทะนงและเย่อหยิ่งเช่นนั้น จะไม่มีการล้มลงที่เข้าใจได้ เหตุใดเมื่อคุณล้มลง จงรีบวิ่งด้วยความคิดเพื่อรู้จักตนเองอย่างถ่อมตน ความคิดเห็นและความรู้สึกที่ถ่อมตนเกี่ยวกับตนเอง และด้วยการอธิษฐานที่น่าเบื่อ จงแสวงหาจากพระเจ้าที่จะให้แสงสว่างที่แท้จริงแก่คุณสำหรับความรู้เกี่ยวกับความไม่สำคัญของคุณ และเสริมกำลังหัวใจของคุณใน ไม่พึ่งพาตนเองเพื่อไม่ให้ตกอยู่ในบาปที่ร้ายแรงและเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

ข้าพเจ้าขอเสริมอีกว่าไม่เพียงแต่เมื่อมีคนตกอยู่ในบาปบางอย่างเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเมื่อเขาตกอยู่ในความโชคร้าย ภัยพิบัติ และความโศกเศร้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจ็บป่วยทางร่างกาย ไม่ใช่เรื่องง่าย และระยะยาว เขาควรเข้าใจว่าเขาทนทุกข์นี้ จึงได้ตรัสรู้ในตนเอง คือ รู้แจ้งในความอ่อนแอของตน และถ่อมตนลง พระเจ้าอนุญาตให้เราถึงจุดนี้และด้วยจุดประสงค์นี้ เพื่อว่าการล่อลวงทุกรูปแบบจากมาร จากผู้คน และจากธรรมชาติที่เสียหายจะมาถึงเรา และนักบุญเปาโลเมื่อเห็นเป้าหมายนี้ในการทดลองที่เขาเผชิญในเอเชียกล่าวว่า: ... ในตัวเองโทษของความตายคือ imech อย่าพึ่งพิงตัวเอง แต่ในพระเจ้าผู้ทรงทำให้คนตายเป็นขึ้น ...(2 โครินธ์ 1:9).

และขอเสริมอีกเรื่องหนึ่งว่า ใครก็ตามที่อยากรู้จุดอ่อนของเขาจากชีวิตจริงของเขา ปล่อยเขาไปเถอะ ฉันไม่พูดหลายวัน แต่อย่างน้อยวันหนึ่ง ให้สังเกตความคิด คำพูด และการกระทำของเขา สิ่งที่เขาคิด เกี่ยวกับสิ่งที่เขาพูดและทำ แน่นอน เขาจะพบว่าความคิด คำพูด และการกระทำส่วนใหญ่เป็นบาป ผิด ไร้เหตุผลและไม่ดี ประสบการณ์ดังกล่าวจะทำให้เขาเข้าใจว่าตัวเองขาดสมดุลและอ่อนแอในตัวเองอย่างน่าประทับใจ และจากแนวคิดดังกล่าว หากเขาปรารถนาดีอย่างจริงใจ จะทำให้เขารู้สึกว่าการคาดหวังความดีจากตัวเองเพียงลำพังนั้นช่างไร้สาระ ตัวเขาเอง.

พระคริสต์ทรงเรียกสาวกของพระองค์ไปสู่ความสมบูรณ์: "จงดีพร้อมเหมือนพระบิดาของคุณในสวรรค์" ความพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งความบริสุทธิ์ทางศีลธรรมและความสมบูรณ์แบบทางวิญญาณ (และเพียงการพูดเพื่อบรรลุพระบัญญัติของพระคริสต์) ที่ได้รับในวรรณกรรมเกี่ยวกับความรักใคร่ในชื่อ "สงครามล่องหน" หรือ "สงครามฝ่ายวิญญาณ"

ที่นี่มารต่อสู้กับพระเจ้า และสนามรบคือหัวใจของผู้คน
เอฟ.เอ็ม.ดอสโตเยฟสกี

"ดุ" คืออะไร?

สบถ แปลว่า สู้ สู้ สู้ การต่อสู้ในยุคกลางเกิดขึ้นบ่อยครั้ง มันเกิดขึ้นได้จริงกับคนทุกคน ดังนั้น ทุกคนจึงเข้าใจภาพลักษณ์ที่ใช้ในวรรณคดีนักพรต การต่อสู้เป็นเรื่องของชีวิตและความตาย ดังนั้น ผู้เขียนที่เป็นคริสเตียนต้องการเน้นว่าการทำสงครามฝ่ายวิญญาณนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับรากฐานของการดำรงอยู่ของเรา

ทำไมมองไม่เห็น?

ศัตรูหลักของมนุษย์ในการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณคือตัวเขาเองและปีศาจที่ล่อลวงเขา ตัวเขาเองคือความหลงใหลและความโน้มเอียงที่ไม่ดีของเรา นิสัยที่เราต้องกำจัดและเอาชนะเพื่อบรรลุความสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ศัตรูแห่งความรอดของมนุษย์คือมารหากไม่ใช่โดยตรงแล้วโดยไหวพริบและการหลอกลวงทำให้บุคคลมีความชั่วร้ายล่อลวงด้วยความคิดและความฝันที่หลากหลายทำให้เกิดบาป อย่างไรก็ตาม คำสุดท้ายในการเลือกเส้นทางยังคงอยู่กับบุคคล แต่พระเจ้าและมนุษย์เท่านั้นที่รู้ว่าต้องใช้ความพยายามทางวิญญาณมากเพียงใดเพื่อก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้อง! การต่อสู้ภายในในจิตวิญญาณของบุคคลไม่ปรากฏแก่บุคคลภายนอก แต่ผลที่ตามมาเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้คนรอบตัวเขาและโลก

การต่อสู้ทางโลกทำให้นักรบแข็งแกร่งขึ้น ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นและฉลาดขึ้นในการต่อสู้กับศัตรู สามารถพูดได้เช่นเดียวกันเกี่ยวกับการต่อสู้ทางวิญญาณ เมื่อบุคคลได้รับทักษะที่ดีในการต่อสู้กับกิเลสตัณหาของตน ( แม้จะไม่ได้แสดงออกมาในรูปของบาปก็ตามการกระทำ) เขาปรับปรุงภายในเติบโตทางวิญญาณ ไม่น่าแปลกใจที่นักพรตและนักพรตผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโบสถ์ออร์โธดอกซ์ เซนต์. John of the Ladder เปรียบเทียบการต่อสู้ครั้งนี้กับการปีนบันไดแห่งคุณธรรมที่ยากลำบาก

จำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้อย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้แพ้ วิธีการทำเช่นนี้ อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ในจดหมายถึงเอเฟซัส 6:14-17:

“สุดท้ายนี้ พี่น้องของข้าพเจ้า จงเข้มแข็งในพระเจ้าและในเดชานุภาพของพระองค์ จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อท่านจะยืนหยัดต่อสู้กับอุบายของมารได้ เพราะการต่อสู้ของเราไม่ใช่การต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพอาคม กับผู้มีอำนาจ ต่อสู้กับผู้ปกครองแห่งความมืดมิดของโลกนี้ ต่อสู้กับวิญญาณของ ความชั่วร้ายในที่สูง ด้วยเหตุนี้ จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อท่านจะสามารถต้านทานในวันอันชั่วร้ายและเอาชนะทุกสิ่งให้ยืนหยัดได้ เหตุฉะนั้นจงยืนขึ้นโดยเอาความจริงคาดคาดเอว สวมทับทรวงแห่งความชอบธรรม และสวมรองเท้าให้พร้อมที่จะประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติ เหนือสิ่งอื่นใด จงถือโล่แห่งศรัทธาซึ่งท่านใช้ดับลูกดอกเพลิงของมารร้ายได้ และสวมหมวกแห่งความรอด และดาบของพระวิญญาณ ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้า"

จะเริ่มต้นที่ไหน?

วิธีเติมเต็มคำพูดของอัครสาวกการบำเพ็ญตบะผู้รักชาติอธิบายให้เราฟัง พูดง่ายๆ ก็คือ

1. เส้นทางของนักรบของพระคริสต์ ทิศทางและกลยุทธ์ของการต่อสู้ถูกกำหนดไว้ใน "บันได" ของเซนต์จอห์นแห่งบันได
2. ยุทธวิธีวิธีการทำสงครามและกฎบัตรแห่งการต่อสู้ - ใน "สงครามล่องหน" ของพระนิโคดิมนักปีนเขาศักดิ์สิทธิ์ (แปลโดย St. Theophan the Recluse)
3. กฎบัตรของการบริการภายในอยู่ใน "คำสอนทางอารมณ์" ของ Abba Dorotheus
4. เพื่อให้ได้แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของนักรบของพระคริสต์เกี่ยวกับรูปลักษณ์ของเขาคุณต้องอ่านจดหมายของเจ้าอาวาส Nikon "การกลับใจเหลือสำหรับเรา" และจดหมายของ Shegumen John "จดหมายของ Valaam พี่”. และสำหรับผู้ที่มีความต้องการทางปัญญาเพิ่มขึ้น ก็ยังมีชีวประวัติและจดหมายจาก Abbess Arsenia (Srebryakova)
5. ไม่ว่าในกรณีใดคุณควรเริ่มการต่อสู้โดยไม่ศึกษาหนังสือห้าเล่มของ St. Ignatius (Bryanchaninov) งานของเขาไม่ได้เป็นเพียงการถ่ายทอดการบำเพ็ญตบะเป็นภาษาสมัยใหม่ของเราเท่านั้น นักบุญอิกเนเชียสเลือกเฉพาะสิ่งที่ยังอยู่ในอำนาจของคริสเตียนที่อ่อนแอและอ่อนล้าในสมัยก่อนจากบรรพบุรุษเท่านั้น หากปราศจากคำแนะนำของนักบุญอิกเนเชียส นักรบสามเณรจะพ่ายแพ้ในการต่อสู้อย่างรวดเร็วและน่าอับอาย (นั่นคือเขาจะตกนรก) โดยไม่เข้าใจแก่นแท้ภายในของมันและวิธีการประเมินกำลังและวิธีการของเขา บรรพบุรุษของสมัยโบราณไม่ได้แลกเปลี่ยนคำอธิบายดังกล่าวเป็นพิเศษสำหรับพวกเขา สามเณรคือผู้ที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย นอนสี่ชั่วโมงต่อวัน กินได้ไม่ดีจริง ๆ ทำงานด้วยเหงื่อที่ขมวดคิ้วและปฏิบัติตามกฎการสวดมนต์ที่นักพรตสมัยใหม่ไม่มี ฝันถึง. และสำหรับเรา สามเณรคือผู้ที่เรียนรู้ "พระบิดาของเรา" และหลักคำสอน และยังไม่รู้

สาบาน- การเผชิญหน้า โต้เถียง สงครามทางวาจา การแข่งขัน การสนับสนุน ความขัดแย้งระหว่างคู่ต่อสู้สองคน ซึ่งแต่ละฝ่ายพยายามจะขว้างคู่ต่อสู้ของตน ผู้ชนะคือผู้ที่สามารถตรึงคู่ต่อสู้ไว้กับพื้นโดยเอามือวางไว้ที่คอ คำว่า ดุ มาจากคำว่า บัลโลซึ่งหมายความว่าอย่างแท้จริง: "ยอมแพ้บางสิ่งบางอย่างโดยไม่ต้องเสียใจถ้ามันพัง" สด.17:35 สงครามจิตวิญญาณต้องเรียนรู้! สงครามฝ่ายวิญญาณเป็นการเผชิญหน้าที่รุนแรงแบบตัวต่อตัวกับคู่ต่อสู้ของคุณ สงครามฝ่ายวิญญาณเป็นความขัดแย้งทางจิตวิญญาณที่ถึงจุดสุดยอด (จุดเดือด). สงครามฝ่ายวิญญาณเป็นส่วนสุดท้ายของการเผชิญหน้าในการต่อสู้

สงครามฝ่ายวิญญาณสามารถดำเนินไปได้หลายทาง ไม่กี่นาทีหรือสองสามวัน สงครามฝ่ายวิญญาณเป็นช่วงเวลาแห่งการเพ่งความสนใจและความมีสติสัมปชัญญะอย่างสุดขั้ว เมื่อคุณทะเลาะกัน ทุกครั้งที่ทำพลาด การผ่อนคลายทุกอย่างจะจบลงเมื่อคุณล้มลง ในระหว่างสงครามฝ่ายวิญญาณ คุณจะต้องมีทุกองค์ประกอบของยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า - จงมั่นใจ
คุณต้องแข็งแกร่งในทุกองค์ประกอบของชุดเกราะของพระเจ้า

ความเข้มแข็งหมายถึง:

• พึงรู้ไว้เถิด

• หมั่นฝึกฝน

• รักมัน

  ทุกองค์ประกอบของชุดเกราะมีระดับของความมั่นใจและความเชื่อมั่น!

  สงครามฝ่ายวิญญาณมีผลก็ต่อเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ คุณมีพลังมากมายในสิ่งนี้เมื่อคุณถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ สงครามฝ่ายวิญญาณเริ่มต้นด้วยการเตรียมการ และค่ายจะเข้าแทรกแซงและโจมตีคุณในทุกวิถีทางที่ทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้คุณเตรียมตัว

  ผู้ชนะอยู่นอกสังเวียน

  ในสังเวียน ฝ่ายตรงข้ามแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเตรียมร่างกายและจิตใจอย่างไรนอกสังเวียน ยิ่งคุณพร้อมสำหรับการต่อสู้มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งง่ายขึ้นในการต่อสู้ การเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ต้องใช้เวลามากกว่าการต่อสู้

  เอเฟซัส 6:18การอธิษฐานเป็นวิธีที่เราทำสงครามฝ่ายวิญญาณ

  ตรวจสอบสถานะของคุณ! (ตำแหน่ง).

• รับการชำระให้บริสุทธิ์ การกลับใจเป็นส่วนหนึ่งของสงครามฝ่ายวิญญาณ

• ตุนไว้ตามสัญญา

• อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่

• ระบุศัตรูและทำความรู้จักกับเขาให้ดีที่สุด บางครั้งความรู้ก็นำมาซึ่งการปลดปล่อยและชัยชนะ

• อธิษฐานเป็นภาษาต่างๆ พัฒนาจิตวิญญาณและทิศทางของคุณ

• เมื่อต้องสู้-สู้! แต่อย่ามีส่วนร่วมในการต่อสู้ของคุณเอง

• ใช้คำชม.

• ใช้คำสัญญา.

• ต่อสู้ด้วยวิสัยทัศน์ (1 ทธ. 1:18)

• เรียกร้องชัยชนะของพระคริสต์

• ต่อสู้เพื่อความก้าวหน้าและพัฒนาความก้าวหน้า

• อย่ากลัวศัตรูของคุณ พระคัมภีร์ไม่มีที่ไหนสอนให้เรากลัวมาร แต่พระเจ้าบอกเรามากกว่า 300 ครั้งในพระคัมภีร์: อย่ากลัว

• ระวังเป็นพิเศษในจุดอ่อนของคุณ - เป็นไปได้มากที่ซาตานจะโจมตีที่นั่นอีกครั้ง

  พระเจ้าวางแรงจูงใจในการทำสงครามฝ่ายวิญญาณ เพราะ พระองค์ทรงเป็นนักรบ และเราคือพระฉายาและอุปมาของพระองค์

  ไม่ว่าในกรณีใดถ้าคุณไม่ต่อสู้กับมารในปัญหาของคุณ คุณจะต่อสู้กับผู้คน

วิญญาณนักรบ

ในแหวนกลโกธาเปื้อนเลือด พระเยซูทรงทำให้ปีศาจล้มลง และน็อคเอาท์นั้นยากเสียจนมารยังฟื้นไม่ได้ มารได้ล้มลงแทบพระบาทพระเยซู วันนี้มารกำลังสั่นคลอนจากการล้มครั้งนี้ และเมื่อเราโจมตีเขาในพระนามของพระเยซู เขาก็ล้มลง!

• อพยพ 15:3พระเจ้าของเราเป็นบุรุษแห่งสงคราม!

• สด.23:8พระเจ้าของเราทรงอานุภาพในการต่อสู้!

• อิสยาห์ 42:13ก่อนตื่นขึ้นจะมีสงครามวิญญาณอย่างแน่นอน! ก่อนที่พระสิริของพระเจ้าจะมาถึง ลูกๆ ของพระเจ้าก็ถูกกระตุ้น พระเจ้าของเราทรงอานุภาพในการต่อสู้ กล่าวคือ เขารู้ว่าการต่อสู้ระยะประชิดคืออะไร เขาเอาชนะซาตานในวงแหวนแห่งโกรธา - ตัวต่อตัวต่อหน้าโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมด

  เอเฟซัส 6:10-13เราแค่ต้องตระหนักว่าสงครามที่ดุเดือดกำลังก่อตัวขึ้นรอบตัวเรา และเราควรจะเป็นนักรบที่แข็งแกร่งถ้าเราต้องการยืนหยัดในการต่อสู้ครั้งนี้

  จิตวิญญาณของนักรบคือจิตวิญญาณแห่งศรัทธาที่แน่วแน่! ซึ่งขัดกับทุกสถานการณ์และเผชิญหน้าศัตรู อันตราย หรือปัญหาอย่างกล้าหาญ จิตวิญญาณของนักรบคือจิตวิญญาณของความกล้าหาญและความกล้าหาญอย่างยิ่ง จิตวิญญาณของนักรบคือจิตวิญญาณแห่งความพากเพียร! จิตวิญญาณของนักรบคือจิตวิญญาณแห่งการเอาชนะความยากลำบาก ความไม่สบายใจ และความยากลำบาก ประการแรก นักรบคือผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีชีวิตส่วนตัว ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการทหารสูงสุด 2 ทธ. 2:3-4 เดวิดมีอาณาจักรที่แข็งแกร่ง - แต่องค์ประกอบหลักอย่างหนึ่งคือทีมที่แข็งแกร่งของ WARRIORS 1 พงศาวดาร 10:9-24. นักรบคือบุคคลที่ทำสงครามเป็นอาชีพ เป็นวิถีชีวิต นักรบสมัครเล่น - ฟังดูตลก จิตวิญญาณของนักรบจะยกคุณขึ้นแม้หลังจากการน็อกเอาต์และการพ่ายแพ้ที่โหดร้ายที่สุด 2 โครินธ์ 6:3-10วิญญาณนักรบ! จิตวิญญาณของนักรบคือความกล้าหาญที่จะยืนหยัด แม้ว่าความเจ็บปวดจะรุนแรงก็ตาม จิตวิญญาณของนักรบคือความพร้อมสำหรับการเสียสละ

  ถ้าไม่มีของที่พร้อมตาย คุณไม่มีค่าพอสำหรับการใช้ชีวิต

  พระคัมภีร์ถือว่าเราทุกคนเป็นนักรบ โดยมอบยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าแก่เรา ไม่มีชัยชนะใดที่ปราศจากสงคราม แต่นักรบต่อสู้

  หากปราศจากจิตวิญญาณของทหาร คริสเตียน: พวกเขาร้องไห้, บ่น, บ่น, วิพากษ์วิจารณ์, วิ่งหนี, นั่งอยู่ในที่กักขังของปัญหาหากปราศจากวิญญาณนักรบ กิเดี้ยนก็ขี้ขลาด แต่วิญญาณนักรบของพระเจ้าทำให้เขาเป็นผู้ปลดปล่อยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลในระดับเดียวกัน นักรบคือคนในทีม แต่ยังเป็นคนที่สามารถริเริ่มและปฏิบัติได้ แม้จะมีพรสวรรค์ทั้งหมดของผู้บัญชาการ แต่ทหารธรรมดาก็ชนะการต่อสู้ ดังนั้นทหารแต่ละคนต้องมีคุณภาพสูง พระเยซูต้องการเรา นักรบเป็นคนมีหลักการ เขายอมตายดีกว่าหนีจากเขา นี่คือความแข็งแกร่งของเขา แต่บางครั้งก็อันตรายมาก บ่อยครั้ง นักรบที่แข็งแกร่งไร้เหตุผล และสิ่งนี้นำไปสู่ความสูญเสียมากมายที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ บางครั้งจำเป็นต้องล่าถอยอย่างมีกลยุทธ์และจะมีปัญญาในเรื่องนี้ แต่หากไม่มีจิตวิญญาณของนักรบ ก็ไม่สามารถชนะได้เลย

  โกลิอัทฆ่าวิญญาณของนักรบในกองทัพอิสราเอลและชนะชัยชนะโดยไม่มี "กระสุนนัดเดียว" เดวิดมีจิตวิญญาณการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง 1 ซามูเอล 16:18 + 17:32.

  ที่ ตัวเลข 13-14 ช.ซาตานโจมตีจิตวิญญาณทหารของอิสราเอล และพวกเขาก็ถอยกลับเป็นเวลา 40 ปี

  บ่อยครั้งเมื่อคุณกำลังประสบกับการเพิ่มขึ้นฝ่ายวิญญาณ ซาตานจะถูกกระตุ้นในชีวิตของคุณทันที แต่รู้ว่าถ้ามารร้ายก็แสดงว่าประหม่า

  คำขวัญนักรบ: ฉันจะชนะหรือตายในการต่อสู้ ฉันจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้หรือพยายามจะตาย!

  คุณอาจพูดว่า: “ฉันแค่ต้องการมีชีวิตแบบคริสเตียนที่สงบสุข” แต่จงจำคำพูดของผู้บัญชาการคนหนึ่ง: “ถ้าคุณต้องการความสงบสุข จงเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงคราม”

ต่อสู้กับยักษ์

กันดารวิถี 13:32-34สงครามของเรากับยักษ์, ยักษ์. 1 ซามูเอล 6:17 ห้าเมือง ห้ายักษ์ ห้าศิลาของดาวิด! 2 พงศ์กษัตริย์ 5:17-20ยักษ์เหล่านี้โจมตีทันทีที่คุณเข้าประจำการหรือเข้ารับตำแหน่งที่มีอำนาจ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการจัดการกับพวกเขาทันทีจึงสำคัญมาก!

1. ไนโตรเจน- คำว่า Azot หมายถึง "เมืองบนเนินเขา" (จะใหญ่, เข้มแข็ง, กดขี่), แสดงถึงความภาคภูมิใจ สุภา. 16:18. อาโซทมีไว้สำหรับเผ่ายูดาห์ แต่ก็จับไม่ได้ — ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความอ่อนน้อมถ่อมตน

2. กาซ่า- ความหมายของคำ : ป้อมปราการ, แข็งแกร่ง, รุนแรง, โลภ, หยาบคาย. กาซาเป็นเมืองหลวงของชาวฟิลิสเตีย กาซายังล้มเหลวในการยึดครอง แซมซั่นถูกเก็บไว้ที่นี่ เขาทำลายวิหารดากอน
กาซาถูกกล่าวถึงว่าเป็นพรมแดนที่ชัยชนะของกษัตริย์อิสราเอลไปถึง ยักษ์นี้เป็นตัวแทนของรัฐบาล อำนาจ ทัศนคติของคุณที่มีต่อสิทธิอำนาจเป็นอย่างไร เป็นเรื่องง่ายหรือไม่ที่คุณจะยอมจำนนต่ออำนาจที่พระเจ้าได้ทรงวางไว้เหนือคุณ ในแง่ลบ ยักษ์ตนนี้แสดงถึงจิตวิญญาณแห่งอิสรภาพ การไม่เชื่อฟังต่ออำนาจ ความเป็นอิสระ เราในฐานะมนุษย์ไม่ชอบเชื่อฟังคนอื่น แต่นี่คือสิ่งที่พระเจ้าขอจากเราจริงๆ! — การเชื่อฟังและการเชื่อฟัง- นี่คือความก้าวหน้าในการต่อสู้กับยักษ์ตัวนี้!
3. ASKALON- เมืองนี้ยังคงเป็นอิสระทางการเมืองและเศรษฐกิจจากอิสราเอล ยักษ์นี้แสดงถึงความสะดวกสบายและเสรีนิยมตลอดจนความโลภ มันคือความกลัวที่จะพาตัวเองไปสู่ปัญหาด้วยการทำสงครามฝ่ายวิญญาณ นี่เป็นการไม่แยแสและจดจ่ออยู่กับความสะดวกสบายในชีวิต ครอบครัว และคริสตจักรของคุณเท่านั้น
— ความทุ่มเทและศรัทธา- นี่คือความก้าวหน้าในการต่อสู้กับยักษ์ตัวนี้! 4. GEFคำว่ากัท แปลว่า โรงกลั่นเหล้าองุ่น นี่คือแหล่งกำเนิดของโกลิอัท (แข็งแกร่ง) ยักษ์นี้แสดงถึงแรงกดดันของสถานการณ์ในชีวิตที่กดดันเรา - และที่นี่เราอาจบ่นและตกอยู่ในอำนาจของยักษ์นี้ (ดังในข้อ 13) หรือโดยศรัทธาเราฝ่าฟันการต่อต้านแม้จะมีภัยคุกคามและความกลัวก็ตาม! คริสเตียนหลายคนอยู่ภายใต้การปกครองของยักษ์ตนนี้ ทั้งหมดที่พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะทำเมื่อความยากลำบากมาคือการบ่น แต่พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะใช้ความยากลำบากเพื่อเอาชนะ! ความล้มเหลวแต่ละครั้งของคุณคือการค้นพบสิ่งที่คุณทำได้แตกต่างกัน แต่ละ ความยากลำบากคือโอกาสที่จะก้าวขึ้นเหนือ
— อดทนและหวังดี
5. ECRON- ความหมายของคำ: คลิปปีก, กำจัด; รากของคำคือการย้ายถิ่นฐาน Beelzebub (เจ้าแห่งแมลงวัน) ได้รับการบูชาที่นี่ ยักษ์นี้แสดงถึงความฟุ้งซ่าน, ความประมาท, ความไม่แน่นอน, ความไม่ซื่อสัตย์
Ps.27:5 - สิ่งนี้นำไปสู่การทำลายชีวิตของคริสเตียน — ความขยันหมั่นเพียรเป็นความก้าวหน้าในการต่อสู้กับยักษ์นี้!

ทหารบาดเจ็บ เป็นคนอ่อนแอ อ่อนแอ

• 2. เขาเคลื่อนไหวอย่าง จำกัด

• 3. ปฏิกิริยาของเขาลดลง

• 4. เขาหยุดตื่น

• 5. เขาหงุดหงิดและโกรธ (เขายากที่จะสื่อสารด้วย)

• 6. เขาอารมณ์เสีย

• ๗. มิได้พัก ไม่สงบ เพราะความเจ็บไข้ได้ป่วย

• 8. เขาอ่อนแอเป็นพิเศษ เขาเป็นเป้าหมายที่ง่าย

• 9. เขาไม่สามารถแบกรับภาระของพระคริสต์ได้เช่น ความรับผิดชอบ สิทธิอำนาจ และการเจิมอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์

• 10. เขากลายเป็นไม่ตั้งใจ เน้นความเจ็บปวดของเขามากขึ้น (ไม่ใส่ใจคนอื่นด้วย)

  กลอุบายของซาตานคือทำให้เราอ่อนแอด้วยบาดแผล ถ้าเรามีบาดแผล มารจะทุบที่นั่นครั้งแล้วครั้งเล่า ป้องกันไม่ให้แผลนี้หายเราได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?

• . บาป- สาเหตุของการบาดเจ็บเกือบ 90%

• คาถา. การโจมตีด้วยอาคม

• อาการบาดเจ็บของตัวเอง — สาปแช่งตัวเอง— ความโง่เขลา ทำในสิ่งที่คุณไม่สามารถรับได้

• จากคน(คำพูด พฤติกรรม ทัศนคติ ฯลฯ)

• จากพระเจ้า (พล. 32:25, 2 คร. 12:7). นี่คือความอ่อนน้อมถ่อมตนและการพึ่งพาพระองค์ แต่น้อยกว่า 1% ของบาดแผลที่เราจะได้รับบาดแผล:

• ปีศาจถูกดึงดูด พวกมันกินบาดแผล ทำให้เกิดความเจ็บปวด และกระตุ้นการติดเชื้อ - ความหลงผิด การโกหก การใส่ร้าย

• . บาดแผลก็เหมือนรูที่พลังจะไหลผ่าน

• . แผลเป็นประตูเปิดสำหรับปีศาจ ที่ซึ่งฐานที่มั่นของมารหยั่งราก

• . บาดแผลให้พลังปีศาจ ยิ่งแผลใหญ่ ยิ่งมีโอกาสลงมือในบริเวณนี้ โดยทั่วไป ยิ่งคุณแข็งแกร่งมากเท่าไร พวกเขายิ่งอ่อนแอ ยิ่งคุณอ่อนแอมากขึ้นเท่านั้น

• บาดแผลนำไปสู่การเป็นทาสและทำให้คุณเป็นตัวประกัน

• บาดแผลสามารถสืบทอดได้ซึ่งในกรณีนี้จะกลายเป็นคำสาป

• . บาดแผลมีไว้เพื่อทำให้เราเขวจากพระประสงค์ของพระเจ้า

• บาดแผลทำให้คุณเห็นแก่ตัวด้วยความหยิ่งทะนงและความขุ่นเคืองและความตามอำเภอใจ

• . บาดแผลลิดรอนความสุข ความเพลิดเพลินในชีวิต พวกเขาเป็นพิษต่อชีวิต ขโมยโลก

• . บาดแผลบิดเบือนความเป็นจริง และความยากลำบากทั่วไปเริ่มดูเหมือนยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นจริง และทำให้เกิดอารมณ์ด้านลบมากกว่าปกติ นี่คือการโกหก ทหารที่บาดเจ็บยอมจำนนต่อสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย

• บาดแผลบอกคุณเกี่ยวกับความพ่ายแพ้ของศรัทธาของคุณและก่อให้เกิดความสงสัย และสิ่งนี้นำไปสู่ความลังเลใจและความคิดสองแง่สองง่าม

• คนที่ได้รับบาดเจ็บเป็นคนที่เกือบจะพังทลายอยู่ตลอดเวลา ผู้ได้รับบาดเจ็บจงใจเลื่อนการล่วงหน้าของผู้มีสุขภาพดี นั่นเป็นเหตุผลที่ รักษาผู้บาดเจ็บได้ 3 ทาง:

• . กำจัดเขาให้หมด (75%)

• ทนเขา (ช่วยให้เขาอดทน)

• 3. รักษาเขา (ช่วยชนะ)

  ในคืนก่อนการอพยพ พระเจ้ารักษาชาวอิสราเอลทั้งหมด สด.105:37นี่แสดงให้เห็นว่าการที่จะบรรลุพระประสงค์ของพระเจ้า จำเป็นต้องมีสุขภาพแข็งแรงเส้นทางสู่การรักษา:

  กระบวนการบำบัด:

• 1. ความอ่อนน้อมถ่อมตน (รับรู้)

• . พระเจ้ารักษาด้วยพระวจนะของพระองค์ สด.106:20

• พระเจ้ารักษาโดยการปลอบโยนของพระวิญญาณบริสุทธิ์

• . พระเจ้ารักษาผ่านการเชื่อฟังของคุณ (เนย์แมน)อย่างไรก็ตาม, ต้องวางใจพระเจ้าและวางใจในพระองค์!!! นี่คือชัยชนะ!

ทำให้ศัตรูสับสน

Col.2:15

ความอัปยศเป็นสภาพที่ไร้ประโยชน์ การลาออก ความละอาย การหมิ่นประมาท การลิดรอนศักดิ์ศรี 1 ซม. 17:45-51ดาวิดไม่เพียงแต่ฆ่าโกลิอัทเท่านั้น เขายังทำให้ท่านอับอายอีกด้วย

ผู้เชื่อหลายคนไม่ต่อสู้กับการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณเลย ผู้ที่ต่อสู้หลายคนทำเพื่อความอยู่รอดของตนเองเท่านั้น ดังนั้นในขณะที่ทุกอย่างอยู่ในระเบียบในชีวิตพวกเขานั่งเงียบ ๆ ในกระดอง แต่เมื่อซาตานโจมตีพวกเขา พวกเขาตื่นขึ้นและพยายามต่อสู้กลับ

ความจริงก็คือเราไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเอง เราไม่ได้ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดส่วนบุคคล นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าเรียกหา ใช่ เราต้องต่อต้าน แต่เพื่ออะไร?

เรายืนหยัดและต่อสู้ - และต้องต่อสู้ ให้ยืน (ยืน)

เหตุผลที่คุณยืนคือต่อสู้และต่อสู้เพื่อยืนหยัด เป้าหมายของเราคือปลดปล่อยเชลยของซาตาน
พระเจ้าประทานยุทธภัณฑ์ครบชุดแก่เรา แล้วทรงบอกให้เราอธิษฐานเผื่อผู้อื่น (เพื่อวิสุทธิชนและเพื่อทุกคน) คริสตจักรทนทุกข์จากการขาดการอธิษฐาน คริสตจักรไม่ได้บดขยี้อย่างที่ควรจะเป็น
คำอธิษฐานของมิกกี้เมาส์ไม่ทำให้ซาตานหวาดกลัวหรือทำลายแผนการของเขา คริสตจักรไม่ต่อสู้เท่าที่ควร ฐานที่มั่นหลายแห่งจะไม่ล้มลงจนกว่าคริสตจักรจะทรงประสงค์พวกเขาอย่างมีประสิทธิภาพ

อาณาจักรของพระเจ้าใช้กำลัง และผู้ที่ใช้กำลังก็ใช้กำลัง ซาตานจะต่อต้านการแพร่กระจายของอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเสมอ นั่นเป็นเหตุผลที่พระเจ้ามอบอาวุธให้เราเพื่อบังคับให้เขาออกจากดินแดนของเรา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เมือง ร่างกายของคุณ

ศรัทธาไม่ใช่แค่ความปรารถนาดีเท่านั้น แค่อยากได้ของไม่ดีไม่พอ ต้องกลืนกินมันเข้าไป

ศัตรูถูกทำให้อับอายได้อย่างไร - เมื่อคุณไม่เพียงชนะตัวเอง แต่ยังช่วยให้ผู้อื่นชนะด้วย เมื่อคุณแสดงความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าตำหนิโมเสสและอาโรนที่ไม่แสดงความศักดิ์สิทธิ์ต่ออิสราเอลที่กบฏ
วันนี้ พระเจ้ากำลังรอให้เราสำแดงความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ไม่เฉพาะต่อหน้ามนุษย์เท่านั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดต่อหน้าอาณาเขตและอำนาจของปีศาจ Eph.3:10. เมื่อความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าปรากฏต่อหน้าพวกเขา - พวกเขาสูญเสียพลัง อ่อนแอและเป็นอิสระ หมดแรง บรรยากาศฝ่ายวิญญาณเปลี่ยนไป

ดังนั้นอย่าเริ่มการต่อสู้ที่พระเจ้าไม่ได้นำคุณ!

ยามเฝ้าประตู

การต่อสู้เริ่มต้นและจบลงที่ใจ มันอยู่ในใจที่จะกำหนดผลลัพธ์และกระบวนการของเหตุการณ์ทางกายภาพ!

เราต้องเฝ้าประตูชีวิต ใครเข้าและใครออกผ่านพวกเขา

ประตูเหล่านี้มีสาม: 1. ตา 2. หู 3. ปาก

ประตูเหล่านี้นำไปสู่และออกจากหัวใจ

ตา. วิธีที่คุณมองทุกอย่างถูกกำหนดโดยสภาวะของหัวใจของคุณ ดวงตาเป็นประตูสองทาง ดูเหมือนว่าดวงตาเป็นเพียงทางเข้า แต่ก็เป็นทางออกเช่นกัน! วิธีที่คุณมองบางสิ่งสามารถทำลายงานของมารและสร้างงานของพระเจ้าได้ เพราะในกรณีนี้ แสงสว่างของพระเจ้าจะหลั่งไหลออกจากดวงตาของคุณ ทำลายความมืด เมื่อคุณมองบางสิ่งด้วยนิมิตจากพระเจ้า

หู. เป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องฟังหรือฟังใครเกี่ยวกับสถานการณ์นั้นหรือสถานการณ์นั้น ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณฟังพระเจ้าเกี่ยวกับเมืองของคุณ คุณก็เป็นเช่นนั้น คุณทำให้เมืองของคุณบริสุทธิ์ด้วยความรู้ (แสง) ของความจริงเกี่ยวกับเมือง พระเจ้าได้รับสถานที่ในเมือง กับมารด้วย (เกี่ยวกับสุขภาพ เกี่ยวกับการเงิน เกี่ยวกับครอบครัว เกี่ยวกับอนาคต ฯลฯ)

คุณฟังใคร - เขามีอำนาจเหนือคุณ อยู่ในตัวคุณ

นี่คือเหตุผลที่ซาตานใช้ความกลัวเพื่อทำให้ผู้เชื่อทุกข์ใจ ความกลัวผูกมัด, ปล้น, ทำให้ขายหน้า, กดขี่, ฆ่า พระเจ้าได้ให้คำสั่งแก่เรา: "อย่ากลัว!" นี่คือพระบัญญัติ ไม่ใช่ความปรารถนา ดังนั้นเมื่อคุณกลัว คุณจะทำบาปโดยไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า และซาตานเข้ามาแทนที่คุณ

ปาก. ปากยังเป็นทางเข้าและทางออก จากความอุดมสมบูรณ์ของหัวใจปากพูด ชีวิตและความตายอยู่ในพลังของภาษา โลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมดกำลังรอคำพูดของเรา สงครามฝ่ายวิญญาณคือสงครามทางวาจา คำพูดมีบทบาทสำคัญในการทำสงครามฝ่ายวิญญาณ เราเป็นภาพพจน์และอุปมาของพระเจ้า จำเป็นต้องดูคำพูดแม้ในการอธิษฐาน - อย่าพูดมากเกินไป ซาตานมักจะผลักดันให้เราพูดมากเกินไป เพื่อที่ภายหลังมันจะสามารถฆ่าเราด้วยคำพูดของเราเอง

โบรชัวร์ที่เสนอให้กับผู้อ่านประกอบด้วยบทสนทนาของผู้สารภาพกับสามเณร - ลูก ๆ ของเขาที่เลือกเส้นทางของพระสงฆ์ แต่มีจุดมุ่งหมายไม่เพียง แต่สำหรับพระสงฆ์เท่านั้น จะเป็นที่สนใจของทุกคนที่พยายามดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณอย่างรอบคอบและลึกซึ้งเพื่อชำระจิตใจของพวกเขาให้บริสุทธิ์ มันตอบคำถามยาก ๆ ของผู้ที่ต้องการเดินบนเส้นทางแห่งความรอดแคบ ๆ และเอาชนะการล่อลวงของโลกสมัยใหม่ วิธีจัดการพฤติกรรม วิธีรับรู้กลอุบายของปีศาจที่ดักจับวิญญาณ วิธีป้องกันตนเองจากประสบการณ์ที่สง่างามหลอก วิธีสร้างลำดับชั้นของค่านิยมที่ถูกต้อง วิธีรักษาอารมณ์ที่สนุกสนาน - ปัญหาเหล่านี้และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย หัวข้อของสิ่งพิมพ์นี้

ใครในออร์โธดอกซ์ที่ยังไม่ได้อ่านใน Holy Fathers เกี่ยวกับสงครามฝ่ายวิญญาณ เกี่ยวกับการล่อลวงจากปีศาจ เกี่ยวกับความจำเป็นในการต่อสู้กับสิ่งล่อใจเหล่านี้! “ สิ่งล่อใจ!” - เรามักจะพูดกับที่และนอกสถานที่ - เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นการปะทะกัน แต่ทุกคนพร้อมที่จะขับไล่การล่อลวงเหล่านี้อย่างถูกต้องเพื่อเปลี่ยนให้เป็นประโยชน์ต่อจิตวิญญาณหรือไม่? บางครั้งเราไม่สงสัยด้วยซ้ำว่ากลวิธีที่ซับซ้อนของศัตรูของเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นซับซ้อนเพียงใด เราไม่รู้วิธีการและเทคนิคของเขาในการจับวิญญาณของเขา เราต้องการเดินตามเส้นทางแห่งความรอดโดยแทบไม่ลำบากหรือออกแรงเพียงเล็กน้อย เรากลัวความจำเป็นในการต่อสู้อย่างอิสระอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลนี้เองหรือที่ผู้เริ่มต้นบางคนไม่พอใจกับการชี้นำทางวิญญาณของนักบวช "สามัญ" พวกเขาจึงต้องการ "ผู้เฒ่า" อย่างแน่นอน - แต่ไม่ใช่เพื่อเรียนรู้ที่จะได้รับพระคุณของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เพียงเพื่อเป็นการปลดเปลื้องความรับผิดชอบ เปลี่ยนไปเป็นผู้สารภาพ?

ผู้สูงอายุเป็นของขวัญจากคำพยากรณ์ เมโทรโพลิแทนแอนโธนีแห่งซูโรจเขียนว่า “คนๆ หนึ่งสามารถเป็นผู้ปกครองได้โดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น… และเราไม่สามารถเรียนรู้ที่จะเป็นผู้อาวุโสได้ เช่นเดียวกับที่คนเราไม่สามารถเลือกอัจฉริยะในแบบของตัวเองได้” ผู้นำทางจิตวิญญาณที่แท้จริงหล่อเลี้ยงลูกทางจิตวิญญาณของพวกเขา แต่ อย่า “จัดการ” พวกมัน อย่าทำลายมัน ทำให้มันเหมือนตัวมันเอง ไม่​ต้อง​สงสัย คริสเตียน​ควร​เชื่อ​ฟัง​บิดา​ฝ่าย​วิญญาณ. แต่สำหรับสามเณรที่ไม่มีประสบการณ์ในสงครามฝ่ายวิญญาณ อาจมีความเสี่ยงที่จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งที่เรียกว่า “เด็ก” (ซึ่งไม่มีวุฒิภาวะทางวิญญาณ) หากพวกเขาไม่พยายามหาเหตุผลทางวิญญาณและความมีสติสัมปชัญญะ

สิ่งนี้เกิดขึ้นไม่เฉพาะจากการขาดประสบการณ์ทางจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ในหลายๆ ด้าน - จากความเกียจคร้านทางวิญญาณ ความประมาท การไร้ความสามารถ และไม่เต็มใจที่จะใส่ใจต่อการเคลื่อนไหวที่เป็นบาปของจิตวิญญาณ

แต่ขอให้เราระลึกถึงถ้อยคำของอัครสาวกเปาโลที่ว่า “ยืนอยู่ในเสรีภาพที่พระคริสต์ประทานแก่เรา และอย่าตกอยู่ใต้แอกของการเป็นทาสอีกเลย” ( สาว. 5, 1). เพื่อปลูกฝังคุณสมบัติของนักรบของพระคริสต์ความแข็งแกร่งทางวิญญาณการให้เหตุผลความสามารถในการไม่ซ่อนตัวจากปัญหา แต่เพื่อรักษาอารมณ์ที่สนุกสนานในการต่อสู้ - เราแต่ละคนขาดสิ่งนี้อย่างไร!

บทสนทนาของ Abbot N. ที่เสนอให้กับผู้อ่านนั้นมีไว้สำหรับลูกทางจิตวิญญาณของเขาที่อาศัยอยู่ในอาราม แต่วิธีการทำสงครามฝ่ายวิญญาณที่เกิดจากคำสอนของพระสันตะปาปาและนำมาพิจารณาในการประยุกต์ใช้กับโลกสมัยใหม่ ย่อมมีประโยชน์มากอย่างไม่ต้องสงสัยสำหรับฆราวาสที่ต้องการทำจิตวิญญาณของตนอย่างจริงจัง สำหรับเราทุกคน ในช่วงก่อนสิ้นสุด การประสบกับการโจมตีของการล่อลวงที่ชั่วร้ายอย่างซับซ้อน การล่อลวง ลัทธินอกศาสนา การละทิ้งความเชื่อ ขอให้พระวจนะของพระเจ้าพระเยซูคริสต์เป็นการปลอบประโลม: “อย่ากลัวเลย ฝูงแกะน้อย! เพราะพระบิดาของท่านยินดีจะประทานอาณาจักรแก่ท่าน" ( ตกลง. 12, 32).

บทสนทนาที่ 1 ธุรกิจหลักของชีวิต

สาเหตุหลักของความเศร้าโศกคือการปฏิเสธพระพรของพระเจ้า เกี่ยวกับทัศนคติที่ถูกต้องต่อสถานการณ์ชีวิต พระเจ้าคาดหวังอะไรจากเราในสถานการณ์ที่ยากลำบาก หลักการวิเคราะห์สถานการณ์ ประสบการณ์ในการวิเคราะห์พระภิกษุสงฆ์สมัยใหม่ เป้าหมายหลักของบทเรียนของพระเจ้าคือการต่อสู้และแก้ไขความชั่วร้าย ความไว้วางใจในพระเจ้าเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในการต่อสู้ วิธีการเรียนรู้ที่จะเข้าใจคน

พี่สาวที่รัก!

ก่อนอื่น ฉันต้องการถามคุณ: แม้จะมีความทุกข์ใหญ่และเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตามที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผ่านพ้นไปสำหรับทุกคนที่จะเดินไปตามเส้นทางแห่งความรอดโดยไม่คำนึงถึงการล่อลวงภายนอกหรือภายใน เพื่อรักษาความสุขไว้ในใจ ของพระเจ้าโดยระลึกว่าความเศร้าโศกทั้งหมดเหล่านี้เช่นเดียวกับชีวิตของเรานั้นหายวับไป

ส่วนใหญ่ความท้อแท้ อารมณ์ไม่ดี ความท้อแท้ มาจากการที่เรา “ปฏิเสธตัวเองไม่ได้” ไม่ว่าเงื่อนไขที่เราวางไว้จะไม่เหมาะกับเราหรือเราไม่ชอบคนรอบข้างหรือเราไม่พอใจกับสิ่งที่พวกเขาทำและอย่างไร เราจะไม่พอใจอยู่เสมอเพราะเราต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางของเรา ดังนั้นเราจึงไม่ยอมรับเงื่อนไขที่ซึ่งฆราวาสกล่าวว่าโชคชะตาได้วางเราไว้ แต่ที่รัก จำไว้ว่าไม่ใช่โชคที่ครองโลก แต่คือพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ

เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับคนที่อยู่ใกล้ ๆ และเหตุการณ์ทั้งหมดในชีวิตที่ได้รับจากพระเจ้าเป็นสถานการณ์ที่พระเจ้ายอมให้เรา ยอมรับแต่อย่าตัดสิน เราจะตัดสินพระพรของพระเจ้าจริงหรือ! ไม่ เราจะไม่ตัดสิน เราไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น แต่เราจะฉลาดและพยายามให้เหตุผล ในกรณีเหล่านี้ ความรอบคอบเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเรา

อันดับแรก ให้ประเมินสถานการณ์ที่พระเจ้าเสนอสำหรับเส้นทางแห่งความรอดของเรา พวกคุณทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม ที่คุณพบว่าตัวเองสามารถวิเคราะห์ได้ เช่น พยายามทำความเข้าใจอย่างมีสติสัมปชัญญะ: มันถูกวางไว้ในสภาวะใด สิ่งที่ก่อให้เกิดความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายหลักของชีวิตของเรา และสิ่งที่ขัดขวางมัน จากการวิเคราะห์นี้ จำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะกำหนดงานสำหรับตัวเราเอง ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องซึ่งพระเจ้าทรงคาดหวังจากเรา คำชี้แจงของปัญหาจะเป็นขั้นตอนที่สองของการให้เหตุผลของเรา คุณเห็นไหม ดูเหมือนเราจะอยู่ที่โต๊ะอีกครั้งแล้วตัดสินใจว่า:

1. ให้: จากจุด A และ B รถไฟสองขบวนซ้ายเข้าหากัน ...

2. บังคับ: กำหนดระยะทางจากจุดที่ระบุไปยังจุดนัดพบของรถไฟ

3. ทางออก...

4. คำตอบ: ...

การวิเคราะห์ที่ถูกต้องของเงื่อนไขที่เรามอบให้ ("ให้") และแน่นอน การกำหนดปัญหาที่ถูกต้อง ("จำเป็น") คือ 50% ของความสำเร็จในการแก้ปัญหา หากเราไม่ต้องการแก้ปัญหาภารกิจที่ตั้งไว้ต่อหน้าเรา เราก็จะไม่สามารถก้าวไปสู่ขั้นต่อไปของบันไดทางจิตวิญญาณได้ แต่เส้นทางแห่งความรอดเป็นเส้นทางที่ขึ้นไปข้างบนเสมอ และพระเจ้าก็ทรงนำเราไปตามเส้นทางนั้น บังคับให้เราแก้ไขงานใหม่ๆ ที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อเรามากขึ้นเรื่อยๆ เป็นแบบฝึกหัดที่เราสามารถพัฒนาคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับความรอดในตัวเรา เช่น ความอดทน การไม่เห็นแก่ตัว การเอาใจใส่ (ความมีสติสัมปชัญญะ) และแน่นอน ความอ่อนน้อมถ่อมตน

ให้อะไรกับเราตอนนี้?

มีอารามแห่งหนึ่งซึ่งจากโลกที่หมกมุ่นอยู่กับราคะความไร้สาระความเห็นแก่ตัวและความโหดร้ายผู้คนมาที่สามารถเข้าใจได้ว่าชีวิตนั้นกลับกลายเป็นว่าไม่เอะอะที่ไร้ความหมายและไร้จุดหมายซึ่งจบลงด้วยความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ... เหล่านี้ ต่างจากคนอื่นๆ ที่มองเห็นความหมายและจุดประสงค์ของมัน เป้าหมายนั้น ซึ่งมีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่เปิดเผยแก่เรา: ผ่านการเทิดทูน - เพื่อความเป็นบุตรของพระเจ้าในอาณาจักรแห่งชีวิตนิรันดร์ แต่ถึงแม้เป้าหมายนี้จะยิ่งใหญ่อย่างไม่มีขอบเขต และแท้จริงแล้ว เป็นความหมายเดียวของการดำรงอยู่ของเราในโลกนี้ แน่นอน การบรรลุในวันนี้ทำได้ยากกว่าที่เคยเป็นมา ความจริงก็คือแม้จะมีความปรารถนาที่จะติดตามพระคริสต์นั่นคือ เพื่อเคลื่อนไปตามเส้นทางแห่งความรอด เราได้นำสัมภาระอันเป็นบาปทั้งหมดของเราซึ่งเป็นนิสัยและความคิดที่สะสมอยู่ในโลกมาที่วัด เช่นเดียวกับทัศนะที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับตนเอง ผู้คน และความสัมพันธ์ของเราที่บิดเบือนไปจากการเลี้ยงดูที่ไม่เชื่อในพระเจ้า

ไม่จำเป็นต้องกลัวที่จะวินิจฉัย: ทุกคนที่มาที่วัดป่วย และโรคหลักคือความเห็นแก่ตัวในทุกอาการ ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือบางคนป่วยมากขึ้นในขณะที่บางคนป่วยน้อยลง ทุกคนต้องการการรักษา แต่การรักษาให้หายขาดเป็นสิ่งสำคัญมาก มีวิธีสำหรับสิ่งนี้: พระคุณของพระเจ้าที่รักษาจิตวิญญาณถูกเทลงบนเราในศีลระลึกของศาสนจักร ในการสวดอ้อนวอน ในชีวิตตามพระบัญญัติ แต่มีเหตุร้ายทั่วไปอย่างหนึ่งที่เป็นลักษณะเฉพาะของเวลาก่อนสิ้นสุดของเรา นั่นคือการขาดการนำทางทางวิญญาณเกือบสมบูรณ์ นี่เป็นสัญญาณของครั้งสุดท้ายซึ่งบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณมองเห็นล่วงหน้า นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงยากที่จะรอด! เป็นผลให้ปรากฎว่าตอนนี้ทุกคนช่วยตัวเองได้คุณสามารถพูดได้ด้วยตัวเอง และคุณจะไม่ไปไหน! เราต้องยอมรับเงื่อนไขที่มีอยู่อย่างเป็นกลางในปัจจุบันและอย่าพึ่งเราเลยแม้แต่น้อย แต่คุณยังต้องรอด! ในโลกนี้แน่นอนวันนี้ (สำหรับคนส่วนใหญ่) - ความตาย ขอบคุณพระเจ้า เรายังมีหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่ยอดเยี่ยม: บันได สงครามล่องหน และงานเขียนของนักบุญ Ignatius Bryanchaninov และบางครั้ง อย่างไรก็ตาม เราสามารถพูดคุยกับหนึ่งในผู้มีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ นั่นคือคำสั่งสอน นั่นคือการสนับสนุน

ในประเด็นที่สองของงาน เราชี้ให้เห็นว่าสิ่งสำคัญคือการตั้งเป้าหมายเสมอและทุกที่: การต่อสู้กับความชั่วร้าย กิเลสตัณหา นิสัยของเรา ค้นหาจากบรรพบุรุษผู้ศักดิ์สิทธิ์ - อะไรคือวิธีที่จะเอาชนะพวกเขาและจากนั้นก็ต่อสู้อย่างมีสติเพื่อกำจัดวัชพืชที่สร้างความเสียหายให้กับจิตวิญญาณเหล่านี้ต่อสู้เพื่อขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า

นี่คือสิ่งที่ฉันสามารถพูดได้จากประสบการณ์ ข้าพเจ้าสังเกตผู้ที่อาศัยอยู่ในอาราม 10-20 ปี ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้อาศัยอยู่เลย ไม่มีการร้องเรียนเป็นพิเศษกับพวกเขา พวกเขาถูกมองว่าเป็นคนเคร่งศาสนาด้วยซ้ำ แต่ทันทีที่พวกเขาเผชิญหน้ากับสิ่งล่อใจอย่างแรง พวกเขาก็ล้มลงทันที และการล้มของพวกเขาก็มีเสียงดัง จากสิ่งที่? ทุกสิ่งทุกอย่างจากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเพียงแค่อาศัยอยู่ในอาราม มีชีวิตอยู่ - และนั่นแหล่ะ เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ พวกเขาสวดอ้อนวอนและรับศีลมหาสนิท แต่พวกเขาไม่เคยดิ้นรนกับสิ่งใดในตัวเองอย่างจริงจัง แม้แต่ความคิดถึงความเป็นไปได้ของการต่อสู้ - และนั่นไม่ใช่

นี่คือวิธีที่คุณสามารถเดินตลอดชีวิตของคุณในชุดวัดในอาณาเขตของอารามและเป็นผลให้กลายเป็นไฟสีดำที่สูญพันธุ์ไปแล้ว

หากเราไม่เรียนรู้ที่จะเอาชนะตนเองในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราจะพินาศอย่างแน่นอนภายใต้การล่อลวงครั้งใหญ่ และไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงมันได้ คุณรู้ไหมว่าปีศาจไม่ชอบพระสงฆ์ ... พวกเขาจะไม่หยุดสงครามจนกว่าเราจะตาย มาเตรียมตัวล่วงหน้าเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้กันเถอะ อย่าลืมว่าคุณเป็นทหารของพระคริสต์ และในงานแห่งความรอด ต่อหน้าพระเจ้า คุณไม่ได้เป็นตัวแทนของ "เพศที่อ่อนแอกว่า" อีกต่อไป แต่เป็นนักรบ เพราะในพระคริสต์ ดังที่อัครสาวกกล่าวไว้ว่า "มี ไม่ใช่ชายหรือหญิง” ( สาว. 3.28).

ดังนั้น ยอมรับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในสถานการณ์ของชีวิตราวกับว่าคุณได้รับโดยตรงจากพระหัตถ์ของพระเจ้า พยายามจำไว้เสมอว่าพระเจ้าโดยกฎฝ่ายวิญญาณ และบางครั้งโดยอิทธิพลโดยตรง พระองค์ทรงควบคุมชีวิตแต่ละคนและของมนุษยชาติโดยรวมจริงๆ หากเราเรียนรู้ที่จะวางใจพระองค์ นั่นคือ หากเราขอให้พระองค์จัดการชีวิตของเรา การทดลองทั้งหมด บทเรียนและภารกิจเหล่านี้จะเป็นประโยชน์แก่เรา ทำให้เรามีประสบการณ์การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเสาะหาสาเหตุหลักของชีวิตเรา นั่นคือ การพัฒนาตนเองทางวิญญาณและศีลธรรม

อย่าท้อแท้ จากทุกสิ่ง แม้แต่จากความผิดพลาด เรียนรู้จากประสบการณ์ กับผู้ที่ต้องเผชิญกับชีวิตคุณจงระวังให้มากเพราะในสมัยของเราผู้คนไม่เหมือนเดิมเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ความเจ้าเล่ห์ฉันจะพูดได้ - ความไม่จริงใจที่จริงใจหยั่งรากลึกในจิตวิญญาณกลายเป็นเหมือนที่มันเป็นธรรมชาติของมันเติบโตและแพร่กระจายไปจนยากที่จะเข้าใจบุคคลโดยไม่ต้องทดสอบนาน ในเวลาเดียวกันควรหลีกเลี่ยงการแยกตัวจากภายนอกอาการสงสัย ตรงกันข้าม เป็นการดีที่จะเป็นมิตรกับทุกคน แต่คุณสามารถไว้วางใจได้ก็ต่อเมื่อคุณเข้าใจสิ่งที่คนหายใจ อย่าเชื่อแม้แต่คำพูดที่ดีที่สุด ให้มองแต่การกระทำ ในชีวิต ทิศทางทั่วไปของการกระทำ ความคิด และความรู้สึก ที่คุณสมบัติทางศีลธรรม ทั้งหมดนี้จะช่วยให้คุณกำหนดสิ่งสำคัญในตัวบุคคล การเรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้คนเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยแยกส่วนหลักออกจากส่วนรอง

พยายามอยู่อย่างสันติกับทุกคน ระวังการนินทาและนินทา หลีกเลี่ยงพวกเขา เติบโตในความรัก ความอ่อนโยน สันติสุข และปีติในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ช่วยเหลือกัน.

ขอพระเจ้าผู้ใจบุญของเรามาเยี่ยมคุณด้วยความเมตตาของพระองค์และเสริมกำลังคุณในพิธีสงฆ์ และฉันผู้เป็นคนบาปมักจะอธิษฐานต่อพระองค์เพื่อจิตวิญญาณของคุณ

บทสนทนาครั้งที่ 2 วิธีการจัด “บ้านใน” ของคุณ?

งานของผู้เริ่มต้น: เปลี่ยนความสนใจจากปัญหาภายนอกไปสู่ปัญหาภายใน เหตุใดเราจึงเข้าใจผู้คนและสถานการณ์ผิดไป? เกี่ยวกับการบิดเบือนของการรับรู้ทางจิตและประสาทสัมผัส จากความบริสุทธิ์ทางเพศไปสู่การรับรู้ที่ถูกต้อง โลกแห่งความสุขได้รับการปกป้องจากปัญหาภายนอก สองช่วงเวลาของชีวิตจิตวิญญาณของพระสงฆ์ เกี่ยวกับผลกระทบของปีศาจที่มีต่อทรงกลมทางอารมณ์ น้ำเสียงฝ่ายวิญญาณที่เข้มแข็งควรคงไว้โดยความพยายามของเจตจำนง ในการต่อสู้กับจิตวิทยาทาส “ความเรียบง่าย” และ “ความซับซ้อน” ในคนหมายถึงอะไร

ฉันสังเกตว่าคำถามและความฉงนสนเท่ห์ส่วนใหญ่เกิดจากการติดต่อกับภายนอก ไม่ใช่ปัญหาของงานฝ่ายวิญญาณภายใน สำหรับผู้ที่ได้ลงมือบนเส้นทางของการปฏิเสธตนเองเพื่อประโยชน์ของพระคริสต์ บนเส้นทางของการกระทำของวัด นี่เป็นทัศนคติที่ผิดโดยพื้นฐาน ความสนใจและความสนใจของเราไม่เพียงแต่ไม่ควรถูกฉายออกไปภายนอกเท่านั้น แต่ในทางกลับกัน จำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับชีวิตฝ่ายวิญญาณภายในที่ลึกซึ้งและทำงานกับตัวเราเอง เราต้องทำเช่นนี้เพราะงานหลักของเราคือการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพในลักษณะส่วนบุคคลเช่น ของมนุษย์ภายในทั้งหมด

หากการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพของจิตวิญญาณเกิดขึ้นเนื่องจากความพยายามของเราพร้อมกับพระคุณที่มาจากพระเจ้า เชื่อฉันสิ คุณจะเห็นผู้คนรอบตัวคุณและการกระทำของพวกเขาด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง สิ่งนั้นคือ การรับรู้โลกภายนอกที่เพียงพอ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และการมองเห็นที่ถูกต้องของผู้คน และสถานการณ์ของชีวิต จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อหนังสกปรกแห่งบาปถูกลอกออกจากตาของจิตใจเมื่อจิตของเรา (มีเหตุผล) ) และทรงกลมที่รับรู้ทางประสาทสัมผัส (เช่น ราคะ) ที่เปิดกว้าง) จะได้รับการปลดปล่อยจากอิทธิพลของปีศาจที่ไม่หยุดหย่อนและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่ความโน้มเอียงที่เป็นบาปยังคงอยู่ในจิตวิญญาณ เราไม่สามารถรับรู้สภาพแวดล้อมได้อย่างถูกต้อง ไม่เข้าใจผู้คนและเหตุการณ์อย่างถูกต้อง หรือสร้างความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับโลกภายนอก เนื่องจากจิตสำนึกของเราจะถูกบิดเบือนโดยอิทธิพลที่ซับซ้อนของปีศาจ เกี่ยวกับจิตใจ อารมณ์ และความรู้สึก ในกรณีนี้ ความโน้มเอียงที่เป็นบาปไม่มีอะไรมากไปกว่าอาการของการขาดอิสรภาพจากอิทธิพลของปีศาจ การบิดเบือนของการรับรู้ทางจิตใจและราคะดังที่ฉันได้กล่าวไปแล้วจะดำเนินต่อไปจนกระทั่งในการต่อสู้ทางวิญญาณที่รุนแรงเราได้รับการชำระล้างความชั่วร้ายหลักของเราและสิ่งนี้เป็นไปได้ด้วยความช่วยเหลือจากพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น

“พรหมจรรย์” หมายถึง ปัญญาที่สมบูรณ์ ถูกต้อง กล่าวคือ ทั้งหมดและไม่ใช่เพียงเศษเสี้ยวของความเข้าใจในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนที่สุดทั้งหมด ในเวลาเดียวกัน พรหมจรรย์คือความบริสุทธ์ทางวิญญาณและทางร่างกาย ซึ่งหมายถึงการเป็นอิสระจากความรุนแรงของความโน้มเอียงที่เป็นบาป (ตัณหา) ดังนั้น จากประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของคนหลายรุ่น จะเห็นได้ชัดเจนว่ามีเพียงผู้บริสุทธิ์เท่านั้นที่จะเข้าใจได้อย่างถูกต้อง (กล่าวคือ ปรัชญา) กล่าวคือ ทำความสะอาด.

ฉันหวังว่าจากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น คุณได้เข้าใจว่าคุณไม่ควรพยายามประเมิน อย่าเพิ่งตัดสิน การกระทำของคนรอบข้างในช่วงเริ่มต้นของชีวิตทางจิตวิญญาณที่เพิ่งเริ่มต้นของคุณในเวลานี้ เช่นเดียวกัน คุณจะไม่สามารถประเมินได้อย่างถูกต้อง ซึ่งหมายความว่าคุณจะไม่สามารถเลือกแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องได้

ตรงกันข้าม มันเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับปีศาจที่จะเปลี่ยนความสนใจของผู้เริ่มต้นจากงานภายในที่ซับซ้อนและอุตสาหะไปเป็นสถานการณ์ภายนอกของชีวิต เพื่อมุ่งความสนใจไปที่ข้อเท็จจริงเชิงลบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของความเป็นจริงโดยรอบ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและแม้กระทั่งพูดเกินจริง ความรู้สึกไม่ลงรอยกันระหว่างสิ่งที่ควรจะเป็น ว่าฉันอยากเห็นอย่างไร และสิ่งที่พวกเขาเห็นจริงๆ ด้วยวิธีง่าย ๆ นี้ ปีศาจบรรลุการเติบโตทางวิญญาณของสามเณรไม่เพียงช้าลงเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนทิศทางของมันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามอีกด้วย อย่าปล่อยให้ปีศาจมาควบคุมความสนใจของคุณ เพื่อที่มันจะไม่ร้องไห้อย่างน่าเศร้าในบังเหียนที่ขี้เมาของมันเหมือนม้าที่เชื่อฟัง ควบคุมและดึงความสนใจกลับมาที่ตัวเอง จำสิ่งที่พระศาสดา แอมโบรส ออปตินสกี้? - "รู้จักตัวเองแล้วมันจะอยู่กับคุณ!"

เราจะจัดบ้านชั้นในของเราได้อย่างไร? ประการแรก ตามพระศาสดา เสราฟิมจำเป็นต้องได้รับ "วิญญาณแห่งสันติภาพ" ความสุขที่ยิ่งใหญ่เมื่อวิญญาณของโลกที่มีความสุขอยู่ในเรา! จากนั้นบุคคลเช่นหินที่ไม่สั่นคลอนยืนอยู่กลางทะเลที่โหมกระหน่ำและไม่มีปัญหาภายนอกใดที่สามารถทำให้เขาคลั่งไคล้จนเขาหยุดควบคุมตัวเองความรู้สึกอารมณ์คำพูดและการกระทำของเขา สภาพจิตใจที่สงบสุข เข้มแข็ง และชัดเจนเช่นนี้ได้รับโดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น การได้มาซึ่งสิ่งที่เราควรดูแลมากกว่าสิ่งใดในโลก

มีหลายวิธีในการได้มาซึ่งพระคุณ ซึ่งวิธีที่เข้มแข็งที่สุดคือการอธิษฐาน อย่างไรก็ตาม ไม่ค่อยเกิดขึ้นที่พระเจ้าจะทรงทำให้บุคคลอยู่ในสภาพเช่นนั้นในทันทีเมื่อการอธิษฐานเป็นเครื่องมือหลักในการได้มาซึ่งพระคุณ บ่อยครั้งที่ช่วงเวลานี้นำหน้าด้วยช่วงเวลาอื่น บางทีอาจนานพอเมื่อการสะสมของพระคุณเกิดขึ้นจากการทำความดี การทำงานเพื่อเห็นแก่ผู้อื่น ช่วงเวลานี้จำเป็นสำหรับการได้มาซึ่งคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของคริสเตียน: การปฏิเสธตนเอง ซึ่งไม่มีใครในพวกเรามี นั่นเป็นสาเหตุที่เราไม่ไป เราไม่สามารถติดตามพระคริสต์ได้ - นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้ปฏิเสธตัวเอง ซึ่งหมายความว่าเราไม่ได้แบกกางเขนของเรา สถานที่แห่งความเสียสละในตัวเราถูกครอบครองโดย "ฉัน" ของเราเอง ความเห็นแก่ตัวเป็นคุณสมบัติที่เป็นบาปหลักของจิตวิญญาณของเรา มันเป็นผลมาจากบาปของบรรพบุรุษ และการล่มสลายโดยทั่วไปของมวลมนุษยชาติ และแน่นอน ความบาปของเราเอง

การอธิษฐานที่แท้จริงเกิดขึ้นจากใจที่ถ่อมตัว และความถ่อมใจได้มาจากการปฏิเสธตนเอง ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงวางเราให้อยู่ในสภาพเหล่านั้นก่อนเมื่อจำเป็นต้องเรียนรู้การเสียสละ เพื่อเรียนรู้ที่จะลืมตนเองเพื่อเห็นแก่ผู้อื่น ลืมความสบายทางร่างกายและจิตวิญญาณของคุณไปได้เลย อย่าเลือกตัวเองมากกว่าเพื่อนบ้าน แต่ให้เพื่อนบ้าน ปัญหาและความต้องการของเขา อันดับแรกในการคำนวณไม่ใช่ตัวเขาเอง แต่เป็นเพื่อนบ้านของเขา เรื่องนี้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับว่าคุณเกี่ยวข้องกับการเชื่อฟังของคุณอย่างไร (กับงานของคุณ) เราต้องเรียนรู้ที่จะจุดไฟให้ตนเองมีทัศนคติที่สนุกสนานต่องานทุกอย่างที่ได้รับมอบหมาย โดยระลึกว่าได้ทำต่อหน้าต่อตาพระเจ้าเพื่อความรอดของตนเอง เพื่อประโยชน์ในการได้มาซึ่งพระคุณ จำเป็นต้องทำให้จิตวิญญาณคุ้นเคยกับการทำงานที่ได้รับมอบหมายด้วยความเต็มใจ แม้จะมองหาวิธีช่วยเหลือเพื่อนบ้านก็ตาม จำ (และใครในพวกคุณที่ไม่ได้อ่าน - อ่าน) เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากชีวิตของผู้อาวุโสคนสุดท้ายของ Trinity-Sergius Lavra Zosima-Zacharia - เกี่ยวกับปีแรกที่เขาเชื่อฟัง prosphora เขานอนหลับเป็นเวลา 3-4 ชั่วโมง (ไม่มีเวลานอนแล้ว) และเข้าร่วมพิธีปีละ 1-2 ครั้ง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็สวดอ้อนวอนไม่หยุดหย่อนด้วยคำอธิษฐานของพระเยซู เขาได้รับความถ่อมใจ ความสุภาพ และความเสียสละอะไรอย่างนี้! พระเจ้าไม่ได้ทำให้จิตใจที่สำนึกผิดและถ่อมตัวลงตามคำของผู้เผยพระวจนะเดวิดเขาได้มอบของขวัญแห่งการอธิษฐานแก่นักบุญของเขา เมื่อมาถึงอาราม สามเณรเข้าใจอย่างถูกต้องในสิ่งที่พระเจ้าต้องการจากเขา ผู้ซึ่งไม่ได้ปราศจากความรอบคอบ วางเขาไว้ในสภาวะที่ยากลำบากเช่นนี้จนทำให้เขาขาดโอกาสที่จะปฏิบัติตามกฎการอธิษฐานตามปกติและเข้าร่วมพิธีในโบสถ์

ในอีกด้านหนึ่ง เศคาริยาห์เข้าใจถึงความจำเป็นในการเรียนรู้การเสียสละเพื่อผู้อื่น และในอีกด้านหนึ่ง ความจำเป็นในการสอนตนเองเรื่องการอธิษฐานของพระเยซู ขณะทำงาน เขาบังคับตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างเธอให้คนอื่นโดยไม่รู้ตัว ในลักษณะที่ในที่สุดเธอก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทสนมของเขา

ขอย้ำอีกครั้งว่าคำอธิษฐานที่จริงจัง ลึกซึ้ง และเอาใจใส่สามารถหยั่งรากได้เฉพาะบนดินที่เตรียมไว้ด้วยหัวใจที่หล่อหลอมมาอย่างดีเท่านั้น แผ่นดินโลกที่แข็งกระด้างและกลายเป็นหิน (ด้วยบาปแห่งความเห็นแก่ตัว) จะต้องถูกทำลายด้วยคันไถเหล็กแห่งการปฏิเสธตนเองและถูกทำลายด้วยคราดแห่งความหลงลืมตนเอง แล้วใจของเราที่สำนึกผิดและถ่อมตน “พระเจ้าจะไม่ทรงดูหมิ่น” ( ป.ล. 50, 19).

ดังนั้นจงปฏิบัติตามการเชื่อฟังอย่างมีสติและคุ้นเคยกับคนอื่นอย่างไม่รับรู้ถึงการอธิษฐานของพระเยซูอย่างต่อเนื่องโดยไม่อาย ด้วยความกตัญญูต่อพระเจ้าและด้วยความปิติ "ล้มลง" บนเตียงของคุณแม้ว่าคุณจะไม่มีกำลังที่จะอ่านคำอธิษฐานตอนเย็น . พระเจ้ากำลังมองดูหัวใจของคุณมากกว่าสิ่งใด ซึ่งคุณควรเรียนรู้ที่จะรักษาความสะอาดจากความคิดสกปรกที่เข้ามา ด้วยความสนใจทั้งหมดของคุณที่จะปฏิบัติตามในระหว่างวันความบริสุทธิ์ของหัวใจของคุณ - นี่เป็นงานที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณในยุคปัจจุบันของชีวิตสงฆ์ของคุณ

แต่คุณจะไม่สามารถได้รับความบริสุทธิ์ของจิตใจและความสุขสงบของจิตวิญญาณได้หากคุณปล่อยให้ปีศาจเปลี่ยนความสนใจของคุณไปยังคนรอบข้าง แล้วความคิดของคุณก็จะหมกมุ่นอยู่กับการ "ดูด" การกระทำของคนอื่น โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจ ในการตีความที่ปีศาจใส่เข้าไปในจิตสำนึกของคุณ การกระทำเหล่านี้จะมีลักษณะเชิงลบและสีทางอารมณ์ที่สอดคล้องกันเสมอ และยิ่งมากขึ้นเท่านั้น มันอยู่บนดินนี้ที่มีการประณามและการระคายเคืองปรากฏขึ้น พวกเขาเติบโตเป็นต้นไม้แห่งความเศร้าโศกเศร้าหมองและให้กำเนิดผลแห่งการกระทำที่เลวทรามที่สุด ในขั้นตอนนี้บุคคลจะถูกครอบงำเช่น จิตสำนึกของเขาตกอยู่ภายใต้การควบคุมคำแนะนำของปีศาจอย่างสมบูรณ์ นั่นคือความสุขของปีศาจ!

ครั้งแล้วครั้งเล่า พี่น้องสตรีที่รัก ฉันเตือนคุณว่าทุกสภาพจิตใจที่เศร้าหมอง ความรู้สึกเหงาและความสิ้นหวังไม่ได้เป็นอะไรนอกจากผลพิเศษของทูตสวรรค์ที่ตกสู่โลกทางอารมณ์ของเรา ในเรื่องนี้ ฉันจะบอกว่าพวกเขามีความสามารถที่อัศจรรย์ ตัวอย่างเช่น จำได้ว่าเพลงในภาพยนตร์สามารถให้อารมณ์ความรู้สึกพิเศษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนหน้าจอหรือแม้แต่ภูมิทัศน์ได้มากน้อยเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้น ผู้กำกับและนักแต่งเพลงรู้ดีว่าการบรรเลงดนตรีประกอบที่แตกต่างกันสามารถเปลี่ยนทัศนคติทางอารมณ์ของผู้ชมต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะทำให้มันตรงกันข้าม ตัวอย่างเช่น การรับรู้ที่ร่าเริงและสนุกสนานของบางมุมของธรรมชาติด้วยความช่วยเหลือของดนตรีสามารถแทนที่ด้วยความรู้สึกกังวลใจในการคาดหวังบางสิ่งที่น่ากลัว ดีกว่าผู้คน ผู้กำกับ และนักแต่งเพลงที่ยังมองไม่เห็นเรารู้เรื่องนี้ ซึ่งสอนให้เราประเมินผู้คนและเหตุการณ์ผ่านปริซึมของอารมณ์ความรู้สึกที่พวกเขาสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราอย่างไม่รู้ตัว

ปีศาจสามารถยกตัวอย่างเช่น เมื่อ "ผู้ป่วย" มองออกไปนอกหน้าต่างรถในภูมิประเทศที่คุ้นเคยที่กำลังถอยห่างออกไป (ฉันพิจารณากรณีจริง) สร้างแรงบันดาลใจให้เขาในตอนแรกด้วยความรู้สึกเศร้าหวนคิดถึงแล้วหลังจากนั้นในขณะที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นด้วยความรู้สึก ความเหงา การถูกทอดทิ้ง และสุดท้ายก็พาคนจนไปสู่ความสิ้นหวังที่มืดมนที่สุด ซึ่งผลักดันให้หลายคนทำการกระทำที่โง่เขลาและประมาทเลินเล่อ นี่เป็นกลอุบายของปีศาจธรรมดา แต่มีประสิทธิภาพมาก

และที่สำคัญที่สุด - "คนไข้" กำลังวิ่ง! เขาวิ่งเหมือนกระต่าย มีเพียงส้นเท้าของเขาเป็นประกาย วิ่งออกจากวัด หนีความลำบาก วิ่งหนีความรอด เขาจะไม่พบความสงบสุขและสภาพดีทุกที่ เมื่อเอาชนะบุคคลหนึ่งแล้วปีศาจก็ได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าเขาและไม่อนุญาตให้เขาปลดปล่อยตัวเองจากแอกแห่งแรงกดดันอีกต่อไป เขาจะขับไล่ผู้โชคร้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ไม่ยอมให้เขาหยุดทุกที่ สร้างแรงบันดาลใจให้เขาด้วยความไม่พอใจ ความขุ่นเคือง และการระคายเคืองกับทุกสิ่งที่เป็นไปได้ “สภาวะแรกเริ่ม” (ตามที่จิตแพทย์กล่าว) ที่ซึ่งความไม่พอใจอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้เกิดแตกต่างกัน แต่น่าเศร้าเสมอ จนถึงการตกสู่บาปมรรตัย นอกรีต หรือการสูญเสียศรัทธาโดยสมบูรณ์

ในการเปิดเผยกลวิธีในการทำงานร่วมกับคู่ต่อสู้ของเรา ฉันต้องการให้คุณเรียนรู้วิธีจัดการกับพวกเขา ในการทำเช่นนี้ คุณต้องคอยติดตามน้ำเสียงฝ่ายวิญญาณและความพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อรักษาทัศนคติที่สนุกสนานต่อทุกสิ่ง - ทั้งในการทำงานเมื่อยล้าและแม้กระทั่งปัญหาจากเพื่อนบ้านของคุณ ควบคุมอารมณ์ของคุณ - นี่เป็นจุดที่เปราะบางที่สุดสำหรับผู้หญิงทุกคน แต่อย่างไรก็ตาม คุณต้องสามารถควบคุมตัวเองได้อยู่แล้ว มิฉะนั้น จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงเครือข่ายของมารได้ จำไว้ว่า สิ่งเดียวที่คุณอารมณ์เสียได้คือบาปของคุณเองและความโน้มเอียงของบาปที่ไม่มีวันหมดอายุ และความเศร้าโศกดังกล่าวไม่ควรมากเกินไป เพื่อไม่ให้ความพยายามในการต่อสู้อันยาวนานลดลง ซึ่งบางกรณีก็ดำเนินไปเป็นเวลาหลายปี

และฉันบอกคุณก่อนหน้านี้และตอนนี้ฉันทำซ้ำอีกครั้ง: อย่าใช้ปัญหาและความเศร้าโศกในใจ (ยกเว้นบาปของคุณ) ทุกสิ่งในชีวิตนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดูสิ - และไม่มีอะไร: ไม่มีความเศร้าโศกไม่มีผู้คน! ทุกสิ่งที่ยังคงอยู่กับคุณได้มาก่อนคุณและทุกอย่างผ่านไปแล้ว ปัญหาของคุณจะผ่านไปด้วย และคุณกำลังมาหาพระคริสต์โดยไม่สะดุดกับรูปลักษณ์ที่อิจฉาริษยาและศัตรูของใครบางคน หรือวลีที่ไม่เหมาะสมและแปลกประหลาดของใครบางคน รักษาจิตใจที่ดี ความแน่วแน่ เสรีภาพภายใน ประกอบกับการเชื่อฟังและปราศจากความกลัวอย่างสมบูรณ์

ความกลัว, การประจบประแจง, การซ้ำซ้อน, ความหน้าซื่อใจคด, ความพอใจของมนุษย์ - ทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบของจิตวิทยาทาส ที่โรงเรียนโซเวียตและระบบโซเวียตนำขึ้นมาใน "ชายแห่งรูปแบบคอมมิวนิสต์ใหม่" เราทุกคนออกมาจากที่นั่น แต่มรดกโซเวียตที่ตกต่ำนี้ต้องถูกเผาออกจากจิตวิญญาณของเราด้วยเหล็กร้อนแดง “ยืนหยัดในเสรีภาพที่พระคริสต์ประทานแก่เรา” อัครสาวกสอนเรา ( สาว. 5, 1). หยุดเป็น "คนหลอกลวง" กลายเป็นคริสเตียนและลูกของพระเจ้าในที่สุด! จดจำและรักษาน้ำเสียงฝ่ายวิญญาณที่ร่าเริง ความปรารถนาที่จะต่อสู้กับความยากลำบาก ได้รับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ดี จำไว้ว่าเราทุกคนเป็นทหารของพระคริสต์

เหนือสิ่งอื่นใด เด็กที่รัก เราทุกคนต้องการความเรียบง่ายอย่างแท้จริง และในแง่ที่คำนี้เข้าใจกันในสมัยโบราณ ความเรียบง่ายคือความเข้มแข็ง ความสมบูรณ์ ยกเว้นการแตกแฟรกเมนต์ใดๆ ความเป็นคู่ของอักขระ คำว่า "ง่าย" ตรงกันข้ามกับคำว่า "ซับซ้อน" ซึ่งมาจากกริยา "พับ" (พับ รวมส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน) บุคคลที่ซับซ้อนคือบุคคลที่ถูกแบ่งแยก ไม่เป็นระเบียบ มีการคำนวณ นี่คือบุคคลที่ถูกครอบครองโดยหนึ่ง สอง สาม และบางครั้งก็เป็นกองทหารปีศาจ ซึ่งแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ตัวละครเหล่านี้ปรากฏขึ้นสลับกันในคำพูด ความคิด และการกระทำของบุคคลที่ถูกปีศาจเข้าสิง (ที่เรียกว่าจิตสำนึกสลับกัน - จิตแพทย์) ดังนั้นเขาจึงมักจะไม่เข้าใจตัวเองในความสับสนวุ่นวายของแรงขับและอารมณ์นี้ และยิ่งกว่านั้นอีก คนอื่นไม่สามารถเข้าใจเขาได้ ในสมัยของเรา เราต้องจัดการกับกรณีที่ธรรมชาติสองประการที่อยู่ตรงข้ามกันโดยตรงอยู่ร่วมกันในคนๆ เดียว นี่เป็นรุ่นปกติของปีศาจที่เข้ามาอาศัยและเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของผลกระทบที่มีต่อจิตวิญญาณมนุษย์ ดังนั้น ความเรียบง่ายในการเข้าใจพระกิตติคุณคือความเป็นเอกลักษณ์ ความสมบูรณ์ของอุปนิสัย และด้วยเหตุนี้ การไม่มีอิทธิพลของปีศาจต่อบุคคล นี่คือสิ่งที่พระคริสต์ทรงเรียกเราเมื่อเขากล่าวว่า “จงฉลาดเหมือนงูและคนเขลาเหมือนนกพิราบ” ( แมตต์. 10, 16 ปี). ปัญญาซึ่งจำเป็นสำหรับคุณและฉัน พระเจ้าเท่านั้นที่ประทานให้ และเราต้องทูลขอจากพระองค์ตลอดเวลา ในทุกกรณี คุณควรถามพระเจ้าเสมอ: สอน, สอน, ให้ความกระจ่าง และถ้าจำเป็น ให้แก้ไข

หากเราเดินไปตามเส้นทางนี้ ปัญหาภายนอกทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการติดต่อกับผู้อื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ซึ่งยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ) ก็จะหายไปเอง ราวกับคราบเลือดแห้งจากบาดแผลที่หายแล้ว

บทสนทนาที่ 3 อย่าหยุดสู้

จุดประสงค์ของการมาเยือนของพระเจ้า สองสภาวะของจิตใจ จะทนต่อการโจมตีของศัตรูได้อย่างไร ต่อสู้เพื่อสวดมนต์ จงร่าเริงเบิกบานและใจดี

เป็นการดีที่คุณไม่ลังเลที่จะบอกเกี่ยวกับสถานะผิดปกติทั้งสองที่ติดตามกัน ฉันสามารถพูดเกี่ยวกับพวกเขาได้ อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิตของเขา (และบางครั้งมากกว่าหนึ่งครั้ง) พระเจ้าก็ทรงเปิดเผยพระองค์เอง ทรงสำแดงพระองค์เอง ทรงสำแดงความช่วยเหลือและพละกำลังที่แท้จริงของพระองค์ ช่วยให้เข้าใจและรู้สึกว่าบุคคลควรเป็นอย่างไร เช่น ราวกับว่าเขาชี้ให้เห็นเป้าหมายของการทำงานกับตัวเอง และจากนั้นก็ปล่อยให้เขายังคงอยู่ในคุณสมบัติที่น่าสังเวชซึ่งบุคคลนั้นยังคงอยู่เนื่องจากบาปของเขาอันเนื่องมาจากการไม่แก้ไข ยิ่งกว่านั้น ทุกคนก็เลือกว่าจะไปทางไหน หากบุคคลใดยังไม่รู้จักพระเจ้า การมาเยี่ยมเยียนจากพระเจ้าทำให้เขาคิดว่า จะยอมรับพระองค์และพระบัญญัติของพระองค์หรือไม่ ผู้สร้างละทิ้งการเลือกระหว่างการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งหรืออย่างอื่นโดยบุคคล หลายคนปฏิเสธพระเจ้าอย่างมีสติ: “แล้วถ้าพระองค์ทรงดำรงอยู่ ข้าพระองค์จะสนใจพระองค์อย่างไร? ฉันไม่ต้องการที่จะดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระองค์ มันจำกัดเสรีภาพของฉัน ฉันต้องการอยู่ตามความประสงค์ของฉัน อย่างที่ฉันต้องการ!” แต่ในกรณีของคุณ จุดประสงค์ของการมาเยือนของพระเจ้านั้นแตกต่างออกไป เนื่องจากท่านเป็นผู้ที่ลงมือบนหนทางและกำลังก้าวแรกในเรื่องความรอด พระเจ้า ทรงเห็นความชั่วร้ายที่ครอบงำท่าน (ดังที่ท่านกล่าว): “ความจองหอง การบ่น การประณาม ความไม่พอใจ ความตะกละ ฯลฯ ” แสดงให้คุณเห็นจากประสบการณ์ส่วนตัวของคุณ: คุณเป็นอะไรได้บ้างและคุณจะรู้สึกอย่างไร ถ้าด้วยความช่วยเหลือจากการทำงานเพื่อตัวคุณเอง คุณจะเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพผ่านการได้มาซึ่งพระคุณของพระเจ้า คุณจำได้ไหมว่าคลื่นของการระคายเคืองและความไม่พอใจลดลงในจิตวิญญาณซึ่งถูกทำให้เชื่องโดยพระหัตถ์ของพระเจ้าความเงียบมาในสภาพอากาศที่สดใส? คุณจำได้ไหมว่าจุดแข็งที่ดูเหมือนจะป้องกันตัวเองจากการรับประทานอาหารลับๆ หรือลุกจากเตียงได้ทันเวลาจากที่ไหนสักแห่ง? จดจำความเข้าใจใหม่ที่มีชีวิต ความรู้สึกใหม่และการรับรู้ของการสวดอ้อนวอนแบบเก่าและการรับใช้ ราวกับม่านหลุดจากตา และสิ่งที่คนเคยได้ยินมาก่อนเท่านั้น บัดนี้ได้เห็นและรู้สึกอย่างครบถ้วนแล้ว แม่ของฉันที่นี่ พระคุณของพระเจ้าฟื้นความรู้สึกของเราอย่างไร แข็งกระด้างภายใต้เปลือกของบาป นั่นคือสันติสุขของพระคริสต์ที่สัมผัสได้จากจิตวิญญาณซึ่งพระคุณของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ชำระแล้ว! ตอนนี้คุณรู้ด้วยตัวเองและคุณรู้จุดประสงค์ที่พระเจ้าพระองค์เองทรงแสดงให้คุณเห็นในปรากฏการณ์นี้

จากนั้นพระเจ้าก็ยินดีที่จะแสดงให้คุณเห็นผ่านประสบการณ์ของคุณเองถึงสถานะของจิตวิญญาณที่มืดมนด้วยอิทธิพลของปีศาจที่มีอำนาจเหนือวิญญาณของคนบาป และยิ่งบาปมากเท่าไร พลังของเขาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น จิตวิญญาณที่มืดมน เกียจคร้าน และหนักอึ้งมากขึ้นเท่านั้น มันกลายเป็นความรู้สึกไวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จิตใจไม่รับรู้สิ่งใด ๆ ฝ่ายวิญญาณ ความรู้สึกราวกับว่าตายไปแล้ว

ดังนั้น ก่อนที่คุณจะเป็นสองเส้นทาง สองเป้าหมาย สองสภาวะสุดท้ายของจิตวิญญาณ พระเจ้าให้ทางเลือกแก่คุณ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือสภาวะแรกที่ได้รับพรของจิตวิญญาณนั้นเกิดขึ้นได้จากการทำงานอันยิ่งใหญ่ น้ำตา และการเสียสละ ในขณะที่ขั้นที่สองจะมาเอง คุณเพียงแค่ต้องโบกมือและหยุดต่อสู้กับตัวเองด้วยบาปของคุณ กับ "คนแก่" ของคุณ แต่เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายใหญ่ ก่อนอื่นคุณต้องเรียนรู้ที่จะตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ อย่างที่เป็นอยู่ตรงกลางในขั้นตอนต่าง ๆ ของเส้นทางจิตวิญญาณของคุณและไม่พอใจกับสิ่งที่บรรลุแล้ว ก้าวต่อไปและต่อไป

บางครั้งมีคนรู้สึกว่าถูกศัตรูโจมตีจนไม่สามารถอธิษฐานได้ แต่ถึงกระนั้นคุณก็ไม่สามารถสิ้นหวังได้ ยังไงก็ตามแม้ว่าจะอ่อนแอ แต่ก็ยังเป็นอาหารเหมือนหนู: "ท่านเจ้าข้าอย่าจากไป ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงละเว้นการสร้างของพระองค์ พระเจ้าสงสารฉัน; ช่วยด้วย ราชินีแห่งสวรรค์!” ดังนั้น จงส่งเสียงดังเอี๊ยดสุดกำลังของคุณ รอความช่วยเหลือและอดทนต่อการโจมตี ราวกับว่าตกลงไปที่ด้านล่างของร่องลึก มันไม่เกี่ยวกับการต่อสู้ เพื่อรอ แต่มีชีวิตอยู่ - ไม่เป็นไร! หลังจากนั้นไม่นาน ความช่วยเหลือของพระเจ้าจะมาแน่นอน และการจู่โจมของศัตรูก็สงบลง คุณควรเริ่มละหมาดทันทีและค่อยๆ กลับไปที่แวดวงก่อนหน้า ดังนั้น การลุกขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากการล้ม คุณต้องคลานไปข้างหน้า ทั้งหมดนี้ใช้กับการนอนหลับและอาหารด้วย สิ่งสำคัญคืออย่าหยุดการต่อสู้ และหากคุณจำเป็นต้องถอยทัพชั่วคราว ทันทีที่ความช่วยเหลือมาถึงทันเวลา ให้ดำเนินการโจมตีอีกครั้งในทันที แต่ที่นี่ก็เช่นกัน ต้องใช้ความระมัดระวัง มันอันตรายที่จะหักโหมในเรื่องจิตวิญญาณ - นี่มาจากศัตรู ตัวอย่างเช่น ผู้เริ่มต้นไม่ควรบังคับตัวเองให้นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง คุณต้องกินให้มากเท่าที่จำเป็นเพื่อไม่ให้รู้สึกอ่อนแอระหว่างออกกำลังกาย งานเยอะก็ต้องกินให้อิ่ม แต่อย่ากินเยอะ

ตอนนี้เกี่ยวกับการอธิษฐาน คุณอาจจำได้ว่าก่อนหน้านี้ เมื่อคุณมาที่วัดของเรา ฉันมักจะพูดว่าการอธิษฐานเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดในการรับพระคุณของพระเจ้า ด้วยการสะสมของพระคุณ โครงสร้างทางจิตวิญญาณทั้งหมดของบุคคลเปลี่ยนแปลงไป: เจตจำนง, จิตใจ, ความรู้สึก, ความทรงจำของเขา พวกเขาได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และตรัสรู้ภายใต้อิทธิพลของพระคุณ เพื่อป้องกันสิ่งนี้ ปีศาจพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหย่านมคนจากการอธิษฐาน หรืออย่างน้อยก็รบกวนเขาในเรื่องนี้ตลอดเวลา ตลอดชีวิตฉันต้องต่อสู้เพื่ออธิษฐาน พยายามเพื่อตัวเอง เท่าที่พระเจ้าประทานกำลัง จำเป็นต้องสอนตัวเองเท่านั้นไม่ใช่แค่การอธิษฐาน แต่ต้องอธิษฐานอย่างตั้งใจ การศึกษานี้ ก็เหมือนกับการศึกษาอื่นๆ ที่มีงานเยอะ แต่สำหรับเราคือ ในการศึกษาทางจิตวิญญาณนั้นยากกว่า: ศัตรูเข้ามายุ่ง ถึงกระนั้น คุณต้องอธิษฐานอย่างระมัดระวัง มีเพียงคำอธิษฐานดังกล่าวเท่านั้นที่สร้างการเชื่อมต่อที่มองไม่เห็นระหว่างจิตวิญญาณที่มีเหตุผลกับพระเจ้า ขอบคุณเธอ เราได้รับน้ำหนึ่งหยดตอบแทนจากพระองค์ดังมาจากแหล่งน้ำดำรงชีวิต คุณยังไม่ต้องเข้าสู่หัวใจด้วยการอธิษฐาน ไม่เช่นนั้น คุณจะตกอยู่ภายใต้การยั่วยวนของปีศาจ เช่นเดียวกับสามเณรที่ไม่มีประสบการณ์ เรียนรู้ที่จะอธิษฐานอย่างตั้งใจด้วยความคิดของคุณ แล้วเราจะเห็น

อย่ายอมแพ้ต่อความกลัว - นี่คือศัตรูจงร่าเริงร่าเริงและใจดีขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าอย่างต่อเนื่องและการขอร้องจาก Theotokos ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

บทสนทนาครั้งที่ 4 วิธีจัดการพฤติกรรมของคุณ?

เกี่ยวกับ "เสน่ห์" ใครจะปลุก "เจ้าเสน่ห์" ได้บ้าง? ปีศาจ "ภัณฑารักษ์" หล่อหลอมความภาคภูมิใจในตนเองและรูปแบบพฤติกรรมของเราอย่างไร เกี่ยวกับการแก้ไขวิญญาณด้วยวิธี "การเขียนโปรแกรมทางจิตวิญญาณ" คำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับการใช้วิธีการเพื่อพัฒนาความอ่อนน้อมถ่อมตน วิธีการพัฒนาเจียมเนื้อเจียมตัว

ขอบคุณพระเจ้า ที่รัก สำหรับความจริงที่ว่าคุณยังคงมีทัศนคติที่สำคัญต่อสภาพทางวิญญาณของคุณ ไม่มีทางอื่นที่จะเรียกสิ่งนี้ว่าพระคุณของพระเจ้า ความจริงก็คือว่าโดยปกติด้วย "โรค" ที่คล้ายคลึงกันซึ่งมีอาการคล้ายกับคุณ ผู้คนจะสูญเสียความสามารถในการมองเห็นตนเองจากภายนอกโดยสิ้นเชิง สูญเสียความสามารถในการวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง สภาพที่น่าสังเวชนี้เรียกว่า "เสน่ห์" และแสดงถึงการล่อลวงมารโดยจินตนาการถึงข้อดีของตัวเองหรือความชอบธรรมหรือความไม่ผิดพลาด แต่โดยทั่วไปแล้วจะแสดงให้เห็นถึงความเย่อหยิ่งที่ไม่เห็นแก่ตัวซึ่งไม่มีใครและไม่มีอะไรสามารถสั่นคลอนได้ สถานะนี้เรียกอีกอย่างว่าความตายทางวิญญาณประเภทหนึ่ง แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะช่วยบุคคลที่พัวพันกับตาข่ายแห่งความเย่อหยิ่งและไม่เห็นสิ่งนี้ เขาไม่ได้และไม่สามารถมีอำนาจอื่นใดนอกจากตัวเขาเอง ความหวังเดียวยังคงอยู่ในพระเจ้าเท่านั้น ผู้เท่านั้นที่สามารถทำให้ผู้เคราะห์ร้ายสงบลงได้ แต่สิ่งนี้เป็นไปได้ตามกฎเท่านั้นผ่านความเศร้าโศกอันยิ่งใหญ่เท่านั้น หากพวกเขาไม่ตกอยู่กับบุคคล เขาจะกลายเป็นแหล่งของความทุกข์ทรมานอย่างต่อเนื่องสำหรับคนรอบข้าง และตัวเขาเองไม่เห็นหรือรู้สึกนี้ การปรากฏตัวของเขาเพียงอย่างเดียวอาจส่งผลกระทบที่น่าสลดใจกับคนที่อยู่ใกล้ๆ อย่าให้พวกเรามานะเจ้าหนู!

โรคเริ่มต้นจากระยะไกลจากจุดเล็ก ๆ ด้วยความเห็นแก่ตัวแบบเด็ก ๆ ซึ่งไม่พบการต่อต้านทั้งภายในเด็กหรือจากพ่อแม่และคนอื่น ๆ ที่หยั่งรากอย่างแน่นหนาในลักษณะของบุคคลเติบโตไปพร้อมกับเขาดังนั้น มากเท่ากับที่ปีศาจ-“ภัณฑารักษ์” ซึ่งฝึกฝนและรดน้ำต้นไม้แห่งความภาคภูมิใจในตอนแรก คุณสามารถหยุดพักได้ ตอนนี้ต้นไม้ที่แข็งแรงแล้วเติบโตและพัฒนาด้วยตัวเองในที่สุดผลไม้ก็ปรากฏขึ้น: ความคิดเห็นที่สูงมากของตัวเอง, การไม่สามารถทนต่อคำพูดของใครบางคน, ความหงุดหงิด, การทะเลาะวิวาท, การเยาะเย้ยข้อบกพร่องของคนอื่น, การวิพากษ์วิจารณ์ผู้เฒ่าผู้แก่และความจำเป็น ( บางครั้งอุปถัมภ์) น้ำเสียงที่สัมพันธ์กับน้อง ดังที่ประสบการณ์ได้แสดงให้เห็น เป็นเรื่องยากสำหรับคนเช่นนั้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขามีพรสวรรค์ด้วย) ที่จะมาหาพระเจ้ามากกว่าใครๆ

แต่ตอนนี้ ด้วยความเมตตาที่ไม่อาจเข้าใจได้ของพระเจ้า คนๆ นี้มีโอกาสที่จะรู้ความจริง และยกตัวอย่างเช่น เขาไม่ปฏิเสธมัน โดยรีบเร่งด้วยหัวใจของเขาไปยังแหล่งที่มาของความจริง ความดี และความรักทั้งหมด - ถึงพระเจ้า จากนั้นความจริงของพระเจ้าก็เปิดตาของเขาให้เห็นความหมายของการเป็นและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนั้น (ในการเป็นอยู่) ทำให้เขามีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับความดีและความชั่วเท่านั้นไม่ใช่จากมุมมองของความซับซ้อนทางวิทยาศาสตร์ของโลก แต่โดยตรงจาก พระเจ้า. จากนั้นเขาก็เริ่มมองเห็นและประเมินตนเองอย่างถูกต้องเท่านั้น ที่นี่เป็นที่ที่ห้วงลึกแห่งการล่มสลายเปิดให้เขา - และไม่ใช่แค่ตัวเขาเองเท่านั้น เพราะในตัวของเขาเอง เขาสามารถเข้าใจและสัมผัสถึงการล่มสลายของมนุษยชาติโดยรวม นี่คืองานที่คุณต้องเสียเหงื่อ แต่ตัดสินใจว่า: ออกจากขุมนรก นี่คือสิ่งที่ผู้สร้างคาดหวังจากเรา แต่งานนี้ไม่ได้รับการแก้ไขในหนึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งปี เพราะความบาปได้กลายเป็นคุณสมบัติของอุปนิสัย กล่าวคือ ปฏิกิริยาต่อสิ่งแวดล้อมที่มีรูปแบบเป็นนิสัย หรือการกระทำที่กระทำเกือบโดยอัตโนมัติโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้เป็นผลจากการทำงาน ซึ่งต้องขอบคุณ "ภัณฑารักษ์" ปีศาจที่ฝึกฝนเราเป็นเวลาหลายปีเหมือนอย่างสุนัขของ Pavlov ที่พัฒนาขึ้นในตัวเรา (ไม่เลวร้ายไปกว่าสุนัขที่มีชื่อเสียงตัวนั้น) ซึ่งสะท้อนถึงรูปแบบพฤติกรรมที่เหมาะสม เช่นเดียวกับการประเมินตนเองบางอย่าง

ขอบคุณพระเจ้า! คุณค่อยๆ ลืมตาฝ่ายวิญญาณให้กับตัวเอง อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นการดีที่จะเห็นคุณสมบัติที่ไม่ดีของคุณด้วยจิตใจ แต่ก็ไม่เพียงพอ ท้ายที่สุด เพื่อที่จะได้รับความรอด คุณต้องต่อสู้เพื่อแก้ไขจิตวิญญาณของคุณ ลักษณะนิสัย และนิสัยของมันด้วย นี่คือที่ที่คุณต้องแสดงแนวทางที่สร้างสรรค์ ใช้ความสามารถด้านการสอนทั้งหมดของคุณ และไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอก แต่กับตัวคุณเอง เพื่อพัฒนาวิธีการที่ยืดหยุ่นในการกำจัดลักษณะนิสัยที่เป็นบาป

ฉันแนะนำให้คุณใช้วิธีการจัดการกับข้อบกพร่องที่ได้รับการพิสูจน์แล้วดังต่อไปนี้ เรียกว่ามีเงื่อนไขว่าวิธีการของ "โปรแกรมทางจิตวิญญาณ" แต่อย่าลืมว่าต้องไม่เพียงแค่อ่าน แต่ต้องนำไปปฏิบัติอย่างดื้อรั้น ดังนั้น ให้เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการเตือนว่า “วันนี้ฉันควรประพฤติตัวอย่างไรในกรณีนี้และกรณีเช่นนี้ในวันนี้” ในเวลาเดียวกัน มีความจำเป็นต้องคิดล่วงหน้าถึงแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องในกรณีที่คุณรู้จักการล่อลวงและเตือนตัวเองถึงสถานการณ์ในชีวิตเหล่านั้นซึ่งแนวทางการดำเนินการนี้ควรนำไปใช้ในระหว่างวัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณต้องฝังโปรแกรมการกระทำในความทรงจำล่วงหน้าซึ่งตรงกันข้ามกับปฏิกิริยาที่ทำบาปโดยอัตโนมัติตามปกติของคุณ นี่จะเป็นการต่อสู้อย่างมีสติของคุณกับความบาปและด้วย "ปฏิกิริยาตอบสนอง" ที่ฝังรากลึกของพฤติกรรมบาป ซึ่ง "ภัณฑารักษ์" ปีศาจสอนเราทุกคนตั้งแต่วัยเด็กที่อ่อนโยนที่สุด ให้เราพิจารณาตัวอย่างที่เป็นประโยชน์บางประการของการประยุกต์ใช้วิธี “การเขียนโปรแกรมทางจิตวิญญาณ”

ฉันหวังว่าคุณคงตระหนักดีว่าเพื่อที่จะรักษา "ความเจ็บป่วย" ที่รุนแรงและแพร่หลายอย่างความภาคภูมิใจ นักบุญ บรรพบุรุษได้เสนอวิธีที่จะตัดความประสงค์ของพวกเขาให้สามเณรของตนเป็นยา เรามาลองรวมวิธีการขจัดความบาปที่มีมายาวนานหลายศตวรรษนี้เข้ากับวิธีการตั้งโปรแกรมข้างต้นกัน

เนื่องจากคุณพยายามยืนกรานในตัวเองอยู่เสมอ โดยพิจารณาว่าความคิดเห็นและแนวทางปฏิบัติของคุณถูกต้องที่สุด เพื่อต่อสู้กับการแสดงออกของความภาคภูมิใจนี้ คุณต้องจำและยืนยันความคิดต่อไปนี้ในใจ: “ในทั้งหมด กรณีที่ฉันต้องเลือกระหว่างความเห็นของตัวเองกับของคนอื่น ให้ชอบคนอื่นโดยไม่มีเงื่อนไขและทำตามที่พี่สาวต้องการในทุกกรณี ยกเว้นความคิดเห็นที่ขัดต่อพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าอย่างชัดเจน แน่นอนว่ามันจำเป็นที่จะต้องเครียดทั้งหมดของคุณ บีบตัวเองเป็นลูกบอล เหยียบคอของคุณ (เพื่อไม่ให้ขัดแย้ง) แต่ก็ยังบังคับตัวเองให้ทำสิ่งต่าง ๆ แม้ว่าตัวเลือกของคุณจะดีกว่าอย่างชัดเจน มุมมองทางธุรกิจ

จำไว้ว่า สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งที่คุณทำเพื่อความต้องการของครอบครัวนั้นเป็นเรื่องเล็ก ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดูสำคัญสำหรับคุณแค่ไหนก็ตาม พระองค์ทรงมองดูในทุกกิจการและความสัมพันธ์ของเรา (จำไว้ว่าพระวิญญาณของพระเจ้าแทรกซึมเราตลอดเวลา) อย่างแรกเลย ไปที่จิตวิญญาณ: แรงจูงใจอะไรชี้นำสิ่งนั้น วิญญาณจะได้รับประโยชน์จากงานหรือไม่? บ่อยครั้ง - และคุณรู้สิ่งนี้ - มันเกิดขึ้นที่คนๆ หนึ่งทำสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับคนอื่น แต่เขาทำมันด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยความไร้สาระ สิ่งนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เพราะมันนำจิตวิญญาณไปสู่ความพินาศ และในจักรวาลทั้งมวล ไม่มีอะไรมีค่ามากไปกว่าจิตวิญญาณ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความรอดของมัน แต่สำหรับพี่สาวคนนั้นดูเหมือนว่าถ้าเธอไม่ทำงานก็จะไม่มีใครทำดีเท่าที่เธอทำได้และด้วยเหตุนี้จะทำให้อารามล่มสลาย ... การหลอกลวงของปีศาจตามปกติ! เชื่อฉันเถอะว่า ถ้าบุคคลนี้ไม่ได้อยู่ในอาราม แม้ว่าเธอจะไม่มีตัวตนอยู่ในโลกเลยก็ตาม ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและจะดำเนินต่อไปตามปกติ และหากพระเจ้าพอพระทัยที่งานนี้สำเร็จ เราจะคิดได้อย่างไรว่าพระองค์จะไม่ทรงพบใครที่จะทำได้?

วิธีการเขียนโปรแกรมที่อธิบายข้างต้น อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วนั้น จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ที่จะตัดเจตจำนงของตัวเองออกไป ซึ่งในทางกลับกัน ก็ช่วยในการต่อสู้กับคุณสมบัติที่เป็นบาปของตัวละครที่แสดงออกมาผ่านเจตจำนงของตนเอง ความเห็นแก่ตัว ความภาคภูมิ โต๊ะเครื่องแป้ง บางทีในตอนแรกดูเหมือนว่าแม้ว่าจะมีประโยชน์มากกว่าสำหรับจิตวิญญาณ แต่ก็แย่กว่าสำหรับสาเหตุทั่วไป อย่างไรก็ตาม นี่เป็นข้อสรุปที่เร่งด่วน ทำตามที่ฉันบอกและรอ อีกสักครู่คุณจะเห็นเองว่าประโยชน์ที่แท้จริงคืออะไร

อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่การเชื่อฟังอาจส่งผลเสียต่อคุณได้ แต่ฉันรู้ว่าคุณสามารถประเมินตัวเองได้อย่างถูกต้องเพียงพอที่จะแยกแยะกรณีนี้ออกจากกรณีอื่นๆ ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน ฉันหมายถึงงานที่จะหล่อเลี้ยงและเติมพลังความภาคภูมิใจของคุณ นี่คือที่ซึ่งปัญญาและเจตจำนงจำเป็น! ไม่ว่ามันจะดูเย้ายวนและประจบประแจงแค่ไหน (คำสั่ง) คุณต้องหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลที่จะปฏิเสธโดยไม่ทำให้ผู้สอนขุ่นเคือง

หลังจากที่คุณเริ่มฝึกแบบฝึกหัดแรก (เพื่อตัดเจตจำนงของคุณ) คุณจะคุ้นเคยกับการจดจำวิธีปฏิบัติตนในสถานการณ์ที่อธิบายข้างต้น คุณสามารถเริ่มฝึกแบบฝึกหัดที่สองใน "วิธีการเขียนโปรแกรม" ได้

การฝึกความอ่อนน้อมถ่อมตน คนที่เจียมเนื้อเจียมตัวพยายามที่จะไม่โดดเด่น ไม่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น คนจองหองไม่ยอมทนกับสิ่งนี้ เขาพูดเสียงดัง ชอบพูดเกี่ยวกับตัวเอง ชอบล้อเลียนคนอื่น ในการสนทนาทั่วไป เขาจะแสดงความคิดเห็นของเขาเสมอ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกถาม เขาชอบที่จะชี้ให้เห็น แสดงความคิดเห็น ออกคำสั่ง

คนเย่อหยิ่งทนการเยาะเย้ยที่เกี่ยวข้องกับเขา ขี้งอล ขี้งอล แบกรับความขุ่นเคืองในใจมาช้านาน และเมื่อโอกาสมาถึง เขาจะแก้แค้นด้วยคำพูดที่เฉียบคมหรือใส่ร้ายป้ายสีเล็กน้อย ซึ่งทำให้ผู้กระทำผิดอับอาย ความเย่อหยิ่งมักเกี่ยวข้องกับความสงสัยในลักษณะที่บุคคลที่ถูกครอบงำนั้นเห็นความขุ่นเคืองในที่ซึ่งไม่มีเลย ด้วยความหลงใหลในปีศาจ ทั้งน้ำเสียง รูปลักษณ์ และท่าทางอาจดูน่ารังเกียจ คนเห็นแก่ตัวไม่ใส่ใจคนอื่นเพราะความสนใจของเขามุ่งไปที่ตัวเขาเท่านั้น เขาจะนั่งลงโดยไม่คิดว่าจะให้คนอื่นนั่งสบายหรือไม่ เขาจะเอาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองทิ้งสิ่งที่แย่ที่สุดให้คนอื่น เอื้อมมือไปหาบางสิ่งโดยไม่ต้องดูว่ามีใครรับไปหรือไม่ เป็นต้น

ดังนั้นเราจึงเริ่มออกกำลังกายด้วยการฝึกความจำในการจดจำประเด็นหลักของพฤติกรรม:

- ความคิดแรกในการท่องจำ (การเขียนโปรแกรม): “ถ้าฉันอยู่ท่ามกลางผู้คนหรืออย่างน้อยก็อยู่ร่วมกับคน ๆ เดียวฉันต้องดูแลไม่ให้เป็นภาระแก่พวกเขา (เขา); ไม่ยุ่งเกี่ยวอะไร ไม่โกรธ ไม่ตั้งใจ เช่น ฉันต้องเรียนรู้ที่จะคิดถึงความสะดวกสบายของผู้อื่นก่อนแล้วค่อยคิดถึงตัวเอง”

- ความคิดที่สองที่ต้องจำ: “เพื่อให้ชินที่จะไม่แสดงตัวเองไม่ใส่ใจคนอื่นในตัวเอง ฉันต้องเรียนรู้ที่จะไม่แสดงความคิดเห็นและความคิดของฉัน แม้ว่าฉันจะรู้สึกอยากพูดมาก (ยกเว้น - ถ้าขอเพื่อส่วนรวม) โดยทั่วไปแล้ว ฉันต้องเรียนรู้ที่จะเงียบ”

- ความคิดที่สามที่ต้องจำ: “ฉันต้องสังเกตตัวเองตลอดเวลาราวกับอยู่ด้านข้าง เพื่อรักษาความสุภาพเรียบร้อยในพฤติกรรม ฉันไม่สามารถ:

ก) มองดูหน้าด้าน

b) ตกแต่งคำพูดของคุณด้วยการแสดงออกทางสีหน้าและท่าทาง

ค) พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจในตนเองอย่างรุนแรง

d) ใช้ท่าทางที่มั่นใจในตัวเอง (นั่งไขว่ห้าง, ใช้กำปั้นพยุงด้านข้าง ฯลฯ )

โดยทั่วไปแล้ว ฉันต้องตรวจสอบความนุ่มนวลและความนุ่มนวลของน้ำเสียงของคำพูด การยับยั้งชั่งใจและความนุ่มนวลของการเคลื่อนไหวเล็กน้อย

เพื่อที่จะจดจำและระลึกถึงความคิดเหล่านี้ที่ควบคุมพฤติกรรมได้ทันเวลา คุณต้องเขียนมันออกมาในกระดาษอีกแผ่นหนึ่งและในตอนเช้า ตื่นจากการนอนหลับ อ่านอย่างระมัดระวัง บังคับตัวเองให้ท่องจำด้วยความพยายาม จากนั้นใส่กระดาษลงในกระเป๋าเสื้อผ้าของคุณและอ่านเป็นครั้งคราวในระหว่างวัน พยายามอีกครั้งด้วยความตั้งใจที่จะแนะนำพวกเขาในความทรงจำของคุณ การฝึกความคิดและความจำด้วยวิธีนี้ ในไม่ช้าคุณจะเรียนรู้ที่จะควบคุมพฤติกรรมของคุณ และนี่เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการเติบโตทางวิญญาณ

เราไม่ควรละสายตาจากคำแนะนำของนักพรตที่เป็นประโยชน์เช่นความจำเป็นในการลดหย่อนตนเอง กล่าวหาตัวเองว่าเห็นแก่ตัวและขาดการปฏิเสธตนเองเสมอเพราะนี่เป็นความล้มเหลวในการทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า: "ปฏิเสธตัวเอง" ลืมตัวเองเพื่อเห็นแก่ผู้อื่น "รับกางเขนของคุณ" ... ( แมตต์. 16, 24). คุณต้องทูลขอพระเจ้าให้ทรงรักษาจากความจองหอง ความหยิ่งทะนง การรักตนเองทุก ๆ ชั่วโมง และขอให้พระองค์ประทานความสามารถในการมองเห็นบาปของคุณเสมอ คำร้องเหล่านี้สามารถพูดกับตัวเองได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะแยกกันหรือเพิ่มคำร้องหนึ่งคำต่อท้ายคำอธิษฐานของพระเยซู นอกจากนี้ พยายามพูดคำอธิษฐานจากสดุดี 140 ซ้ำๆ ในระหว่างวันว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นผู้ปกครองด้วยปากของข้าพระองค์และประตูแห่งการป้องกันปากของข้าพระองค์”

คุณเห็นไหมว่างานที่สำคัญและยากนั้นจำเป็นต้องแก้ไข อย่ากลัวเลย เริ่มเลย แล้วพระเจ้าจะทรงช่วยคุณ

บทสนทนาครั้งที่ 5 ข้อบกพร่องของคนอื่นไม่ได้ทำให้เรารอดไม่ได้

พระสงฆ์ไม่บันทึกโดยอัตโนมัติ โรคจิตเภทคลั่งไคล้เป็นหนึ่งในรูปแบบของอิทธิพลของปีศาจ ปราศจากความสุขุม - ไม่ต้องสังเกตเครือข่ายของศัตรู วิธีป้องกันตัวเองจากการโจมตีของปีศาจ ในสถานะที่ได้รับพรปลอม แนวคิดของ "บรรทัดฐาน" ที่เกี่ยวข้องกับสถานะของวิญญาณ

เกี่ยวกับคุณและพี่สาวน้องสาวของเรา ฉันเป็นคนบาป ยังคงมีความเห็นว่าหนึ่งปีไม่เพียงพอสำหรับความกล้าหาญของสงฆ์ เป็นภิกษุสามเณรหรือสามเณรยังดีกว่าภิกษุณีที่ไม่ดี ฉันคิดว่าคุณมีประสบการณ์การสังเกตส่วนตัวของตัวเองอยู่แล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าตัวอย่างที่มีชีวิตนั้นทั้งชุดของพระสงฆ์หรือโทนเสียงโดยตัวพวกเขาเองไม่ได้ปรับปรุงบุคคลและช่วยชีวิตโดยอัตโนมัติอย่างที่บางคนคิดว่า: "พวกเขาแต่งกายด้วยชุดของพระสงฆ์ - และแก้ไขทันที " สำหรับหลาย ๆ คน พวกเขา (เสื้อคลุม) เป็นโอกาสของความไร้สาระ หากเราไม่เรียนรู้ความถ่อมตนอย่างลึกซึ้งก่อน (ไม่ใช่ภายนอก แต่ภายใน) หากเราไม่เรียนรู้ที่จะอดทนต่อความโศกเศร้า การกล่าวร้าย และความเกลียดชังทางกาย โดยปราศจากความตื่นตระหนก ความท้อแท้ และบ่นพึมพำ ก็ไม่มีอะไรภายนอก: ไม่ใช่ชุดดำของสงฆ์หรือ ความรู้เชิงทฤษฎีเกี่ยวกับวรรณกรรมเกี่ยวกับความรักใคร่จะช่วยเราให้พ้นจากบาป แม้กระทั่งในอาราม แต่สำหรับการสอนวิทยาศาสตร์นี้ (ผมหมายถึงความถ่อมตน) ปีเดียวไม่พอแน่นอน

ฉันจะยกตัวอย่างเพียงตัวอย่างเดียว: เมื่อดินทำความสะอาดก้อนกรวดและอนุภาคอื่น ๆ แล้วล้างด้วยเท้าอย่างทั่วถึง (12 ครั้งตามที่ช่างปั้นหม้อเก่าจากหมู่บ้าน Fomino บอกฉัน) จากนั้นจะวางบนล้อช่างหม้อเท่านั้น และให้มันมีรูปร่าง ช่างปั้นหม้อทุกคนรู้ดีว่าไม่มีอะไรดีมาจากดินเหนียวที่ไม่ได้เตรียมไว้

ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านจำคำพูดของนักพรตในสมัยโบราณและสมัยใหม่หลายคนว่าการมองเห็นบาปและสภาพทางวิญญาณโดยทั่วไปเป็นหนึ่งในของประทานที่สำคัญและจำเป็นที่สุดจากพระเจ้าเพื่อความรอด สำหรับฉันแล้วดูเหมือนว่าตัวคุณเองในที่สุดสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่รุนแรงซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้ง (เมื่อคุณทำงานในโรงอาหาร) - มันเป็นความเมตตาที่ชัดเจนของพระเจ้า คุณไม่เคยสังเกตสิ่งนี้มาก่อนใช่ไหม แน่นอน หลายคนให้ความสนใจกับอารมณ์ของคุณที่พุ่งปรี๊ดอย่างประหลาดนี้ แม้กระทั่งตอนที่คุณกำลังทำงานในอารามแห่งแรกของคุณ แต่คงไม่มีใครคุยกับคุณเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ด้านหลังคุณสังเกตเห็นปรากฏการณ์ที่คล้ายกันในอาราม N-sky ซึ่งพี่สาวน้องสาวรักคุณพยายามที่จะไม่สนใจคุณลักษณะที่ยากลำบาก (สำหรับหอพัก) นี้ ฉันขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ประทานโอกาสให้คุณได้พบเธอ เพื่อนของฉัน คือสิ่งที่ตัวคุณเองเรียกว่า "การเชื่อมต่อ" ข้อเท็จจริงที่ได้เห็นปรากฏการณ์นี้บ่งบอกว่าสิ่งต่างๆ ค่อยๆ ดำเนินไปอย่างราบรื่นสำหรับคุณ มันทำให้ฉันมีความสุขมาก

แน่นอนว่าอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนั้นเป็นปรากฏการณ์ทางพยาธิวิทยาที่เกิดจากอิทธิพลของปีศาจ เมื่อบุคคลหนึ่งอาศัยอยู่นอกคริสตจักร โดยไม่ได้รับความคุ้มครองที่เปี่ยมด้วยพระคุณในเซนต์. ศีลระลึกและคำอธิษฐานจากนั้นสัมผัสเบา ๆ ของปีศาจที่ก้าวหน้ากลายเป็นความผิดปกติร้ายแรงของทรงกลมทางอารมณ์ที่เรียกว่า MDP ในด้านจิตเวชนั่นคือโรคจิตคลั่งไคล้ซึมเศร้าโดยมีช่วงเวลาที่แตกต่างกันระหว่างระยะของการยกระดับ (ระยะคลั่งไคล้) หรือ อารมณ์หดหู่ (ระยะซึมเศร้า).

นี่เป็นสงคราม "พลังจิต" ที่ละเอียดอ่อนและแทบจะมองไม่เห็น ซึ่งศัตรูทำกับเรา ตอนนี้คุณเข้าใจหรือไม่ว่าเราต้องการความระมัดระวังมากแค่ไหน! เรียกในภาษาของนักพรตว่า "สติสัมปชัญญะ" คือ ให้ความสนใจกับตัวเองสภาพภายในของคุณ ความระมัดระวังอย่างสม่ำเสมอและระมัดระวังดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อที่จะสังเกตเห็นตาข่ายของศัตรูได้ทันเวลา จำเป็นต้องต่อสู้กับอิทธิพลของปีศาจด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน: ประการแรกต่อพระพักตร์พระเจ้า (ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้รับการยอมรับจากพระหัตถ์ของพระเจ้า) และประการที่สองความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อหน้าเพื่อนบ้านตลอดจนการอธิษฐานและการอ่าน (เมื่อเป็นไปได้) บทสดุดี - ปีศาจนี้ไม่ชอบ เราไม่ควรกลัวและตื่นตระหนก เพราะที่จริงแล้ว การรักษาไม่จำเป็นต้องมีสิ่งใดเป็นพิเศษ คุณเพียงแค่ต้องดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติ ดำเนินชีวิตตามพิธีกรรมของพระศาสนจักร อยู่กับพระเจ้า ค่อยๆ สะสมทุกปี พระหรรษทานของพระเจ้าจะปกป้องเรามากขึ้นเรื่อยๆ จาก “คำดูหมิ่นศัตรู” และเงื่อนไขเหล่านี้จะหายไปโดยพระคุณของพระเจ้า ราวกับว่าโดยตัวมันเอง

สภาพการขึ้นที่คุณพูดถึงทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในตัวฉันด้วย เป็นเรื่องดีที่คุณดูแลเขาอย่างดี ฉันต้องการยืนยันความถูกต้องของทัศนคติของคุณด้วยสารสกัดจากเล่มที่ 2 ของ St. Ignatia (Bryanchaninova): “ความรู้สึกร้องไห้และการกลับใจเป็นความต้องการเพียงอย่างเดียวสำหรับจิตวิญญาณที่เข้าหาพระเจ้าด้วยความตั้งใจที่จะรับการอภัยบาปจากพระองค์ นี่เป็นส่วนที่ดี! หากคุณเลือกเธอแล้ว เธอก็จะไม่ถูกพรากไปจากคุณ! อย่าแลกเปลี่ยนสมบัตินี้กับความรู้สึกว่างเปล่า เท็จ และสุขอย่างเห็นได้ชัด อย่าทำลายตัวเองด้วยการเยินยอ” (หน้า 125) “วิสุทธิชนทุกคนยอมรับว่าตนไม่คู่ควรกับพระเจ้า ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้สำแดงศักดิ์ศรีของตน ประกอบกับความถ่อมตน” (หน้า 126) “การเห็นบาปและการกลับใจซึ่งเกิดจากบาปนั้นเป็นวันแห่งการงานที่ไม่มีวันสิ้นสุดบนแผ่นดินโลก : การมองเห็น) การกลับใจจากบาปถูกกระตุ้น; การกลับใจนำมาซึ่งการชำระ ดวงตาที่ใสสะอาดของจิตใจเริ่มมองเห็นข้อบกพร่องและความเสียหายดังกล่าวในมนุษย์ทั้งหมด ซึ่งก่อนหน้านี้ ในความมืดมิด มันไม่ได้สังเกตเลย พระเจ้าข้า! ให้เราเห็นบาปของเรา เพื่อให้จิตใจของเราดึงความสนใจไปที่ข้อผิดพลาดของเราอย่างเต็มที่ เลิกมองเห็นข้อผิดพลาดของผู้อื่น” (หน้า 127)

ให้เราลองวิเคราะห์สาเหตุของสภาวะที่ไม่ปกตินี้ บางครั้งก็เกิดขึ้นที่ศัตรูจงใจ "เสียพื้น" ถอยกลับหยุดอิทธิพลกดดันวิญญาณด้วยความมืดและความไม่รู้สึก จากนั้นดูเหมือนว่าจะกลับสู่สภาพนั้นซึ่งควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นบรรทัดฐานสำหรับบุคคลและซึ่งเราผู้ไร้ความสง่างามพิจารณาบางสิ่งที่เหนือธรรมชาติ แต่ท้ายที่สุด นี่คือความรู้สึกของคนที่ทำงานหนักและพยายาม "ดิ้นรน" เพื่อให้ได้มาซึ่งพระคุณอย่างแท้จริง ทำไมในกรณีนี้ศัตรูออกจากสนามรบโดยไม่ต้องต่อสู้?. เพื่อให้วิญญาณมีความยินดีผ่อนคลายอ่อนแรงและสูญเสียการเฝ้าระวัง จากนั้นมันจะง่ายที่จะ "กระแทก" ด้วยการโจมตีของทหารม้าที่ไม่คาดคิด อย่างนี้ เพื่อนของฉัน เพราะถ้าไม่มีน้ำตามากมายและการทำงานฝ่ายวิญญาณมากมาย สภาพที่เรากำลังพูดถึงก็ไม่มาถึง

แต่ถึงแม้ศัตรูจะใช้กลอุบายอันฉลาดแกมโกงของ "ถอยหนึ่งก้าว แล้วก้าวไปข้างหน้าสองก้าว" เราสามารถหาประโยชน์สำหรับตัวเราเองจากไหวพริบของเขาได้ ด้วยความตื่นตัวที่คงอยู่ (และไม่ถูกหลอกโดยการโจมตีที่ไม่คาดคิดจากปีกขวา) เราจะเพิ่มพูนประสบการณ์ของเราด้วยความรู้ที่แท้จริงผ่านความรู้สึกของสถานะที่เราควรต่อสู้ดิ้นรน ความทรงจำเกี่ยวกับเขาในเวลาต่อมาจะเป็นสัญญาณสำหรับเรา ซึ่งแสดงให้เห็นทางผ่านทะเลที่โหมกระหน่ำ

ดังที่คุณเห็น พระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของเรา เพียงคุณเท่านั้นที่ไม่สูญเสียความระมัดระวังเกี่ยวกับสภาพภายในของคุณและไม่สนใจข้อบกพร่องของพี่สาวน้องสาวซึ่งคุณต้องสามารถครอบคลุมด้วยความรักและอดทนด้วย ความอดทน. ข้อบกพร่องของคนอื่นไม่สามารถป้องกันเราจากการช่วยตัวเองได้

สนทนาครั้งที่ 6 เพื่อแย่งชิงวิญญาณจากอำนาจของปีศาจ

เปลือกนรก ผู้ตื่นตระหนกจะจมลงในแอ่งน้ำตื้น วิธีปฏิบัติตนเมื่อถูกปีศาจโจมตี หากปีศาจกังวล นี่เป็นสัญญาณที่ดี วิธีเลิกเป็น “อพาร์ตเมนต์ส่วนกลาง” สำหรับปีศาจ วิธีการป้องกันบางอย่าง

ฉันจะพูดว่าเกี่ยวกับความกังวลของคุณเพื่อนที่รัก แต่คุณเพียงแค่พูดตื่นตระหนกและกลายเป็นเหมือนผู้โชคร้ายที่ผู้เผยพระวจนะเดวิดพูดว่า: "คุณกลัวความกลัวที่นั่นไม่มีความกลัว" ( ป.ล. 13.5), เช่น. หวาดกลัวในที่ซึ่งไม่มีอะไรต้องกลัว สงครามปกติสำหรับจิตวิญญาณของคุณเพิ่งเริ่มต้น ไม่ได้ซ่อนเหมือนเมื่อก่อน ในโลก แต่เปิดกว้าง คุณตกอยู่ภายใต้ปลอกกระสุนธรรมดาที่ปีศาจกำลังยิงคุณจากก้นบึ้งของนรก และรู้สึกหดหู่ทันที นั่นคือนักรบ! ทำได้ดีมาก!

ความหมายของการอยู่ในอารามของคุณคืออะไร หากคุณไม่ได้มาต่อสู้และในการต่อสู้ที่ยากลำบากนี้เพื่อแย่งชิงจิตวิญญาณของคุณจากพลังของปีศาจ? ท้ายที่สุด จนกว่าเราได้รับพระคุณ พวกเขามีโอกาสที่จะมีอิทธิพลไม่เพียงแต่ในความคิด ความคิด และความทรงจำของเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรู้สึกและความรู้สึก ทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณด้วย! จำไว้ว่าคุณได้ยินจากฉันหลายครั้งเกี่ยวกับความเป็นไปได้มหาศาลของปีศาจ (เนื่องจากขาดความสง่างามของเรา) และการต่อสู้อย่างไร้ความปราณีเพื่อจิตวิญญาณของเรา แม้ว่าคุณจะเป็นเจ้าอาวาสในอารามของเราก็ตาม

ตามกฎแล้วในครั้งแรกหลังจากเข้าสู่อารามแล้วพระเจ้าจะทรงรักษาผู้มาใหม่ราวกับว่าอยู่ในพระหัตถ์ขวาของพระองค์ไม่อนุญาตให้ศัตรูล่อลวงพวกเขาอย่างรุนแรง เมื่อพวกเขารู้สึกสบายตัวและคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่สำหรับพวกเขา ผู้คน กิจวัตรประจำวัน และทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์จะทรงให้โอกาสพวกเขาในการต่อสู้กับศัตรูเพื่อความรอดโดยอิสระราวกับว่ากำลังถอยห่างออกไปบ้าง ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือเบื้องต้นจากพระเจ้าสำหรับผู้มาใหม่ ก็อาจจะไม่มีใครยังคงอยู่ในอาราม: ปีศาจจะขับไล่ทุกคนออกไป - ความเกลียดชังที่มีต่อพระสงฆ์นั้นรุนแรงมาก

ตอนนี้คุณได้เข้าสู่ช่วงใหม่แล้ว - ขั้นตอนของการต่อสู้อย่างอิสระและ ... ผู้พิทักษ์! - สูญหาย. อาการง่วงนอน, ไม่รู้จักพอ, หงุดหงิด, ความคิดผิดประเวณีและความรู้สึก - ทั้งหมดนี้เป็นลูกศรของศัตรูซึ่งจะต้องขับไล่และไม่ต้องกลัว สู้ไม่ท้อถอย ฉันต้องการสร้างความมั่นใจและทำให้คุณพอใจเล็กน้อย: แม้แต่ความอดทนธรรมดา บวกกับการตระหนักรู้ถึงความอ่อนแอของตัวเอง ก็สามารถดับ "ลูกศรเพลิงของศัตรูเจ้าเล่ห์" เหล่านี้ได้ สาเหตุหลักที่ทำให้คนจมน้ำ แม้แต่คนที่ว่ายน้ำเก่ง ก็คือ เริ่มตื่นตระหนกเมื่อเท้าหลุดลงไปในหลุมใต้น้ำหรือตกลงไปในอ่างน้ำวน ความกลัวทำให้เจตจำนงและจิตใจเป็นอัมพาต ทำให้เกิดอาการเกร็งโดยไม่สมัครใจที่มีแต่แย่ลง สถานการณ์. ในที่สุดเมื่อหมดแรงและกลืนน้ำนักว่ายน้ำที่โชคร้ายก็ลงไปที่ก้นบ่ออย่างปลอดภัย แต่ทั้งหมดที่จำเป็นคือการสูดอากาศอย่างใจเย็นและดำดิ่งลงสู่ก้นกรวย และแม้ในระดับความลึก ก็ยังง่ายที่จะหนีจากมันและโผล่ออกมาอีกครั้ง อยู่นี่แล้ว ที่รัก หากคุณตื่นตระหนก คุณก็จะจมน้ำตายแม้ในแอ่งน้ำตื้น ที่ซึ่งนกกระจอกจะอาบน้ำหลังฝนตก ฉันพูดซ้ำอีกครั้ง: ใจเย็น ๆ อดทนและดำดิ่งลงสู่ก้นบึ้งเช่น แค่รอจนกว่าศัตรูจะเบื่อกับการยิงปืน ที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีอะไรพิเศษเพื่อชนะ - มีเพียงความสงบ ความอดทน และการอธิษฐานเท่านั้น และความจริงที่ว่าพวกเขากำลังแผดเผา - เพราะพวกเขาได้งานดังกล่าว ...

ส่วนความรู้สึกขุ่นเคืองในใจและในขณะเดียวกันก็มีความคิดฟุ้งซ่านระหว่างอธิษฐาน ความรู้สึกแปลกแยก และความรุนแรงภายนอก ราวกับถูกกดดันจากภายในเป็นความหยาบคาย ความอวดดี ความไม่รู้จักพอ และความรู้สึกทางสรีรวิทยาดังกล่าว เป็นไข้ปวดหัว - ฉันจะบอกว่าทั้งหมดนี้ฉันรู้ดี tk ได้ศึกษาไปทุกวิถีทาง ปัจจัยที่คุณอธิบายบ่งชี้ว่าปีศาจ (ได้โปรดอย่ากลัวเลย) ที่อาศัยอยู่ในตัวคุณเริ่มกระวนกระวาย หวาดกลัว และเริ่มตื่นตระหนกในตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าพวกมันจะดับมันด้วยวิธีใดก็ตาม อันที่จริงนี่เป็นปรากฏการณ์ที่น่ายินดีและบ่งชี้ว่าด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า คุณจะสามารถขับไล่ผู้เช่าที่ไม่ได้รับเชิญออกจากบ้านของคุณได้หากคุณจะบำเพ็ญตนอย่างถูกต้องและเปิดจดหมายของคุณถึงกลอุบายและการโจมตีของศัตรูอย่างตรงไปตรงมาและปราศจากความลำบากใจ

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ที่คล้ายคลึงกันซึ่งปรากฏระหว่างประสาทสัมผัสภายนอกคือ อิทธิพลของคาถาต่อผู้คนโดยพ่อมดกายสิทธิ์ (เช่น Tarasov, Kashpirovsky, Longo Chumak, Juna เป็นต้น) พูดถึงผลตรงกันข้ามของปีศาจ อาการเหล่านี้บันทึกช่วงเวลาที่วิญญาณชั่วร้ายเข้าสู่ร่างกายได้อย่างชัดเจน ในเวลาเดียวกัน พวกปิศาจก็ไม่สามารถยับยั้งตนเองจากความปีติยินดีอันรุนแรงเกี่ยวกับ "การขึ้นบ้านใหม่" ได้ บังคับให้ผู้เคราะห์ร้ายสั่นสะท้านและแกว่งไกว

ควรสังเกตว่าหลายคนที่เกิดและเติบโตในครอบครัวที่ไม่เชื่อในพระเจ้า และถึงกับแบกรับภาระจากกรรมพันธุ์ที่เป็นบาป ก็เหมือนคฤหาสน์ของขุนนางที่หันหลังการปฏิวัติโดยพวกบอลเชวิคให้กลายเป็น "อพาร์ตเมนต์ส่วนกลาง" ที่สกปรก ในกรณีของเรา แทนที่จะเป็นวิญญาณเดียว ซึ่งเดิมทีคฤหาสน์ (ร่างกายมนุษย์) นี้ถูกกำหนดโดยพระเจ้า แต่ตอนนี้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ตั้งถิ่นฐานที่เลวทราม - ปีศาจ แต่กลอุบายของปีศาจอยู่ในความจริงที่ว่าพวกเขาพยายามที่จะไม่ทรยศต่อการปรากฏตัวของพวกเขาในทางใดทางหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบุคคลนำไปสู่ชีวิตของผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า พวกเขามีอิทธิพลต่อจิตสำนึกของ "ผู้ป่วย" อย่างซ่อนเร้นและมองไม่เห็นด้วยความช่วยเหลือจากคำแนะนำทางจิตและการกระตุ้นทางสรีรวิทยา แต่ถ้าบุคคลซึ่งมีเจตนาจริงจังเริ่มดำเนินการบนเส้นทางแห่งความรอด (เช่น ตัดสินใจที่จะเริ่มแก้ไขชีวิตและชำระจิตวิญญาณของเขาให้บริสุทธิ์ บังคับตัวเองให้อธิษฐาน ทำงานในการเชื่อฟัง สอนตัวเองให้ถ่อมตนและเชื่อฟัง นั่นคือ พยายามจะ กำจัดบาปหลัก - ความเย่อหยิ่งและความเห็นแก่ตัว) จากนั้นปีศาจที่ได้รับบาดเจ็บและถูกเผาโดยพระคุณอันศักดิ์สิทธิ์ดึงดูดมนุษย์ด้วยการสวดอ้อนวอนแรงงานและการบรรเทาทุกข์ในตนเองรีบเร่งในความตื่นตระหนกจากความเจ็บปวดที่ลุกไหม้และทรยศต่อการปรากฏตัวของพวกเขา นี่คือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ครั้งสำคัญ - การขับไล่ผู้เช่าที่ไม่ได้รับเชิญออกจากบ้าน (ร่างกายของตัวเอง) นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในชีวิตฝ่ายวิญญาณสำหรับทุกคนที่ได้รับความรอด ซึ่งในกรณีที่บรรลุผลในทางบวก จะเปิดโอกาสให้บุคคลได้ก้าวหน้าต่อไปตามเส้นทางแห่งการทำให้บริสุทธิ์ การปรับปรุง และด้วยเหตุนี้การสะสม แห่งพระคุณของพระเจ้า เปรียบในข่าวประเสริฐเหมือนน้ำมัน ซึ่งหญิงพรหมจารีผู้เฉลียวฉลาดเตรียมไว้ก่อนการมาถึงของเจ้าบ่าวและการเริ่มต้นงานเลี้ยงสมรส หากกระบวนการขับไล่ไม่เสร็จสิ้นและผู้เช่าไม่ออกไป อย่างน้อยตลอดชีวิตที่เหลือก็จำเป็นต้องดูแลรักษาสิ่งที่พวกเขาทำได้สำเร็จและไม่ตกลงไปในหลุมลึกจนสามารถทำได้ ไม่ออกอีกต่อไป คุณสามารถช่วยตัวเองที่นี่ได้เช่นกัน (และคุณต้องช่วยตัวเอง) แต่นี่เป็นเส้นทางที่ยากลำบากของการล้มและการลุกฮืออย่างต่อเนื่อง หลายคนแบกกางเขนเช่นนี้และไม่ท้อถอย โดยวางใจในพระเมตตาของพระเจ้า สิ่งสำคัญคือการกลับใจ ผู้ที่ได้รับไม่มาก จะไม่ขอมาก และถ้าใครได้รับมาก ความต้องการก็จะสอดคล้องกัน

อาการที่เราพูดถึงข้างต้นคือ อาการปวดหัว มีไข้ อาการวูบวาบ อย่างที่ฉันได้กล่าวไปแล้วเป็นสัญญาณที่ดีว่าโรคนี้กำลังเข้าสู่วิกฤต การฟื้นตัวมักจะตามมาด้วยวิกฤต แนวทางของเขาจะต้องได้รับความช่วยเหลือ ขอคำแนะนำจากซิสเตอร์เอส. เกี่ยวกับวิธีจัดทริปไป Lavra หรือมากกว่านั้นไปที่ Chernigov Skete ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น ซึ่งพวกเขาจะไปพบปะกันทุกวัน เป็นการดีสำหรับคุณที่จะหารือด้วยการถือศีลอดนี้ และเมื่อพวกเขาทำพิธีศีลระลึก คุณต้องทูลขอพระเจ้าด้วยสุดใจตลอดเวลาเพื่อการปลดปล่อยและขับไล่ศัตรู คำขอนี้สามารถเพิ่มลงในคำอธิษฐานของพระเยซูในตอนท้าย และคำอธิษฐานเองก็สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องด้วยจิตใจก่อนและระหว่างศีลระลึก ไม่ต้องกลัวหรือเขินอายหากจู่ๆ ปีศาจก็กรีดร้องออกมา ในทางกลับกัน ให้เพิ่มคำอธิษฐานของคุณให้มากขึ้นไปอีก ในบางกรณีมันเกิดขึ้นพวกเขาออกมา ในสเก็ตอย่าพูดว่าคุณเป็นสามเณรสวมชุดธรรมดา

เมื่อคุณมาที่ศีลมหาสนิท จงสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าอย่างจริงจังเสมอเพื่อปลดปล่อยคุณจากปีศาจ ขอให้ขับไล่พวกเขา หากคุณสามารถหาโอกาสเช่นนี้ได้ ให้ลองใช้สถานที่และเวลาเหล่านั้นเมื่อคุณถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังอย่างน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อสวดอ้อนวอนอย่างตั้งใจต่อ “พระเยซู” ด้วยอารมณ์ที่สำนึกผิดและอ้อนวอนอย่างคร่ำครวญของจิตวิญญาณ อธิษฐานในที่สาธารณะเพื่อไม่ให้ตัวเองสนใจ

ไม่ว่าในกรณีใดคุณควรลดจิตใจลงในหัวใจคุณอาจได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงเพราะ คุณยังไม่พร้อมสำหรับมัน เมื่อคุณอยู่คนเดียว ให้สวดอ้อนวอนออกมาดัง ๆ แต่เงียบ ๆ เกือบจะเป็นเสียงกระซิบ ถ้าเป็นไปได้ ให้อ่านสดุดีให้บ่อยที่สุด ไม่น่ากลัวที่ทุกอย่างไม่ชัดเจน แต่ปีศาจของเขา (เพลงสดุดี) ไม่ชอบความสยองขวัญและนอกจากนี้จิตใจก็รู้แจ้งจากเพลงสดุดี - สิ่งนี้มีประสบการณ์ในทางปฏิบัติ คงจะดีถ้ามีเพลงสดุดีในกระเป๋าที่คุณสามารถพกติดตัวไปและอ่านได้ทุกที่ที่มีโอกาส อย่างน้อยก็เพียงเล็กน้อย แค่พยายามทำเพื่อคนอื่นอย่างสุขุมเพื่อไม่ให้ล่อใจใคร

เมื่อเนื้อหนังอักเสบ คุณสามารถขัดจังหวะการอธิษฐานได้ครู่หนึ่งแล้วหันไปหาพระเจ้าด้วยคำพูดของคุณเองโดยขอให้ดับ "โดยปลดปล่อยการลุกฮือของร่างกาย" ขอให้พระเจ้าขับไล่ปีศาจที่หายไปจากคุณ ชำระจิตใจของคุณจากความคิดปีศาจที่ไม่บริสุทธิ์ ปกป้องคุณด้วยเทวดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ชำระล้าง ปกป้อง รักษา ฯลฯ จำเป็นต้องอธิษฐานและถามในช่วงเวลาเหล่านี้ด้วยความตึงเครียดจนกว่าไฟจะดับลง คำขอเดียวกันนี้ควรส่งถึงพระมารดาของพระเจ้าและเทวดาผู้พิทักษ์ หลังจากพายุสงบลง คุณสามารถอธิษฐานต่อได้ ในการต่อสู้กับอสูรน้อยน้อย เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะไม่กินมากเกินไปและอย่านอนเกินความจำเป็นขั้นต่ำ ร่างกายที่ได้รับอาหารอย่างดีและพักผ่อนเพียงพอ เช่น ม้าป่าในฤดูผสมพันธุ์ แทบจะควบคุมไม่ได้

ในทางตรงกันข้าม การทำงานจนถึงจุดที่เหนื่อยล้าในการต่อสู้ครั้งนี้เป็นการดี รับประทานอาหารและพักผ่อนอย่างพอประมาณ เป็นสิ่งสำคัญมากที่คุณไม่มีบาปที่ไม่ได้สารภาพในบริเวณนี้ หากคุณอายที่จะพูดอะไรแบบนี้ในการสารภาพบาป ให้เขียนแล้วพยายามไม่จดจำบาปเหล่านี้ อย่าสิ้นหวังถ้าความสำเร็จไม่มาในทันที จงรู้ว่านี่เป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ คุณจะกลับใจก็ต่อเมื่อคุณล้มลง แต่จงอ่อนน้อมถ่อมตนต่อหน้าทุกคนอย่าประณามและอย่าบ่น ด้วยความถ่อมตนของคุณเท่านั้นที่สามารถระงับความโกรธของการโจมตีของปีศาจได้ เพื่อนเอ๋ย จงจำไว้เถิดว่าเราอยู่ในสงคราม

ช่วยเหลือพี่น้องสตรีโดยไม่ระคายเคือง แต่ด้วยความนอบน้อมถ่อมตนและความกตัญญู อย่าเศร้าโศกเกี่ยวกับการไม่มีความเศร้าโศก เพราะบาป ความทุพพลภาพ และความเจ็บป่วยของจิตวิญญาณควรเป็นความเศร้าโศกมากกว่าสำหรับคุณมากกว่าสถานการณ์ภายนอก

สนทนาครั้งที่ 7 การทรยศเริ่มต้นด้วยการตามใจตัวเอง

หากปราศจากการบังคับตนเอง ก็จะไม่มีความรอดสำหรับเรา วิธีที่พวกเขากลายเป็นรูปเคารพสำหรับตัวเอง ผู้ที่ไม่ตรึงกิเลสตัณหาของตนย่อมเป็นยูดาสอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่ควรทำเพื่อไม่ให้ขายพระคริสต์ อย่าพยายาม "ขโมย" ความสุข

ฉันชอบการร้องเพลงที่สงบและสวดอ้อนวอนในอารามใหม่ของคุณมาก ฉันยังชอบที่พวกเขาร้องเพลง Znamenny ในระหว่างการนมัสการทุกวัน มันฟังดูซาบซึ้งและสวดอ้อนวอนมาก แม้ว่าจะมีเพียงผู้เดียวที่ร้องเพลง โดยรวมแล้ว ฉันรู้สึกประทับใจกับอารามและพี่น้องเป็นอย่างมาก มีเพียง "ของเรา" บางคนเท่านั้นที่ทำให้ฉันผิดหวังหลังจากการแสวงบุญครั้งที่สองที่วัดของคุณ และความเศร้าโศกนี้เชื่อมโยงกับคุณ

พวกเขาบอกฉันว่าคุณหลบเลี่ยงการเชื่อฟังและเข้าห้องขังเพื่อนอนได้อย่างไร ความจริงที่ว่าคุณเกียจคร้าน แน่นอนว่าไม่ใช่ข่าวสำหรับฉัน แต่ฉันจะพูดอะไรได้ เราทุกคนต่างก็สังเกตเห็นความบาปนี้ในตัวเอง แต่ถึงกระนั้น คริสเตียนผู้ได้เลือกเส้นทางแห่งความรอดก็ไม่ควรที่จะตามใจตัณหาของเนื้อหนังของเขา ซึ่งถ้าไม่ถูกจำกัด แสวงหาแต่เพียงกิน นอนและไม่ทำอะไรเลย หรือทำแต่สิ่งที่พอใจเท่านั้น

เพื่อที่จะรอดจากบาปและความรุนแรงของปีศาจต่อเจตจำนงของเรา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบังคับตัวเราให้ต่อสู้กับเนื้อหนังและมารที่ทำให้เนื้อหนังอ่อนแอ คุณอาจจำพระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอดที่ว่าเฉพาะผู้ที่บังคับตัวเองให้ต่อสู้กับบาปเท่านั้นที่จะเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ ( แมตต์. 11, 12 ว)? และในต้นฉบับสลาฟคำว่า "การบังคับ" นั้นเขียนว่า "ความรำคาญ" - สิ่งเหล่านี้คือผู้ที่บังคับบังคับตัวเอง พี่ชายจะรอดได้อย่างไรโดยไม่บังคับตัวเองให้ทำตามที่ผู้อาวุโสมอบให้? คุณเป็นสาวกแบบไหนหลังจากนั้น? การปฏิเสธตนเองอยู่ที่ไหน การแบกกางเขนอยู่ที่ไหน การตรึงกางเขนของเนื้อหนังอยู่ที่ไหน “ด้วยกิเลสตัณหา” ( สาว. 5, 24)?! คุณจะแสดงให้พระเจ้าเห็นว่าคุณเป็นสาวกของพระองค์อย่างไร ถ้าคุณไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขทั้งหมดที่พระเจ้าชี้ให้เห็นว่าเป็นสัญญาณหลักของความรักและการเชื่อฟังพระองค์

พฤติกรรมของคุณบางครั้งทำให้ฉันคิดว่าคุณไม่ได้มาที่วัดเพื่อรักษาจิตวิญญาณของคุณ แต่เพื่อให้มีที่พักและอาหารโดยไม่รบกวนตัวเองมากเกินไป ถ้าฉันพูดถูก (พระเจ้า!) คุณจะมีชีวิตและความคิดเช่นนี้ที่ไหน! ดังนั้นสำหรับขนมปังบางทีคุณอาจจะรับใช้มารและคุณจะยอมรับตราประทับของเขา และแม้กระทั่งตอนนี้ หากพวกเขาสัญญาอะไรบางอย่างหรือขู่เข็ญ บางทีคุณอาจจะกลายเป็น "คนฉลาดแกมโกง" ในหมู่พี่น้อง? แต่การทรยศเริ่มต้นด้วยสิ่งเล็กน้อย พวกเขาค่อยๆ กลายเป็นยูดาส

สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในกรณีเหล่านั้นเมื่อบุคคลไม่ต้องการปฏิบัติตามพระบัญญัติ "ปฏิเสธตนเอง" จากนั้นเขาก็กลายเป็นไอดอลสำหรับตัวเอง จากนั้นเขาก็ทำตัวเป็นไอดอล ตามใจเนื้อหนังและความไร้สาระของเขา จากนั้นความคิดที่จะสูญเสียความสะดวกสบาย อาหาร หรือตำแหน่งในสังคมก็ทำให้เขาสยดสยอง จากนั้นเขาก็สามารถขายพระคริสต์และพี่น้องและมารดาของเขาได้ ผู้ที่ไม่ได้ปฏิเสธตัวเองซึ่งติดอยู่กับทุกสิ่งทางฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายวิญญาณไม่สามารถรอดได้ เพราะเขาจะต้องขายพระคริสต์สำหรับสตูถั่วเลนทิลอย่างแน่นอน ในการล่อลวงและการล่อลวง มีเพียงผู้ที่ตามพระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้นที่ปฏิเสธตนเอง ผู้ไม่ยึดติดกับชื่อเสียง เงินทอง อาหาร หรือมนุษย์ หรือปลอบโยน ผู้ซึ่งรักพระเจ้าด้วยสุดชีวิตจึงจะต้านทานได้ การล่อลวงและการล่อลวง เขาจะไม่กลายเป็นคนทรยศแม้ว่าเขาจะถูกคุกคามด้วยความตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาถูกลิดรอนตำแหน่งสูงหรือสัญญาว่าจะมีชีวิตที่น้อย

หากเราต้องการอยู่กับพระคริสต์ เราต้องจำพระวจนะของพระองค์ที่ตรัสกับอัครสาวกเปาโลไว้เสมอเมื่อเขาอ่อนแอ: “กำลังของเราถูกทำให้สมบูรณ์ในความอ่อนแอ” ( 2 คร. 12.9). ใครก็ตามที่ต้องการติดตามพระคริสต์ผู้ปฏิเสธตัวเองรู้สิ่งนี้เพราะเขารู้สึกถึงความช่วยเหลือจากพระเจ้าตลอดเวลาและสามารถทำซ้ำกับอัครสาวก: อ่อนแอแล้วแข็งแกร่ง” ( 2 คร. 12, 10).

ฉันขอให้คุณรวมตัวกันดึงตัวเองเข้าด้วยกันพยายามทำงานใด ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้คุณทำตามคำสั่งใด ๆ ไม่ใช่ตามที่บุคคลมอบหมาย แต่ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้เพื่อความรอดของคุณเอง จำคำพูดที่ว่า “ในโลกนี้ คุณจะมีความทุกข์ยาก แต่จงรื่นเริงเถิด เราพิชิตโลกแล้ว” ( ใน. 16, 33). ใช่ เราไม่ได้เข้ามาในโลกนี้เพื่อความสุข แต่เพื่อต่อสู้และเอาชนะความบาปและมาร อาวุธด้วยความอดทน ความเสียสละ และการอธิษฐาน ซึ่งเราสามารถขอความช่วยเหลือจากผู้สร้างได้

ความสุขที่ทุกคนใฝ่ฝันและพยายามหามาอย่างไร้ค่าในชีวิตนี้ (เพราะความสุขทางโลกในไม่ช้าจะจบลงด้วยความเศร้าโศกและความตาย) เราคริสตชนหวังว่าจะได้รับ (และสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง) ในชีวิตของ ยุคหน้า” ในขณะที่เราเชื่อและพูดถึงมันในลัทธิ อย่าพยายามขโมยความสุขเหล่านี้เลย - ความพยายามดังกล่าวจบลงอย่างไม่ดี ทำงานสักหน่อย อดทน แล้วคุณจะได้รางวัลที่คุณคาดไม่ถึง

บทสนทนาที่ 8 วิธีง่ายๆ นำไปสู่ขุมนรก

ความรอดโดยปราศจากการสวดอ้อนวอนเป็นยูโทเปียที่ไร้เดียงสา ทำไมจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะอธิษฐาน? การบำเพ็ญตบะเป็นสิ่งที่จำเป็นโดยที่ปราศจากความรอด การเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณบรรลุผลได้อย่างไร? เกี่ยวกับสาเหตุของอัมพาตจากพินัยกรรม ยาแก้อัมพาต ทำไมคนถึงเปลี่ยนไป? ในการต่อสู้กับไฮดราสองหัวของความเห็นแก่ตัว

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนเสมอว่าท่าน “อย่าหลุดจากคำปฏิญาณตน” ให้อย่าหันเหจากทางคับแค้นแคบไปสู่หนทางอันกว้างไกลแห่งความพอใจของเนื้อหนัง ไปสู่หนทางง่ายๆ ในการติดตามตัณหาซึ่งนำไปสู่ขุมนรก สู่ประตูนรกอันกว้างใหญ่ ใช่ แน่นอน ในยุคของเรามีผู้รอดน้อย แต่อยากให้คุณอยู่ท่ามกลางฝูงเล็กๆ นี้อย่างไร แม้จะไม่ได้อยู่แถวหน้า แม้จะอย่างน้อยก็อยู่ด้านข้าง แต่ก็ยังอยู่ในหมู่ผู้ที่ปฏิเสธไปแล้ว “กิเลสและตัณหา” แบกกางเขนของเขา ตามพระคริสต์ผู้ยิ่งใหญ่

ใครบ้างที่ไม่มีคำอธิษฐานสามารถดึงดูดพระคุณของพระเจ้ามาสู่ตัวเขาเองได้! หากแม้แต่สิ่งมีชีวิตทุกชนิด นกตัวเล็ก ๆ ทุกตัวในท้องฟ้า กบทุกตัวในหนองน้ำ "ทุกลมหายใจ" สรรเสริญพระเจ้า แล้วเราจะไม่ได้อธิษฐานต่อพระเจ้าผู้สร้างของเราได้อย่างไร “แต่ถ้าใครรู้” เอ็ลเดอร์อเล็กซานเดอร์จากเกทเสมนีสเกเตกล่าว “สิ่งที่ศัตรูพยายามทำให้คนหันหนีจากการอธิษฐาน การละเว้น และจากคุณธรรมโดยทั่วไป ว่าเขาพร้อมที่จะมอบสมบัติทั้งหมดของ โลกเพื่อสิ่งนี้!” (ดูชีวิตของเขา หน้า 43, M. , 1994) กล่าวอีกนัยหนึ่งศัตรูพร้อมที่จะช่วยให้บุคคลหนึ่งเติมเต็มความปรารถนาทั้งหมดของเขาราวกับว่ากำลังบอกเขาว่า: "ทำสิ่งที่คุณต้องการเพียงแค่ไม่บังคับตัวเองให้อธิษฐานและละเว้น: กิน, ดื่ม, เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับ ทำได้ แต่กำแพงของอารามจะช่วยคุณได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม!”

แต่บิดาแห่งการมุสาก็เช่นเคย กล่าวเท็จ โดยยืนยันตรงกันข้ามกับที่พระคริสต์ทรงสอนว่า “ตั้งแต่สมัยของยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาจวบจนบัดนี้ อาณาจักรสวรรค์ก็ถูกยึดครองไป และคนที่ใช้กำลังก็ใช้กำลัง ” ( มัทธิว 11:12). ผู้อาวุโสชาว Athonite อีกคน Schema-Archimandrite Sophrony Sakharov นักเรียนของ St. ผู้เฒ่าสีหลวนกล่าวว่า “ตราบใดที่เราอยู่ใน “ร่างแห่งบาป” และด้วยเหตุนี้ในโลกนี้ การต่อสู้ของนักพรตกับ “กฎแห่งบาป” ที่ทำงานอยู่ในเนื้อหนังของเราจะไม่หยุด” (Archim. Sofroniy. เกี่ยวกับการอธิษฐาน หน้า 17, Paris, 1991) ผู้เฒ่าที่อาศัยอยู่ในยุคของเรา (เขาเสียชีวิตในปี 2536) ไม่รู้สภาพของโลกสมัยใหม่และมนุษยชาติหรือไม่.. เขารู้ดีและดีกว่านักจิตวิทยา นักสังคมวิทยา และจิตแพทย์หลายคน แต่เขาไม่เพียงแต่ไม่ยกเลิก การต่อสู้ แต่พูดถึงการต่อสู้กับ "ชายชรา" ของเขาตลอดชีวิตทางโลกของเราจนตายเอง

แน่นอนว่าบางครั้งเราท้อแท้ รู้สึกเย็นชาและไร้ปีกของการอธิษฐานของเรา ขอให้เราระลึกถึงคำพูดของผู้อาวุโสที่รับพรคนเดียวกันนี้: “หากการได้มาซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต้องใช้เวลาหลายปีในการทำงานหนัก การได้มาซึ่งการอธิษฐานก็ยิ่งใหญ่กว่าอย่างหาที่เปรียบมิได้” (ibid., p. 9) แต่เนื่องจากความกระวนกระวายใจของเรา เราไม่ต้องการที่จะอยู่ในสภาวะที่เจ็บปวดของการบังคับตัวเอง เมื่อคำอธิษฐานยังยากและเหนื่อยยากสำหรับเรา เราปรารถนาคำอธิษฐานที่เปี่ยมด้วยพระคุณและปลอบโยน ซึ่งมีแต่นักพรตที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้นที่มี “เส้นทางของบรรพบุรุษของเรา” คุณพ่อเขียน โซโฟรนี “ต้องใช้ศรัทธาที่แรงกล้าและความอดทน ในขณะที่คนในสมัยของเราพยายามที่จะคว้าของประทานฝ่ายวิญญาณทั้งหมด รวมถึงการไตร่ตรองโดยตรงของพระเจ้าผู้สมบูรณ์ด้วยแรงกดดันและในเวลาอันสั้น” (ibid., p. 196)

คุณลองนึกภาพออกไหมว่างานอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ต่อหน้าเรา: โดยใช้กำลัง การบังคับ พลังเพื่อเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า! งานนี้สูงกว่างานและเป้าหมายทางโลกทั้งหมด และเป็นไปได้ที่จะทำให้สำเร็จโดยผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในคุณสมบัติของจิตวิญญาณซึ่งถูกบาปบิดเบี้ยวด้วยความช่วยเหลือจากพระคุณของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความปรารถนาในการแก้ไขและความพยายามของเราในการต่อสู้กับความบาปทำให้จิตวิญญาณสามารถรับและรักษาพระหรรษทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ชำระให้บริสุทธิ์ได้ทั้งหมด ซึ่งเมื่อสิ้นสุดการต่อสู้ทางโลกจะหลั่งไหลลงมาบนเราอย่างล้นเหลือในอาณาจักร แห่งความรุ่งโรจน์ การไร้ความสามารถ ความไม่พร้อมของจิตวิญญาณที่จะรับรู้พระองค์บนโลกนี้ ไม่รวมความเป็นไปได้ที่จะได้รับพระหรรษทานของพระองค์ในอนาคต กล่าวคือ ในชีวิตนิรันดร์

การแก้ไขการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณเป็นกระบวนการที่ยาวนานบทบาทหลักในเรื่องนี้คือการสวดอ้อนวอนเป็นเวลาหลายปีและให้ความสนใจอย่างมีสติต่อสภาวะทางวิญญาณ “อธิษฐานหลายปี” คุณพ่อกล่าวต่อ Sophronius - เปลี่ยนธรรมชาติที่ตกสู่บาปของเรามากจนสามารถรับรู้การชำระให้บริสุทธิ์ผ่านความจริงที่เปิดเผยแก่เรา และนี่คือก่อนที่เราจะจากโลกไป (cf.: ใน. 17, 17)” (ibid., p. 189) ผู้เฒ่าผู้เฒ่าเขียนว่า “การยืนอธิษฐานอย่างไม่ฟุ้งซ่านหมายถึงชัยชนะในทุกระดับของการดำรงอยู่ตามธรรมชาติ เส้นทางนี้ยาวและเต็มไปด้วยหนาม แต่เมื่อถึงเวลาที่แสงจากสวรรค์จะตัดผ่านความมืดทึบและสร้างความก้าวหน้าต่อหน้าเรา ซึ่งเราจะเห็นที่มาของแสงนี้ จากนั้นคำอธิษฐานของพระเยซูก็ใช้มิติจักรวาลและจักรวาล” (ibid., p. 167)

ตอนนี้พวกคุณทุกคนเคยมีประสบการณ์จากประสบการณ์ของตัวเองแล้วว่าการผ่อนคลายที่เป็นบาปของจิตวิญญาณหมายถึงอะไร เฉพาะผู้ที่เริ่มบังคับตนเองซึ่งเริ่มต่อสู้กับบาปเท่านั้นที่จะเข้าใจสิ่งนี้ ในตอนนั้นเองที่ทุกคนรู้สึกว่าการต่อต้านของปีศาจรุนแรงเพียงใด ความตั้งใจของเราที่จะทำบาป และความรู้สึกผ่อนคลายและทำให้เจตจำนงของเราเป็นอัมพาต และสังเกตว่าในขณะที่พวกเขาดำเนินชีวิตตามที่ต้องการ ชีวิตทางโลกที่ไม่ใส่ใจและประมาท พวกเขาไม่ได้สังเกตว่าพวกเขาขาดเจตจำนง แต่ทันทีที่พวกเขาเริ่มการต่อสู้ ทั้งหมดนี้ก็ถูกเปิดเผยในทันที ความพ่ายแพ้ของเจตจำนง การทำให้เป็นอัมพาตของเจตจำนงเป็นผลมาจากการถอยกลับของพระคุณของพระเจ้าจากบรรพบุรุษสำหรับบาปแรกของการไม่เชื่อฟัง และพวกเราทุกคนซึ่งเป็นทายาทที่อยู่ห่างไกลของพวกเขาได้รับตราประทับแห่งความไร้ความปราณีของอาดัมและเอวาผู้ให้กำเนิดบุตรแล้วในสภาพไร้ความสง่างามนี้

แต่พระเจ้าไม่ได้ทิ้งประชากรของพระองค์ไว้จนถึงที่สุด พระองค์ประทานโอกาสให้เราสะสม (ได้รับ) พระคุณและด้วยเหตุนี้จึงทำให้เจตจำนงแข็งแกร่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทิ้งโอกาสอื่นไว้ด้วยความตั้งใจของเราเอง (เลือกระหว่างความดีกับความชั่วโดยสมัครใจ ) สูญเสียแม้แต่เศษเสี้ยวของพระคุณที่ยังคงอยู่ในตัวเรา และในที่สุดก็กลายเป็นทาสของบาป

ไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่รู้สึกถึงการขาดพระคุณ การผ่อนคลายของจิตวิญญาณ วิสุทธิชนผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนร้องไห้คร่ำครวญถึงเธอ เริ่มจากนักบุญ เปาโล ผู้ซึ่งพรรณนาถึงสภาพที่น่าสังเวชนี้ในลักษณะนี้: “ข้าพเจ้ามีความปรารถนาดี แต่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะทำได้ ความดีที่อยากได้ ฉันไม่ทำ แต่ความชั่วที่ไม่ต้องการ ฉันทำ” ( โรม. 7, 18-19). ที่นี่คือ รศ. เอฟราอิมแห่งซีเรียอุทานด้วยความสำนึกผิด:“ บาปกลายเป็นนิสัยเกี่ยวข้องกับฉันในการทำลายล้างอย่างสมบูรณ์แม้ว่าฉันจะตำหนิตัวเองและไม่หยุดสารภาพ แต่ฉันยังคงอยู่ในบาป ... ดูเหมือนว่าฉันถูกกองกำลังลับ อยากจะหนี แต่เหมือนสุนัขบนโซ่เหล็ก ฉันกลับมาที่เดิมอีกครั้ง บางครั้งฉันเกลียดชังความบาปและเกลียดชังความชั่วช้า แต่ฉันก็ยังตกเป็นทาสของกิเลส” ดังนั้นจึงควรสังเกตว่าทุกคน รวมทั้งผู้ที่ได้รับความเมตตาและความรอดจากพระเจ้า ล้วนประสบผลของกฎแห่งบาป กล่าวคือ ความคลาดเคลื่อนระหว่างความปรารถนาในความรอดกับความสามารถของเรา หรือมากกว่านั้น คือ การไม่สามารถพยายามเพื่อตนเองได้ และถ้าไม่ใช่ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า จะไม่มีใครได้รับชัยชนะจากการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ให้ใส่ใจกับคำของหลวงพ่อ เอฟราอิมชาวซีเรีย: “ข้าพเจ้าไม่หยุดสารภาพบาป” และ “ข้าพเจ้าเกลียดชังบาปและเกลียดชังความชั่วช้า” หากเราเพิ่มคำอธิษฐานเป็นเวลาหลายปีที่นี่ มันจะชัดเจนในวิธีที่ผู้คนอย่างเรา คนที่เหมือนกับเรา เอาชนะความอ่อนแอของเจตจำนง เกลียดชังความบาป ประณามตนเอง ล้มลง ลุกขึ้นเพื่อเริ่มต้นการกลับใจครั้งแล้วครั้งเล่าทุกวัน อธิษฐานต่อพระเจ้า (จะมีกำลังเท่าไร) เพื่อขอการให้อภัยและการรักษาจิตวิญญาณจากการเป็นอัมพาตของเจตจำนง และด้วยทั้งหมดนั้นอย่าปล่อยให้ความสิ้นหวังระลึกถึงตัวอย่างความอดทนอันไม่สิ้นสุดของหญิงม่ายผู้น่าสงสารซึ่งพระเจ้าตรัสไว้ในคำอุปมาที่มีชื่อเสียง ( ตกลง. 18, 1-7). นี่เป็นอีกหนึ่งคำกล่าวของอาร์คิม โซโฟรนี: “เป็นการช่วยให้เรารอดหากความเกลียดชังจากบาปเพิ่มพูนขึ้นในตัวเรา มิฉะนั้น เรากำลังตกอยู่ในอันตรายที่จะคุ้นเคยกับบาป ซึ่งมีหลายด้านและละเอียดอ่อนจนเรามักไม่สังเกตเห็นการมีอยู่ของมันในทุกการกระทำของเรา แม้แต่สิ่งที่ดูดี” (ibid., p. 190) ถึงพวกคุณทุกคนโดยไม่ล้มเหลว (ฉันขอให้คุณเติมเต็มมันเป็นพร) ฉันกำหนดให้อ่านบท "การมองเห็นบาปของคุณ" จากเล่มที่ 2 ของ St. Ignatius Bryanchaninov (หน้า 118)

ตอนนี้ฉันจะพยายามตอบคำถามเฉพาะบางข้อ

1. พี่สาวถาม: “มันน่ากลัวเมื่อคุณเห็นว่าคนที่เคยสนิทสนมเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงไปอีก ... คุณจะป้องกันตัวเองได้อย่างไรเพราะไม่มีใครประกัน”

- นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เลวร้ายจริง ๆ แต่คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความจริงที่ว่าในช่วงหลายปีที่เหลือในชีวิตของคุณ คุณจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีเหตุผลสองประการสำหรับสิ่งนี้เสมอ ไม่ใช่เหตุผลเดียว ประการแรก การกระทำบังคับของปีศาจ และประการที่สอง ความสมัครใจของตัวเอง สำหรับปีศาจในตอนแรกเท่านั้นที่เสนอและเกลี้ยกล่อม ตัวเขาเองเลือกว่าจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของพวกเขาหรือปฏิเสธข้อเสนอ นี่คือสิ่งที่หลวงพ่อ เอฟราอิมแห่งซีเรีย: “อนิจจา! ความชั่วร้ายจะนำฉันไปสู่บาป แต่เมื่อฉันทำบาป ฉันก็โทษซาตาน แต่วิบัติแก่ฉัน! เพราะตัวฉันเองเป็นต้นเหตุของบาปของฉัน มารร้ายจะไม่บังคับให้ฉันทำบาป ฉันทำบาปตามเจตจำนงเสรีของฉันเอง

แต่ตอนนี้ฉันจะบอกคุณถึงสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด ... เรามีประกัน 100 เปอร์เซ็นต์สำหรับการยั่วยวนและความตาย! นี่คือความอ่อนน้อมถ่อมตนและความยากจนทางวิญญาณ ซึ่งประกอบด้วย ในการซื้อประกันนี้ กล่าวคือ ความอ่อนน้อมถ่อมตนคุณต้องต่อสู้กับไฮดราสองหัวของความเห็นแก่ตัวของคุณเอง

หัวแรกของไฮดราแห่งความเห็นแก่ตัวคือความรักต่อจิตวิญญาณ หัวนี้กินผู้ที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโส รับรู้ว่าตนเองเป็นคนที่โดดเด่นและคู่ควรกับบางสิ่งที่มากขึ้นในอนาคตหรือแน่นอนเคารพไม่ว่าในกรณีใด บุคคลเช่นนี้สูญเสียการรับรู้ถึงโลกที่เพียงพออย่างรวดเร็ว สูญเสียการปฐมนิเทศในการประเมินตนเอง ผู้คนรอบตัวเขาและเหตุการณ์ต่างๆ ไว้วางใจในตัวเองหรือคนโกหกที่ประจบสอพลอ เกลียดการสอนที่ดี ไว้วางใจความคิดเห็นของเขา ประเมินเพื่อนบ้านจากเบื้องบนและประณามพวกเขา แพ้ การเคารพผู้มีอำนาจของศาสนจักร กลายเป็นผู้มีอำนาจที่สำคัญที่สุดสำหรับตัวเอง เกือบจะเป็นพระสันตปาปาแห่งโรม (“ผู้มีอำนาจที่เถียงไม่ได้”) เขารับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นก็ต่อเมื่อพวกเขาร้องเพลงตามเขา หงุดหงิด และไม่สามารถทนต่อความคิดเห็นที่ตรงกันข้ามได้ จำคำพูดที่ว่า “คนที่รักจิตวิญญาณของเขาจะทำลายมัน แต่ผู้ที่เกลียดชังจิตวิญญาณของตนในโลกนี้จะดำรงชีวิตนิรันดร์” ( ใน. 12, 25). หัวของไฮดรานี้กินผู้ที่รักความหลงใหลในจิตวิญญาณของพวกเขามากเกินไป: ความรักของพ่อแม่มากเกินไป, การสมรสหรือ "พี่น้อง" สำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือความหลงใหลในอาชีพการงานบางประเภทบ่อยครั้งมากขึ้นในงานศิลปะ (พวกเขากล่าวว่า: "เขาหมกมุ่นอยู่กับงาน กวีนิพนธ์” ); ประสบการณ์ที่ "สง่างาม" (อันที่จริงแล้วเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับพระเจ้า) ของพวกเขา

หัวที่สองของไฮดราแห่งความเห็นแก่ตัวคือความรักต่อเนื้อหนังของตน หัวนี้กินผู้ที่แม้ว่าพวกเขาต้องการได้รับการช่วยให้รอดจากการประณามนิรันดร์ แต่ไม่ต้องการปฏิเสธสิ่งใดในชีวิตชั่วคราวนี้ พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้: “ไม่มีใครสามารถรับใช้นายสองคนได้ เพราะ ... เขาจะกระตือรือร้นเพื่อนายคนหนึ่งและละเลยนายอีกคนหนึ่ง คุณไม่สามารถรับใช้พระเจ้าและทรัพย์ศฤงคารได้" ( แมตต์. 6, 24). เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับการช่วยให้รอดโดยไม่กดขี่เนื้อหนังของตน เพราะโดยกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง มารยังผูกวิญญาณไว้กับความสบาย ความเพลิดเพลิน และสิ่งดีๆ ของชีวิตนี้ ทำให้แทบจะลืมช่วงเวลาสั้นๆ และความหลอกลวง ทำให้วิญญาณได้ ผ่อนคลายมากขึ้น ยั่วยวน นำติดตัวไปชั่วขณะให้เต็มความเป็นไปไม่ได้ในการต่อสู้กับบาป แล้วยังเคยชิน (เหมือนนกแก้ว ซ้ำๆ ซากๆ) กับความคิดที่ว่าการต่อสู้นั้นไม่จำเป็นเลยไม่ใช่ว่าเขาพูดกัน , ได้เวลา.

2. พี่สาวกังวลว่าเธอถูกเยี่ยมเยียนด้วยความคิดที่โหดร้ายต่อพ่อแม่ของเธอซึ่งเธอจากไปเมื่อไปที่วัด

– แต่ฉันเป็นคนบาป เห็นว่าสำหรับพวกเขา คนจน จมอยู่ในความมืดและสิ่งสกปรก ความสงบสุข คำอธิษฐานของลูกสาวคือรังสีแห่งความรอดเพียงดวงเดียวในความมืด ความหวังเดียวสำหรับความเมตตาของพระเจ้า เพราะมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ประทานให้พวกเขาได้ | โอกาสที่จะได้เห็นแสงสว่างและอุทานในสักวันหนึ่ง :! “พระเจ้า เราจะอยู่กันอย่างไร! ยังไงเราก็เลวกว่าสัตว์!! ช่วยเราด้วยพระเจ้า!” พวกเขาไม่มีความหวังอื่น] สำหรับความรอด เพราะไม่มีใครอธิษฐานเผื่อพวกเขา และไม่มีใครจะถวายน้ำตาและคำอธิษฐานเพื่อพวกเขา แน่นอน คุณสามารถใกล้ชิดกับพ่อแม่ของคุณได้ แต่หลังจากนั้น (ฉันหมายถึงกรณีนี้) ทั้งครอบครัวจะจมน้ำตายด้วยกัน และแม้ว่า] ร่วมกันแน่นอนสนุกมากขึ้น แต่ใครจะได้ประโยชน์จากสิ่งนี้?

3. ซิสเตอร์ถามถึงศีลมหาสนิทโดยไม่ต้องเตรียมการ “ด้วยพร”

- เนื่องจากการรวมตัวของพระกายที่บริสุทธิ์ที่สุดและพระโลหิตอันล้ำค่าขององค์พระเยซูคริสต์เป็นศีลระลึกที่แย่มากจน "ทูตสวรรค์ไม่สามารถมองดูพระองค์ได้" บุคคลควรเข้าหาพระองค์ด้วยความกลัวอย่างยิ่ง เพราะถ้วยเดียวกันสามารถเป็นได้ เป็นพรสำหรับบางคน แต่สำหรับบางคนเพื่อประณาม ในกรณีร้ายแรงที่สุด อย่างน้อยควรอย่างน้อยหนึ่งวันอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม หากไม่มีโอกาสเตรียมตัวเลย และไม่มีความสงบสุขในจิตวิญญาณในโอกาสนี้ เป็นการดีกว่าที่จะปฏิเสธอย่างแน่วแน่และไม่กลัว

4. คำถาม: “จะสารภาพได้อย่างไรถ้านักบวชไม่อ่านคำอธิษฐานก่อนสารภาพ?”

– คุณควรขอให้แม่อธิการหรือแม่อธิการส่งคำขอของพี่สาวน้องสาวต่อพระสงฆ์: ให้อ่านคำอธิษฐานที่เหมาะสมต่อไปเพื่อไม่ให้พวกเขาอับอาย แน่นอนว่านักบวชต้องปฏิบัติตามพิธีกรรมของพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ และไม่ใช่บาปที่จะเตือนเขาถึงเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม พระเจ้าจะทรงยอมรับคำสารภาพของคุณ แม้ว่าจะอ่านเพียงคำอธิษฐานอนุญาตเท่านั้น นักบวชก็ดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง

โดยสรุปผมอยากขอให้ทุกท่านอดทนต่อความอ่อนแอของกันและกัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน และขอการอภัย คอยเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อชี้แจงความฉงนสนเท่ห์ทั้งหมดในหมู่พวกเขาอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย (เพราะเหตุนี้ทำให้ปีศาจอับอายและทำลายแผนการของพวกเขา) ให้รักกันและน้องสาวทุกคนของอาราม

บทสนทนาครั้งที่ 9 ตนเองเป็นผู้ถือหลักของบาป

ขอแสดงความยินดีกับทุกคนในวันเข้าพรรษา พระเจ้าประทานให้เราไม่เพียง แต่เป็นช่วงเวลาแห่งการชำระล้างและปลดปล่อยร่างกายจากสารพิษทุกประเภทตามที่แพทย์พูด แต่ก่อนอื่นเลยคือเวลาแห่งการปลดปล่อยจิตวิญญาณของเราจากบาปหลัก: ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว

หากเราพยายามวิเคราะห์การกระทำแต่ละอย่างของเรา เราจะพบว่าในการกระทำใดๆ ก็ตาม มีตัวตน ซึ่งเป็นตัวแบกรับบาปหลักในตัวเรา และตัวมันเองไม่มีอะไรเลยนอกจากบาป บ่อยเพียงใด ตัวอย่างเช่น ในการสนทนา เราพูดอะไรที่ประจบสอพลอเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เราจึงได้รับความปรารถนาดีจากพี่สาวน้องสาวหรือผู้มีอำนาจเพื่อตัวเราเอง ตำแหน่งของพวกเขาเป็นที่พอใจกับโต๊ะเครื่องแป้งของเรา บ่อยครั้งเมื่อพูดถึงตัวเรา เราจะแสร้งทำเป็นว่าสวยงามมากขึ้น แสดงตัวเองในแง่ดีที่สุด และบางครั้งเราก็อดไม่ได้ที่จะแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ของเราหรือความดี เราเป่าการกระทำของเราไปข้างหน้าตัวเอง และนี่ก็เป็นเครื่องบรรณาการให้กับความรักตนเอง การประจบสอพลอและคำมุสาที่นี่เพื่อสนองความรักตนเองที่เป็นบาปของเรา

ความโดดเดี่ยว ความเห็นแก่ตัวปรากฏขึ้นในที่ที่ไม่มีรักแท้ เป็นของขวัญจากพระเจ้า กล่าวคือ ไม่มีพระคุณของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ที่มีพระคุณซึ่งหมายถึงมีความรัก ไม่ได้จดจ่ออยู่กับตัวเอง แต่สนใจเพื่อนบ้านที่พวกเขารักและพร้อมที่จะเสียสละมากมายเพื่อเขา จนถึงชีวิตของพวกเขาเอง และถ้าหลวงพ่อ Seraphim of Sarov พูดถึงงานหลักของคริสเตียนในฐานะการได้มาซึ่งพระคุณของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขามีความคิดที่แม่นยำถึงการทำความคุ้นเคยกับบุคคลด้วยความรักอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นแรงดึงดูดที่มาจาก ต่อคนรอบข้าง ไม่ใช่เพื่อตัวเอง

สำหรับเรา สิ่งที่ตรงกันข้ามคือความจริง: การทำให้จิตวิญญาณของตนเองเสื่อมสลาย ความรักที่แสดงออกมาในความเห็นว่า “ฉัน” (จิตวิญญาณของฉัน) เป็นสิ่งที่สำคัญมาก มีค่าควรแก่การเคารพ และความคิดเห็นดังกล่าวมักจะมาพร้อมกับ ความรู้สึกว่าโลกทั้งใบมีไว้เพื่อฉันเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าไม่มีฉัน ก็คงไม่มีอะไรที่นี่ ในการแสดงออกขั้นสุดท้าย ความรักที่มีต่อจิตวิญญาณถึงจุดที่บุคคลที่มีกิเลสตัณหานี้ (ความเย่อหยิ่ง) พิจารณาสิ่งอื่นๆ ที่เกือบจะตายแล้ว บางอย่างเช่นตุ๊กตา ซึ่งให้บริการเขาเพื่อสนองเป้าหมายและราคะของเขา หรือในทางกลับกัน พวกเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน ในกรณีหลังพวกเขาสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องทำพิธี พวกเขาจะต้องถูกย้ายออกจากถนนด้วยวิธีการใด ๆ อย่างโหดเหี้ยม

หากความรักที่เรามีต่อจิตวิญญาณ ขอบคุณพระเจ้า ยังไม่ถึงระดับดังกล่าว มันก็จะแสดงออกในรูปแบบต่างๆ บ่อยครั้งมาก แม้ว่าจะไม่เห็นเด่นชัดนักก็ตาม ตัวอย่างเช่น พี่น้องสตรีทุกคนได้รับของขวัญสำหรับคริสต์มาส มีคนคิดว่าของขวัญของเธอแย่กว่าคนอื่น ในใจ - ความขุ่นเคืองและแม้กระทั่งความอิจฉาริษยาและอาจโกรธผู้ที่โชคดี “ฉันสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่า! และน้องสาวของฉันก็แย่กว่าฉัน แต่เธอได้ของขวัญที่ดีกว่าของฉัน!”

อีกตัวอย่างหนึ่ง: "มีคนคุยกับน้องสาวฉัน ไม่ใช่ฉัน" - ความขุ่นเคือง - "ฉันถูกเมินอีกแล้ว!" หรือ: "พวกเขาทำให้ฉันเชื่อฟังหนักกว่าเธอ" - ดูถูกอีกครั้ง! เราจะพูดอะไรได้ถ้า "คนรักจิตวิญญาณ" เช่นนี้โกรธเคืองจริงๆ? ถ้าอย่างนั้นก็แค่ฝันร้าย! ความเกลียดชังที่รุนแรงจะเล็ดลอดเข้ามาในหัวใจ ซึ่งจะรอเพียงชั่วขณะเมื่อในที่สุดมันก็ต่อย แก้แค้นด้วยคำพูด (เช่น “โคลนสลิง”) หรือการกระทำ (ไม่ช่วยคนขัดสน)

ดังที่เราเห็น ความรักต่อจิตวิญญาณของเราแสดงออกในหลาย ๆ ด้านและเป็นรากเหง้าของความเย่อหยิ่ง - บาปที่ชั่วร้ายและอาฆาตมากที่สุด ในการกอบกู้จิตวิญญาณจากสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนนี้ คุณต้องถ่อมตัวและทำให้ตัวเองอับอายตลอดชีวิต ไม่เช่นนั้นคุณจะไม่ได้รับความรอด “ฉันคู่ควรกับสิ่งที่แย่กว่า ของกำนัลที่แย่กว่านั้น การเชื่อฟังที่หนักกว่า เช่นเดียวกับการดูหมิ่นและการดูถูกทั้งหมด เพราะฉันแย่กว่าคนที่คิดมาก” - นี่คือวิธีคิดที่ถูกต้องที่ทำให้คุณต่อสู้และเอาชนะได้ ความภาคภูมิใจ.

สำหรับวิธีการกำหนดความหลงใหลนั้นง่ายมาก พ่อสอนว่า: ถ้าคุณถูกลิดรอนหรือสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป แต่คุณเสียใจกับมัน คุณมักจะคิดว่าคุณสูญเสียอะไร (หรือใคร) และจำสิ่งนี้ คุณจะรู้สึกตื่นเต้น จิตใจไม่สงบ ท้อแท้ หงุดหงิด ฯลฯ มีความหมายว่า มี และมีความชอบอยู่

สำหรับคำถามเกี่ยวกับการรู้ล่วงหน้า ฉันสามารถพูดได้ดังนี้: พระเจ้าเท่านั้นที่มีความรู้ล่วงหน้าอย่างแท้จริง ปีศาจมีข้อจำกัดอย่างมากในเรื่องนี้ พวกเขาสามารถทำนายได้ ประการแรก สิ่งที่พวกเขาจะทำด้วยตัวเอง (นั่นคือยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่เกิดจากพวกมัน) และประการที่สอง สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอยู่ห่างจากเรามาก เนื่องจากพวกมัน เคลื่อนที่ไปในอวกาศด้วยความเร็วที่ยอดเยี่ยมและแลกเปลี่ยนข้อมูล และประการที่สาม มีความสามารถเชิงตรรกะที่ไม่ธรรมดา พวกเขาสามารถสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เป็นไปได้จากข้อมูลทั้งหมดที่มีให้ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้มักล้มเหลว

สัญชาตญาณมักเป็นคำแนะนำของปีศาจจากภายนอก แต่ก็ยังไม่ใช่การครอบครอง อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี มันเกิดขึ้นที่ Guardian Angel แจ้งบางสิ่งที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่รุนแรง

การมีตาทิพย์ (เช่น กับ Vanga) เป็นเพียงผลที่ตามมาของรูปแบบการครอบครองรูปแบบหนึ่งเท่านั้น ในกรณีเช่นนี้ บุคคลที่กลายเป็นภาชนะของวิญญาณที่ไม่สะอาด กลายเป็นเครื่องมือสำหรับอิทธิพลของปีศาจที่มีต่อผู้คน ข้อมูลทั้งหมดที่ส่งผ่านบุคคลดังกล่าวตามแผนของปีศาจมีจุดมุ่งหมายเพื่อบิดเบือนความเชื่อที่แท้จริงและแทนที่ด้วยความเชื่อเท็จควรนำผู้คนไปสู่การไม่สื่อสารโดยตรงด้วยเหตุนี้จึงทำลาย การคุ้มครองทางจิตวิญญาณของบุคคลอำนวยความสะดวกในการนำปีศาจเข้าสู่ร่างกายของเขา

ในกรณีเหล่านั้นเมื่อ "สัญชาตญาณ" บ่งบอกว่าบุคคลนั้นไม่ดี คุณเพียงแค่ต้องระวัง ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดที่มีอย่างระมัดระวัง สังเกตบุคคลนั้น แต่อย่าใช้คำใบ้นี้โดยทันที “ไหวพริบ” ที่แท้จริงนั้นมาพร้อมกับประสบการณ์ เช่นเดียวกับการเติบโตทางวิญญาณ แต่ก็จำเป็นต้องมีความระมัดระวังด้วยเพราะ และที่นี่ศัตรูอาจเข้าแทรกแซงเพื่อหลอกลวง เราต้องการ (พูดอีกครั้ง!) ความระมัดระวังและการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน!

บทสนทนาที่ 10 พระคริสต์ไม่ได้เสด็จลงมาจากกางเขน

มาเริ่มโพสต์ด้วยการ "ขนถ่าย" จากตัวเอง ที่ใดไม่มีความรัก ตัวตนจะครอบงำ การหลงตัวเองเริ่มต้นที่ไหนและจะจัดการกับมันอย่างไร? วิธีที่จะกำหนดสถานะของความหลงใหล อะไรคือความแตกต่างระหว่างการมองการณ์ไกล สัญชาตญาณ และญาณทิพย์?

พี่สาวน้องสาวคนหนึ่งของเราพูดอย่างถูกต้องว่าวิญญาณของคนสมัยใหม่เปรียบได้กับภรรยาที่สุรุ่ยสุร่ายซึ่งถูกคนล่วงประเวณี (มาร) ไป บ่อยครั้งจิตวิญญาณรู้ว่าความปรารถนาของเธอเป็นบาป แต่ถึงกระนั้น เธอก็ตัณหาราคะตัณหาราคะเหมือนภรรยาแพศยาและมองหาวิธีที่จะหลอกลวงสามีของเธอโดยรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อสนองตัณหาของเธอ เธอต้องหลบเลี่ยงและโกหกสามีของเธอ (มโนธรรมของเธอ) เมื่อเธอแก้ต่างให้ตัวเองเพื่อตอบสนองต่อคำตำหนิของเขา แต่เพื่อที่แม้ความทรงจำของการทรยศของเธอจะไม่ขัดขวางจิตวิญญาณที่ยั่วยวนให้หมกมุ่นอยู่กับกิเลสตัณหาที่เป็นบาป หญิงโสเภณีคนนี้จึงบังคับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งจนลืมเกี่ยวกับการมีอยู่ของสามีของเธอ

แน่นอน เพื่อสงบสติสัมปชัญญะ เป็นการง่ายที่สุด เช่นเดียวกับคนที่ไม่เชื่อหลายๆ คน ที่จะโยนความผิดทั้งหมดให้กับปีศาจที่ล่อลวงวิญญาณที่โชคร้ายและอ่อนแอให้กลายเป็นบาป โดยวิธีการที่อีฟทำสิ่งเดียวกันโดยชี้ไปที่งูซึ่งเป็นภาพที่ซาตานสันนิษฐาน ( พล. 3, 13). ในกรณีนี้ วิญญาณพยายามโน้มน้าวตัวเองและมโนธรรมของมันว่าไม่มีกำลังที่จะต้านทานการล่อลวงของปีศาจ อย่างไรก็ตาม เราควรจำไว้เสมอว่าหากเราไม่มีกำลังที่จะปฏิเสธข้อเสนอที่เย้ายวนจริงๆ พระเจ้าพระเจ้าก็ไม่มีสิทธิที่จะลงโทษเรา เริ่มจากพ่อแม่คนแรกของเรา (อาดัมและเอวา) และจบลงด้วยทั้งหมดของพวกเขา ลูกหลานรวมทั้งพวกเราด้วย แน่นอน เรามีกำลังที่จะปฏิเสธความบาปที่อสูรคนบาปเสนอให้ แต่ถ้าเราไม่ใช้พลังนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะพยายามยืนหยัดในความดีถ้าเราไม่สัมพันธ์กับการกระทำของเรากับเป้าหมายหลักของเรา อยู่บนโลกนี้สั้น ๆ เมื่อนั้นความแข็งแกร่งของเราจะไม่มีใครอ้างสิทธิ์ และเราจะพ่ายแพ้ต่อบาป ตอนนี้เรามาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณต่อไปหลังจากที่มันยอมจำนนต่อแรงดึงดูดที่เป็นบาปโดยเล่นเกม "แจก" กับปีศาจ

ถ้าภริยา (หรือวิญญาณ) ยอมจำนนต่อราคะและยอมทำบาป คนบาป (หรือปีศาจ) จะได้รับอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ เหนือภรรยาที่ล่วงประเวณี ราวกับดูดพลังจากอารมณ์ของเธอ ระงับความสามารถในการต่อต้าน ทำให้เธอเป็น ของเล่นสำหรับความสนใจของเขา เมื่อเวลาผ่านไป วิญญาณหญิงแพศยาเริ่มเบื่อหน่ายชีวิตฟุ่มเฟือยของเธอและยินดีที่จะแยกทางกับคนรัก (ปีศาจ) แต่เหมือนนกที่ติดอวน เธอไม่มีแรงจะหนีจากมันอีกต่อไป พวกเขา. ในทำนองเดียวกัน ผู้คนซึ่งสะสมความบาปจากรุ่นสู่รุ่น กำลังสูญเสียเจตจำนงที่จะต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ กลายเป็นหุ่นเชิดในมือของทูตสวรรค์ที่ตกสู่บาป ให้เราพิจารณากระบวนการนี้โดยละเอียดยิ่งขึ้น

ทุกครั้งที่วิญญาณเลือกระหว่างข้อเสนอแนะของปีศาจและเสียงของมโนธรรม วิญญาณจะทำการกระทำที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นเจตจำนงเสรีของตัวมันเอง ขึ้นอยู่กับการเลือกนี้ว่าวิญญาณจะสูญเสียหรือได้รับพระคุณจากสวรรค์ ซึ่งทำให้วิญญาณมีกำลังในการต่อต้านบาปเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตัวอย่างเช่น การเลือกแต่ละครั้งที่แยกจิตวิญญาณออกจากพระเจ้า ถูกลิดรอนจากพระคุณมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหมายความว่าสูญเสียความมุ่งมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่สามารถต้านทานความบาปได้อีกต่อไป แม้ว่าจะเห็นว่าความบาปทำลายล้างตัวเองอย่างไร นี่เป็นหนึ่งในกฎทางวิญญาณพื้นฐานที่สุดที่กำหนดชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาด (มนุษย์และเทวดา) ให้เราเรียกมันว่ากฎแห่งความสัมพันธ์ของบาปและพระคุณ เขากล่าวว่าในสัดส่วนผกผันกับการกำจัดพลังงานที่เต็มไปด้วยพระคุณซึ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับจิตวิญญาณในความดีความแข็งแกร่งและพลังของปีศาจเหนือบุคคลที่ปฏิเสธพระบัญญัติของพระเจ้าและมนุษยชาติทั้งหมดเติบโตขึ้น พลังนี้สามารถถูกทำลายได้ด้วยการคืนพระคุณของพระเจ้าสู่มนุษยชาติเท่านั้น แต่สิ่งนี้ถูกขัดขวางโดยความบาปที่กลายเป็นกำแพงกั้นระหว่างพระเจ้ากับผู้คน

เพื่อที่จะทำลายกำแพงแห่งบาปที่ขัดขวางไม่ให้พระคุณของพระเจ้ากลับคืนสู่มนุษย์ จำเป็นต้องชดใช้ความบาป นั่นคือกฎแห่งความยุติธรรมของพระเจ้า การชำระเงินที่กำหนดโดยผู้สร้างโลกสำหรับบาปของมนุษย์คืออะไร? เราเรียนรู้เรื่องนี้จากการเปิดเผยที่พระเจ้าประทานแก่ผู้เผยพระวจนะโมเสสว่า บาปจะถูกลบล้างโดยการตายของคนบาปเท่านั้น กฎข้อนี้รู้อยู่แล้วสำหรับอาดัม ผู้ได้รับพระบัญญัติจากพระเจ้าซึ่งไม่ยากเลยที่จะบรรลุผล การละเมิดตามที่ผู้สร้างกล่าวคุกคามเขาด้วยความตาย ( พล. 2.16). ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม กฎหมายนี้คือสิ่งที่เป็น! ดังนั้นการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้บาปของมนุษยชาติ (หากเราปฏิบัติตามตรรกะของธรรมบัญญัติ) ควรเป็นเลือดของแต่ละคนและทุกคนสำหรับบาปของตนเอง อันที่จริง มันเกิดขึ้นกับอารยธรรมยุคก่อนดิลูเวีย ซึ่งสมบูรณ์ ยกเว้นครอบครัวของโนอาห์ผู้ชอบธรรม ถูกทำลายโดยน้ำท่วมเพราะบาป แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ผู้คนไม่ได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ของผู้อื่น ดังนั้น หลังจากน้ำท่วม กระบวนการเดียวกันของการละทิ้งความเชื่อจากพระเจ้าได้เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางลูกหลานของโนอาห์ผู้ชอบธรรม ซึ่งจะต้องจบลงด้วยการทำลายล้างของ คนบาป

แต่คราวนี้พระผู้สร้างเปลี่ยนไปในทางที่ต่างออกไป ซึ่งถูกกำหนดโดยความรักที่มีต่อสิ่งมีชีวิตของเขาเท่านั้น ตามความรักของพระเจ้า ผู้คนได้รับโอกาสโดยไม่ต้องจ่ายด้วยเลือดของพวกเขา โดยไม่ต้องตายเพื่อบาปของพวกเขา เพื่อกำจัดพวกเขาและนำพระคุณกลับคืนมาอีกครั้ง การชดใช้ความบาปของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งความยุติธรรม คือความตายและพระโลหิตของพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระเจ้าผู้เป็นประธานและองค์ประธาน ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ในที่ของเราเพื่อให้ทุกคนมีชีวิตและมีโอกาสได้รับความรอด พลังอันน่าสยดสยองและอันที่จริงแล้วพลังอันไร้ขอบเขตของทูตสวรรค์ที่ตกสู่บาปเหนือวิญญาณมนุษย์หญิงแพศยาถูกทำลายโดยการเสียสละของกลโกธาเท่านั้น พระโลหิตของพระเจ้าคือราคาที่ประเมินค่าไม่ได้และประเมินค่าไม่ได้ซึ่งพระองค์ทรงจ่ายสำหรับความบาปของเรา

ตอนนี้บาปได้รับการชำระแล้ว ความบาปของทุกรุ่นและทุกคนได้รับการไถ่โดยพระโลหิตอันศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด แต่ทั้งหมดได้รับการไถ่โดย Divine Blood นี้หรือไม่? อาจใช่! คุณถามว่าทำไมถึงเป็นไปได้? สิ่งนั้นคือความรอดจากบาป ความรอดจากอำนาจของมารไม่สามารถกำหนดโดยพระเจ้ากับบุคคลได้ เพราะพระเจ้าผู้ประทานอิสรภาพแก่เขาไม่เคยกีดกันเขาจากเสรีภาพในการเลือกนี้ ดังนั้นเราแต่ละคนจึงต้องเลือกด้วยพระองค์เอง เจตจำนงเสรี: ยอมรับของขวัญจากพระเจ้า (ชดใช้) หรือไม่ยอมรับ ดังนั้น หาก (ตามสมมุติฐาน) มนุษยชาติทั้งหมดยอมรับพระคริสต์ พระบัญญัติของพระองค์โดยสมัครใจ และด้วยเหตุนี้ ของประทานแห่งการชดใช้ ทุกคนจะได้รับการไถ่ ดังนั้นทุกคนจึงได้รับความรอด แต่นั่นเป็นปัญหาที่คนทุกคนไม่ชอบดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระคริสต์ พวกเขาชอบที่จะทำตามความปรารถนาและตัณหาของตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิเสธพระคริสต์ เมื่อปฏิเสธพระคริสต์แล้ว พวกเขาจะหวังความรอดได้อย่างไร? ใครจะชดใช้บาปของพวกเขาในสายตาของความยุติธรรมของพระเจ้า? แต่แล้ว - พระหรรษทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสามารถกลับมาหาพวกเขาได้โดยปราศจากการชดใช้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าบาป และปกป้องพวกเขาจากอิทธิพลของปีศาจหรือไม่.. ไม่แน่นอน! นั่นคือเหตุผลที่เหล่าผู้เกลียดชังพระเจ้าที่กระหายอำนาจ - ปีศาจ - จะดึงดูดเจตจำนง จิตใจ และความรู้สึกของพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ และกระบวนการนี้จะดำเนินต่อไปจนกว่าปีศาจจะทำให้ผู้คนเหมือนตัวเองซึ่งจะทำลายความเป็นไปได้ของชีวิตนิรันดร์สำหรับพวกเขาอย่างสมบูรณ์ ในอาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์ของพระเจ้า

ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า การชำระบาปเป็นสิ่งที่ทำลายอุปสรรคต่อการกลับมาของพระคุณของพระเจ้าแล้ว ทุกคนก็รวมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์ในศีลระลึกอันยิ่งใหญ่ของบัพติศมา ราวกับว่าได้เครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับตัวเขาเองซึ่งมี พลังที่จะทำลายพลังลึกลับของปีศาจเหนือเจตจำนงของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากการเสียสละของไม้กางเขน วิญญาณที่ยอมรับพระคริสต์จึงได้รับการชำระบาปของพวกเขาด้วยพระโลหิตของพระองค์ อย่างที่เคยเป็น จึงสามารถต้านทานได้อีกครั้ง ขับไล่ผู้ล่อลวงที่ล่วงประเวณีด้วยความช่วยเหลือจากพระคุณของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ได้กลับมาในศีลล้างบาป

แต่วิบัติแก่เรา! เมื่อได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่จากพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่ได้ละเว้นพระบุตรของพระองค์เพื่อความรอดของเรา เราจึงยอมจำนนต่อบาปอีกครั้งโดยสมัครใจ และจิตวิญญาณของเราอีกครั้ง กับบาปใหม่แต่ละครั้งของเรา สูญเสียเจตจำนงที่จะต่อต้าน อ่อนแอ และอีกครั้ง กลายเป็นหญิงแพศยาผู้อ่อนแอ เติมเต็มความปรารถนาและความเพ้อฝันของพวกเสรีนิยมที่ครอบครองเธอ น่าเสียดายที่มีคนไม่กี่คนที่สามารถต้านทานการล่อลวงและรักษาพระคุณของบัพติศมา ได้มีความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบและด้วยเหตุนี้จึงแยกตัวออกจากวงจรอุบาทว์ แต่…

โอ้ ขุมนรกแห่งความเมตตาของพระเจ้า! เมื่อทราบถึงความโง่เขลา ความอ่อนแอ และความรักในบาป พระเจ้าได้ประทานโอกาสใหม่ให้เราในการหนีจากการเป็นเชลยของมารผ่านการกลับใจ พระองค์ประทานพลังอันยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวแก่คริสตจักรของพระองค์: โดยการยกโทษบาปจากพระสงฆ์และการมีส่วนร่วมของความลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ – ร่างกายและเลือด – พระคุณของพระวิญญาณบริสุทธิ์กลับมาอีกครั้ง บาปของเราได้รับการชำระและชดใช้ด้วยเลือดอีกครั้ง ของมนุษย์พระเจ้า อำนาจซาตานเหนือวิญญาณถูกทำลายอีกครั้ง ตาข่ายของมารถูกฉีกขาด ดังนั้นอย่าเสียกำลังใจไปพัวพันกับเครือข่าย ด้วยเสียงร้องของการกลับใจและการสารภาพบาปของเรา เราจะทำลายเครือข่ายของศัตรูอีกครั้ง เราจะไม่หยุดต่อสู้เพื่อความรอดของจิตวิญญาณเรา จากนั้นเมื่อเห็นความพากเพียรของเรา พระเจ้าจะทรงช่วยเราอย่างแน่นอน แม้ว่าบางครั้งพระองค์จะลังเลใจ และต้องการให้แน่ใจว่าความปรารถนาของเราเป็นจริงอย่างจริงใจ

การเสียสละแบบไร้เลือดเสนอทุกวันโดยนักบวชออร์โธดอกซ์ในโบสถ์อันงดงาม ในห้องที่โทรม และในถ้ำ (เหมือนที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีการกดขี่ข่มเหง) บนบัลลังก์ที่ประดับประดาอย่างวิจิตรบรรจง หรือในที่โล่งบนหินแบน หรือบนตอไม้ใหญ่กลางป่าที่โล่ง ทั้งหมดนี้อย่างน่าพิศวง การสังเวยองค์เดียวกัน พระโลหิตองค์เดียวกัน และพระกายองค์เดียวกันที่ตรึงไว้เพื่อ บาปของเราเมื่อเกือบสองพันปีที่แล้ว และในขณะที่นักบวชนิกายออร์โธดอกซ์ทำพิธีศีลระลึกอันน่าสะพรึงกลัวของการแปรสภาพของขนมปังและเหล้าองุ่นเข้าสู่พระกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระเจ้า การสังเวยที่โกรธาไม่หยุดที่จะแสดงและถวาย พระคริสต์ไม่ได้เสด็จลงมาจากไม้กางเขน พระองค์จะทรงทำต่อไปเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเรานอกความต่อเนื่องของกาลอวกาศของเรา ราวกับว่าอยู่ในมิติต่างเวลา จนกว่าคนสุดท้ายที่ต้องการได้รับความรอดจะเข้าสู่ “ลานแกะ” จากนั้นถึงจุดสิ้นสุดของ โลก. และตราบใดที่มีการถวายเครื่องบูชาไม้กางเขนโดยการเฉลิมฉลองศีลมหาสนิทประจำวัน พลังของมารจะถูกทำลายทุกวันสำหรับเราแต่ละคนที่เข้าใกล้มัน และโดยการกลับใจและการมีส่วนร่วมของพระกายและพระโลหิตของพระองค์ ซึ่งชดใช้และ ล้างบาปของเรา เราสามารถลุกขึ้นได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้คุณเข้าใจหรือไม่ว่าทำไมซาตานและกองทัพทั้งหมดของเขาถึงเกลียดชังผู้แสดงพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ชี้นำการโจมตีของพวกเขา! ฉันถามคุณอีกครั้ง: อย่าสิ้นหวังและอย่ายอมแพ้ในการต่อสู้ จำไว้ - คุณจะต้องต่อสู้จนตาย!

สนทนาครั้งที่ 11 ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นดาบที่แท้จริง หรือ วิธียืนหยัดในความกตัญญู

ปีศาจคนไหนสนใจที่จะยั่วยวนมากกว่ากัน? เทวดาตกสวรรค์เป็นผู้คลั่งไคล้เกม ต่อต้านคนที่มีความสามารถ - ปืนใหญ่แห่งนรก คุกเข่าลงด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน - สู่เยรูซาเลมสวรรค์ ยาขมเพื่อรักษาคนเย่อหยิ่ง อารามเป็นโรงเรียนแห่งความอดทน เหตุ​ใด​จึง​โง่​เขลา​ที่​จะ​ทำ​ให้​คน​ที่​ขุ่นเคือง​เรา​ขุ่นเคือง. การทำลายล้างของปีศาจคืออะไร? จะไม่ถูกล่อลวงโดยตัวอย่างของคนที่อ่อนแอและไม่ผ่อนคลายได้อย่างไร เล็กน้อยเกี่ยวกับความสงบเสงี่ยม

หากในการสนทนาครั้งล่าสุด เราเปรียบอิทธิพลของปีศาจที่มีต่อจิตวิญญาณของบุคคลกับสุนทรพจน์และการกระทำที่เย้ายวนของดอนฮวนเป็นประจำ เราจะพยายามใช้การเปรียบเทียบนี้เพื่อค้นหา: ประการแรกใครจะเป็นมากกว่า เต็มใจและอุตสาหะที่จะเกลี้ยกล่อมผู้ล่วงประเวณี และประการที่สอง ผู้หญิงคนไหนที่จะต่อสู้กับการทดลองได้ยากกว่ากัน? ดอนฮวนจะถูกผู้หญิงน่าเกลียดไล่ไปหรือเปล่า.. เห็นได้ชัดว่าความหลงใหลของนักล่าจะบอกเขาว่ายิ่งผู้หญิงสวยเท่าไหร่ เกมนี้ก็จะยิ่งยากและน่าตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น ชัยชนะก็จะยิ่งมีนัยสำคัญมากขึ้นเท่านั้น

ฉันต้องบอกคุณว่าการต่อสู้ของเทวดาตกสวรรค์เพื่ออำนาจเหนือวิญญาณมนุษย์นั้นน่าสนใจสำหรับพวกเขา (ปีศาจ) มากกว่าหมากรุก ฟุตบอลและเกมอื่น ๆ ทั้งหมดที่คุณรู้จัก พวกเขาคือผู้เล่นตัวจริง โมโห พนัน พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อชัยชนะ “จนเลือดหยดสุดท้าย” มันอยู่ในชัยชนะนี้และในความรู้สึกหอมหวานของพลังที่สมบูรณ์เหนือบุคคลที่มีความยินดีและความพึงพอใจอย่างแท้จริงสำหรับความภาคภูมิใจและความปรารถนาอันเหลือเชื่อของพวกเขาในอำนาจ ในเกมที่อันตรายต่อมนุษย์นี้ เหล่าปีศาจจะค้นพบความหมายทั้งหมดของการมีอยู่ของพวกมัน เราสามารถพูดเกี่ยวกับพวกเขาได้มากกว่าใคร ๆ โดยถอดความเพลง NEP ของโจรโอเดสซาว่า "ทั้งชีวิตของพวกเขาเป็นเกมนิรันดร์"

ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าใครจะดึงดูดความสนใจของดอนฮวนมากกว่ากัน คำตอบสำหรับคำถามที่สองก็จะชัดเจนขึ้นด้วย: ใครจะพบว่ามันยากกว่าที่จะต่อสู้กับสิ่งล่อใจมากมาย แน่นอนว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่โดดเด่นด้วยรูปร่างหน้าตาของเธอมีโชคร้ายที่จะดึงดูดผู้ล่อลวงที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาเหมือนแมลงวันซึ่งถูกดึงดูดด้วยกลิ่นของน้ำผึ้งหมุนไปรอบ ๆ ความงาม ในทำนองเดียวกัน วิญญาณที่มีความสามารถมากมายก็ถูกโจมตีจากปีศาจในระดับที่สูงกว่า คนรวยจะรอดยากแค่ไหน! ( แมตต์. 19, 23-24). แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเงินเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับโอกาสและความสามารถมากมายด้วย ที่นี่เป็นที่ที่ปีศาจแห่งความเย่อหยิ่งและความภาคภูมิใจเข้าสู่สนามรบ - ปืนใหญ่หนักของกองทัพแห่งนรก ตำแหน่งสูงสุดของลำดับชั้นที่ชั่วร้าย บุรุษผู้สูงศักดิ์จะรอดยากสักเพียงไร! และยังเป็นไปได้

ว่ากันว่าในกรุงเยรูซาเล็มครั้งหนึ่งมีประตูในกำแพงเมืองที่เรียกว่า "Eye of the Needle" พวกมันต่ำมากจนอูฐเข้าไปไม่ได้ แต่พวกอูฐที่รู้วิธีคุกเข่าคลานอยู่ใต้ซุ้มประตูก็กลับเข้าไปในเมือง นี่คือข้อบ่งชี้ของเรา นี่คือหนทางสู่ความรอด ความอ่อนน้อมถ่อมตนเท่านั้นการถ่อมตนทุกวันเท่านั้นที่สามารถช่วยจิตวิญญาณที่ภาคภูมิให้พ้นจากบ่วงของมาร ทำไมอูฐจะลอดรูเข็มได้ง่ายกว่าตัวที่มั่งคั่งด้วยเงิน ความสามารถ และความหยิ่งยโสที่จะเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ ปรากฎว่าผู้ที่มีความมั่งคั่งและความสามารถจะเอาชนะความเย่อหยิ่ง ความหยิ่งทะนง ความเย่อหยิ่ง และการยกย่องตนเองได้ยากกว่าผู้เป็นราชสำนักแห่งทะเลทรายที่จะคุกเข่าลงและคลานเข้าไปใน "ดวงตาแห่งเข็ม" ของ เมืองศักดิ์สิทธิ์ของเยรูซาเลมซึ่งเป็นตัวแทนของเมืองสวรรค์ - เยรูซาเลมสวรรค์

แต่พระเมตตาของพระเจ้าไม่ได้ทิ้งคนบาปไว้ที่นี่เช่นกัน: พระเจ้ายอมให้คนจองหองเพื่อความรอดของพวกเขาประสบการดูถูกใส่ร้ายใส่ร้ายความโกรธและความเกลียดชังผู้อื่น - ทั้งหมดนี้เช่นเดียวกับอากาศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเราผู้จองหอง เพื่อพัฒนาความอ่อนน้อมถ่อมตน เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน พระเจ้ายอมให้เจ็บป่วยและล้มลง (ตามบาปของเรา) ซึ่งเป็นยาที่จำเป็นสำหรับจิตวิญญาณที่จองหองเช่นกัน หากเพียงแต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะยอมรับการลงโทษทั้งหมดจากพระหัตถ์ของพระเจ้าอย่างสุดซึ้งด้วยความมั่นใจว่าทั้งหมดนี้ถูกส่งไปเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อรักษาจิตวิญญาณของเรา เหมือนยาขม แต่จำเป็น ยิ่งกว่านั้น เราควรคุ้นเคยกับความคิดที่ว่าการดูหมิ่น การใส่ร้าย และการล่อลวงทุกประเภทควรได้รับความชื่นชมยินดี ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานโอกาสให้เราได้ชดใช้บาปครั้งก่อนของเราด้วยความอดทน และยังสร้างเงื่อนไขสำหรับการฝึกความอ่อนน้อมถ่อมตน ในความอ่อนน้อมถ่อมตน. .

ในแง่นี้ อารามสมัยใหม่ให้โอกาสที่ดีในการพัฒนาคุณภาพที่สำคัญที่สุดที่จำเป็นสำหรับความรอดของเรา กล่าวคือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ชีวิตของเราคือโรงเรียนที่เราแก้ปัญหา ทำแบบฝึกหัด เพื่อเรียนรู้สิ่งที่เรายังไม่รู้ ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความอดทน การเสียสละ และความอ่อนโยนไม่ได้มาด้วยตัวเอง พวกเขาต้องได้รับการเลี้ยงดูมาในตนเองด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า จะมีประโยชน์อะไรหากเราอาศัยและทำงานท่ามกลางคนที่รักเรา หรืออย่างน้อยก็ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของชุมชนและความเหมาะสม? ในสภาพเรือนกระจกเช่นนี้ ความเย่อหยิ่งและความหยิ่งทะนงเท่านั้นที่จะเจริญ

อารามเป็นอีกเรื่องหนึ่ง… ปัจจุบัน ประชากรส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็นคนป่วยทางจิต อย่างไรก็ตาม ต้องการได้รับความรอด พวกเขาเป็นคนเดียวกันกับคนอื่นๆ และเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ พวกเขาอยู่ภายใต้อิทธิพลของปีศาจในระดับที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นซึ่งได้รับอนุญาตจากพระเจ้าด้วยเหตุผลหลายประการซึ่งไม่ใช่สำหรับเราที่จะเจาะลึกและไม่ใช่สำหรับเราที่จะตัดสิน ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขาดีกว่าที่อื่นคุณสามารถฝึกความรู้สึกและเจตจำนงของคุณสอนตัวเองให้อดทนต่อความหยาบคายและใส่ร้ายป้ายสีด้วยความอดทนฝึกฝนความพึงพอใจและฉันจะพูดอารมณ์ขันที่อ่อนโยนด้วยความช่วยเหลือซึ่งโดยพระคุณของพระเจ้า ความผิดทั้งหมดจะทนได้ไม่ยาก ใครก็ตามที่ไม่ผ่านโรงเรียนนี้ซึ่งไม่เคยประสบความอาฆาตพยาบาทของปีศาจที่กระทำผ่านผู้คนด้วยตัวเขาเองไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้เพราะเขาไม่มีประสบการณ์ในสงครามฝ่ายวิญญาณ พระผู้ไม่มีประสบการณ์คนนี้สามารถต่อสู้ตลอดชีวิตของเขา แต่น่าเสียดายที่มีศัตรูผิดดังนั้นจึงไม่ประสบความสำเร็จและยิ่งกว่านั้นอาจตายโดยเข้าใจผิดว่าไม่ใช่เทวดาตกสำหรับศัตรูของเขา แต่เป็นพี่น้องสงฆ์ด้วยความช่วยเหลือจากใคร พวกเขาทำกับเขาผู้เตือนที่มองไม่เห็นเหล่านี้ซึ่งซ่อนตัวจากสายตาของสาธารณชน

เพียงได้รับประสบการณ์ชีวิตที่กว้างขวางผ่านการโอนความเดือดร้อนจากผู้อื่นอย่างถูกต้อง เราก็เข้าใจได้ว่าการโกรธแค้นคนที่ทำให้เราขุ่นเคืองนั้นช่างโง่เขลาเพียงใด เพราะเราเห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่ผู้ที่กระทำการ แต่เป็น “วิญญาณแห่งความอาฆาตพยาบาท” ในที่สูง” ( อีฟ 6, 12). ดังนั้นทุกคนต้องเข้าใจ: หากคุณตอบสนองต่อการดูถูกคุณทำให้พี่ชายของคุณขุ่นเคืองและนี่เป็นการละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า ( แมตต์. 7, 12; ตกลง. 6, 31) ในขณะที่คุณต้องตอบศัตรูที่แท้จริง - ปีศาจที่โจมตีซ่อนอยู่ข้างหลังเหมือนโล่พี่ชาย หากการแก้แค้นของเราตกอยู่ที่พี่ชายปีศาจก็หัวเราะอย่างมีความสุข - เขากำลังรอสิ่งนี้อยู่และถ้าเราตีตัวปีศาจด้วยความนอบน้อมเขาจะสะอื้นเมื่อพ่ายแพ้เพราะความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นดาบที่แท้จริงและเขาก็ตีอย่างเจ็บปวด ศัตรูที่ไม่มีตัวตน โดยวิธีการ "หันแก้ม" ( แมตต์. 5.39) - นี่คือการทำดาเมจอย่างรุนแรงต่อปีศาจด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ควรสังเกตว่าวิธีนี้เป็นที่ยอมรับเฉพาะในความสัมพันธ์กับพี่น้องในพระคริสต์ที่ถูกปีศาจล่อลวง และโดยทั่วไปแล้วจะเป็นศัตรูส่วนตัว แต่ไม่ใช่กับศัตรูของศาสนจักร สังคม และรัฐ

พูดให้ถูกคือ คริสเตียนที่แท้จริงไม่สามารถมีศัตรู "ส่วนตัว" ได้เลย เพราะประการแรก เขารักผู้คน โดยเห็นพระฉายของพระเจ้าในพวกเขา แม้ว่าจะมีมลทิน และประการที่สอง เขาตระหนักดีว่าในการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ของสิ่งรอบข้าง ผู้คน มารมีบทบาทริเริ่มและเป็นผู้นำ ดังนั้นปรากฎว่าโดยคำว่า "ศัตรู" พระกิตติคุณหมายถึงผู้ที่ถือว่าเราเป็นศัตรูและปฏิบัติต่อเราด้วยความเกลียดชัง ในขณะที่เราไม่ถือว่าใครนอกจากทูตสวรรค์ที่ตกสู่บาปเป็นศัตรู

สำหรับฉันแล้วดูเหมือนว่าหลายคนที่อยู่ในอารามโจมตีเราด้วยความหยาบคาย ไม่มีไหวพริบ ไม่อดทน และคุณสมบัติทางสังคมอื่นๆ หากพวกเขายังคงอยู่ในโลกนี้ คงจะดูดีในการติดต่อสื่อสาร ผู้คนที่ใจดีและน่าอยู่ แต่เนื่องจากอารามเป็นแนวหน้าของศาสนาคริสต์ในการสู้รบที่ดุเดือดกับกองทัพของลูซิเฟอร์ พวกเขาเองที่รับการโจมตีอันทรงพลังที่สุดของศัตรู และไม่ใช่ทหารทุกคนของพระคริสต์สามารถทนต่อการยิงของศัตรูอันหนักหน่วงนี้ได้ หลายคนต้องการความช่วยเหลือและความพากเพียรจากพี่น้องที่แน่วแน่มากขึ้น แบบอย่างและการสวดอ้อนวอนของพวกเขา และบางครั้งก็แค่ความตามใจตัวเองและความสามารถในการอดทนต่อ “ความอ่อนแอของผู้อ่อนแอ” เป็นสิ่งสำคัญเท่านั้นที่จะไม่ถูกล่อลวงโดยตัวอย่างของคนที่อ่อนแอกว่า ไม่ผ่อนคลาย แต่ให้ยืนหยัดในความกตัญญู และนี่เป็นงานที่ค่อนข้างจริงจังและยาก เนื่องจากความเฉื่อยโดยทั่วไปของชีวิตในอารามสมัยใหม่

พี่น้องที่ปรารถนาและสามารถดำเนินชีวิตนักพรตมากกว่าปกติย่อมเศร้าใจกับระเบียบที่มีอยู่ แต่พวกเขาต้องเข้าใจว่า ประการแรก ถ้าไม่มีการชี้แนะอย่างต่อเนื่องจากนักพรตที่มีประสบการณ์ (และพวกเขาเกือบจะมองไม่เห็นในอาราม) พวกเขาคงไม่รอดจากความสำเร็จนี้ แม้ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในชุมชนที่แยกจากกันของพวกเขาเอง และประการที่สอง หากปราศจากส่วนที่มีสุขภาพดีและกระตือรือร้นที่สุดของพระสงฆ์ อารามก็จะขาดโอกาสที่จะให้การศึกษาแก่ผู้ที่อ่อนแอกว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด และในที่สุดก็จะเสื่อมโทรมลงในประชาคมของบัณฑิตและปริญญาตรีที่เชื่อ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องยอมรับสถานการณ์ที่มีอยู่ตามที่เป็นอยู่

โดยตระหนักว่าพระสงฆ์บางรูปไม่สามารถทนต่อการละเว้นและละหมาดได้ พระที่เข้มแข็งควรยึดมั่นในจังหวะการอธิษฐานที่ยอมรับอย่างแน่นแฟ้นและไม่ลดละ แต่สิ่งสำคัญคือหันความสนใจไปที่การพัฒนาความอดทน ความสุภาพอ่อนโยน เรียนรู้ที่จะสงบ และรับรู้ปัญหาต่างๆ อย่างสง่างาม แผ่ซ่านไปทั่วอารมณ์ที่เบิกบานและเบิกบาน คุณสมบัติทั้งหมดเหล่านี้ได้มา (พัฒนา) ด้วยความมีสติสัมปชัญญะอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้ง

ความมีสติสัมปชัญญะเป็นการต่อสู้อย่างต่อเนื่องกับกิเลสตัณหาของเนื้อหนังและข้อเสนอแนะจากศัตรูภายใน (ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว) และฝ่ายนอก - ปีศาจ นี่คือการบังคับตัวเองให้ละทิ้ง "อัตตา" ของตนเอง กล่าวคือ เตือนตัวเองให้ได้รับความไม่เห็นแก่ตัว ความมีสติเป็นสิ่งที่ติดตามและขับไล่อยู่เสมอโดยความคิดของข้อเสนอแนะที่เป็นบาปทั้งหมดจากภายในและภายนอก มันเป็นการบังคับตนเองอย่างต่อเนื่องสู่ความดีและการปฏิเสธความชั่วทั้งหมด ความมีสติสัมปชัญญะเป็นศาสตร์หลักประการหนึ่งของงานสงฆ์ สามารถเรียนรู้ได้ในทุกกรณีและในอารามทุกแห่ง ฉันแนะนำให้คุณให้ความสนใจเป็นพิเศษกับศาสตร์แห่งความสุขุมโดยเริ่มจากศึกษาทุกสิ่งที่คุณพบในหนังสือของนักบุญ นักพรตแล้วพยายามนำความรู้ไปปฏิบัติ

เราควรจำงานที่สำคัญที่สุดของพระภิกษุ - ความต้องการที่จะปลุกอารมณ์การอธิษฐานในตัวเอง, ลิ้มรสการอธิษฐาน, เพราะไม่มีสิ่งอื่นใดที่ขอพระคุณจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระเจ้าเช่นเดียวกับการอธิษฐานอย่างตั้งใจ

ฉันขอให้คุณแจกจ่ายหนังสือให้กันในแบบที่พี่สาวน้องสาวแต่ละคนจะพบในหนังสือของเธอทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความมีสติสัมปชัญญะและการรักษาใจ ตัวอย่างเช่น หนึ่งในนั้นทำงานร่วมกับ The Ladder และทำการสกัดที่เหมาะสม อีกอันหนึ่งใช้ Invisible Scolding ส่วนที่เหลือจะดู Philokalia เล่มต่างๆ และมองหาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความสงบเสงี่ยม เมื่อเร็ว ๆ นี้ “การสนทนาทางวิญญาณ” โดย Macarius แห่งอียิปต์ได้รับการตีพิมพ์ใน Lavra มี "คำเทศนาเรื่องการรักษาหัวใจ" (หน้า 345) บางอย่างสามารถพบได้ใน Abba Dorotheus ขอแนะนำให้เขียนข้อความเกี่ยวกับการรักษาจิตใจและหัวใจเกี่ยวกับการต่อสู้กับความคิดและความปรารถนาทางกามารมณ์ (ทีละเรื่อง) ลงในสมุดเล่มเดียวเพื่อให้ทุกคนสามารถอ่านคำสอนที่รวบรวมมาจากบรรพบุรุษที่แตกต่างกันในหัวข้อที่น่าสนใจ สำหรับพวกเรา.

ตอนนี้ต้องพูดสองสามคำกับพี่น้องสตรีของเราที่สอนในโรงเรียนวันอาทิตย์ เพราะการล่อลวงและการล่อลวงของพวกเธอเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากผู้ใหญ่เริ่มเข้าร่วมพวกเขา แน่นอน เราทุกคนรู้จากประสบการณ์รักใคร่ว่าถ้าสามเณรเริ่มสอนใครสักคน เราสามารถพูดได้ทันทีว่าเขาอยู่ในสิ่งล่อใจของปีศาจ แต่นี่คือปัญหา! ในอารามที่เพิ่งเปิดใหม่ในปัจจุบันแทบจะไม่มีใครสอนเลย มีใหม่เกือบทุกคน

แม้ว่าคุณจะทำงานด้วยการเชื่อฟัง ดาบของ Damocles of vanity ยังคงแขวนอยู่บนหัวของคุณ ไม่มีใครสามารถช่วยคุณได้หากคุณไม่ช่วยตัวเองให้หลีกเลี่ยงเครือข่ายมารที่บอบบางและซับซ้อนที่สุด ฉันได้สังเกตหลายครั้งแล้วว่าผู้คนที่เชื่ออย่างจริงใจ อ่านวรรณกรรมทางจิตวิญญาณที่ดี สามารถให้คำแนะนำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยประสบการณ์ของบรรพบุรุษผู้ศักดิ์สิทธิ์ และคำแนะนำของพวกเขาตรงประเด็นและบรรลุเป้าหมายโดยให้ความช่วยเหลือผู้ถามอย่างแท้จริง พวกเขาเกือบทั้งหมด ต่อหน้าต่อตาเรา ทีละคน ถูกพวกปิศาจทำร้าย เยาะเย้ยพวกเขาอย่างโหดร้าย จับพวกเขา ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์อย่างแน่นอนในการต่อสู้ของจิตวิญญาณ ด้วยความไร้สาระ ฉันเห็นน้ำตกที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้! ผู้รับใช้ของพระเจ้ากลายเป็นศัตรูของพระเจ้าประมาณ 2-3 ปี มารได้หลอกลวงจิตใจของผู้โชคร้ายเหล่านี้จนทำให้พวกเขาตาบอดและหูหนวกต่อทุกสิ่งที่ขัดต่อความเห็นของพวกเขา ตัวอย่างที่น่าเศร้าของคนรู้จัก N-city ทั่วไปของเราที่ได้ลงมือบนทางลาดที่ลื่นนี้เป็นอีกข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้ แต่จะทำอย่างไรถ้าเป็นการเชื่อฟัง? ฉันพูดอีกครั้ง: ไม่มีใครจะช่วยคุณได้ แต่พระเจ้ามักจะทดสอบเราด้วยการทดลองที่ร้อนแรง หวังเพียงความรอบคอบของคุณ ให้ความสนใจกับความคิดของคุณและการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนที่สุดของจิตวิญญาณ และที่สำคัญที่สุด - สำหรับการประณามตัวเองซึ่งทำลายความคิดที่ถือดี รู้: คุณกำลังใกล้ตายและเดินบนขอบมีด จำสิ่งนี้ไว้! และร้องไห้ในใจของคุณอย่างต่อเนื่อง: พระเจ้า, ให้พ้นจากความไร้สาระ, อย่าปล่อยให้พินาศ!

สนทนาครั้งที่ 12 “ดูเหมือนล่าหนี แต่ขี้เกียจเกินไปที่จะอธิษฐาน”

ความอ่อนแอของเจตจำนงเป็นโรคทางจิตของมวลมนุษยชาติ และในการตกเป็นเชลยของบาป อย่าเป็นทาส! ทำไมเราไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น? บาปคือการทำน้อยกว่าที่คุณสามารถทำได้ วิธีป้องกันตนเองจากความสะเพร่าหลังทำความดี

คงจะเป็นเรื่องน่าเศร้าถ้าคุณมีความปรารถนาที่จะ "เป็นเหมือนคนอื่น" ในยุคที่ผ่อนคลายของเรา นี่หมายถึงตำแหน่งต่อไปนี้โดยประมาณ: “ดูเหมือนว่าจะเป็นการตามล่าที่จะรอด แต่ขี้เกียจเกินกว่าจะอธิษฐาน” คุณเห็นด้วยตัวคุณเองว่าแทบไม่มีใคร (แม้แต่ในหมู่สามเณร) สามารถละเว้นจากการใช้คำฟุ่มเฟือย ในอาหาร หรือในสิ่งอื่น ๆ ที่ชื่นชอบของเนื้อและ "อัตตา" ของเขา การผ่อนคลายนี้เป็นความเจ็บป่วยทางจิตวิญญาณ โดยวิธีการที่คุณเห็นมันในตัวเองด้วยใช่ไหม? ความอ่อนแอของเจตจำนงเป็นโรคสากลที่ส่งผลกระทบต่อมนุษยชาติทั้งหมดตั้งแต่วินาทีแรกที่ตกสู่บาปอันเป็นผลมาจากการหลบหนีจากพระคุณของพระเจ้าจากผู้ที่ทำบาปซึ่งฉันได้เขียนถึงคุณก่อนหน้านี้ แต่ปัญหาคือ เราเพิ่มการขาดพระหรรษทาน ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเรา บาปของเราเองมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งกีดกันเราจากพระคุณมากขึ้นเรื่อยๆ จะไม่คร่ำครวญถึงสภาพที่น่าสังเวช บาป และเจ็บปวดเช่นนี้ได้อย่างไร! ที่นี่เป็นที่ที่ “ฉันจะพบจุดเริ่มต้นของความชั่วร้ายของฉัน” ตามที่คุณอ่านในศีลสำนึกผิด

ดังนั้น ความอ่อนแอจากการไม่มีพระคุณ (ในขนาดที่เหมาะสม) เจตจำนงของเราจึงถูกบดขยี้ภายใต้แรงกดดันของเจตจำนงของมารซึ่งผลักดันให้เราทำบาปและเป็นบาปด้วยตัวมันเอง ในเวลาเดียวกัน การเข้าถึงของปีศาจสู่ผู้คนได้รับการปกป้องโดยขาดการปกป้องที่เปี่ยมด้วยพระคุณในตัวเราเช่นเดียวกัน ซึ่งครอบคลุมบุคคลจากผลที่ไม่พึงประสงค์ของเจตจำนงปีศาจ เป็นไปได้ที่จะหลีกเลี่ยงความรุนแรงนี้โดยค่อยๆ ได้มาหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า “การได้มาซึ่งพระหรรษทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์” ดังเช่นนักบุญ เสราฟิมแห่งซารอฟ

แต่ “เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้ามอบตัวให้ใครเป็นทาสเชื่อฟัง เจ้าก็เป็นทาสด้วย?” แอพถาม พอล ( โรม. 6, 16 ปี). หมายความว่า หากเราถูกผีมารบังคับ แต่โดยความประสงค์และความปรารถนาของเรา ไม่ต้องการสิ่งที่มันผลักเรา เราไม่สมัครใจยอมเชื่อฟังพระองค์ เราก็ไม่เป็นทาสของ เขาสมัครใจก้มลงใต้แอกของนาย แต่พวกเขาเป็นนักรบเชลย ทาส เพราะเจตจำนงของเราปรารถนาอย่างอื่น จากนี้ไปว่าหากเรายอมจำนนต่อแรงกดดันจากมารแล้ว เราไม่ยืนหยัดในคุณธรรม แต่ยังไม่หยุดต่อต้านครั้งแล้วครั้งเล่า สำนึกผิดและประณามตัวเอง เราก็ยังไม่หลุดจากพระเจ้า ยังไม่สมบูรณ์ ทาสของบาปและมาร ในกรณีนี้ ในฐานะที่เป็นนักโทษของศัตรู เรายังคงเป็นทาสของซาร์ ไม่ได้สละพระองค์ และมีส่วนร่วมในการต่อสู้ใต้ดิน ดังนั้น เราควรต่อต้านอย่างต่อเนื่องและทั้งๆ ที่ทุกอย่างไม่ต้องการเชื่อฟังมาร คอยดูแลรับพระหรรษทานซึ่งได้รับ ประการแรก ผ่านการอธิษฐาน และประการที่สอง ผ่านการทำความดีและการเชื่อฟัง

แต่เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในบาปที่ร้ายแรงที่สุดของความจองหองผ่านการสวดอ้อนวอน การเชื่อฟัง และการละเว้น (อย่างสุดความสามารถ) คุณต้องจำไว้ว่าไม่ว่าในสถานการณ์ใด คุณไม่มีสิทธิ์เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น เพราะคุณสามารถทำสิ่งนี้ได้ ถูกประณาม (ถ้าคุณดูเหมือนตัวเองดีกว่าคนอื่น ๆ ) หรือในความสิ้นหวัง (เมื่อคุณเห็นคุณธรรมของใครบางคนที่คุณไม่มี) อย่าพยายามเอาตัวเองเป็นบอร์ดเดียวกับใคร เพราะ "ทุกคนมีของกำนัลของตัวเอง (วัดความเข้มแข็ง) จากพระเจ้า ทางนี้ อีกทางหนึ่ง" ( 1 คร. 7, 7). หากพระเจ้าประทานกำลังให้คุณมากขึ้นเพื่อต่อต้านการผ่อนคลายหรืองดเว้นจากบางสิ่ง อย่าหยิ่งผยอง เพราะจะถามคุณมากขึ้น และผู้ที่ได้รับเพียงเล็กน้อยจะได้รับเพียงเล็กน้อย - ฉันหวังว่าคุณจะจำสิ่งนี้ได้ แต่นอกจากพระผู้สร้างแล้ว ยังไม่มีใครทราบขนาด: ให้อะไรแก่ใครและเท่าใด คุณทำสุดความสามารถของคุณซึ่งคน ๆ หนึ่งรู้สึกในตัวเอง และถ้าคุณทำน้อยกว่าที่คุณทำได้ มันก็เป็นบาป

เพื่อไม่ให้เกิดความภาคภูมิใจหลังจากทำความดี คุณต้องตั้งโปรแกรมจิตสำนึกของคุณสำหรับสิ่งนี้โดยป้อนสูตรสองสูตรต่อไปนี้ในหน่วยความจำ:

“ฉันไม่ทำแม้แต่ร้อยในสิ่งที่ฉันควรทำ” และ

“ฉันทำสิ่งนี้เพียงเพราะพระเจ้าประทานกำลัง สุขภาพ และความคิดที่ถูกต้องแก่ฉัน และตัวฉันเองไม่สามารถทำอะไรได้หากปราศจากความช่วยเหลือจากพระองค์”

โดยสรุป ฉันต้องการพูดกับคุณและพี่น้องสตรีด้วยถ้อยคำของอัครสาวก: “เราหวังว่าพวกคุณแต่ละคน ... แสดงความกระตือรือร้นอย่างเดียวกัน (เพื่อความรอด) จนถึงที่สุด เกรงว่าเจ้าจะขี้เกียจ...” ฮีบ. 6, 11).

บทสนทนาที่ 13 จะทำอย่างไรหากไม่มีผู้สารภาพที่มีประสบการณ์?

อะไรจะค้ำจุนเราหากไม่มีการนำทางทางวิญญาณ ระวัง "คนแก่เฒ่า" การถือศีลอดไม่ใช่ประเพณีที่เคร่งศาสนา แต่เป็นอาวุธในการต่อสู้กับปีศาจ เป็นไปได้ไหมที่จะ "พักผ่อน" จากการต่อสู้เพื่อความรอด? ถามคนอื่นเกี่ยวกับข้อบกพร่องของคุณ ผลที่ตามมาที่เป็นอันตรายของการอธิษฐานผิด

ขอแสดงความยินดีกับพี่สาวทุกคนในวันเข้าพรรษา! ฉันหวังว่าสิ่งนี้จะส่งผลต่อความสำเร็จของการอธิษฐานและจะทำหน้าที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางวิญญาณของคุณ ฉันจะตอบคำถามเช่นนี้:

1. เราเคยพูดไปแล้วหลายครั้งว่าในสมัยของเราเราต้องเอาตัวรอดเกือบคนเดียว เพราะมีตัวอย่างที่ดีอยู่ไม่กี่อย่างในสายตาเรา ความช่วยเหลือทางวิญญาณน้อยมากจากพระที่มีประสบการณ์ซึ่งน่าเสียดายที่แทบจะไม่มีเลย อย่างไรก็ตาม เรายังคงมีการนำทาง - พระกิตติคุณ มโนธรรมของเราเอง และหนังสือของบรรพบุรุษผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่ง (มโนธรรมของเรา) จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อไม่ให้ศัตรูสับสน ในธุรกิจของเรา มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญ: ไม่ผ่อนคลาย ไม่ยอมแพ้ ต่อสู้อย่างต่อเนื่องกับ "ชายชรา" ของเราไปจนตาย การหยุด นั่นคือ การหยุดการต่อสู้ ย่อมนำไปสู่ความตายของจิตวิญญาณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

2. “ผู้เฒ่าที่กอดรัด” เกี่ยวกับผู้ที่เซนต์ Ignatius Brianchaninov คุณควรจะระวัง “ผู้เฒ่า” เหล่านี้มักดึงดูด “นักพรต” และ “นักพรต” รุ่นเยาว์เสมอโดยไม่ยอมให้พวกเขาต่อสู้เมื่อประสบการณ์ของบรรพบุรุษผู้ศักดิ์สิทธิ์และมโนธรรมของพวกเขาเองบังคับให้พวกเขาต่อสู้ มันยากที่จะต่อสู้แน่นอน และ "ผู้เฒ่า" ก็ปลอบประโลมสามเณรที่กระทำความผิดด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเองอย่างเสน่หา: "ไม่มีอะไร! - ชายชราคนนั้นพูดว่า - ไม่น่ากลัวเลย เป็นไปได้ ... และนี่ก็เป็นไปได้เช่นกัน วิญญาณจะสว่างและร่าเริง ไม่จำเป็นต้องต่อสู้อีกต่อไป ตอนนี้คุณสามารถดื่มด่ำกับความหลงใหลที่คุณโปรดปรานได้อย่างสมบูรณ์เนื่องจากมโนธรรมไม่ทรมานอีกต่อไปโดย "พร" ของผู้เฒ่าสงบลง ดีใช่มั้ยล่ะ!

3. หากคุณมีโอกาสและพรจากผู้บังคับบัญชาของคุณ คุณสามารถเข้าร่วม Great Lent ได้สัปดาห์ละครั้ง

4. เนื่องจากคุณมีอาหารร่วมกัน ตามที่ฉันเข้าใจ คุณจะไม่สามารถปฏิบัติตามกฎบัตร (เกี่ยวกับโภชนาการในช่วงเข้าพรรษา) ด้วยความปรารถนาทั้งหมดของคุณ ปัจจุบันนี้ ฆราวาสผู้เคร่งศาสนาเข้าถึงได้ง่ายกว่าพระสงฆ์ เหตุผลก็คือในอารามสมัยใหม่ของเรา ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ข้างต้น มีผู้สารภาพที่มีประสบการณ์เพียงไม่กี่คนที่สามารถปรับกฎบัตรให้สัมพันธ์กับพระภิกษุแต่ละคนที่พวกเขาเป็นผู้นำตามความสามารถและสุขภาพของแต่ละคน แต่ถึงกระนั้น พรหมลิขิตก็จำเป็นสำหรับภิกษุ ไม่อย่างนั้นเราเป็นภิกษุประเภทไหน?

ฆราวาสแสดงตัวอย่างบางครั้ง: ในวันแรกของมหาพรต นักบวชของเราเกือบทั้งหมดไม่ได้กินอะไรเลย และในวันที่เหลือของสัปดาห์แรกเมื่อมีการกำหนด "การกินแบบแห้ง" ตาม Typicon หลายคน ของพวกเขานั่งบนขนมปังและชาโดยไม่มีแรงกดดันใด ๆ โดยพระสงฆ์ ส่วนใหญ่ทำงานหนักทุกวัน หญิงชราก็ไม่ล้าหลังเช่นกัน คนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะอดอาหารเป็นเวลาสองวันตามที่ควรจะเป็นตามกฎบัตร: “ในวันแรกของสัปดาห์แรกของสัปดาห์ที่ศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่คือ ในวันจันทร์ การรับประทานอาหารไม่เหมาะสม และในวันอังคารก็เช่นกัน ในวันพุธ หลังจากการเฉลิมฉลองพิธีสวดแบบชำระบาปแล้ว จะมีการเสิร์ฟอาหาร เช่น ขนมปังที่ปรุงจากผักอุ่น ๆ และเครื่องดื่มที่มีน้ำผึ้งอีกด้วย ผู้ที่ไม่สามารถเก็บสองวันแรกในวันอังคารหลังจาก Vespers พวกเขากินขนมปังและ kvass สิ่งเก่าๆ ก็สร้าง" (Tipikon. Sheet 32, reprint, M., 1997).

ขอบคุณพระเจ้า พวกเรานักบวชสามารถถือศีลอดตามกฎและนั่งรับประทานอาหารเป็นครั้งแรกในวันพุธหลังพิธีสวดเท่านั้น และลองนึกภาพ: พวกเราไม่มีใครเสียชีวิตแม้ว่านักบวชที่อายุมากที่สุดจะอายุเกิน 60 ปีแล้ว

โชคไม่ดี เนื่องจากสูญเสียความต่อเนื่อง (พระภิกษุเดิมถูกทำลายล้างในสมัยโซเวียต ในขณะที่คนอื่นๆ เสียชีวิตก่อนการฟื้นคืนชีพของพระสงฆ์เริ่มขึ้นในทศวรรษ 1990) ในอารามสมัยใหม่ ความเข้าใจในจุดประสงค์และความหมายของการถือศีลอดบางครั้งก็สูญหายไป ตัวอย่างเช่น การถือศีลอดในปัจจุบันถือได้ว่าเป็นประเพณีที่เคร่งศาสนา และไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ แต่มันมีความหมายลึกลับและลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ ประการแรก นี่เป็นหนึ่งในวิธีการได้มาซึ่งพระหรรษทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นอกจากนั้น มันยังเป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการเสริมสร้างการอธิษฐาน การชำระความคิดให้บริสุทธิ์ และสุดท้ายหนึ่งในวิธีหลักในการต่อสู้กับปีศาจ ซึ่ง ไม่เหมือนพวกเรา อย่าหยุดการต่อสู้ของพวกเขาสักนาที . เราปล่อยให้ตัวเองได้พักผ่อนบ้างเป็นบางครั้งโดยลดอาวุธลง แต่การต่อสู้ครั้งนี้จำเป็นเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยของเรา! คุณจะทำอย่างไรโดยไม่ต้องโพสต์?

ฉันแนะนำให้คุณอดอาหารสองมื้อต่อวัน พยายามอย่ากินอาหารจานด่วนมากเกินไป แต่ทำทุกอย่างในลักษณะที่คุณไม่ดึงความสนใจมาที่ตัวเองในโรงอาหาร และที่สำคัญที่สุด ฉันเตือนคุณว่า ปกป้องจิตวิญญาณของคุณให้พ้นจากความไร้สาระ แม้ว่าฉันจะรู้ว่าคุณจำสิ่งนี้ได้

5. ดีกว่าเจ้าอาวาสมาก พี่น้องสตรีที่คุณสื่อสารด้วยสามารถสังเกตเห็นข้อบกพร่องของคุณได้ ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะใส่ใจกับสิ่งที่พวกเขาไม่พอใจในตัวคุณ วิเคราะห์สาเหตุของความไม่พอใจ (โดยไม่ต้องให้เหตุผลในตัวเองแม้แต่น้อย) แล้วคุณจะเห็นว่าคุณต้องต่อสู้กับอะไร คุณสามารถถามคนใกล้ชิดของคุณได้โดยตรง: “คุณเห็นข้อบกพร่องอะไรในตัวฉัน” แต่ถ้าพวกเขาพูดอะไรที่คุณไม่ได้คาดหวัง มีความกล้าที่จะยอมรับ อย่าทำหน้าบึ้ง แต่ยอมรับด้วยความกตัญญู เพราะคำพูดแต่ละคำแม้จะเจ็บปวด

6. วิธีการอธิษฐานด้วยความตึงเครียดของร่างกายไม่ดี! สิ่งนี้สามารถจบได้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น: การล่อลวงของปีศาจ (ขอพระเจ้าช่วยคุณให้พ้นจากความโชคร้าย!) หัวใจของวิธีการดังกล่าวคือความภาคภูมิใจของเราที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความปรารถนาที่จะ "เข้าถึงพระเจ้า" อย่างรวดเร็ว ลูกที่รัก พระเจ้าได้ยินเราเสมอ! พระวิญญาณของพระองค์แผ่ซ่านไปทั่วทุกเซลล์ ทุกโมเลกุล แน่นอน คุณต้องอธิษฐานด้วยความตึงเครียด แต่ไม่ใช่ของร่างกาย (โดยไม่ได้หมายความว่า!) แต่เฉพาะจิตใจเท่านั้นเท่าที่จะทำได้ ความตึงเครียดของจิตใจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตั้งสมาธิของจิตสำนึก เพื่อเสริมสร้างความสนใจในคำพูดและความหมายของการอธิษฐาน สำหรับการปฏิเสธความคิดภายนอกอย่างต่อเนื่องซึ่งมาจากภายนอก ส่วนใหญ่แนะนำโดยปีศาจ แต่สิ่งสำคัญในขณะเดียวกันก็คือ ก่อนเริ่มการอธิษฐาน เช่น ไวโอลิน คุณต้องปรับแต่งจิตวิญญาณของคุณเสมอ และปรับแต่งมันด้วยวิธีที่กลับใจเท่านั้น แต่ไม่มีความเจ็บปวด ดังที่กษัตริย์ผู้เผยพระวจนะ David กล่าวเกี่ยวกับสิ่งนี้: อับอาย" ( ป.ล. 50, 19).

การอธิษฐานเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ในการค่อยๆ ได้มาซึ่งพระหรรษทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งจะทำให้การอธิษฐานเข้มแข็งขึ้น ทุกอย่างอย่างที่คุณเห็นเชื่อมต่อถึงกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะบังคับกระบวนการนี้ ฉันขอบคุณพระเจ้าที่คุณเดาให้ฉันเขียนเกี่ยวกับมัน! ข้าพเจ้าได้เห็นกับตาตนเองหลายครั้งถึงผลร้ายอันเป็นผลมาจากการอธิษฐานที่ไม่ถูกต้อง ข้าพเจ้าจึงกลัวเมื่ออ่านจดหมายของคุณ พระเจ้าช่วย!

สนทนาครั้งที่ 14 “ภาระของฉันก็กินง่าย…”

เป็นไปได้ไหมที่จะรอดโดยไม่ปฏิเสธตัวเอง? การสละโลกไม่ใช่การปฏิเสธวัฒนธรรม! เหตุใดความผูกพันอันเร่าร้อนจึงเป็นศัตรูของเรา? วิธีสร้างลำดับชั้นของค่านิยมที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้ติดอยู่ในเครือข่ายของกิเลสตัณหา คำจำกัดความของแนวคิดเรื่อง "ความหลงใหล" วิธีการปลูกเสาวรส คนที่หลงใหลในความรักคือผู้ขายของพระคริสต์ ทำไมการผ่าตัดเพื่อดับกิเลสจึงเจ็บปวดนัก? จากความเป็นทาสของอียิปต์สู่โลก - สู่อิสรภาพที่แท้จริงในพระคริสต์!

1.5 เดือนที่ผ่านมาแม้ว่าจะเต็มแล้วก็ตาม งานใหญ่และงานใหญ่ที่แตกต่างกันมากมาย: วันหยุด แต่ที่สำคัญที่สุดคือเพื่อ คุณแน่นอนคำสัตย์สาบาน

เกือบสามปีผ่านไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็นตั้งแต่คุณมาถึงวัด นี่เป็นเวลานานพอที่จะคิดทบทวนทุกสิ่ง มองให้ลึก และทดสอบตัวเอง สุขสันต์ ใครเลือกทางเดิน? ตามพระบัญญัติของพระเจ้า เส้นทางแห่งความสมบูรณ์ในตัวพวกเขา ผู้ซึ่งได้หลงจากโลก ที่ซึ่งตอนนี้ยากขึ้นกว่าที่เคยสำหรับคริสเตียนที่จะได้รับความรอดเพราะการล่อลวงที่ทวีคูณนับไม่ถ้วนซึ่งทำให้จิตวิญญาณผ่อนคลายอย่างละเอียดและมองไม่เห็นว่า เส้นทางแห่งกางเขนและการปฏิเสธตนเองสำหรับเขา (คริสเตียน) ยากขึ้นเรื่อยๆ แต่นี่เป็นหนทางแห่งการแบกหามที่ยาก แคบ และมีหนามซึ่งพระเจ้าได้ทรงบัญชาแก่ทุกคนที่ต้องการได้รับความรอด ไม่ว่าเราจะรักตัวเองมากแค่ไหน ไม่ว่าเราจะสงสารเนื้อหนังของเราแค่ไหน ไม่ว่าเราจะคร่ำครวญถึงความเป็นไปไม่ได้ (สำหรับพระสงฆ์) อย่างไรที่จะทำให้จิตวิญญาณของเราสมบูรณ์แบบตามองค์ประกอบของโลกนี้ (ในศิลปะ วิทยาศาสตร์ กิจกรรมทางสังคม ฯลฯ) อย่างไรก็ตาม หากเราต้องการเป็นนักเรียน พระเจ้าพระเยซูคริสต์ (นั่นคือผู้ที่ได้รับความรอด) ต้องจำไว้เสมอว่าหากปราศจากกิเลสตัณหาของพวกเขา (ทางร่างกายและทางวิญญาณ) สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

คริสเตียนสมัยใหม่จำนวนมากและแม้แต่คริสเตียนออร์โธดอกซ์ (นั่นคือผู้ที่รู้คำสอนที่ไม่ถูกบิดเบือนของพระคริสต์) จะแปลกใจมากเมื่อพวกเขาตระหนักว่าเป็นผู้ที่อ้างถึงพระวจนะ: “ฉันบอกคุณว่าไม่มีคนที่ถูกเรียกจะ ลิ้มรสอาหารมื้อเย็นของฉัน เพราะหลายคนถูกเรียก แต่มีเพียงไม่กี่คนที่เลือก" ( ตกลง. 14, 24). และเมื่อเหล่าผู้ได้รับเรียก (คริสเตียน) ตระหนักว่าพวกเขายังคงอยู่หลังประตูแห่งอาณาจักรสวรรค์ พวกเขาจะเริ่ม "เคาะประตูแล้วพูดว่า: "พระองค์เจ้าข้า! พระเจ้า! เปิดให้เรา" แต่พระองค์จะทรงตอบท่านว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าท่านมาจากไหน” ( ตกลง. 13, 25).

แต่อะไรสามารถป้องกันผู้เชื่อเหล่านี้ไม่ให้เข้ามาในจำนวนที่พระเจ้าเลือกสรร? ปรากฎว่า - "กิเลสตัณหา" ของพวกเขา ความผูกพันต่อความสุขทางร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณหลอก ความหวังที่ไร้เดียงสาของพวกเขาที่จะช่วยให้คุณรอดได้โดยไม่ต้องปฏิเสธสิ่งใดๆ โดยไม่ต้องต่อสู้กับกิเลสตัณหาและตัณหาของคุณอย่างเจ็บปวด แต่คนสุดท้ายนี้ไม่ยอมให้คนเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์เพราะพระผู้สร้างเองกล่าวว่า "ใครในพวกท่านที่ไม่ละทิ้งทุกสิ่งที่เขามีจะเป็นสาวกของเราไม่ได้" ( ตกลง. 14, 33). ถ้าบุคคลไม่ใช่สาวกของพระคริสต์ แสดงว่าเขาอยู่ห่างไกลจากคำสอนของพระองค์ ดังนั้นจึงห่างไกลจากความรอด

โชคไม่ดีที่ต้องขอบคุณการไม่รู้หนังสือฝ่ายวิญญาณที่เป็นสากล ศัตรูของพระคริสต์จึงจัดการสร้างความสับสนให้กับหลายคนด้วยพระวจนะข้างต้นของพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งมักถูกตีความโดยผู้รับใช้ที่เป็นปีศาจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ในลักษณะที่พวกเขาสามารถกระตุ้นความเกลียดชังต่อคำสอนของ คริสต์. ด้วยปัญญาที่โง่เขลาทางจิตวิญญาณ ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มสังคมอื่น ๆ ศัตรูเหล่านี้ของคริสตจักรพยายามเสริมสร้างความคิดเห็นที่ว่ามีเพียงคนที่สกปรก มีเหา เขลา เขลา และบางทีอาจไม่รู้หนังสือโดยสิ้นเชิงที่พวกเขาอายห่างจากรถ ด้วยความสยดสยองที่พวกเขาปฏิเสธ บนเครื่องบิน หน้าซีดเมื่อเอ่ยถึงทีวี และหากจู่ๆ ใครบางคนที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาถึงกับพูดถึงคอมพิวเตอร์โดยไม่รู้ตัว พวกเขาก็จะเป็นลมด้วยเสียงอันดังแน่นอน

ความคิดเห็นเท็จนี้ไม่เคยมีความคิดเห็นของคริสตจักร การสละซึ่งพระเจ้าตรัสในข้อความอ้างอิงข้างต้นจากพระกิตติคุณไม่ได้หมายความว่าจำเป็นต้องปฏิเสธทุกสิ่งที่วัฒนธรรมทางวัตถุ อารยธรรมได้สร้างขึ้น มันหมายถึงความต้องการที่จะทำลายความหลงใหลในทุกสิ่งเท่านั้น: ศิลปะ, วิทยาศาสตร์, ธรรมชาติ, ชื่อเสียง, สิ่งของ, ความมั่งคั่ง, มนุษย์หรือสัตว์ มันหมายถึงการสร้างลำดับชั้นของค่าที่ถูกต้อง ค่านิยมทางวิญญาณรวมถึงงานฝ่ายวิญญาณที่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จในชีวิตชั่วคราวนี้ตามคำแนะนำของผู้สร้างควรถูกวางไว้เป็นอันดับแรก และทุกอย่างอื่นควรอยู่ใน 2, 3, 4 และที่อื่นๆ อย่างถูกต้อง

ถ้าในหัวใจของคนๆ หนึ่งคือพระบัญญัติของพระเจ้า และธุรกิจหลักของชีวิตคือความรอด ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เพียงแต่ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขา แต่ในทางกลับกัน เขาสามารถใช้ความสำเร็จของวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมมาช่วย ตัวเองในสิ่งสำคัญ - สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณของเขาและยิ่งไปกว่านั้นเพื่อสนับสนุนผู้อื่นในเรื่องที่ยากลำบากนี้ หากสินค้าวัตถุและความสำเร็จของวัฒนธรรมกลายเป็นรูปเคารพสำหรับผู้ที่มีสถานที่ไม่เหมาะสมในใจแล้วความผูกพันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้กับพวกเขาจะกลายเป็นโซ่สำหรับเขาซึ่งผูกมัดเขาไว้กับความสุขที่ต่ำที่สุดราคะและจิตวิญญาณทำให้เขา ลืมพระเจ้าและเป้าหมายหลักของชีวิตมนุษย์ . ในกรณีนี้ ฝุ่นและขี้เถ้าทั้งหมดนี้เป็นที่ดึงดูดใจของบุคคล ทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อในมือของ "ยอดอัจฉริยะ" (ปีศาจ) ซึ่งสามารถหมุนรอบนิ้วได้อย่างชาญฉลาด อัจฉริยะที่สุดของ ผู้คนเนื่องจากปีศาจที่มีตำแหน่งสูงสุดนั้นฉลาดกว่าและทรงพลังกว่าเราอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และมีเพียงผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากพระคริสต์ผู้ช่วยให้รอดที่อยู่เคียงข้างพวกเขาเท่านั้นที่สามารถวางใจในชัยชนะในการต่อสู้อันเลวร้ายนี้เพื่อจิตวิญญาณของเรา

ใครได้รับความรักและอย่างไร? ย่อมจะปรากฎขึ้นในบุคคลใดก็ตามที่มีทัศนคติในการใช้ชีวิต (ความเชื่อของเขา) กำหนดไว้ดังนี้: “มีเวลาให้สนุก เพราะคุณมีชีวิตอยู่ครั้งเดียว! ดังนั้นจากชีวิตคุณต้องทำทุกอย่างที่ทำได้ แต่ถ้าคุณรับไม่ได้ คุณยังต้องได้สิ่งที่ต้องการไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามและแม้กระทั่งด้วยกำลัง” ทัศนคติดังกล่าวมีอยู่และไม่ได้ชัดเจนและชัดเจนเสมอไปในส่วนลึกของจิตสำนึกของทุกคนที่ไม่มั่นคงในความจริงซึ่งประกาศโดยผู้สร้างก่อนผ่านศาสดาพยากรณ์ในพระคัมภีร์ไบเบิลและจากนั้นโดยพระเจ้าเองที่จุติมา - พระเยซูคริสต์และยิ่งกว่านั้น ดังนั้นในจิตสำนึกของผู้ปฏิเสธพระเจ้า ทัศนคติผิดๆ นี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในเพลงที่ได้ยินบ่อยมากทางวิทยุในยุค 70: "ชีวิตคือช่วงเวลาหนึ่ง ยึดมั่นไว้!"

ความหลงใหลในพื้นฐานของมันมักจะมีความต้องการตามธรรมชาติของร่างกายหรือจิตวิญญาณของบุคคล แต่ความต้องการนี้จะกลายเป็นความหลงใหลก็ต่อเมื่อด้วยความช่วยเหลือจากปีศาจ มันข้ามขอบเขตที่พระเจ้ากำหนด (hypertrophies) เมื่อมันกลายเป็นสิ่งที่หยุดยั้งไม่ได้และบังคับให้บุคคลละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าเพื่อสนองความต้องการนั้น

เมื่อเข้าใจรูปแบบนี้ดีแล้ว มารพยายามทำให้คนๆ หนึ่งทำบาป ไม่ใช่ด้วยการกระทำที่ไม่น่าพอใจสำหรับเขา แต่ในทางกลับกัน ด้วยความเพลิดเพลิน โดยการกระตุ้นความต้องการทางร่างกายหรือจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างผิดปกติ ความพึงพอใจซึ่งทำให้เขามีความสุข .

การศึกษาความเป็นไปได้ของวิญญาณที่ตกสู่บาปได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถยั่วยวนได้เช่น เพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งความต้องการตามธรรมชาติของร่างกาย (สัญชาตญาณของความหิว การนอนหลับ การสืบพันธุ์ ฯลฯ) และความต้องการของจิตวิญญาณ

ตัวอย่างเช่น การแนะนำความคิดที่เห็นแก่ตัวและหยิ่งผยอง พวกเขาสามารถกระตุ้นความปรารถนาในอำนาจที่ไม่อาจต้านทานในจิตวิญญาณของบุคคล หรือปลุกเร้าความหลงใหลในความสุขทางจิตวิญญาณในลำดับที่แตกต่างกันในตัวเขา ความหลงใหลดังกล่าวสามารถนำไปสู่งานศิลปะประเภทต่าง ๆ วิทยาศาสตร์ตลอดจนแว่นตาและความบันเทิงจากนั้นกิจกรรมที่ดูเหมือนไร้เดียงสาเหล่านี้สามารถนำทางบุคคลให้ห่างไกลจากเป้าหมายหลักของ ชีวิตของเขา - จากความรอด วิญญาณ ควรจำไว้ว่าความพึงพอใจของสิ่งเหล่านั้นและความต้องการอื่น ๆ ที่เกินจริงโดยปีศาจมักจะนำผู้คนไปสู่ความจำเป็นในการทำความชั่วโดยได้รับผลประโยชน์ทางร่างกายและจิตวิญญาณที่ต้องการด้วยความช่วยเหลือจากการโกหกหลอกลวงเล่ห์เหลี่ยม! การทรยศ การทรยศ การใส่ร้าย การลักขโมย การฆาตกรรม (รวมถึงลูกที่ยังไม่เกิดของพวกเขา) ความรุนแรงทางเพศ การใช้อำนาจอย่างผิดกฎหมาย และอื่นๆ นอกจากนี้ ความปรารถนาที่จะมีความสุขและไม่เต็มใจที่จะจำกัดความต้องการของตัวเองมักจะนำความเศร้าโศกและน้ำตามาสู่ผู้คนรอบข้างซึ่ง "ผู้เพลิดเพลิน" ไม่ได้คิด แต่ด้วยค่าใช้จ่ายที่เขาชอบ

การใช้ความผูกพันที่เร่าร้อนเพื่อความสุขทางร่างกายและจิตวิญญาณเป็นตะขอ ปีศาจจะดักจับจิตวิญญาณของเราไว้กับพวกมัน จากนั้นจับเราให้แน่น ตอนนี้ดึงมันขึ้นแล้วปล่อยมัน ยิ่งตะขอและเส้นดังกล่าวสามารถดึงดูดใจคนได้มากเท่าไร ก็ยิ่งมีพลังเหนือเขามากเท่านั้น บังคับให้บุคคลละเมิดพระบัญญัติและบาปของพระเจ้าเพื่อสนองความต้องการนี้หรือความผูกพันอันเร่าร้อนนั้น

หยิ่งผยองในทุกรูปแบบ (ความโลภ, ความไร้สาระ, การโอ้อวดและการโอ้อวด, ดูถูกผู้อื่น, ฯลฯ ), ตัณหาในอำนาจ, อารมณ์ทางเพศ, ความตะกละ, ความมึนเมา, การติดยา, ความรุนแรง, ความเกียจคร้านในค่าใช้จ่ายของผู้อื่น, ความหลงใหลในความบันเทิงและความฟุ่มเฟือย - นี่เป็นเพียงส่วนน้อยจากกิเลสตัณหาด้วยความช่วยเหลือซึ่งปีศาจได้จับมนุษย์เกือบทุกคน ที่หลุดพ้นจากพระเจ้าและไม่ต้องการดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

แน่นอน เป็นเรื่องยากมากสำหรับคนทางโลก และแทบเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากการล่อลวง ที่จะละเว้นจากความผูกพันทางอารมณ์ใด ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะตัวอย่างที่ไม่ดีมากมายของผู้อื่นแข็งแกร่งมากในโลก และพวกเขาเป็นที่รู้จัก เป็นโรคติดต่อ ดูคนทางโลก: วิญญาณของเขาสะสมสิ่งสกปรกมากแค่ไหนในชีวิตเพียงวันเดียวในโลก! เขาจะได้ยินบทสนทนาที่โง่เขลา ไร้วิญญาณ และหยาบคายมากแค่ไหนทุกที่ (ในร้าน บนถนน ในรถไฟใต้ดิน ที่ทำงาน และที่บ้าน) เขาจะเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจในทีวีมากแค่ไหน และเขาจะอ่านคำโกหกสกปรกกี่คำใน หนังสือพิมพ์!? และทุกวัน จากการประมวลผลทางจิตวิทยารายวันเช่นนี้ จิตวิญญาณก็กลายเป็นมลทิน โง่เขลา ผ่อนคลาย สูญเสียศรัทธา และสุดท้ายก็ถูกจับโดยกิเลสบางอย่าง ในทางกลับกัน ความหลงใหลไม่ช้าก็เร็วทำให้บุคคลละเมิดกฎทางศีลธรรม เหยียบย่ำมโนธรรมของเขา ล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า และแม้กระทั่งทรยศและขายพระคริสต์เพื่อเห็นแก่ความพึงพอใจ น่าเสียดาย ที่มันเป็นไปแล้วและจะเป็นอย่างนั้น... คนที่ถูกจับได้ด้วยกิเลสบางอย่าง ในที่สุดจะกลายเป็นผู้ขายของพระคริสต์ นั่นคือกฎ เพราะมีคำกล่าวไว้ว่า: "คุณไม่สามารถรับใช้พระเจ้าและทรัพย์ศฤงคารได้" ( แมตต์. 6, 24). แปลจากภาษาอราเมอิกว่า "ทรัพย์ศฤงคาร" หมายถึงความมั่งคั่ง และนอกจากนี้ ความสุขทางเนื้อหนังและจิตวิญญาณทั้งหมดที่ได้รับจากความช่วยเหลือ

นั่นคือเหตุผลที่การไม่ยึดติด นั่นคือ อิสรภาพจากความผูกพันที่เร่าร้อน พระเจ้าได้ทรงระบุว่าเป็นหนึ่งในวิธีการแห่งความรอดที่จำเป็นที่สุด พระคริสต์ประทานคำแนะนำนี้แก่เราในพระบัญญัติว่า "ปฏิเสธตัวเอง" ( มัทธิว 16:24). อย่างไรก็ตาม พระบัญญัตินี้ไม่ได้กล่าวถึงความจำเป็นในการปฏิเสธความคิด ความคิดสร้างสรรค์ และความต้องการทางสรีรวิทยาที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์อย่างที่บางคนเชื่อ ไม่ ในที่นี้เรากำลังพูดถึงการปฏิเสธและการทำลายสิ่งที่แนบมาด้วยความกระตือรือร้นเท่านั้น ซึ่งสามารถเติบโตอย่างมั่นคงในจิตวิญญาณของบุคคลจนกลายเป็น "ธรรมชาติที่สอง" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพของเขา นั่นคือ "ฉัน" ของเขา . บุคคลหนึ่งรู้สึกว่าการปฏิเสธพวกเขาอย่างน้อยหนึ่งคนเป็นการปฏิเสธตัวเองและสิ่งนี้เจ็บปวดมากเสมอ สำหรับจิตวิญญาณที่รักบาปของเรา มัน (การปฏิเสธ) นั้นเจ็บปวดมากจนในข่าวประเสริฐนั้นเปรียบได้กับการตรึงบนไม้กางเขนซึ่งพระเจ้าตรัสว่า: “ถ้าใครต้องการติดตามเรา จงปฏิเสธตัวเองและรับกางเขนของคุณแล้วตาม ผม" ( แมตต์. 16, 24).

แต่จำไว้ว่า: เขาไปไหน.. ถึงกลโกธา! ดังนั้น พระคริสต์ทรงเรียกเราให้ปฏิเสธตนเองและไปกับพระองค์ในการตรึงกางเขน ไปสู่ความตาย! ดังนั้น การหลุดพ้นจากกิเลสจึงมีความคล้ายคลึงกันในเรื่องความเจ็บปวดและความยากต่อการตรึงกางเขน ดังนั้น นักบุญ บรรพบุรุษเรียกความสำเร็จของการตรึงวิญญาณร่วมกับพระคริสต์ เกี่ยวกับเขาและแอพ เปาโลเขียนถึงชาวกาลาเทีย: “บรรดาผู้ที่เป็นของพระคริสต์ได้ตรึงเนื้อหนังด้วยกิเลสตัณหาและตัณหาของมัน” ( สาว. 5, 24) และในจดหมายถึงชาวโรมันดังที่เป็นอยู่ต่อไป: “ชายชราของเรา (ต้อง) ถูกตรึงกับพระองค์เพื่อที่ร่างกายของบาปจะถูกยกเลิกเพื่อที่เราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป (และด้วยเหตุนี้ กับปีศาจ)” ( โรม. 6.6). อัครสาวกที่นี่เรียก “ร่างกายที่บาป” ว่าความผูกพันอันเร่าร้อน กิเลสตัณหาของเรา ซึ่งกลายเป็นส่วนสำคัญของบุคคล กล่าวคือ ประหนึ่งว่าโดยตัวมนุษย์เองหรือ "ชายชรา" ที่ต้องตายอย่างเจ็บปวดบนไม้กางเขนเพื่อจะได้ถูกตรึงที่กางเขนกับพระคริสต์ เพื่อปกครองร่วมกับพระองค์ในอาณาจักรแห่งความรักและความจริงอันเป็นนิรันดร์ของพระองค์

บางครั้งฆราวาสคนหนึ่งจะพูดว่า:

- โอ้ พระภิกษุอยู่ได้ลำบากเพียงใด เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ มีข้อ จำกัด ทุกที่และชีวิตของพวกเขาเองก็ซ้ำซากจำเจ ไม่ ไม่ ฉันรับไม่ได้!

และฉันเป็นคนบาป มองดูสิ่งนี้แล้วคิดว่า:

“แย่จัง การรักษาตัวให้รอดยากกว่าพวกเรานักบวช เป็นการยากกว่ามากที่จะไปหาพระคริสต์โดยอยู่ในโลกทาสของอียิปต์ซึ่งพระภิกษุได้รับความช่วยเหลือจากพระภิกษุด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้าเช่นเคย“ อิสราเอลเดินบนดินแห้งเดินในขุมนรกเห็นผู้ข่มเหง ของฟาโรห์ที่กำลังจมน้ำ" ใช่ เราอาศัยและเดินเตร่อยู่ใน "ทะเลทราย" ที่ซึ่งธรรมชาติ อาหาร และความประทับใจไม่หลากหลาย แต่พระเจ้าสัญญากับเราว่าแผ่นดินแห่งคำสัญญา! สำหรับสิ่งนี้คุณสามารถทนได้!

คงมีคนอื่นคิดต่างกันไป แต่สำหรับฉัน คนโง่ ที่รักษาพระสงฆ์ได้ง่ายกว่า เพราะวิถีชีวิตของนักบวชนั้นนำโอกาสมากมายมาผูกมัด มัด มัด มัด มัด และล่ามเรา สู่ดินและเพื่อความสุขทางโลกชั่วคราวด้วยโซ่ตรวนมากมาย , เชือก, เชือก, เชือก, ไม้, ลวดและด้าย

ไม่ ... แน่นอนหมูอย่างที่พวกเขาพูดมักจะพบสิ่งสกปรก - แน่นอน! แต่เราจะไม่พูดถึง "พระ" เช่นนี้และจะไม่พยายามถูกชีวิตของพวกเขาล่อลวง ในท้ายที่สุด แต่ละคนจะตอบด้วยตนเองตามที่อัครสาวกกล่าวว่า: “ดังนั้น เราแต่ละคนจะเล่าเรื่องของตัวเองต่อพระเจ้า” ( โรม. 14, 12 ว). อย่างไรก็ตาม หากคุณจำเป้าหมายหลักในชีวิตของคุณได้เสมอ นั่นคือความรอดผ่านการเติบโตทางจิตวิญญาณและศีลธรรมเมื่อคุณได้รับพระคุณของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แน่นอนว่าในอาราม การได้รับความรอดง่ายกว่าทุกที่ อื่น.

นั่นคือเหตุผลที่เราชื่นชมยินดีเพราะเจ้าไม่ได้ถูกประตูกว้างและทางกว้างของชีวิตมาล่อใจ ฉันดีใจที่คุณได้พบความกล้าหาญที่จะวางแอกของพระคริสต์บนบ่าของผู้หญิงที่บอบบางของคุณ ฉันดีใจที่คุณตอบรับการเรียกของพระเจ้าเพราะพระองค์จะช่วยคุณอย่างแน่นอนเพราะเป็นพระวจนะของพระองค์: “แอกของฉันเบาและภาระของฉันก็เบา” (